สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ให้คุณค่าแก่ชีวิตของเราได้อย่างไร?
ทาน การให้ การเสียสละ
ก็เป็นสิ่งที่จะได้ละมลทิน
ละความตระหนี่ถี่เหนียวภายในจิตใจ
รู้จักการให้ การเกื้อกูล การเสียสละ
ก็เป็นปฏิปทาของอริยชนทั้งหลาย
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า...
"อริยบุคคล เป็นผู้ที่มือชุ่ม
ไปด้วยการให้ ไปด้วยการสลัดออก"
ครั้งหนึ่ง สุมนากุมารี หญิงสาวคนหนึ่ง
ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า...
สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ที่มีศรัทธา มีศีล มีปัญญาเสมอกัน
คนหนึ่งเป็นผู้ให้ กับคนหนึ่งไม่ได้ให้
เมื่อชนทั้ง 2 ต้องละจากโลกนี้ไป
ได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ ไปเกิดเป็นเทวดา
เทวดาทั้ง 2 องค์มีความพิเศษแตกต่างกัน
อย่างไรบ้างพระพุทธเจ้าข้า?
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ชนทั้งสองก็จะมีคุณวิเศษที่แตกต่างกัน คือ
ผู้ให้ที่เป็นเทวดา ก็จะข่มผู้ที่ไม่ได้ให้ไว้
ด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ยศ และความเป็นใหญ่
กุมารีก็ทูลถามต่อไปว่า...
เมื่อเทวดาทั้ง 2 องค์ ต้องจุติ
เคลื่อนจากเทวโลกมาบังเกิดในมนุษย์โลก
เกิดมาเป็นมนุษย์ขึ้นมา ชนทั้งสองจะมีคุณวิเศษ
ที่แตกต่างกันอย่างไรบ้างพระพุทธเจ้าข้า?
พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า...
ผู้ที่ได้ให้ไว้ ก็จะข่มผู้ที่ไม่ได้ให้
ด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ยศ และความเป็นใหญ่
โภคทรัพย์ต่าง ๆ ในมนุษย์โลก
อย่างเรามองเรื่องโลกภายนอกนะ
เราอาจจะพบว่า คนที่ขวนขวายขยันทำมาหากิน รู้แหล่ง
ก็จะสะสมโภคทรัพย์ได้ เป็นคนมีเงิน
เป็นเศรษฐีมีทรัพย์สมบัติต่าง ๆ
แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ คือ เอาท์พุต (Output)
ที่เราเห็นในโลกภายนอก
แต่อินพุต (Input) ที่เป็นบ่อเกิดแห่งสิ่งเหล่านี้จริง ๆ
ก็คือ สิ่งที่เรียกว่าบุญกุศลที่เราได้บำเพ็ญไว้นั่นเอง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
ไม่ได้มีอะไรบังเอิญ
มันก็เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัยที่ได้สะสมไว้
คนที่เคยได้ถวายทานไว้
เป็นคนที่จิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ไปเกิดชาติใด ก็จะเป็นคนที่มีโภคทรัพย์
มีเงิน มีกิน มีใช้ ไม่อด ไม่อยาก
อย่างเราเห็นบางคน ทำไมโชคดี
สามารถทำมาค้าขึ้น ร่ำรวย เป็นเศรษฐีได้
บางคนเพียรเท่าไหร่ ก็อับจน ขาดทุน
ทำอะไรก็ขาดทุน ไม่ประสบความสำเร็จ
เพราะฉะนั้น อานิสงส์ที่เราได้บำเพ็ญไว้
พอมาเกิด แต่ละคนก็จึงมีความแตกต่างกัน
คนที่มีความตระหนี่ถี่เหนียวน่ะ
ไปเกิดชาติใด...ก็ยากจนแร้นแค้น
แต่คนที่ชุ่มไปด้วยการให้ด้วยการสลัดออก
ไปเกิดที่ใด...ก็เต็มไปด้วยโภคทรัพย์ต่าง ๆ
พระองค์จึงตรัสว่า นี่แหละผลของการให้ทาน
ก็จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลทั้ง
ต่อเทวดา ทั้งต่อมนุษย์ ทั้งต่อบรรพชิตต่าง ๆ
ในระหว่างที่เราต้องท่องเที่ยวไปในวัฏสงสาร
ทานก็จะเป็นสิ่งที่เกื้อกูล
เปรียบเหมือนเสบียงน่ะ
เราจะทำอะไร เราจะเดินทางไปไหน
เราก็ต้องมีเสบียง
ถ้าเราไม่มีเสบียง
เราก็จะเต็มไปด้วยความหิวกระหาย
ผู้ที่มีปกติในการให้ ในการสละออก
ชุ่มไปด้วยการให้ ไปเกิดภพภูมิใด
ก็จะไม่ใช่เป็นคนที่ขัดสน
เป็นคนที่เพียบพร้อมต่าง ๆ
สิ่งต่าง ๆ มันก็จะทำให้เรา
ดำเนินชีวิตได้อย่างผาสุกนั่นเอง
เมื่อเราได้เรียนรู้เรื่องของการให้
ประโยชน์ของการให้ การเสียสละ
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า
เรื่องของสิ่งที่เรียกว่า เป็นมหาทาน
เป็นการให้ทานอันยิ่งใหญ่
เมื่อเราเรียนรู้เรื่องของการให้ การสลัดออกแล้วนะ
สิ่งที่เราควรเรียนรู้ต่อไป
ก็คือ ทานที่จัดว่า เป็นมหาทาน
ก็คือ การงดเว้นจากการเบียดเบียน
การรักษาศีลนั่นเอง
ทำไมการรักษาศีล
พระพุทธองค์ถึงจัดว่า เป็นมหาทาน
เป็นการให้ทานอันยิ่งใหญ่?
เพราะว่า เป็นการให้ความไม่มีเวร
ให้ความไม่มีภัย แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์
การทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
เพราะว่า ถ้าเรายังเป็นผู้ให้ก็จริง
แต่เรายังไม่งดเว้นจากการทำบาปกรรม
โทษของการฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์
มันก็จะทำให้เราตกต่ำ จมสู่อบายภูมิ
เสวยความเผ็ดร้อนทุกข์ทรมาน
และเมื่อเราได้ผุดขึ้นมา ๆ เกิด ก็ต้องชดใช้
เช่น ไปฆ่าแพะตัวนึง ก็ต้องมาเกิดเป็นแพะแบบนี้
ถูกเขาตัดคอ 500 ชาติ 1,000 ชาติ
ทำครั้งหนึ่ง แต่การชดใช้หนี้ มันยาวนานมาก
โทษของปาณาติบาต การเบียดเบียนการฆ่าสัตว์
พอมาเกิด นอกจากต้องตาย อายุสั้นแล้วเนี่ย
โรคภัยไข้เจ็บถามหา
ถ้าเราเคยไปทุบตี ไปทำให้หมู่สัตว์ต้องทุกข์ทรมานต่าง ๆ
โทษเศษกรรม เราก็จะเป็นคนที่โรคภัยไข้เจ็บมาก
เราสังเกต...แต่ละคนต่างกัน
ทำไมบางคนมีโรคภัยไข้เจ็บเยอะจัง
เป็นโรคมะเร็งบ้าง เป็นโรคหัวใจบ้าง
เสวยความทุกข์ทรมานต่าง ๆ
แต่บางคน กลับสมบูรณ์ ไม่ป่วย ไม่ ๆ สบาย
ซึ่งก็หายากมากในยุคสมัยนี้
ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรบังเอิญเลย
สิ่งที่เราเห็นมันเป็นเอาท์พุตที่ออกมาแล้ว
แต่ว่าอินพุตเนี่ย ซอฟต์แวร์ที่มันเป็นตัวส่งมา
ก็คือ วิบากกรรมที่เราได้บำเพ็ญไว้นั้นเอง
ไม่ได้มีใคร...มากำหนดให้เรา
ตัวเราเองนั่นแหละ
.
ธรรมบรรยาย โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
28 มีนาคม 2564
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น