.. โอกาสนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้ง
หลายได้พากันสมาทานศีลและก็สมาทาน
พระกรรมฐานเสร็จแล้ว ต่อนี้ไปก็ขอให้ทำ
จิตให้สงบ ตั้งใจฟังคำแนะนำชั่วครู่หนึ่ง
ในขณะที่ฟังคำแนะนำ นอกจากจะจำแล้ว
ขอได้โปรดคิดตามไปด้วย
หลายได้พากันสมาทานศีลและก็สมาทาน
พระกรรมฐานเสร็จแล้ว ต่อนี้ไปก็ขอให้ทำ
จิตให้สงบ ตั้งใจฟังคำแนะนำชั่วครู่หนึ่ง
ในขณะที่ฟังคำแนะนำ นอกจากจะจำแล้ว
ขอได้โปรดคิดตามไปด้วย
การเจริญพระกรรมฐานในพระพุทธ
ศาสนาให้เราต้องการมรรคผลเป็นสำคัญ
ไม่ใช่ว่าเราจะทำเป็นเพียงแค่อุปนิสัย
แต่ความจริงถ้าได้เป็นอุปนิสัยเข้าถึง
"ไตรสรณาคมน์" ก็รู้สึกว่าดี แต่ทว่า
เรายังไม่จำกัดความเกิดได้
ศาสนาให้เราต้องการมรรคผลเป็นสำคัญ
ไม่ใช่ว่าเราจะทำเป็นเพียงแค่อุปนิสัย
แต่ความจริงถ้าได้เป็นอุปนิสัยเข้าถึง
"ไตรสรณาคมน์" ก็รู้สึกว่าดี แต่ทว่า
เรายังไม่จำกัดความเกิดได้
เพราะว่า "ความเกิดเป็นทุกข์"
พระพุทธเจ้ากล่าวว่า
พระพุทธเจ้ากล่าวว่า
"ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์
ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์
มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์"
ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์
มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์"
ทีนี้ถ้าหากว่าเรามีความเกิด เราเกิด
ขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ติดตามเรามาก็ได้แก่ ความ
แก่ ความป่วยไข้ไม่สบาย อาการขัดข้อง
ในอารมณ์ แล้วก็มีความพลัดพรากจาก
ของรักของชอบใจ มีความตายไปในที่สุด
ขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ติดตามเรามาก็ได้แก่ ความ
แก่ ความป่วยไข้ไม่สบาย อาการขัดข้อง
ในอารมณ์ แล้วก็มีความพลัดพรากจาก
ของรักของชอบใจ มีความตายไปในที่สุด
ทีนี้การเจริญกรรมฐานในพระพุทธ
ศาสนา เราไม่ต้องการความเกิด เพราะ
ถ้ามีเกิดแล้วมันก็มีแก่ มีเจ็บ มีตาย มี
พลัดพรากจากของรักของชอบใจ มี
ความขัดข้องใจเป็นปกติ อันนี้
"เป็นอาการของความทุกข์"
ศาสนา เราไม่ต้องการความเกิด เพราะ
ถ้ามีเกิดแล้วมันก็มีแก่ มีเจ็บ มีตาย มี
พลัดพรากจากของรักของชอบใจ มี
ความขัดข้องใจเป็นปกติ อันนี้
"เป็นอาการของความทุกข์"
ทีนี้ถ้าเราจะไม่เกิดก็หาวิธีการผ่อน
นี่เราคิดว่าเราจะถึงอรหัตผลไม่ได้ภายใน
ปัจจุบันทันด่วน ก็จงหาทางผ่อนคือวิธีการ
เกิด หรือเรียกว่าค่อยทำค่อยไป รักษาใจ
ให้สบาย รักษาอารมณ์ให้ปกติ ทีนี้ถ้า
เราไม่ปรารถนาจะเกิด
นี่เราคิดว่าเราจะถึงอรหัตผลไม่ได้ภายใน
ปัจจุบันทันด่วน ก็จงหาทางผ่อนคือวิธีการ
เกิด หรือเรียกว่าค่อยทำค่อยไป รักษาใจ
ให้สบาย รักษาอารมณ์ให้ปกติ ทีนี้ถ้า
เราไม่ปรารถนาจะเกิด
"ก็จงคิดถึงความตายไว้เป็นปกติ
จงอย่าประมาทในชีวิต เพราะว่า
ความตายไม่มีนิมิตเครื่องหมาย"
จงอย่าประมาทในชีวิต เพราะว่า
ความตายไม่มีนิมิตเครื่องหมาย"
พระพุทธเจ้ากล่าวกับ "เปสการี" ว่า
"ความตายเป็นของเที่ยง แต่ว่าชีวิต
คือความเป็นอยู่เป็นของไม่เที่ยง สัตว์และ
คนทั้งหมดที่เกิดมาในโลก ตายเหมือนกัน
หมดทุกคน แต่ในเมื่อเราตายแล้ว ไม่ใช่
ว่ามันจะมีสภาพสูญแล้วก็หมดเรื่องกันไป"
คือความเป็นอยู่เป็นของไม่เที่ยง สัตว์และ
คนทั้งหมดที่เกิดมาในโลก ตายเหมือนกัน
หมดทุกคน แต่ในเมื่อเราตายแล้ว ไม่ใช่
ว่ามันจะมีสภาพสูญแล้วก็หมดเรื่องกันไป"
คำว่าตายนี่มันตายได้เพียงแค่ "ขันธ์ ๕"
จิตของเรามันไม่ได้ตายด้วย ถ้าจิตของเรา
เลวเราก็ไปสู่ทุคติ คือ "นรก เปรต อสุรกาย
สัตว์เดรัจฉาน" ถ้าจิตของเราดี ดีเล็กน้อย
ก็ไปเกิดเป็น "มนุษย์" ได้
จิตของเรามันไม่ได้ตายด้วย ถ้าจิตของเรา
เลวเราก็ไปสู่ทุคติ คือ "นรก เปรต อสุรกาย
สัตว์เดรัจฉาน" ถ้าจิตของเราดี ดีเล็กน้อย
ก็ไปเกิดเป็น "มนุษย์" ได้
ถ้าดีมากขึ้นไปอีกหน่อย มี "หิริ" และ
"โอตตัปปะ" มีความอายความชั่ว เกรง
กลัวผลของความชั่ว ความชั่วในที่นี้ได้แก่
การละเมิดศีล ๕ อย่างนี้เราก็เกิดเป็น
"เทวดา" ได้
"โอตตัปปะ" มีความอายความชั่ว เกรง
กลัวผลของความชั่ว ความชั่วในที่นี้ได้แก่
การละเมิดศีล ๕ อย่างนี้เราก็เกิดเป็น
"เทวดา" ได้
ถ้าอารมณ์จิตของเราตั้งอารมณ์ไว้
เฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง ในด้านของกุศล
ใน "พระกรรมฐาน ทั้ง ๔๐ กอง" อย่างใด
อย่างหนึ่งโดยเฉพาะ อารมณ์จิตตั้งมั่น
ที่เรียกกันว่าฌาน อย่างนี้เราก็เกิดเป็น
"พรหม"
เฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง ในด้านของกุศล
ใน "พระกรรมฐาน ทั้ง ๔๐ กอง" อย่างใด
อย่างหนึ่งโดยเฉพาะ อารมณ์จิตตั้งมั่น
ที่เรียกกันว่าฌาน อย่างนี้เราก็เกิดเป็น
"พรหม"
ถ้าเราทำตนให้เข้าถึงความเป็น
พระอริยเจ้า คือพระอรหัตผลเป็นที่สุด
เราก็ถึง "พระนิพพาน" ถ้าเรายังไม่ถึง
พระอรหันต์ เป็นเพียงพระโสดาบัน
พระสกิทาคามี อย่างนี้ก็ชื่อว่า จำกัด
การเกิดให้สั้นเข้า ..
พระอริยเจ้า คือพระอรหัตผลเป็นที่สุด
เราก็ถึง "พระนิพพาน" ถ้าเรายังไม่ถึง
พระอรหันต์ เป็นเพียงพระโสดาบัน
พระสกิทาคามี อย่างนี้ก็ชื่อว่า จำกัด
การเกิดให้สั้นเข้า ..
(พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
ที่มาจาก.. ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๔๓๓ หน้าที่ ๔๒-๔๓
ที่มาจาก.. ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๔๓๓ หน้าที่ ๔๒-๔๓
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น