.....ผู้มีปัญญาไม่ใช่ข่มจิตหรือยกจิตเป็นเท่านั้น ผู้ฉลาดในการฝึกจิตต้องรู้จักปล่อยวางจิตเป็นด้วย
.....ผู้เพียรข่มจิตจะได้สมถะ ได้สมาธิ ได้ความสงบ ได้รูปฌาน อรูปฌาน แต่ความสงบก็ไม่เที่ยง
.....ส่วนผู้เพียรยกจิตกำหนดติดต่อ สติตั้งมั่นตามดูรู้ทันกาย กำหนดรู้พองหนอ-ยุบหนอ-นั่งหนอ-ถูกหนอ จะได้วิปัสสนาญาณ ได้ปัญญา ได้เห็นไตรลักษณ์ แต่ปัญญานั้นเป็นสังขาร ไม่เที่ยงเกิดดับเช่นกัน
.....สิ่งต่างๆในโลกนี้ที่คิดว่าเที่ยงจีรังยั่งยืน ยึดติดได้ ยึดมั่นกันได้จริงนั้น ไม่มี เพราะทุกสรรพสิ่งมันอยู่ภายใต้กฏแห่งความเสื่อม มีความเป็นอนิจจังของมันเองอยู่แล้ว
.....ที่เราเข้าใจผิดคิดว่าเที่ยง จีรังยั่งยืน ยึดกันได้นั้น แท้จริงคือ ความหลง หลงย้ำในความคิด ในธัมมารมณ์ ในความคิดปรุงแต่ง ในความพอใจ ในความไม่พอใจ ของสภาวะธรรม ที่เกิดขึ้นมาใหม่ แต่ละขณะจิตเท่านั้นเอง
.....เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญก็คือ อย่าเข้าไปต้อง อย่าเข้าไปตั้ง อย่าเข้าไปย้ำ อย่าเข้าไปใส่ใจ ในความคิด ในธัมมารมณ์ ในสภาวะธรรม ในผัสสะ ที่เกิดขึ้นมาใหม่ ๆ สละทิ่งไป
.....จงมีมหาสติสัมปชัญญะ และด้วยอานุภาพแห่งมหาสติสัมปชัญญนั้น จงตื่นออกจากกาย ตื่นออกจากจิต ตื่นออกจากนิวรณ์ ชึ่งเป็นอานุภาพ แห่งการตัดโมหะ ตัวหลงดู ตัวหลงรู้ ตัวหลงเห็น ตัดตัณหา ตัดอุปาทานที่ยึดมั่นในรูปในนามในกายในจิตได้ดีนักแล
ที่มา อนัตตา
เสียงธรรมจากดอยน้อย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น