.
ญาณทั้ง 9 นี้ ญาณที่มีกิจทำเฉพาะอยู่ตั้งแต่ ญาณที่ 1 ถึง ญาณที่ 8 เท่านั้น ส่วนญาณที่ 9 นั้น เป็นชื่อญาณบอกให้รู้ว่า เมื่อฝึกพิจารณามาครบ 8 ญาณแล้ว ต่อไปให้พิจารณาญาณทั้ง 8 นั้น โดยอนุโลมและปฏิโลม
คือพิจารณาตามลำดับไปตั้งแต่ญาณที่ 1 ถึงญาณที่ 8 ย้อนมาหาญาณที่ 1 จนกว่าจะเกิดอารมณ์เป็นเอกัคคตารมณ์ทุกๆญาณ
และจนจิตเข้าสู่โคตรภูญาณ คือจิตมีอารมณ์ยอมรับนับถือกฎธรรมดา เห็นเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยตนหรือคนอื่นเป็นของธรรมดาไปหมด
สิ่งกระทบเคยทุกข์เดือนร้อน ก็ไม่มีความทุกข์เร่าร้อนไม่ว่าอารมณ์ใดๆ ทั้งที่เป็นเหตุของความรัก ความโลภ ความโกรธ ความผูกพัน
ยอมรับนับถือกฎธรรมดาว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ อาการอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดาแท้ ท่านว่าครอบงำ ความเกิด ความดับ ความตายได้เป็นต้น
คำว่าครอบงำหมายถึงความไม่สะทกสะท้าน ใครจะตายหรือเราจะตาย ไม่หนักใจ เพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องตาย
ใครทำให้โกรธ ในระยะแรกอาจหวั่นไหวนิดหนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่านี่มันเป็นของธรรมดาโกรธทำไม แล้วอารมณ์โกรธก็หายไป
นอกจากระงับความหวั่นไหวที่เคยเกิด เคยหวั่นไหวได้แล้ว จิตยังมีความรักในพระนิพพานยิ่งกว่าสิ่งใดสามารถจะสละวัตถุภายนอกทุกอย่างเพื่อพระนิพพานใด้ทุกขณะ
มีความนึกคิดถึงพระนิพพานเป็นปกติ คล้ายกับชายหนุ่มหญิงสาวเพิ่งแรกรักกัน จะนั่ง นอน ยืน เดิน ทำกิจการงานอยู่ก็ตาม จิตก็ยังอดที่จะคิดถึงคนรักอยู่ด้วยไม่ได้
บางรายเผลอถึงกับเรียกชื่อคนรักขึ้นมาเฉยๆทั้งๆไม่ได้คิดว่าจะเรียก ทั้งนี้เพราะจิตมีความผูกพันมาก คนรักมีอารมณ์ผูกพันฉันใด
ท่านที่มีอารมณ์เข้าสู่โคตรภูญาณก็มีความใฝ่ฝันถึงพระนิพพานเช่นเดียวกันหลังจากเข้าสู่โคตรภูญาณเต็มขั้นแล้ว จิตก็ตัดสังโยชน์ 3 เด็ดขาด
เป็นสมุจเฉทปหาน คือตัดได้เด็ดขาดไม่กำเริบอีก ท่านเรียกว่าได้อริยมรรคต้น คือพระโสดาบัน .
..หนังสือ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน โดย
พระมหาวีระ ถาวโร
ศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อยุธยา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น