"แหมผมเสียดายจังครับหลวงพ่อ ที่ไม่ได้บวชเป็นพระ มิฉะนั้นแล้วผมจะลองปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์ ๑๐ กับเขาดูบ้าง" ข้าพเจ้าพูด
"อ้าว! นี่คุณยังไม่เข้าใจถึงคำว่า "พระ" เลยซินี่ คำว่า "พระโยคาวจร" นั้น ท่านหมายรวมถึงทั้งท่านที่บวชเป็นพระ และอุบาสกอุบาสิกานะ เพราะท่านใดก็ตามที่เริ่มเจริญสมถกรรมฐานและเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ท่านเรียกว่า "พระ" ทั้งสิ้นนะ ทั้งนี้เพราะ "พระ" หมายถึง ผู้ที่เริ่มเข้าถึงความเป็นผู้ประเสริฐ "โยคาวจร" แปลว่า ผู้ที่ประกอบความเพียรนะ
รวมความแล้ว "พระโยคาวจร" ก็คือ ท่านผู้มีความประพฤติประกอบความเพียร เพื่อให้ถึงซึ่งความเป็นผู้ประเสริฐนะ
ดังนั้น ฆราวาสอย่างพวกคุณนี้ หากเริ่มเจริญกรรมฐานเมื่อใด ท่านเรียกว่า "พระ" ทันที ได้เปรียบกว่าท่านที่บวชเสียอีก เพราะท่านที่บวชแล้วเข้ายังไม่เรียกว่า "พระ" นะ แต่เรียกว่า "สมมติสงฆ์" เพราะเพียงแต่เอาตัวเข้าพวกเท่านั้น ยังมิได้เอาใจเข้าพวก
ต่อเมื่อท่านที่บวชเริ่มปฏิบัติพระกรรมฐานนั่นแหละ ท่านจึงจะเรียกว่า "พระ" และหากประกอบความเพียรเพื่อหวังบรรลุมรรคผลนิพพาน จึงจะเรียกว่า "พระโยคาวจร" ซึ่งถือว่าเป็น "พระ" แท้นะ เข้าใจหรือยังล่ะ?” หลวงพ่ออธิบาย
"ถ้ายังงั้น ฆราวาสอย่างพวกผมก็มีสิทธิปฏิบัติเพื่อให้บรรลุมรรคผลเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ กับเขาได้ซีครับหลวงพ่อ" ข้าพเจ้าถามด้วยความอยากรู้
"ใช่แล้ว เป็นได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นฆราวาสหากบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์แล้ว จะต้องตายภายใน ๒๔ ชั่วโมงนะ" หลวงพ่อตอบ
"ทำไมต้องตายด้วยล่ะครับ?" ข้าพเจ้าถามด้วยความสงสัย
“"ตายเพื่อไปเสวยสุขในนิพพานน่ะ เป็นสุดยอดของความดีในพระพุทธศาสนาทีเดียวนะคุณ และการที่ต้องตาย ก็เป็นเพราะจิตของพระอรหันต์นั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องเกินกว่าที่จะอยู่ในคราบของฆราวาสต่อไปได้ ทั้งนี้เพราะฆราวาสจะต้องเกลือกกลั้วกับโลกียชน และสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซึ่งฆราวาสที่มีจิตพระอรหันต์ ไม่สามารถจะยอมรับได้อีกต่อไปแล้วนั้นเอง แต่ถ้าพระภิกษุสงฆ์ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก็จะยังมีชีวิตต่อไปได้นะ" พอเข้าใจหรือยังล่ะ? หลวงพ่ออธิบายแล้วย้อนถามข้าพเจ้า
"เข้าใจแล้วครับ หลวงพ่อ" ข้าพเจ้าตอบด้วยความเคารพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น