30 พฤษภาคม 2564

เมื่อพระอาจารย์คม เรียนภาวนากับคุณยายจันดี

🙏🙏🙏

ก่อนที่ คุณแม่จันดี โลหิตดี น้องสาว พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน จะละสังขาร ท่านได้กล่าวกับ พระอาจารย์คม อภิวโร เจ้าอาวาสวัดป่าธรรมคีรี (จันดีอนุสรณ์) อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ว่า ท่านจำไว้นะ เรื่องการภาวนา ฐานสมาธิสำคัญมาก คำบริกรรมต้องแนบสนิทกับจิตเป็นหนึ่งเดียวกัน เรื่องการสู้เวทนา การพิจารณากาย พิจารณาจิต ท่านจำไว้ เรื่องจิตอวิชชา หลงร้อยละ ๙๙ ท่านอย่าปล่อย หรือชะล่าใจเรื่องนี้ และถ้าใครมาถามท่านให้ถ่ายทอดอย่างนี้ทุกประการ
              คุณแม่จันดี คือแม่ทางธรรม และครูบาอาจารย์ของพระอาจารย์คม เป็นผู้ที่นำท่านสู่การปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์ จากเด็กน้อยสู่ชายหนุ่มเมื่อสิบกว่าปีก่อนจนกระทั่งละเรียนทางโลก มุ่งศึกษาธรรมด้วยกายและใจอย่างเด็ดเดี่ยวโดยมีคุณแม่จันดีคอยขนาบและสอนธรรมอย่างใกล้ชิดกระทั่งละสังขาร
              "อาตมาได้ยินชื่อคุณแม่จันดีตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยเห็นท่าน ตอนเรียนช่วงมัธยมปลายเรียนอยู่โรงเรียนวัดบวรนิเวศ ก็นั่งรถเมล์ไปชุดนักเรียน หิ้วเป้เข้าวิ่งออกที่สวนแสงธรรม พุทธมณฑลสาย ๓ กรุงเทพฯ เพราะรู้ข่าวว่า พระหลวงตามาที่นี่ก็จะรีบไปฟังธรรม มีครั้งหนึ่ง พระหลวงตาแขนหักจากอุบัติเหตุรถตู้พลิกคว่ำน่าจะประมาณปี ๒๕๔๑-๒๕๔๒ คุณแม่จันดีก็ขึ้นมาเยี่ยมหลวงตาที่กุฏิท่าน ในสวนแสงธรรม พอคุณแม่ท่านเดินลงจากกุฏิ เราก็ก้มลงกราบท่านอยู่โน่น ไกลมาก ปรากฏว่า คุณแม่เห็น แล้วท่านก็ยืนรับไหว้เด็กน้อยก็คือ ตัวอาตมานี่ นั่นคือครั้งแรกที่ได้เห็นท่าน หลังจากนั้นพอเข้ามหาวิทยาลัย ไปเรียนวนศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็มีความสนใจในเรื่องการภาวนาอยู่ และเป็นช่วงที่พระหลวงตาประกาศช่วยชาติ ก็เลยได้ขึ้นล่องกรุงเทพฯ กับอุดรธานีเป็นประจำ แต่ก็ไม่เคยได้พบคุณแม่ใกล้ๆ ไม่เคยเข้าถึงเลย เพราะเราเป็นผู้ชาย
              "วันหนึ่งมีลูกศิษย์คุณแม่บอกอาตมาว่า จะพาไปกราบคุณแม่ เราก็บอกว่า จะเข้าไปได้อย่างไร เป็นเขตอุบาสิกา เขาก็บอกว่า ไม่เป็นไร ตอนกลางวันไปได้ ท่านอนุญาตอยู่ เข้าไปถามธรรมะจากท่านได้ กลางคืนไปไม่ได้ อาตมาก็เข้าไป ตอนนั้นยังไม่ได้บวช ท่านอยู่แคร่ในป่า ไม่ใช่กุฏินะ ก็มีคนไปกราบ ไปถามปัญหาธรรมะจากท่านเต็มเลย เราก็เดินเข้าไปกราบท่าน ท่านเรียกให้ไปนั่งข้างหน้า แล้วถามว่า ไหน ลูกชื่ออะไร อาตมาก็บอกคุณแม่ไปว่า กระผมชื่อคมครับ
              "คุณแม่ก็บอกว่า เอ้อ ที่มาทั้งหมด ไม่มีใครตั้งใจจริง ไม่มีใครภาวนาดีจริงเท่าเด็กน้อยคนนี้สักคนนะ ไหน ลูกภาวนาอย่างไร แม่อยากฟังเรื่องภาวนา เราก็กราบเรียนท่านว่า กระผมฝึกมาหลายอย่างครับ ตามล่าหาอาจารย์หลายสาย แต่ปัจจุบัน กระผมฝึกเรื่องดูจิต เดินจงกรมมาก เดินจงกรมตั้งแต่สี่ทุ่มถึงตีสามทุกวันเลย เร่งภาวนาจนกระทั่งว่าสังขาร ความคิดปรุงแต่งขาดเลย ท่านก็นิ่งไปสักพักหนึ่ง แล้วหันมาบอกว่า ลูกภาวนามาทั้งหมดนั้นผิด โอ้โห เหมือนสายฟ้าฟาด"
              แล้วอย่างไรจึงจะถูกล่ะ ครั้งนั้นคุณแม่จันดีบอกท่านว่า ให้ลูกกลับไปตั้งต้นพุทโธใหม่ ไปสู้กับเวทนามาแล้วค่อยมาคุยกัน
              "ท่านกระชากหมดเลย ท่านบอกว่าที่เราปฏิบัติมา จิตมันไปเกาะกับมานะทิฐิโดยไม่รู้ตัว เราคิดว่า เราภาวนาดี ภาวนาเก่งกล้า อุบายของคุณแม่ฟาดพังหมดเลย เราออกมาร้องไห้ ก็กลับไปสู้กับเวทนา แล้วกลับมาถามคุณแม่ ท่านก็แนะอุบายสู้กับเวทนาจนกระทั่งเข้าใจ ลงกันได้เรื่องเวทนา ต่อมา ท่านก็เร่งเรื่องกาย ให้พิจารณาอสุภะอย่างเต็มกำลัง คราวนี้แหละ กราบครูบาอาจารย์กราบอย่างสนิทใจเลย"
              เพราะอะไร?
              "เมื่อก่อนนี้ เราเอาตัวสมาธิ คือความว่างของจิตเป็นอารมณ์ เราถือตัวนั้นเป็นเหมือนกับวิหารธรรม แล้วปฏิเสธความนึกคิด ซึ่งความจริง ไอ้ความคิด มันไม่ได้เป็นสมบัติทั้งของกิเลสและของเรานั่นแหละ ตอนนั้น เราไปให้คุณค่า ให้ความหมายกับตัวความคิดว่าเป็นกิเลส จิตก็ไปผลักออก ไปทำกำแพงกั้นความคิดไว้หมดเลย แต่พอเอาเข้าจริงๆ คุณแม่บอกว่า ความคิดมันไม่เป็นของใครทั้งนั้น ความคิดเอามาเป็นธรรมเพื่อถอดถอนกิเลสก็ได้ ไม่ได้สักแต่ว่า ความคิดเป็นกิเลสอย่างเดียว ดังนั้น การพิจารณาเรื่องอสุภะ อสุภัง เป็นอุบายพิจารณาถอดถอนอคติ ความเข้าใจผิด ทิฐิมานะทุกอย่างเกี่ยวกับสกลกาย ความสวยความงามในกามราคะโดยตรงเลย เรื่องนี้ รื้อกันแหลก รื้อกันจริงๆ จังๆ"
              ขณะที่พระอาจารย์คมก่อนบวชตอนนั้นตั้งใจภาวนามาก แต่ทางบ้านของท่านกลับไม่อยากให้ภาวนา อยากให้เรียนหนังสือ ความทุกข์ทุกอย่างรุมเร้ามาที่ตัวท่าน ในที่สุดคุณแม่จันดีสงสารท่านมาก บอกกับท่านว่า คมเอ้ย แม่มีเรือกสวนไร่นาเท่าไหร่ แม่จะยกให้ลูกคมหมดเลย ให้ไปกราบบูชาค่าน้ำนมบิดามารดา แม่จะขอให้มาเป็นลูกแม่ แม่จะดูแลเอง แล้วแม่จะให้บวช
              "ท่านก็พูดบ่อยๆ จนกระทั่งเรียกพ่อกับแม่ของเรามาที่วัดป่าบ้านตาด พอโยมพ่อโยมแม่มา คุณแม่ก็บอกว่า แม่ดูถูกค่าน้ำนม แม่ขอขมาเด้อ คุณพ่อคุณแม่เราก็เลยยกอาตมาให้เป็นสิทธิขาดของคุณแม่จันดีนับแต่นั้น"
              ตอนนั้นท่านเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ปีสาม ก็ลาออก แล้วไปลาคุณแม่จันดีไปภาวนาที่วัดป่าเนรมิต หรือวัดโนนสวรรค์ ห่างจากวัดป่าบ้านตาดไปประมาณ ๑๓ กิโลเมตร
              "อาตมาไม่ได้ภาวนาที่วัดป่าบ้านตาด เพราะตอนนั้นมีการช่วยชาติ คนเยอะมาก ก็อธิษฐานกับพระคุณแม่ และขอลาตายกับท่าน คุณแม่ก็บอกว่า เอาเลยไปตายเลย ปรากฏว่า สามวันในกุฏิ มันลงกันได้ มันปล่อยออกหมดเลย สภาวะจิตคืนดิน น้ำ ลม ไฟ แก่กัน ความยึดมั่นถือมั่นในส่วนต่างๆ ของกาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันลงหมด เหลือแต่จิตดวงเด่นอย่างเดียว ก็เป็นบ้าอีก มาหาคุณแม่ ท่านหัวเราะ กายมันพังลงไปยังไง นั่งๆ แล้วท่านก็บอกว่า ธรรมประจักษ์จิต จิตประจักษ์ธรรม เข้าใจไหม
              "ท่านถามว่า จิตลงไตรลักษณ์อย่างไร จิตปัจจุบันเป็นอย่างไร อาตมาก็บอกท่านว่า มันว่าง สว่างมาก ท่านบอกอีก ให้ระวังขันธ์ ๕ ในจิตอีกนะ อาตมาก็กลับมาเร่งความเพียรอีก"
              นั่นคือเรื่องที่เล่าเกิดขึ้นเมื่อ ๙ ปีก่อน ในที่สุดคุณแม่จันดีก็บอกว่าถึงเวลาที่ท่านจะบวชได้แล้ว แล้วท่านก็มอบเงินให้เป็นเครื่องบวช ใส่ซองให้เรียบร้อย ท่านบอกให้ไปบวชใกล้บ้าน ให้พ่อกับแม่ได้บุญ
              "พอบวชเสร็จอาตมาก็กลับมาเยี่ยมท่านเป็นระยะ จนกระทั่งธาตุขันธุ์ท่านอ่อน ก็ขออนุญาตพระหลวงตา นำพระคุณแม่ท่านมารักษาที่กรุงเทพฯ จนกระทั่งท่านสั่งว่าไม่ให้ล้างไต ไม่รับการรักษา ท่านอยู่กับเวทนาหนึ่งเดือนกับ ๗ วัน อย่างถึงที่สุดก่อนที่ท่านจะละสังขาร ท่านใจเพชรมาก"
              คุณแม่จันดี เกิดเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๔๗๓ ละสังขารเมื่อเวลา ๐๑.๐๓ นาฬิกา วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๖ ภายในกุฏิห้องปลอดเชื้อของท่านฝั่งอุบาสิก?า วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี สิริอายุรวม ๘๒ ปี ๑๑ เดือน ท่านเป็นน้องสาวคนที่ ๙ ของพระหลวงตามหาบัว ซึ่งเป็นพระพี่ชาย และยังเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน ในการอบรมสั่งสอนธรรมมาโดยตลอด
              พระอาจารย์คมกล่าวว่า คุณแม่ท่านสอนเสมอว่า ให้อ่อนน้อมถ่อมตนให้ถึงที่สุด ให้อดทนทุกสิ่งทุกอย่างให้ถึงที่สุด มีอะไรก็ยอมรับกรรมเสีย โดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้น้อมทั้งกาย วาจา ใจ 
              "จนเดี๋ยวนี้อาตมาเองก็ได้แต่ความจำ การภาวนาจริงๆ ไม่ได้เรื่อง อาศัยว่าพยายามอยู่ เพียรอยู่ แก้ไขตัวเองไป ลูกศิษย์คุณแม่ที่ภาวนาเด็ดๆ ยังมีอีกหลายท่าน อาตมานี้แย่ที่สุด แต่อาตมาดูแลท่านทุกอย่างที่ทำได้ ชีวิตจิตใจเทิดทูนบูชาท่านหมดเลย ทำวัดป่าธรรมคีรี (จันดีอนุสรณ์) ที่โคราช เพื่อบูชาคุณธรรมของท่าน ด้วยความเป็นแม่ บูชาคุณของความเป็นครูบาอาจารย์ด้วย ให้เป็นอนุสรณ์ถึงท่าน"

รูปฌาน๔ สำคัญอย่างไร?

จตุตถฌาน หรือ ฌาน๔ ; the Fourth Absorption มีองค์ ๒ คือ อุเบกขา (เป็นกลาง) เอกัคคตา (รวมเป็นหนึ่ง) คือ สามารถละวิตก (ความคิด) วิจารณ์(ความไตร่ตรอง) ปีติ(ชุ่มชื้นใจ ซาบซ่านในใจ ฯลฯ)
 และสุข (อิ่มใจ) 

ความสำคัญของฌาน๔ คือ 
๑. การตรัสรู้ในคืนวันเพ็ญซึ่งเป็นวันตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า หรือวันวิสาขบูชานั้น ในพระไตรปิฎกกล่าวว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเข้าถึงรูปฌาน๔ 
จิตท่านบริสุทธิ์แล้วได้ทรงสำเร็จวิชชา๓ คือ 
♡ ปุพเพนิวาสนานุสสติญาณ ระลึกชาติหนหลังได้ 
♤จุตูปปาตญาณ รู้จักจุติคือความเคลื่อน อุปบัติ คือ ความเข้าถึงชาตินั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลายว่าเป็นไปตามกรรม
♧ อาสวักขยญาณ ทำอาสวะให้สิ้น คือสิ้นกิเลสที่ดองจิตสันดานทั้งหลาย 

๒. การปรินิพพานทรงเข้าจตุตถฌาน(ฌาน๔) พระผู้มีพระภาคออกจากจตุตถฌานแล้ว เสด็จปรินิพพานในลำดับ (แห่งการพิจารณา
องค์จตุตถฌานนั้น) 
อ้างอิง พระอนุรุทธะ ผู้เป็นเลิศด้านทิพยจักษุได้ติดตามดูจิตพระพุทธเจ้าขณะปรินิพพาน 

๓.อภิญญา เรื่องของฌาน๔ นี้ คนที่จะไปท่องเที่ยวตามภพต่าง ๆ ได้ต้องเป็นกำลังของฌาน๔ ถ้าไม่ใช่กำลังของฌาน ๔ ไปไม่ได้ อย่างที่เขาฝึกมโนมยิทธิถ้าขึ้นไปถึงพระจุฬามณี พึงทราบได้เลยว่าเวลานั้นเป็นฌาน ๔


(สรุปจากหนังสือพระราชพรหมยาน,ธัมมมวิโมกข์ (2526),32,156-162
facebook : นิตยสารธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง)

28 พฤษภาคม 2564

การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าในอนาคตไว้ ๑๐ พระองค์

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพยากรณ์ไว้แก่พระสารีบุตรถึงการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าในอนาคตไว้ ๑๐ พระองค์ ต่อจากพระองค์ไปโดยลำดับกัปนับแต่ภัทรกัปนี้เป็นต้นไป ซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้ง ๑๐ พระองค์นี้ เมื่อทรงสร้างบารมี ๓๐ ทัศครบบริบูรณ์แล้ว จะทรงมีพุทธานุภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน พระอนาคตวงศ์ ๑๐พระองค์ มีประวัติโดยย่อดังนี้

๑.) พระศรีอาริยเมตไตรย
ในอดีตพระองค์ คือพระเจ้าสังขจักรพรรดิราช แห่งอินทปัตนครในสมัยของพระสิริมิตรพุทธเจ้า 
วันหนึ่ง พระองค์ได้พบสามเณรในสำนักพระสิริมิตรพุทธเจ้า ทรงเกิดความเลื่อมใสในสามเณรนั้น 
พระองค์จึงเสด็จมาเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ที่บุพพาราม หลังจากที่พระองค์ได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าสิริมิตรแล้ว พระองค์จึงได้ถวายศีรษะของพระองค์เองแด่พระพุทธเจ้าเพื่อบูชาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระองค์ 
แล้วทรงไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิต 
และด้วยอานิสงค์แห่งบารมีนี้เอง จึงทำให้พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา ขณะนี้พระองค์ทรงเสวยทิพยสมบัติเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต และเมื่อถึงกำหนดเวลา พระโพธิสัตว์เจ้าจะได้ลงมาจุติในโลกมนุษย์ ในวรรณะพราหมณ์ 
เกิดในครรภ์ของนางพรหมวดีซึ่งเป็นภรรยาของสุพรหมพราหมณ์ ปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักรพรรดิราชแห่งเกตุมดีนคร 
เมื่อทรงประสูติจะมีนิมิต ๓๒ ประการปรากฏขึ้น 
และมีมหาปราสาทสำหรับเป็นที่ประทับ ปรากฏขึ้น ๓ หลัง หลังละ ๗ ชั้น ประดับประดาด้วยรัตนะ ๗ ประการ 
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๘๐,๐๐๐ ปี มีพระสรีรกายสูง ๘๘ ศอก ( ๔๔ เมตร) และทรงกระทำความเพียรเพื่อตรัสรู้นาน ๗ วัน  พระฉัพพรรณรังสีของพระองค์จะแผ่ไปหมื่นโลกธาตุ ส่องสว่างตั้งแต่อเวจีมหานรกถึงภวัคคพรหม

๒.) พระรามพุทธเจ้า คือ อดีตนารทมาณพ ซึ่งเกิดในสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าเมื่อพุทธันดรที่แล้ว)
นารทมาณพนั้นได้จุดไฟที่ศีรษะบูชาแด่พระพุทธเจ้า
หลังจากที่ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าต่อจากพระศรีอาริยเมตไตรย ก็ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิตก่อนจะมาจุติเป็นพระรามพุทธเจ้า และต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี มีพระสรีรกายสูง ๘๐ ศอก ( ๔๐ เมตร) มีพระฉัพพรรณรังสีส่องสว่างตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน

๓.) พระธรรมราชาพุทธเจ้า คือ อดีตพระเจ้าปเสนทิโกศล 
ที่จะมาบังเกิดเป็นพราหมณ์หนุ่มชื่อ สุทธมาณพ หาเลี้ยงชีพโดยเก็บดอกบัววันละ ๒ ดอกไปขาย ทรงได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าโกนาคมน์ว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต เมื่อได้เสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นดุสิตแล้วจะลงมาจุติบนโลกมนุษย์ เป็นกษัตริย์มีพระนามว่าพระธรรมราชา และต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๕๐,๐๐๐ ปี จะมีพระสรีรกายสูง ๑๖ ศอก (๘ เมตร) 
ทรงมีพระฉัพพรรณรังสีเกิดขึ้นเป็นนิจ ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน

๔.) พระธรรมสามีพุทธเจ้า คือ อดีตพระยามาราธิราช (พญาวสวัตดีมาร) ผู้เป็นจอมเทวดาฝ่ายมารบนสวรรค์ชั้นสูงสุด(ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี) พระองค์จะได้บังเกิดเป็นมหาเสนาบดีนามว่าโพธิ 
และได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้ากัสสปะว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต และเมื่อไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว ก็จะจุติลงมาเกิดเป็นกษัตริย์ และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา ทรงมีพระนามว่าพระธรรมสามี พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี มีพระสรีรกายสูง ๘๐ ศอก (๔๐ เมตร) พระฉัพพรรณรังสีจะสว่างดังแสงพระอาทิตย์และพระจันทร์

๕.) พระนารทพุทธเจ้า คือ อดีตพระยาอสุรินทราหู ผู้เป็นมหาอุปราชครองภพอสูร ได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ เป็นกษัตริย์มีพระนามว่าสิริคุต ครองนิรมลนครในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ และได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันว่า 
จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตมีพระนามว่านารทะ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๑๐,๐๐๐ ปี ทรงมีพระสรีรกายสูง ๑๒๐ ศอก (๖๐ เมตร) พระฉัพพรรณรังสีบังเกิดขึ้นทั้งกลางคืนและกลางวัน

๖.) พระรังสีมุนีพุทธเจ้า คือ อดีตโสณพราหมณ์
ที่จะมาบังเกิดเป็นพ่อค้ามีนามว่า มาฆมาณพในสมัยพระพุทธเจ้ากกุสันธะ มาฆมาณพเป็นพ่อค้าที่ฉลาด แต่ประสบทุกข์
สูญสิ้นทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้จำนวนมากถึง ๓ ครั้ง ๓ คราว 
จึงเดินทางไปเมืองโกสัมพี เพื่อรักษาอุโบสถศีลในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ พระกกุสันธพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า มาฆมาณพจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ทรงพระนามว่าพระรังสีมุนี 
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๕,๐๐๐ ปี มีสรีรกายสูง ๖๐ ศอก ( ๓๐ เมตร) พระฉัพพรรณรังสีแสงสว่างแห่งพุทธรัศมีสว่างไสวในเวลากลางวันเหมือนดังแสงทอง และสว่างไสวในเวลากลางคืนดังแสงสีเหลือง

๗.) พระเทวเทพสัมพุทธเจ้า คือ อดีตสุภพราหมณ์ 
บรมโพธิสัตว์ที่มาบังเกิดเป็นพระยาช้างฉัททันต์ ริมฝั่งสระฉัททันต์ในสมัยพระโกนาคมนพุทธเจ้า พระยาช้างฉัททันต์ได้เห็นสรีระของพระสาวกอันมีพระนามว่าพระอัญญาโกณฑัญญะ 
ซึ่งดับขันธปรินิพพานที่ริมสระฉัททันต์นั้น จึงได้อธิษฐานขอบุญกุศลที่เคยบำเพ็ญมา ทำให้เกิดเลื่อยมาเลื่อยเอางาทั้งสองของตน โดยเอางาช้างหนึ่งมาทำเป็นราง อีกข้างหนึ่งทำเป็นรูปนกยูง เพื่อประดิษฐานสรีระของพระเถระไว้กับราง แล้วรวบขนบนศีรษะของตนจุดไฟบูชาสรีระของพระเถระ และตั้งความปรารถนา
ขอให้การถวายงาจงเป็นพลวปัจจัยให้ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ สุภพราหมณ์ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ทรงมีพระนามว่า พระเทวเทพ 
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๘๐,๐๐๐ ปี มีสรีรกายสูง ๘๐ ศอก (๔๐ เมตร) มีฉัพพรรณรังสีประดุจดังช่อดอกไม้ ไม่มีความหนาวร้อน ส่องสว่างไปทั่วสากลโลก

๘.) พระนรสีหสัมพุทธเจ้า คือ อดีตนันทมาณพ  ซึ่งเคยถวายผ้ากำพล ๑ ผืน และทองแสนตำลึงแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าในสมัยหนึ่ง ได้ตั้งความปรารถนาในคราวนั้นว่าขอให้ตนได้เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต มีอำนาจแผ่ไปตลอดหนึ่งโยชน์ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง ต่อมาเมื่อนันทมาณพตายไปแล้วก็ได้ไปเสวยทิพยสมบัติบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วจึงจุติลงมาเกิดเป็นกษัตริย์ เสวยสัมบัติในเมืองมนุษย์ก่อนจะมาเกิดเป็นโตเทยยพพราหมณ์ ในสมัยพระพุทธเจ้าสมณโคดมซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธองค์ได้พยากรณ์โตเทยยพพราหมณ์ว่า
จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต มีพระนามว่าพระนรสีหะ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๘๐,๐๐๐ ปี มีสรีรกายสูง ๖๐ ศอก (๓๐ เมตร) แสงสว่างแห่งพุทธรัศมี กลางวันมีสีประหนึ่งแก้วมณี กลางคืนมีสีประหนึ่งสีทอง เบื้องบนพระเศียร จะมีเศวตฉัตรอันประกอบด้วยรัตนะ ๗ ประการ ขนาด ๓ โยชน์ ลอยอยู่เป็นนิจ

๙.) พระติสสสัมพุทธเจ้า คือ อดีตช้างธนบาลบรมโพธิสัตว์(ช้างนาฬาคีรี) ที่เคยเป็นพระโอรสองค์ใหญ่ของพระธรรมราชาแห่งแคว้นจำปานคร ทรงมีพระนามว่าธรรมเสน ต่อมา พระองค์ได้เสด็จออกผนวชอยู่ในสำนักพระฤาษีธรรมเสนได้ฟังธรรมของพระโกนาคมนพุทธเจ้า จนเกิดความเลื่อมใส จึงได้ถวายศีรษะของพระองค์บูชาพระโกนาคมนพุทธเจ้า และตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ทรงได้รับพุทธพยากรณ์ว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตมีพระนามว่าพระติสสะ พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๘๐,๐๐๐ ปี มีพระสรีรกายสูง ๘๐ ศอก ( ๔๐เมตร) พระฉัพพรรณรังสีประดุจเปลวเพลิง สว่างทั้งกลางวันและกลางคืน แสงสว่างจากพระอุณาโลมเป็นประหนึ่งแวดล้อมด้วยเศวตฉัตรนับพัน

๑๐.)พระสุมลสัมพุทธเจ้า คือ อดีตช้างปาลิไลยกะ ซึ่งได้เคยบังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในอดีตชาติ ทรงพระนามว่ามหาปนาทะ ทรงผนวชในสำนักพระกกุสันธพุทธเจ้า ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต มีพระนามว่าพระสุมงคล พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี มีพระสรีรกายสูง ๖๐ ศอก ( ๓๐ เมตร) พระฉัพพรรณรังสีในเวลากลางวันเป็นเช่นเดียวกับแสงสีทอง และในเวลากลางคืนเป็นเช่นเดียวกับแสงสีเงิน 

พระองค์ได้ตรัสเป็นลำดับกันโดยนิยมดังนี้ อันว่าไม้พระศรีมหาโพธิอปราชิตบัลลังค์ที่นั่งทรงพิจารณาพระปฏิจจสมุปบาทธรรม แล้วตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูเจ้านั้น 

- พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า คือไม้กากะทิงเป็นที่ตรัสรู้ ๑ 
- พระรามเจ้า คือ ไม้แก่นจันทร์แดงเป็นที่ตรัสรู้ ๒ 
- พระธรรมราชาเจ้า คือ ไม้กากะทิงเป็นที่ตรัสรู้ ๓ 
- พระธรรมสามีเจ้า คือ ไม้รังใหญ่เป็นที่ตรัสรู้ ๔ 
- พระนารทะเจ้า คือ ไม้แก่นจันทร์แดงเป็นที่ตรัสรู้ ๕ 
- พระรังสีมุนีเจ้า คือ ไม้ดีปลีใหญ่เป็นที่ตรัสรู้ ๖ (บางคัมภีร์ว่าเป็นไม้เลียบ) 
- พระเทวเทพเจ้า คือ ไม้จำปาเป็นที่ตรัสรู้ ๗ 
- พระนรสีหะเจ้า คือ ไม้แคฝอยเป็นที่ตรัสรู้ ๘ 
- พระติสสะเจ้า คือ ไม้ไทรเป็นที่ตรัสรู้ ๙ 
- พระสุมงคลเจ้า คือ ไม้กากะทิงเป็นที่ตรัสรู้ ๑๐ 

อันว่าไม้พระมหาโพธิ ๑๐ ต้นนี้ เป็นที่ได้ตรัสรู้พระสัพพัญญู แห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้ง ๑๐ พระองค์ อันจะบังเกิดในอนาคตกาลเบื้องหน้าฯ 

อันว่านรชาติหญิงชายทั้งหลายจำพวกใดได้ถวายนมัสการกราบไหว้ซึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้งสิบพระองค์กับทั้งไม้พระศรีมหาโพธิ ๑๐ ต้น ดังพรรณนามานี้ อันว่านรชาติหญิงชายจำพวกนั้นจะมีผลานิสงส์คือ มิได้ไปบังเกิดในนรกสิ้นกาลช้านานถึงแสนกัปป์ ด้วยกุศลเจตนาของอาตมาที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้าทั้งสิบพระองค์นั้นฯ 

สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์พุทธเจ้าของเราทรงบัณฑูรพระธรรมเทศนาว่า แท้จริงกัปป์ที่เรียกสุญญกัปนั้น คือเปล่าเสียจากท่านผู้ทรงพระคุณ กัปป์ที่มิได้สูญจากท่านผู้ทรงพระคุณนั้นมี ๕ ประการ คือ 
- สารกัปป์ ๑ 
- มัณฑกัปป์ ๑ 
- วรกัปป์ ๑ 
- สารมัณฑกัปป์ ๑
- ภัทรกัปป์ ๑ 

อันว่าแผ่นดินทั้ง ๕ ประการนี้ มีสมเด็จพระพุทธเจ้าบังเกิดใน สารกัปนั้น ๑ พระองค์, ในมัณฑกัปป์ ๒ พระองค์, ในวรกัปป์ ๓ พระองค์, ในสารมัณฑกัปป์ ๔ พระองค์, ในภัทรกัปป์ ๕ พระองค์ เหมือนกับแผ่นดินเราทุกวันนี้ ชื่อว่าภัทรกัปบังเกิดพระพุทธเจ้าถึง ๕ พระองค์ฯ คือ 
- พระกุกกุสนธเจ้าพระองค์ ๑ 
- พระโกนาคมนเจ้าพระองค์ ๑ 
- พระกัสสปเจ้าพระองค์ ๑ 
- พระพุทธเจ้าของเราอันทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมพระองค์ ๑ 

- ไปในอนาคตเบื้องหน้า พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า ซึ่งจะได้มาตรัสนั้น พระองค์ ๑ เป็นพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ด้วยกัน บังเกิดในภัทรกัปอันนี้ฯ 

เมื่อองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า ตรัสแล้วล่วงลับดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน สิ้นพระศาสนาของพระองค์เจ้าแล้วล่วงไปจนถึงไฟประลัยโลก สิ้นแผ่นดินแผ่นฟ้าตลอดกาลช้านาน จึงบังเกิดแผ่นดินขึ้นมาใหม่เรียกว่า สุญญกัปป์ เปล่าเสียจากท่านผู้ทรงพระคุณวิเศษนั้นนานถึง อสงไขยแผ่นดิน 

โลกทั้งหลายมืดสิ้นไม่มีท่านผู้วิเศษเลย ต่อสิ้นกาลช้านานแห่งสุญญกัปป์นั้น นับได้อสงไขยแผ่นดินล่วงไปแล้ว เกิดกัปใหม่ตั้งแผ่นดินขึ้นใหม่เรียกว่ามัณฑกัปป์ จะมีสมเด็จพระพุทธเจ้า พระปัจเจกโพธิเจ้า และสมเด็จบรมจักร 

ในกาลครั้งนั้นจึงมีพระรามเจ้าเป็นอาทิจะได้ตรัสรู้ก่อน พระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายที่สมควรจะได้ตรัสนั้น ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบๆกันไปตามนัยดังแสดงแล้วแต่หนหลัง ด้วยวาสนาภูมิบารมีของพระบรมโพธิสัตว์สร้างมานั้นต่างๆกัน 

- ที่เป็นอุคฆติตัญญูโพธิสัตว์ สร้างพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เรียกชื่อว่า ปัญญาธิกะ ยิ่งด้วยปัญญาฯ 

- ที่เป็นวิปจิตัญญูโพธิสัตว์ สร้างพระบารมี ๘ อสงไขยแสนกัปป์ เรียกชื่อว่า สัทธาธิกะ ยิ่งด้วยศรัทธาฯ 

- ที่เป็นเนยยโพธิสัตว์ สร้างพระบารมี ๑๖ อสงไขยแสนกัปป์ เรียกชื่อว่า วิริยาธิกะ ยิ่งด้วยความเพียรฯ 

ตามประเพณีพุทธภูมิโพธิสัตว์ทั้ง ๓ จำพวก อันมีในคัมภีร์พระอนาคตวงศ์ 

ตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราตรัสพระสัทธรรมเทศนา แก่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ก็สิ้นเนื่อความยุติลงแต่เพียงเท่านี้ฯ 

อานิสํสกถา 

พระบรมโพธิสัตว์ อันจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเบื้องหน้า ๑๐ พระองค์นั้น
- ที่ ๑ คือพระศรีอาริยเมตไตรย์ พระองค์มีพระชนม์ชีพได้ ๘ หมื่นปี พระสรีระกายสูงได้ ๘๘ ศอก มีไม้กากะทิงเป็นพระมหาโพธิในภัทรกัปป์นี้ฯ 

- ที่ ๒ คือพระรามเจ้า พระองค์มีพระชนม์ได้ ๙ หมื่นปี พระสรีรกายสูงได้ ๘๐ ศอก มีไม้จันทร์แดงเป็นพระศรีมหาโพธิ ในมัณฑกัปป์ฯ 

- ที่ ๓ คือพระเจ้าปเสนธิโกศล จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระธรรมราชา พระองค์มีพระชนม์ได้ ๕ หมื่นปี พระสรีรกายสูงได้ ๑๖ ศอก มีไม้กากะทิงเป็นพระศรีมหาโพธิ ในมัณฑกัปป์ฯ 

- ที่ ๔ คือพระยามาราธิราช จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระธรรมสามี พระองค์มีพระชนม์ได้ ๑๐ หมื่นปี มีพระสรีระกายสูงได้ ๘๐ ศอก มีไม้รังเป็นพระศรีมหาโพธิ ในสารกัปป์ฯ 

- ที่ ๕ คือพระยาอสุรินทราหู จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระนารทะ พระองค์มีพระชนม์ได้หมื่นปี มีพระสรีรกายสูงได้ ๒๐ ศอก มีไม้จันทร์เป็นพระศรีมหาโพธิ ในมัณฑกัปป์ฯ 

- ที่ ๖ คือโสณพราหมณ์ จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระรังสีมุนี พระองค์มีพระชนม์ได้ ๕ พันปี มีพระสรีรกายสูงได้ ๖๐ ศอก มีไม้ดีปลีก็ว่า ไม้เลียบก็ว่าเป็นพระศรีมหาโพธิ ในมัณฑกัปป์ฯ 

-ที่ ๗ คือสุภพราหมณ์ จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระเทวเทพ พระองค์มีพระชนม์ได้ ๘ หมื่นปี มีพระสรีรกายสูงได้ ๘๐ ศอก มีไม้จำปาเป็นพระศรีมหาโพธิ ในมัณฑกัปป์ฯ 

- ที่ ๘ คือโตไทยพราหมณ์ จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระนรสีหะ พระองค์มีพระชนม์ได้ ๘๐ ปี มีพระสรีรกายสุงได้ ๖๐ ศอก มีไม้แคฝอยเป็นพระศรีมหาโพธิ ในมัณฑกัปป์ฯ 

- ที่ ๙ คือช้างนาฬาคีรี จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระติสสะ พระองค์มีพระชนม์ได้ ๘ หมื่นปี มีพระสรีรกายสูงได้ ๘๐ ศอก มีไม้ไทรเป็นพระศรีมหาโพธิ ในมัณฑกัปป์ฯ 

- ที่ ๑๐ คือช้างปาลิไลย จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสุมงคล พระองค์มีพระชนม์ได้ ๑๐ หมื่นปี มีพระสรีรกายสูงได้ ๖๐ ศอก มีไม้กากะทิงเป็นพระศรีมหาโพธิ ในมัณฑกัปป์ฯ..."

ข้อมูลจาก : พุทธวงศ์ อานิสํสกถา 

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

26 พฤษภาคม 2564

คาถาโปร่งฟ้า ปลดหนี้ด้วยคาถาของหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง

           ทอ ยอ สิกท้อ ทอม ออ อืออือ โปร่งอึ โปร่งอือ กะขะ ขะจะ เมจะ อิถาเมตัง อุมิ เมอุ อะมิ อิตถียัง อึอือ วา เอติ ภูตัง จิตตัง จิตติ พันธัง พันกายะ พันธะนุง เอวะ โทวะ อะอา โปร่งรุ่งโรจน์ โอตา ถัยกายะ เอวะ กามานิตศรี สัตตะวา สัพเพชะนา พะหูชะนา สัพพา อิตถิโย พะหู อิตถิโย สัพเพ ปุริโส พะหูปุริโส สัพเพบดี พะหูสหบดี สัพเพชะนา พะหูชะนา สัพเพ อะมะวา อึอือ พะหูอะมะ วา อึอือ สัพเพ พรหมา สัพเพ กุมารีวา พะหูนารีวา
           มะอะอุ มะมะอะอุ มิอิอะอำอึง นะมะอิสวา สะนะ สะนะ สวาอิ นะอุมะอะ อึอือวา พุทธัง อายะเนยะ นิมิคะ นะสะคะ คะวิตัสสะ คะวะโต คะมินะ ฯ (สวด 3.5.7.9. จบ )
      
#คำแผ่เมตตา
           ขอบุญนี้ ให้ถึงบิดา มารดา ครูอาจารย์ เทพเทวดาประจำตัวข้าพเจ้า เจ้ากรรมนายเวรที่จองเวรข้าพเจ้าอยู่ขณะนี้ แล้วเจ้าที่เจ้าทาง วิญญาณเร่ร่อนทั้งหลาย ขอให้ได้รับส่วนบุญ และเมื่อท่านรับส่วนบุญแล้ว ได้โปรด อโหสิกรรม และนำพาโชคลาภมาสู่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ สาธุ ฯ

           เรื่องเล่า จากประสบการณ์จริง ใครที่เป็นหนี้สินจะหมดหนี้โดยเร็วท่านอาจารย์บอกว่าไม่เชื่อลองดู อ่านแล้วจะทำเป็นกุศล เพราะได้มาจากอาจารย์ของ นักร้องดังเป็นพันล้าน และ อีกหลายนายพลที่เป็นใหญ่เป็นโตในประเทศ ท่านกรุณาบอกสอนลูกศิษย์ มา ท่าน บอกว่า มีคนเป็นหนี้สิน 39 ล้านบอกเขาอยากตาย แต่ ท่านบอกให้ไปถือศีลกับท่านแล้ว ให้สวดพระคาถานี้ วันละ 9 จบสวดแล้วให้แผ่เมตตา อโหสิกรรม ขอบุญนี้ ให้ถึงบิดา มารดา ครูอาจารย์ เทพเทวดาประจำตัวข้าพเจ้า เจ้ากรรมนายเวรที่จองเวรข้าพเจ้าอยู่ขณะนี้ แล้วเจ้าที่เจ้าทาง วิญญาณเร่ร่อนทั้งหลาย ขอให้ได้รับส่วนบุญ และเมื่อท่านรับส่วนบุญแล้ว ได้โปรด อโหสิกรรม และนำพาโชคลาภมาสู่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ สาธุ ฯ ทำทุกวันท่านบอก 3 เดือนคนที่เป็นหนี้ หมดหนี้สินเลย ท่านท้าให้ลองค่ะ ตัวผู้เขียนลองแล้วเห็นจริงเพราะสวดแล้วจากไม่เคยถูกหวยก็ถูกหวย อาจารย์ท่านบอกว่า คนเรามีบุญใช้บุญทุกวัน ต้องหาบุญใหม่มาสะสมยามดวงตกจะได้ไม่ลำบากมาก คาถานี้ไม่สงวนใครจะแชร์ต่อ พระคาถานี้หายจากตำราไปนาน ไม่มีในกูลเกิ้ล ใครเชื่อขอให้ร่ำรวย ใคร ทุกข์มีหนี้สินขอให้ชีวิตเห็นทางสว่างมีสุขสมหวัง

             พระคาถาโปร่งฟ้า. สวดวันละ 3.5.7.9. จบตามสะดวก ยิ่งสวดเยอะยิ่งดี. คนโพสต์ก็ขอให้บุญนี้ให้เพื่อนมีโชคลาภสมหวังทุกท่านเทอญ...สาธุๆๆ

#เสริมดวง #คาถา #หนุนดวง #ปลดหนี้ #สวดแล้วรวย #หลวงพ่อแช่ม #พระกริ่ง #พระกริ่งโปร่งฟ้า

วิสาขบูชา วันระลึกถึงพระพุทธเจ้า

#พระองค์ประสูติแล้วที่ลุมพินีวัน ใต้ต้นสาละ 
ทรงอุทานว่า
"อัคโคหะมัสมิ โลกัสสะ
เชฏโฐหะมัสมิ โลกัสสะ
เสฏโฐหะมัสมิ โลกัสสะ
อะยะมันติมา เม ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ ฯ"

เราเป็นผู้ยอดที่สุดในโลก
เป็นผู้เจริญที่สุดในโลก
เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก
การเกิดของเรานี้ เป็นครั้งสุดท้าย ภพใหม่ต่อไปไม่มี ฯ 

#พระองค์ตรัสรู้หนทางแห่งการดับทุกข์
ณ พุทธคยา ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
ทรงพุทธอุทานว่า
" อเนกชาติสังสารัง สันธาวิสสัง อนิพพิสัง
คหการัง คเวสันโต ทุกขา ชาติ ปุนัปปุนัง
คหการกทิฏโฐสิ ปุน เคหัง นะ กาหิสิ
สพพา เต ผาสุกา ภัคคา คหกูฏัง วิสังขตัง
วิสังขารคตัง จิตตัง ตัณหานัง ขยมัชฌคา"

เราตามหานายช่างผู้สร้างเรือน เมื่อไม่พบ 
จึงเวียนเกิดเวียนตายอยู่สังสารวัฏมากมายหลายชาติ 
การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์
นายช่างผู้สร้างเรือนเอย 
บัดนี้เราพบท่านแล้ว 
ท่านจะสร้างเรือนใหม่ไม่ได้อีกแล้ว 
จันทันอกไก่เราทำลายแล้ว เรือนยอดเราก็รื้อแล้ว 
จิตของเราเข้าถึงพระนิพพาน เราได้บรรลุความสิ้นตัณหาแล้ว...

และ "... ยทา หเว ปาตุภวันติ ธัมมา
อาตาปิโน ฌายโต พราหมณัสสะ
อถัสสะ กังขา วปยันติ สัพพา
ยโต ปนาชาติ สเหตุธัมมัง
... ยทา หเว ปาตุภวันติ ธัมมา
อาตาปิโณ ฌายโต พราหมณัสสะ
อถัสสะ กังขา วปยันติ สัพพา
ยโต ขยัง ปัจจยานัง อเวทิ
... ยทา หเว ปาตุภวันติ ธัมมา
อาตาปิโน ฌายโต พราหมณัสสะ
วิธูปยัง ติฏฐติ มารเสนัง
สูโรวะ โอภาสยมันตลิกขัง..."

เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้เพียรพินิจอยู่ 
เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวงย่อมหมดไป 
เพราะรู้ธรรมพร้อมทั้งเหตุ

เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้เพียรพินิจอยู่ 
เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวงย่อมหมดไป 
เพราะรู้ความดับสิ้นแห่งปัจจัยทั้งหลาย

เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้เพียรพินิจอยู่ 
เมื่อนั้นเขาย่อมขจัดมารและเสนามารดำรงอยู่ 
ดุจพระอาทิตย์อุทัยขจัดความมืด ยังท้องฟ้าให้สว่างไสวฉะนั้น"

#พระองค์ดับแล้ว ดับอย่างหมดเชื้อ
ณ กุสินารา สถานที่ดับขันธปรินิพพาน ใต้ต้นสาละคู่
ตรัสสั่งพระอานนท์ว่า
"...โย โว อานันทะ มยา ธัมโม จะ วินโย จะ เทสิโต ปัญญัตโต โส โว มมัจจเยนะ สัตถา."
อานนท์ ธรรมแลวินัยใด ที่เราได้แสดงแล้ว และบัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย ในเมื่อเราล่วงลับไป...

ในปัจฉิมยามแห่งราตรี 
พระองค์ได้ตรัสปัจฉิมวาจาเป็นครั้งสุดท้ายว่า....
"หันททานิ ภิกขเว อามันตยามิ โว วยธัมมาสังขารา อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ"

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า
สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา 
พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด...

เรื่องทั้งหลายก็มาจบลงด้วยสัจธรรม
ที่พระองค์ทรงพร่ำ สอนอยู่เสมอว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นเพราะมีเหตุ สิ่งนั้นย่อมดับได้
สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด

บัดนี้พระพุทธองค์ดับแล้ว ดับอย่างหมดเชื้อ
ทิ้งวิบากขันธ์และกิเลสานุสัยทั้งปวง 
ประดุจกองไฟดับลงแล้วเพราะหมดเชื้อฉะนั้น

รอยยิ้มจากความจริงใจ

เศรษฐีคนหนึ่งกำลังจะสิ้นใจตาย ยมทูตได้ปรากฏกาย
เพื่อมารับวิญญาณของเขา เขาได้ถามยมทูตว่า

“เมื่อผมตายไปแล้ว ผมจะได้ขึ้นสวรรค์หรือตกนรกครับ?”
“ตกนรก!” ยมทูตกล่าว
เศรษฐีเมื่อได้ฟังก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงถามยมทูตขึ้นว่า
“ทำไมผมต้องตกนรก! ในเมื่อผมนำเงินสร้างวัดสร้างโบสถ์สร้างโรงเรียนไว้มากมาย อีกทั้งบริจาคเงินให้แก่องค์กรสังคมสงเคราะห์ต่างๆ ทำไมผมยังต้องตกนรก ผมไม่ยอม!”
“หากเจ้ารู้สึกไม่พอใจ ข้าจะให้เวลาเจ้าอีกหนึ่งอาทิตย์ ภายในหนึ่งอาทิตย์นี้ หากเจ้าได้รอยยิ้มจากความจริงใจเพียงสามครั้ง เจ้าก็สามารถขึ้นสวรรค์ได้!”
เศรษฐีได้ฟังรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง เขาคิดในใจ
“กะอีแค่รอยยิ้มจากใจเพียงแค่สามครั้ง มันจะไปยากอะไร!”

เมื่อยมทูตหายไป เขานิ่งคิดว่าใครเป็นคนแรกที่จะมอบรอยยิ้มจากความจริงใจให้กับเขาเป็นคนแรก ใบหน้าของภรรยาก็ปรากฏขึ้นในมโนภาพ เขาและเธอแต่งงานกันมาสี่สิบกว่าปี เธอนี่แหละที่จะมอบรอยยิ้มจากใจให้เขาเป็นคนแรก
เขาจึงใช้เงินเป็นจำนวนมากซื้อเครื่องเพชรชุดใหญ่มอบให้แก่ภรรยาของเขา
เมื่อภรรยาได้รับของขวัญเป็นเพชรชุดใหญ่ก็ดีใจและประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่ยมทูตบอกกับเขาว่า
“นี่ไม่ใช่รอยยิ้มจากความจริงใจ เธอเพียงแค่ดีใจที่ได้เครื่องเพชรชุดใหญ่ก็เท่านั้นเอง”
เศรษฐีรู้สึกประหลาดใจกับคำบอกของยมทูต เขาจึงซื้อรถ ซื้อบ้าน อีกทั้งสิ่งที่คิดว่าภรรยาจะต้องชอบให้แก่เธอ แต่เป็นที่น่าประหลาด ภรรยาของเขาดีใจและรอยยิ้มที่เธอมอบให้เขานั้น ยังไม่ใช่รอยยิ้มจากใจจริงที่ยมทูตต้องการ
เวลาผ่านไปเป็นวันที่สามแล้ว เศรษฐียิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจ เพราะเขาเหลือเวลาอีกเพียงแค่สี่วันเท่านั้น คนที่เขาคิดว่าจะได้รอยยิ้มจากใจเป็นคนแรก กลับไม่ง่ายดังที่เขาคิดไว้

เช้าวันที่สี่ เขาลุกจากที่นอนตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อคิดว่าตนเองจะต้องตายในอีกสามวันข้างหน้า สิ่งที่เขาควรมอบให้แก่ภรรยาก็ได้ทำไปหมดแล้ว เขาเดินคิดไปจนเข้ามาในครัว เขาหยิบกระทะขึ้นมาทอดไข่และไส้กรอก จากนั้นก็ทำการปิ้งขนมปัง เขาลงมือทำอาหารเช้าที่ไม่ได้ทำมาเป็นเวลานาน
เมื่อภรรยาของเขาลงมาจากชั้นบน เห็นสามีอันเป็นที่รักเข้าครัวทำอาหารเช้า ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างอยิ่ง เพราะเธอมีแม่บ้านอยู่หลายคนที่คอยเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้โดยไม่ต้องลำบากให้สามีของเธอลงมือทำเอง

เศรษฐีนำอาหารเช้าวางไว้บนโต๊ะ และเชิญภรรยาทานอาหารเช้าที่เขาเป็นคนเตรียมให้
เมื่อเธอตักอาหารคำแรกเข้าปาก เธอก็นำตาร่วงและยิ้มออกมาให้กับเขา
“ที่รักคะ คุณยังจำตอนที่เราเริ่มสร้างครอบครัวได้ไหม ตอนนั้นเรายังยากจน คุณทำอาหารเช้าง่ายๆแบบนี้ให้ฉันทานทุกเช้าเลย ฉันดีใจที่เช้านี้ได้ทานอาหารฝีมือของคุณอีกครั้งค่ะ”
ในขณะนั้น เศรษฐีสัมผัสได้ว่า รอยยิ้มของภรรยาเป็นรอยยิ้มที่แสนสวยงามเป็นพิเศษ แม้เธอยังไม่ได้แต่งหน้าทำผม แต่รอยยิ้มของเธอช่างดูบริสุทธิ์จริงใจ เศรษฐีเข้าใจในทันทีว่า หลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยได้ใช้ชีวิตทานอาหารเช้ากับภรรยาเลย จึงลืมไปแล้วว่าสิ่งที่เธอต้องการจากเขาจริงๆในตอนนี้ก็คือความใส่ใจนั่นเอง
และในเช้านั้น ยมทูตก็ได้บอกกับเขาว่า
“เจ้าได้รอยยิ้มจากใจแล้วหนึ่งครั้ง!”

สายของวันนั้น เขาเข้าบริษัทและหวังว่าจะได้รอยยิ้มจากใจเป็นครั้งที่สองจากลูกน้องคนสนิท
เขาเรียกลูกน้องคนสนิทเข้ามาพบที่ห้อง
“ผมตัดสินใจเลื่อนตำแหน่งให้คุณเป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และมอบหุ้นของบริษัทส่วนหนึ่งให้แก่คุณ ”
ลูกน้องคนสนิทดีใจเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าของเขาตอนนี้เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ได้แต่ยืนโค้งคำนับกล่าวคำขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เศรษฐีกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มของลูกน้องคนสนิทยังมีความทุกข์ใจปนอยู่
เศรษฐีได้แต่งตั้งลูกน้องคนสนิทให้ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และมอบหุ้นของบริษัทจำนวนหนึ่งให้แก่เขา แต่เศรษฐีก็ยังไม่ได้รอยยิ้มจากใจของลูกน้องคนนี้เลย

เช้าวันที่เจ็ด เศรษฐีเรียกลูกน้องคนสนิทเข้ามาพบ เศรษฐีแจ้งให้ลูกน้องคนสนิททราบว่า ได้เซ็นอนุมัติให้เขาลาพักพร้อมตั๋วเครื่องบินไปกลับห้าใบสำหรับเขาและลูกเมีย
“คุณทำงานเหมือนขายชีวิตให้ผมมานาน ผมไม่เคยให้คุณได้พักผ่อนอยู่กับลูกเมียเลย ผมให้คุณพักอยู่กับลูกเมียเป็นเวลาหนึ่งเดือน พร้อมตั๋วเครื่องบินไปฮาวายห้าใบ พาลูกเมียไปพักผ่อนนะ”
ลูกน้องคนสนิทรู้สึกเซอร์ไพรส์มาก จากสีหน้าที่เคร่งขรึมเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่อ่อนโอนและอบอุ่นขึ้นในทันที เขายิ้มออกมาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย มันเป็นรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นจากลูกน้องคนนี้มาก่อน ทำให้เขาก็รู้สึกสบายใจไปด้วย
“ขอบพระคุณท่านมากครับ ผมไม่ได้พาลูกเมียไปพักผ่อนนานแล้วสินะ พวกเขาคงคิดว่าหัวใจของผมทำด้วยเหล็กที่แทบไม่มีความรู้สึกเหมือนพ่อคนอื่นๆ ผมจะทำตามที่ท่านเมตตาครับ ขอบพระคุณท่านอีกครั้งครับ!”
สิ้นเสียงของลูกน้องคนสนิท ยมทูตก็ได้กระซิบบอกเขาว่า
“เจ้าได้รอยยิ้มจากใจเป็นครั้งที่สองแล้ว”
เศรษฐีเพิ่งได้รอยยิ้มแห่งความจริงใจเพียงแค่สองครั้ง แต่ทว่า เวลาของเขาก็เหลือไม่ถึงวันแล้ว

เศรษฐีได้แต่ทอดถอนหายใจ
“เราคงต้องยอมรับความจริงแล้วสินะ!” เศรษฐีเอ่ยกับตัวเอง
เพราะทั้งภรรยาและลูกน้องคนสนิท เขาต้องใช้เวลาไปตั้งเจ็ดวัน ถึงจะได้รอยยิ้มจากความจริงใจของเธอและเขา หากเป็นเช่นนี้ เขาคงต้องยอมรับที่จะต้องตกนรกอย่างไม่มีทางเลือกอื่น
เมื่อเขานึกถึงนรก จิตใจก็หดหู่เศร้าสร้อย เขาตัดสินใจถอดสูทที่สวมอยู่ออก จากนั้นก็เดินออกจากบริษัทเพื่อนั่งรถเมล์ไปเที่ยวยังที่ต่างๆ
เขารู้สึกถึงบรรยากาศเก่าๆสมัยสร้างเนื้อสร้างตัวร่วมกับภรรยา บรรยากาศแบบนี้เขาไม่ได้สัมผัสมาเป็นเวลานานแล้ว เพราะโดยปกติ ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ก็จะมีรถยนต์คันหรูพร้อมคนขับอีกทั้งเอกสารที่จะต้องเซ็นอนุมัติมากมาย เขาแทบจะหาเวลาว่างเดินทอดน่องเพียงลำพังในตรอกซอกซอยอย่างนี้ไม่ได้
เขาคิดว่า ไหนๆอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็ต้องถูกยมทูตพาไปนรกแล้ว ก็เสพสุขช่วงเวลาที่เหลือนี้ให้เพียงพอก็แล้วกัน ณ ขณะนั้น จิตใจเขาปลอดโปล่งโล่งสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาเดินอยู่บนถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมามากมาย แล้วเขาก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่บนฟุตบาท ไม่มีใครสนใจเด็กหญิงคนนี้เลย เพราะต่างคนต่างก็รีบเร่งกันทั้งนั้น
“ไหนๆก็จะตายแล้ว เราลองถามเด็กคนนี้ก็แล้วกัน ว่าเธอร้องไห้ทำไม?” คิดแล้วก็เดินเข้าไปหาเด็กหญิงคนนั้น

เด็กน้อยพลัดหลงกับพ่อแม่ จึงตกใจร้องไห้ เมื่อเขารู้ความจริง ก็พาเธอไปที่สถานีตำรวจและแจ้งว่ามีเด็กพลัดหลงกับพ่อแม่ที่ตลาด ขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยติดต่อประสานงานกับพ่อแม่
เศรษฐีนั่งรอพ่อแม่ของเด็กน้อยให้มารับด้วยจิตใจจดจ่อ เขาเพ่งมองไปที่นาฬิกา เวลาของเขาใกล้จะหมดแล้วสินะ
เมื่อพ่อแม่ของเด็กน้อยเดินขึ้นมาที่โรงพัก สามคนพ่อแม่ลูกวิ่งเข้ามากอดกันกลมและร้องไห้ดังสนั่นโรงพัก
เขามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกปิติและอิ่มเอิบในหัวใจ
“โธ่เอ๊ย การได้ช่วยเหลือคนอื่นมันเป็นความสุขอย่างนี้นี่เอง!” เขาอุทานขึ้นมาเบาๆ
แต่เขาก็ต้องหุบยิ้มนั้นทันที เพราะยมทูตได้ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว
เขายื่นมือให้กับยมทูต แต่ทว่า ยมทูตกลับส่ายหัวให้กับเขา
“เจ้าไม่ต้องลงนรกกับข้า เพราะเจ้ามีคุณสมบัติขึ้นสวรรค์แล้ว!” ยมทูตกล่าวขึ้น
เขาเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ฟัง
“ท่านว่าอะไรนะ?” เขาถามอย่างลนลาน
“รอยยิ้มที่เกิดจากความจริงใจครั้งที่สามครบแล้ว”
ยมทูตยื่นกระจกเงาให้เขามองใบหน้าของตนเอง พลางพูดว่า
“ที่จริงมันเกิดได้เมื่อสักครู่หนึ่งแล้ว!”
เศรษฐีมองตัวเองในกระจกเงา จากใบหน้าอันเคร่งขรึมเศร้าหมองไร้ราศี บัดนี้เปี่ยมไปด้วยความอิ่มเอิบและมีรอยยิ้มอยู่ที่มุมปาก มันไม่ใช่ใบหน้าของกรรมการผู้จัดการใหญ่ใจยักษ์ แต่มันเป็นใบหน้าของคุณลุงคนหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา เขาเห็นรอยยิ้มแห่งความจริงใจนั้นบนใบหน้าของตนเอง

“ใจของเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่ข้าจะต้องพาเจ้าไปยังนรก แต่ทว่า เทวทูตยังไม่มารับเจ้า นั่นแปลว่าเจ้ายังพอมีเวลาที่จะสร้างความดีในโลกนี้ได้อีก” พูดจบ ยมทูตก็หายวับไปกับตา
“ที่แท้ รอยยิ้มที่สามอยู่ที่ตัวข้าเองหรือนี่?” เศรษฐีกวาดสายตามองออกไปนอกสถานีตำรวจด้วยความอิ่มเอิบใจ

*คุณมี 2 ทางเลือก
1. ถ้าคุณได้อ่านแล้ว เห็นว่าดีมีประโยชน์ช่วยเตือนสติได้ โปรดแชร์เพื่อเป็นธรรมทาน
2. ถ้าเห็นว่าบทความด้านบน ไร้สาระ ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เสียเวลาในการอ่านนี้ คิดเสียว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและจงลืมๆมันไป

ภาพสัญลักษณ์การประสูติของพระพุทธเจ้า

ภาพเกี่ยวกับการประสูตินั้น นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๗ ลงมา มีการทำเป็นภาพพระมารดายืนประสูติ มีพระกุมารพุ่งออกมาจากสะเอว ซึ่งมีทั้งแบบคันธาระ, สารนาถ, และเบ็งกอล. อีกทั้งในพุทธศตวรรษที่ ๕-๖ นั้น ยังไม่กล้าทำรูปพระกุมารพุ่งออกมาทำนองนั้น คือไม่ทำรูปพระกุมาร แต่ทำเพียงรอยเท้า อยู่ในผืนผ้าที่เทวดาประคองอยู่ข้าง ๆ พระมารดาซึ่งกำลังยืนเหนี่ยวกิ่งไม้ ดังเช่นแบบอมราวดีตอนปลาย ๆ และแบบนาคารชุนโกณฑ เป็นต้น. ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๔ ขึ้นไป ไม่มีการทำภาพใด ๆ ในทำนองเป็นของจริงเช่นนี้ แต่ได้ทำเป็นสัญลักษณ์แทนภาพ 

1. บนซ้าย : ภาพตรีรตนะบนดอกบัว

ดอกบัวหมายถึงการตรัสรู้ หรือการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์, ซึ่งหมายถึงการปรากฏของธรรมอันเบิกบานออกมา, วงกลม หมายถึงความไม่มีที่สิ้นสุด หรือความว่างอันมีลักษณะไม่มีที่สิ้นสุด, ดอกบัวในวงกลมจึงหมายถึงธรรมอันมีลักษณะไม่มีที่สิ้นสุด คือเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง จนไม่อาจจะคำนวณได้ว่ามีอะไรเท่าไร. เปลวรัศมีนั้นคือแสงสว่างอันแผ่ไปได้รอบตัวและไม่มีประมาณอีกนั่นเอง แต่อาจจะจัดประเภทได้เป็น ๓ ประเภท ตามความหมายของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วแต่ว่าเราจะจัดคุณของสิ่งทั้งสามนี้ไว้ในลักษณะอย่างไร เช่นเป็นผู้ชี้ทาง-หนทาง-ผู้เดินทาง, หรือเป็นหมอรักษาโรค-ยารักษาโรค-ผู้หายโรค, หรือเป็นผู้สอน-สิ่งที่สอน-ผู้รับคำสอน, ดังนี้เป็นต้น, หากแต่เป็นสิ่งที่เนื่องกัน อย่างที่ไม่อาจจะแยกกันได้ เหมือนไม้สามอันอิงกันอยู่ไม่มีล้ม

2.บนขวา : หม้อรับกอบัว ขนาบด้วยสิงห์มีปีกสองข้าง 

หม้อรับกอบัวในภาพนี้ ซึ่งเป็นแบบสาญจี เป็นแบบที่แปลกจนกลายเป็นกระถางปากแตร, และมีพบแต่ภาพนี้เท่านั้น จึงนำมาเป็นตัวอย่างสำหรับศึกษา, กอบัวนี้ มีใบ ๔ ใบ, ดอกตูม ๔ ดอก, ดอกบาน ๑ ดอก, ฝักบัว ๒ ฝัก, สิงห์มีปีกเหยียบอยู่บนฝักบัวฝักละตัว. การประกอบภาพสวยงามน่าสนใจ. บัวบานเป็นตัวสัญลักษณ์การประสูติ สิงห์เป็นสัตว์สัญลักษณ์ประจำพระองค์ตลอดไป ดังเช่นคำว่า ศากยสิงห์ ชินสิห์ เป็นต้น. ในภาพอื่นที่มีภาพสิงห์ตัวเดียว นั่งอยู่กลางดอกบัว ทำนองเดียวกับช้างในภาพที่ ๑๑ นั้นก็ยังมี, ซึ่งมองเห็นได้ง่ายว่าหมายถึงอะไร, ส่วนในภาพนี้มีสิงห์ถึง ๒ ตัว หันหน้าออกจากกัน ความหมายก็ต้องแปลกออกไป เช่นหมายถึงพระองค์ทรงเป็นสิงห์ ทั้งในหมู่เทวดาและมนุษย์

3.กลางซ้าย : ภาพลายมังกรคาบกันข้างบน และสัตว์เรียงแถวข้างล่าง ตรงกลางเป็นลายขยุกขยิก ดวงหนึ่งมี ๖ แฉกรวมกันหลายดวง 

ในภาพนี้ เป็นสัญลักษณ์ของการประสูติของพระพุทธองค์ ที่น่าสนใจที่สุด. หินส่วนนี้ เป็นส่วนหนึ่งของหินแท่งยาวแท่งเดียวซึ่งสลักเป็น ๔ ช่อง แต่ละช่องคั่นกันไว้ด้วยลายบัวครึ่งซีกบนและล่าง และโยงไว้ด้วยเส้น ๒ เส้น ดังที่ท่านจะเห็นได้ในภาพนี้ทางขวามือ (ของคนดู), ในช่องทั้งสี่นั้น ช่องที่หนึ่งคือภาพลายขยุกขยิกนี้, ช่องที่สองมีภาพต้นโพธิ์ตรัสรู้, ช่องที่สามวงล้อธรรมจักร, ช่องที่สี่สถูปปรินิพพาน ดังนั้นจึงเป็นที่แน่นอนว่า สัญลักษณ์ภาพนี้เป็นสัญลักษณ์ของการประสูติ. ถ้าหากมิได้อยู่ในหินแท่งเดียวกันกับภาพทั้งสามที่ถัดไป เช่นไปอยู่โดดเดี่ยวในที่ใดที่หนึ่ง ก็เป็นการยากหรือถึงกับเป็นการสุดวิสัยด้วย ที่พวกเราในเวลานี้จะทราบได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของอะไร. ภาพลายมังกรคาบกันข้างบน และสัตว์เรียงแถวข้างล่างนั้น เป็นเพียงลวดลายประดับ ไม่เกี่ยวกับสัญลักษณ์เพราะยาวตลอดไปสุดแผ่นหินทั้ง ๔ ช่อง. ปัญหาเหลืออยู่แต่ว่าลายขยุกขยิกนี้ มีความหมายอย่างไร ในทางที่เป็นสัญลักษณ์ของการประสูติ. ยังไม่มีเวลาสอบถามชาวอินเดียผู้คงแก่เรียนในทางวัฒนธรรมโบราณของเขา, ทั้งยังไม่แน่ใจว่า แม้ชาวอินเดียเองก็จะเป็นผู้ทราบความหมายของภาพนี้โดยถูกต้องตามความประสงค์ของผู้ทำ เพราะทำไว้เป็นเวลาถึง ๑,๗๐๐ ปีเศษมาแล้ว, ดังนั้น ปล่อยให้คิด ให้ทาย หรือให้เดากันเอาเอง สนุกดี. ฝรั่งนักศึกษาหนุ่ม ๆ คนหนึ่งดูแล้วตอบคำถามของข้าพเจ้าว่า คงจะเป็นภาพของมดลูกตัดตามขวาง แล้วก็หัวเราะกันใหญ่ เพราะเป็นมะทีเรียลลิสติคมากเกินไป ในที่สุดก็ยังไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้เป็นที่พอใจแก่ทุกคน. ข้าพเจ้าเองเดาเอาว่า ๖ แง่งนี้คงจะหมายถึงธาตุ ๖ ธาตุ ที่ประกอบกันเข้าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ๆ ได้แก่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ ดังที่ตรัสไว้ในบาลีธาตุวิภังคสูตร, แต่แล้วก็ฉงนว่าจะไม่ใช่เสียแล้ว เพราะในลายดวงหนึ่งนั้น แบ่งออกเป็น ๓ แฉกก่อน แล้วปลายของแฉกหนึ่งแบ่งออกเป็น ๒ แฉก จึงรวมกันเป็น ๖ แฉก มิได้แบ่งออกเป็น ๖ แฉกออกไปโดยเท่า ๆ กัน พร้อม ๆ กัน, ในที่สุดก็ต้องยอมแพ้ ฝากไว้ให้คิดกันเอาเอง, ในใจได้แต่นึกชมความคิดของผู้ทำเมื่อพันกว่าปีมาแล้วนั้นเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่ต้องสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ ที่บริเวณร่วมกลางของภาพ ตามระหว่างดอกหกแง่งนั้น มีก้อนกลม ๆ ๖ เหลี่ยม, ๔ ก้อน, แทรกอยู่ในลักษณะที่ล้อมรอบ "ดวงหกแง่ง" ดวงหนึ่งในทำนอง ๔ ทิศหรือ ๔ มุม, นี้ก็ต้องเป็นความมุ่งหมายของผู้ทำที่เล็งถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ด้วยน้ำหนักที่ไม่น้อยกว่าความหมายของ "หกแง่ง" นั้นเหมือนกัน

4.กลางขวา ภาพขีด 3 ขีด ประดิษฐ์เป็นสวัสติกะขนาบด้วยดอกบัว 

ภาพสัญลักษณ์การประสูติในภาพนี้ เป็นแบบภารหุต แต่ก็มีความน่าอัศจรรย์ไม่น้อยไปกว่าแบบอมราวดีในภาพที่แล้วมา, และยังเก่าก่อนกว่าแบบอมราวดีสัก ๓๐๐ ปี. ถ้าหากภาพนี้ มิได้รวมอยู่ในกลุ่มสัญลักษณ์การประสูติ ประเภทที่ทำเป็นดอกบัวหรือกอบัวแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะสันนิษฐานได้ง่าย ๆ ว่า เป็นสัญลักษณ์ของการประสูตินั้นเหมือนกัน. สิ่งแรกที่ต้องสังเกตคือ ในวงกลมนั้น ประกอบอยู่ด้วยขีด ๓ ขีด, ตามนอนบ้าง ตามตั้งบ้าง, และตรงปลายสุดที่มันบรรจบกันนั้น ประดิษฐ์เป็นลายสวัสติกะ (ซึ่งหมายถึงการหมุนเชี่ยว) มีดอกบัวบานเล็ก ๆ อยู่เป็นใจกลาง, ทำให้เกิดความคิดว่า สิ่งทั้งสามนี้ แต่ละกลุ่มหมุนอย่างสัมพันธ์กันไปอย่างไม่มีชะงัก, ส่วนความหมายจะหมายถึงอะไรนั้น ต้องขอปล่อยให้แต่ละคนคิดเอาเองอย่างเป็นอิสระ ดังในภาพที่แล้วมา. สำหรับสิ่งที่มีจำนวนสาม และมีความสำคัญสมกับที่จะเป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์นั้น ก็มีอยู่มากด้วยกัน เช่นพระรัตนตรัย (ซึ่งจัดได้ว่า เป็น ตรีมูรติ ของพุทธศาสนา), สิกขาสาม, วิชชาสาม, สามัญญลักษณะสาม เป็นต้น, กระทั่งถึงพวก ภพสาม ตัณหาสาม ฯลฯ, แม้ที่สุดแต่ของใหม่ ๆ เช่นสัทธรรมสาม, พุทธคุณสาม (คือบริสุทธิคุณ ปัญญาคุณ เมตตาคุณ) เป็นต้น, แต่การที่จะนำเอาพุทธคุณสามเป็นต้น ไปจับกันกับขีด ๓ ขีดในที่นี้ ดูไม่มีทางจะเป็นไปได้, เพราะการจัดพุทธคุณเป็นสามเช่นนี้เป็นของใหม่สมัยพุทธโฆษาจารย์จอมอรรถกถาเป็นอย่างมาก ไม่เก่าถึงสมัยภารหุตเลย, ดังนั้น เท่าที่จะเป็นไปได้ ก็ต้องเล็งถึงรตนะสาม หรือวิชชาสาม  

5.ล่างซ้าย : ภาพดอกบัวบานมีช้างประกอบ 

สัญลักษณ์การประสูติที่น่าสนใจอีกอันหนึ่ง คือรูปภาพดอกบัวบาน มีช้างประกอบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของพระองค์. ช้างเป็นสัตว์สัญลักษณ์แทนพระพุทธองค์ เข้ากับเรื่องที่กล่าวว่า ในการปฏิสนธิของพระองค์นั้น พระมารดาทรงพระสุบินว่ามีช้างมาเข้าในพระอุทร. หรือยิ่งกว่านั้น ก็อาจจะกล่าวได้ว่า ช้างเป็นสัญลักษณ์ที่ศักดิ์สิทธิ์กันมาแล้วตั้งแต่ก่อนพุทธกาล และยังคงถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นเรื่อยมาทุกยุคทุกสมัย และทุกลัทธินิกายไม่เฉพาะแต่พุทธศาสนาก็เป็นได้ สำหรับพุทธบริษัทเรา ยอมรับเอาสัตว์เพียง ๒ ชนิดว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ คือช้างกับสีหะ ซึ่งเราเรียกกันในเมืองไทยว่า สิงห์, เป็นสัญลักษณ์และอุปมา สำหรับพระพุทธองค์ ทั้งในแง่ของศิลปะและธรรมะ. และใช้คำว่านาคะกับช้าง แทนที่จะใช้คำว่า คชะ, ข้อนี้ทำให้คนบางคนเข้าใจคำว่านาคะ เป็นพระยานาคหรืองูไปเสียก็มีโดยที่แท้คำว่านาคะซึ่งเล็งถึงช้างนั้น มีความหมายเพียงว่า เป็นยอดของบรรดาสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ในทางที่มีคุณธรรมอันประเสริฐเท่านั้นเอง แตกต่างไปจากสีหะ ซึ่งเล็งไปถึงยอดแห่งความกล้าหาญและชัยชนะต่อศัตรู ดอกบัวกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญรองลงไปจากช้างในภาพนี้, แต่กระนั้นก็ไม่ทิ้งหลักเดิม ที่ต้องการให้มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วยกัน, ในที่นี้มี ๑๒ กลีบ, มีเม็ดลูกแก้วหรือลูกประคำที่ขอบวงรอบนอก ๓๖ เม็ด, และจะกลายเป็น ๑๐๘ เม็ด ถ้านับรวมหมดทั้งสามแถว 

6.ล่างขวา : ภาพดอกบัวบาน 

ภาพดอกบัวบานล้วน ๆ มีรูปดอก รูปกลีบ หรือเกสร เป็นต้น หลายแบบด้วยกัน. นอกจากนั้นยังมีดอกบัวบานมีลวดลายอย่างอื่นประกอบเข้ามา, กระทั่งบัวบานทั้งกอ, ประกอบด้วยสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งต่างก็เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์ด้วยกัน บัวในภาพนี้ มีจำนวนกลีบ ๑๒ กลีบ, เส้นเกสรตัวผู้ยาว ๆ ๓๖ เส้น, จุดตุ่มเกสรตัวเมีย ๗ จุดด้วยกันที่ตรงใจกลางของดอกบัว, ทั้งนี้เป็นเจตนาเจาะจงที่จะให้มีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง, เพราะถ้าทำตามสะดวกสบายหรือเพื่อความสวยงามอย่างเดียวแล้ว ทำกลีบเป็น ๘ กลีบหรือ ๑๖ กลีบง่ายกว่า. และจำนวนจุด ๗ จุดนั้น ก็คงจะทำตามสะดวกไม่เป็น ๗ จุดเสมอไป หรือเป็นเกณฑ์สำคัญ

ทั้งหมดนี้แสดงว่าประชาชนก็ดี ศิลปินหรือช่างผู้ทำการแกะสลักก็ดี ตลอดถึงพระราชาผู้บันดาลการกระทำนี้ก็ดี ล้วนแต่มีความเชื่อถือในจำนวนเลขศักดิ์สิทธิ์กันอยู่แล้ว และยิ่งกว่านั้น อาจจะมีผู้ซึ่งเป็นนักธรรมของพุทธศาสนาเอง เป็นผู้ระบุจำนวนสิ่งที่เป็นจำนวนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นให้เสียเลย เช่น จำนวนกลีบ ๑๒ กลีบ หมายอาการสิบสอง (ทฺวาทสาการํ) ของอริยสัจสี่หรือธรรมจักร ดังที่ระบุอยู่ในบาลีแห่งสูตร ๆ นั้น ซึ่งพิจารณาดูแล้วทุกคนจะยอมรับว่า เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในหลักธรรม และควรมาใช้เป็นจำนวนเลขศักดิ์สิทธิ์ได้จริง, และจำนวนจุด ๗ จุดนั้น ต้องการให้เล็งถึงธรรมที่สำคัญที่สุดในการทำความตรัสรู้ให้แก่พระพุทธเจ้า กล่าวคือ โพชฌงค์ ๗ ประการ มีสติสัมโพชฌงค์ เป็นต้น สรุปว่าภาพเช่นนี้ มิได้เป็นเพียงสัญลักษณ์การประสูติและวัตถุศิลปะเท่านั้น หากเป็นการเผยแพร่หลักธรรมะ ที่ก่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์พร้อมกันไปในตัวด้วย
  
อ้างข้อมูลจาก :ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ/หนังสือภาพพุทธประวัติหินสลัก ชุดแรกที่สุดในโลก น่าสนใจและมีค่าที่สุดในโลก

14 พฤษภาคม 2564

ผู้ที่จะพ้นจากทุกข์คือทางพระนิพพาน

#ผู้ที่จะพ้นจากทุกข์คือพระนิพพานต้องอ่าน
โลกุตรภูมิ คือ ภูมิหรือชั้นที่พ้นจากภพ 3 คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ หมายถึง ระดับจิตของพระอริยบุคคลที่พ้นจากกิเลสโดยเด็ดขาดตามลำดับและรวมถึงอมตมหานิพพานด้วย

1. #ภูมิของพระโสดาบัน เป็นภูมิลำดับแรกในโลกุตรภูมิ เป็นภูมิที่พ้นจากภพ 3 ของผู้ถึงกระแสพระนิพพาน เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น ผู้ที่เป็นพระโสดาบัน มีคุณวิเศษสามารถละสังโยชน์ได้ 3 อย่าง คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส จะกลับมาเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ

2. #ภูมิของพระสกิทาคามี เป็นโลกุตรภูมิลำดับที่ 2 เป็นภูมิที่พ้นจากภพ 3 ของผู้ที่จะกลับมาเกิดอีกเพียงครั้งเดียว ผู้ที่จะเข้าถึงสภาวะของความเป็นพระสกิทาคามี จะต้องผ่านความเป็นพระโสดาบันก่อน พระสกิทาคามี มีคุณวิเศษสามารถละสังโยชน์ที่พระโสดาบันละได้ และสามารถขจัดสังโยชน์เพิ่มอีก 2 ตัว คือ กามราคะ และปฏิฆะ ให้เบาบางลงได้อีกด้วย

3. #ภูมิของพระอนาคามี เป็นโลกุตรภูมิลำดับที่ 3 ของโลกุตรภูมิ ซึ่งจะต้องเจริญภาวนาผ่านความเป็นพระโสดาบัน และพระสกิทาคามีมาตามลำดับ จึงจะเข้าถึงภาวะแห่งความเป็นพระอนาคามี พระอนาคามีมีคุณวิเศษสามารถละสังโยชน์เบื้องต่ำทั้ง 5 อย่าง ซึ่งละสังโยชน์ต่อจากพระสกิทาคามีอีก 2 อย่าง คือ กามราคะ และปฏิฆะ ผู้ที่เป็นพระอนาคามี เมื่อละโลกแล้ว จะบังเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาสและบรรลุพระอรหันต์บนนั้น ไม่กลับมาเกิดอีก

4. #ภูมิของพระอรหันต์ เป็นโลกุตรภูมิลำดับสุดท้าย อันเป็นภูมิขั้นสูงสุดของโลกุตรภูมิ เป็นเป้าหมายอันสูงสุดของมวลมนุษยชาติ การจะเป็นพระอรหันต์จะต้องเจริญภาวนาผ่านความเป็นอริยบุคคลทั้ง 3 ขั้นมาตามลำดับ แล้วจึงจะเข้าถึงภาวะแห่งความเป็นพระอรหันต์ได้ คุณวิเศษของพระอรหันต์ คือ นอกจากละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ 5 ประการแล้ว ในขั้นนี้สามารถละสังโยชน์เบื้องสูงอีก 5 ประการ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา เมื่อละกิเลสได้หมดแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ อันเป็นการทำกิจของการเกิดเป็นมนุษย์ได้สมบูรณ์แล้ว เป็นผู้มีความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ อย่างเต็มเปี่ยม เป็นผู้ที่ควรแก่การบูชา และได้ชื่อว่าเป็นทักขิไณยบุคคลโดยแท้

ตายแล้วไปไหนชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร อารมณ์ที่มาปรากฏก่อนตาย มี 3 ประการ สรรพสัตว์ย่อมตายไปเพราะเหตุแห่งความตาย 4 ประการ เมื่อเวลาใกล้จะตายนั้น อารมณ์ 3 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมปรากฏแก่สัตว์ทางทวาร 6 ใน ทวารใดทวารหนึ่ง ได้โดยอำนาจของกรรมทั้งสองคือ อุปปัชชเวทนียกรรมและอปราปรเวทนียกรรม (ในภาคปฏิบัติหมายถึงดวงบุญหรือบาปจะมาฉายภาพให้เห็นการกระทำของตน และอุปกรณ์ประกอบกรรม หรือภพที่จะไปเกิดใหม่) ตามสมควร คือ

1. กรรมอารมณ์ 2. กรรมนิมิตอารมณ์

3. คตินิมิตอารมณ์

1. กรรมอารมณ์ หมายถึง เจตนาที่เป็นกุศลหรืออกุศลที่เป็นสภาวธรรมล้วนๆ ที่มาปรากฏทางความรู้สึกนึกคิดที่ตนเคยประสบมาแล้วในอดีตกี่ภพกี่ชาติก็ตาม เช่น ความรู้สึกดีใจปีติ เพราะเคยไหว้เจดีย์ ความศรัทธาในพระสงฆ์องค์โน้น หรือ ความรู้สึกโกรธเกลียด รู้สึกกำหนัดยินดีในแก้วแหวนเงินทองในบุคคล ที่เคยเกิดแล้วขณะทำกรรมในอดีต จะมาปรากฏอีกครั้งในขณะนั้นตอนใกล้ตายเหมือนกับเพิ่งจะเกิดใหม่ กรรมใดจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมก็ตามชนิดใดชนิดหนึ่งได้โอกาสจักให้ผลปฏิสนธิในภพใหม่ กรรมที่ได้โอกาสนั้นย่อมปรากฏขึ้นโดยอำนาจแห่งสภาวะของกรรม และมาปรากฏทางใจอย่างเดียว สรุปคือสภาวะที่ทำให้เศร้าหมองหรือผ่องใสนั่นเอง กรรมอารมณ์นี้ บางตำราว่าหมายถึง ความคิด คำพูด หรือการกระทำทางกายของตน ที่เคยทำมาในอดีตมาฉายภาพให้เห็นทางใจตอนใกล้ตาย

2. กรรมนิมิตอารมณ์ หมายถึง อารมณ์กรรมที่เป็นประธาน (อุปลทฺธปุพฺพํ) คือ อารมณ์ 6 มีรูปเสียงเป็นต้น ที่เคยได้เห็นได้ยินเป็นต้น รวมทั้งรูปนาม บัญญัติ ที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำของตน และวัตถุอุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นบริวารของกรรมที่เป็นประธานนั้นที่ตนเคยใช้ประกอบในการกระทำกรรมนั้นๆ เช่น เคยใช้ประกอบในการกระทำกรรมนั้นๆ เช่น ต้องการถวายจีวร จีวรเป็นอารมณ์หลัก ส่วนอุปกรณ์ที่ประกอบการถวายจีวรให้สำเร็จ เช่น พระภิกษุ ไทยธรรมอื่นๆ เป็นบริวารกรรมที่จะให้การถวายจีวรสำเร็จ กรรมนิมิตนี้จะมาปรากฏทางทวารใดทวารหนึ่งในทวารทั้ง 6 ได้ดังนี้

ถ้าเป็นอดีตกรรมนิมิต ก็เป็นอดีตอารมณ์ ย่อมเกิดในมโนทวารอย่างเดียว ถ้าเป็นปัจจุบันกรรมนิมิต ก็เป็นปัจจุบันอารมณ์ ย่อมเกิดได้ทั้ง 6 ทวารตามสมควร : 1. ฝ่ายกุศลกรรม เช่น ได้เห็นพระเจดีย์ ได้ยินเสียงพระแสดงธรรม ได้กลิ่นธูปเทียนหอมที่บูชาพระรัตนตรัย ได้ลิ้มรสอาหารที่ตนเคยถวายพระ ได้สัมผัสผ้านุ่มๆ เหมือนจีวรที่เคยถวายพระ เป็นต้น, 2. ฝ่ายอกุศลกรรม เช่น ได้เห็นสัตว์ที่ตนฆ่า ได้ยินเสียงสัตว์ที่ตนฆ่าร้อง ได้กลิ่นคาวเลือด รสสุราที่เคยดื่ม มาปรากฏทางลิ้นรู้สึกเปรี้ยวปากอย่างดื่มขึ้นมาทันทีหรือรู้สึกเหนื่อยกายเหมือนตอนทำอกุศลกรรมนั้น หรือ ความรู้สึกนึกคิดขณะนั้น เช่น เกิดความโกรธ ความกำหนัดยินดีในขณะนั้น เป็นต้น

3. คตินิมิตอารมณ์ หมายถึง อารมณ์ 6 ที่จะได้รับในภพหน้าที่จะเกิด มี 2 ประการ

ก. อุปลภิตัพพคตินิมิตอารมณ์ คือ คตินิมิตตารมณ์ในภพที่จะเกิดโดยตรง เช่น จะเกิดเป็นมนุษย์ ก็จักเห็นครรภ์มารดา จะเกิดเป็นเทวดา จักได้เห็นเทพบุตรเทพธิดาหรือวิมาน จะเกิดเป็นสัตว์นรก จักได้เห็นเปลวไฟ เห็นนายนิรยบาล จะเกิดเป็นเปรต จักได้เห็นหุบเขาที่มีสภาพมืดมนเป็นต้น

ข. อุปโภคคตินิมิตอารมณ์ คือ เครื่องใช้สอยในภพนั้นๆ เช่น ถ้าจะเกิดเป็นเทวดา ก็จะเห็นตนเองได้นั่งอยู่บนเทวรถ กำลังเสวยสุธาโภชน์ร่วมกับเหล่าเทพ ถ้าจะไปเกิดเป็นมนุษย์ เห็นตนกำลังสนทนาปราศรัยกับคน ประกอบการงานอย่างใดอย่างหนึ่งบนมนุษย์โลก รู้สึกว่าตนอยู่ในครรภ์ ถ้าจะไปเป็นสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง จะเห็นอาหารสัตว์ชนิดนั้นหรือกำลังเล่นอยู่กับสัตว์เหล่านั้น ถ้าจะเป็นสัตว์นรก จะรู้สึกว่าตนกำลังถูกจองจำ ทุบตีด้วยอาวุธ ถูกสุนัขนรกไล่กัดเป็นต้น

ศึกษาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลักธรรมสำคัญที่นำไปสู่เป้าหมายสูงสุด โครงสร้างองค์รวมและลักษณะคำสอนในพระไตรปิฎก ศึกษาความสำคัญ ความหมาย และวิธีปฏิบัติในเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา ศัพท์ทางพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นพื้นฐานในการศึกษา หัวข้อธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง หลักการ วิธีการปฏิบัติ และมารยาทพื้นฐานต่อพระรัตนตรัย

ยายภาวนาจบ ถั่วก็ลอยไปเองเม็ดหนึ่ง

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "จำไม่ได้ว่าอ่านหนังสือเล่มไหนเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมของพุทธศาสนามหายาน มีคุณยายอยู่คนหนึ่ง เขาศรัทธาในพระพุทธศาสนามหายานมาก อาจารย์ก็สอนให้ภาวนาปรัชญาปารมิตาสูตรทุกวัน

คุณยายถามว่าต้องภาวนาสักกี่จบ ? อาจารย์บอกว่าสัก ๑๐๘ จบก็ได้ คุณยายถามต่อว่าจะภาวนานับอย่างไร ? อาจารย์ก็บอกว่าให้หาลูกประคำมานับ คุณยายนั้นมีฐานะยากจน ลูกประคำก็ไม่มี นึกได้ว่าในครัวมีถั่วลิสงอยู่ ก็เลยเอาถั่วลิสงมาใส่ถาดนับให้ได้ ๑๐๘ เม็ดโดยเอาถาดเปล่าวางไว้อีกข้างหนึ่ง พอว่าจบไปหนึ่งบทก็หยิบเมล็ดถั่วลิสงไปวางไว้ในถาดนั้น

ทำอย่างนี้ทุกวัน ๆ ปรากฏว่าวันหนึ่งอาจารย์ก็อยากรู้ว่ายายแกภาวนาจริงหรือเปล่า ก็เลยไปแอบดู จากแสงตะเกียงก็เห็นว่ายายภาวนาจบหนึ่ง 💎 ถั่วก็ลอยไปเองเม็ดหนึ่ง

👑 ยายแกเจ๋งจริง ๆ ภาวนาจนได้อภิญญา ก็เลยสำคัญว่าทำจริงหรือเปล่า ? 💎 ถ้ายายคิดว่าอายุมากแล้วไปเกี่ยงว่าทำไม่ไหวหรอก ก็เป็นอันว่าไม่ต้องได้อะไร คราวนี้ยายเขาไม่เกี่ยง ถึงเวลาก็ทำ เครื่องมืออะไรไม่มีก็ดัดแปลงเอา ดัดแปลงได้ดีกว่าที่คิดด้วย จากตอนแรกที่ต้องใช้มือก็ไม่ต้องใช้แล้ว"
........................................
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี

13 พฤษภาคม 2564

ถ้าชาตินี้เราดำรงชีวิตลำบากมากๆ ทำอย่างไรจึงจะหาทางแก้ไขให้สบายขึ้น

ผู้ถาม : "เอ...หลวงพ่อครับ ถ้าชาตินี้เราดำรงชีวิตลำบากมากๆ ทำอย่างไรจึงจะหาทางแก้ไขให้สบายขึ้นครับ"

หลวงพ่อ : จะไปยากอะไร เราก็นึกว่าสบายมากๆวิธีจะให้แก้กลุ้มก็ให้ยึดถือกฏธรรมดาสิ ถ้าจิตไม่ยอมรับกฏธรรมดา มันก็เป็นทุกข์อยู่นั่นแหละ นั่นแสดงว่าชาติก่อนเราทำทานมาน้อย หรืออาจจะทำมาก แต่ทำในเขตที่ไม่มีผล ผลลัพธ์มันน้อยมาก ถ้าลำบากเพราะใช้แรงงานมาก แสดงว่าชาติก่อนเราใช้แรงงานเขามาก ก็รวมความว่าการเกิดเป็นคนนั้นทุกข์ แล้วที่เราต้องลำบาก ก็เพราะกฏของกรรมที่เป็นอกุศล จุดที่เราจะมองเห็นง่ายๆก็มีอยู่ ๕ จุดคือ

ถ้ามีโทษปาณาติบาตมามาก มันก็จะทำให้ป่วยไข้ไม่สบาย

ถ้ามีโทษอทินนาทานเราทำมา ทรัพย์สินเราเสียหายอยู่เสมอ ยากจนมากก็เพราะอทินนาทานมันให้ผล

โทษของกาเมสุมิฉาจาร คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาดื้อด้านว่าไม่เชื่อ

โทษของมุสาวาท ทำให้วาจาเราไม่เกิดประโยชน์ ไม่มีใครเชื่อฟัง

โทษของสุราเมรัย ทำให้เป็นโรคเส้นประสาท โรคบ้า

ก็ดูว่าที่ลำบาก ๕ ข้อนี้มันตรงกับข้อไหน
ถ้าตรงกับข้อไหนก็แสดงว่าเราเลวข้อนั้น
แล้วตั้งใจไว้ว่า "ความชั่วประเภทนี้ เราจะไม่ทำอีก"

๏ ธรรมปฏิบัติ ๕๒ 
~หลวงพ่อพระราชพรหมยาน~
~หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง~

#ตอบปัญหาผู้ปรามาสการสร้างวัดปลุกเสกพระ

หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง
มีนักปราชญ์นอกคอกถามปัญหาหลายคน

#คนหนึ่งถามว่า “ท่านมีความเห็นอย่างไรที่สร้างวัดใหญ่โตอย่างที่เป็นอยู่นี้” 

#ตอบเธอไปว่า “วัดนี้สร้างตามใจผู้มีศรัทธา ในเมื่อท่านให้เงินมาก็ทำตามที่ท่านประสงค์”

#คนที่สองถามว่า “ท่านมีเทคนิคอย่างไร จึงมีคนเขาอุดหนุนมากอย่างนี้”

#ตอบเธอว่า “ฉันไม่มีเทคนิค มีแต่ความรู้สึกว่าเป็นพระเท่านั้น จริยาทุกอย่างทำตามที่พระท่านสอน”

#คนที่สามถามว่า “พระที่ท่านปลุกเสกการปลุกเสกเป็นอวิชชาใช่ไหม”

#ตอบเธอในทำนองอนุโยคว่า “ เธอรักษาศีล ๕ ครบแล้วหรือ”

#เธอตอบว่า “ไม่ครบ” 

#จึงบอกเธอว่า “เมื่อตนเองยังมีศีล ๕ ไม่ครบ จะรู้เรื่องอวิชชาได้อย่างไร พระที่ท่านทำการปลุกเสก ท่านใช้ฌาน ๔ บ้าง สมาบัติ ๘ บ้าง บางท่านใช้ผลสมาบัติ”

#ถามเธอว่า “สมาบัติที่ว่ามานี้เป็นวิชชาหรืออวิชชา” 

เธอไม่รู้เรื่องเลย 

น่าสงสารคนโง่ขนาดนี้ยังมีในเขตพระพุทธศาสนา

#คนที่สี่ถามว่า “ที่บอกว่าคนรักษาศีล ๕ ยังหยาบอยู่มาก พระโสดาบันก็มีศีล ๕ ใช่ไหมครับ”

#ตอบเธอในทำนองอนุโยคว่า “พระโสดาบันมีกี่ขั้น”

#เธอตอบว่า “เธอไม่รู้ “

จึงบอกให้เธอไปดูตำราเสียใหม่ 

เธออยากรู้

จึงบอกให้เธอทราบว่า พระโสดาบันมี ๓ ขั้น คือ สัตตักขัตตุง บารมีอ่อนมาก บำเพ็ญอีก ๗ ชาติไปนิพพาน โกลังโกละ บารมีอย่างกลาง บำเพ็ญบารมี ๓ ชาติ ไปนิพพาน และเอกพีชี บำเพ็ญบารมีอีกชาติเดียวไปนิพพาน ทุกขั้นต้องมีศีล ๕ ร่วมกรรมบถ ๑๐ 

วันนี้ดึกมากแล้วขอลานอน

#หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
เรื่องอ่านเล่น บันทึกของหลวงพ่อ
หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๔๘ หน้า ๔๓-๔๔

10 พฤษภาคม 2564

การเจริญศีลเจริญภาวนา ถือเป็นการผดุงกรรม ทำให้จิตเรานั้นร่างกายก็ดี..มีภูมิต้านทานเกี่ยวกับโรคภัยได้

แม้ว่ามันจะมีโรคระบาด..มันก็เป็นภัยอย่างหนึ่ง แต่โรคเหล่านี้เค้าเอามาล้างบุญล้างกรรม ล้างบุคคลที่มีเวรมีกรรมและผู้ที่ไม่ตั้งมั่นในศีล นั้นการที่เรายังอยู่ได้อยู่ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดในการครองเรือน การมีชีวิตอยู่ก็ดี หรือมีอาชีพอยู่ก็ดี ก็ถือว่ายังมีบุญรักษา แต่ว่าบุญนั้นถ้าเราไม่สร้างสมเพิ่มเติม เมื่อบุญเราอ่อนกำลัง อุปสรรคก็ดี เวรภัยก็ดี มันก็เป็นการสบช่องได้โอกาส 

นั้นไม่ว่าบ้านเมืองหรือโลกนั้นมันจะผิดปรกติหรือวิปริตไปแล้วก็ดี เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงหรือห้ามมันได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราสามารถจะทำได้ ก็คือจิตใจของเรานี่แล ควรหมั่นภาวนาอบรมบ่มจิต หมั่นเจริญศีลคือการรักษาจิตให้มันสะอาด เป็นการผดุงกรรมอย่างหนึ่ง 

นั้นเมื่อการที่เราเจริญศีลเจริญภาวนา ก็ถือเป็นการผดุงกรรม ทำให้จิตเรานั้นร่างกายก็ดี..มีภูมิต้านทานเกี่ยวกับโรคภัย นั้นสิ่งสำคัญก็คือกำลังใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การเจริญบุญกุศลบารมีนั้นมันก็ต้องยังไปต่อ เพราะว่าลมหายใจเรายังมีอยู่ หากเราไม่เจริญบุญเจริญกุศลในช่วงนี้ คือประคับประคองไว้ หากมีเภทภัยเข้ามามากจนเกินไป บุญที่เราพอมีอยู่อาจจะรับต้านทานไว้ไม่ได้ 

นั้นเราต้องทำอย่างไร..ไม่ว่าเราจะอยู่ที่เรือนที่พักอาศัยใดก็ตาม เมื่อเราพ้นจากกิจอันว่างจากทางโลกแล้ว ก็ควรมีเวลาให้กับเทพเทวดาพรหมเค้าบ้าง คือหมั่นเจริญภาวนา สวดมนต์แผ่เมตตา ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ทำที่กล่าวมามันจะช่วยอะไรได้บ้าง นี่แหล่ะคือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นการเจริญความดี สร้างภูมิคุ้มกันเป็นเกราะกำแพง 

เมื่อเราเจริญความดีเจริญเมตตาเจริญภาวนา ก็ให้เรามีการเจริญอโหสิกรรม ขอขมากรรม เมื่อเราขอขมากรรมเจริญเมตตา เจริญพรหมวิหารอยู่บ่อยๆ จนจิตเราเข้าถึงตั้งมั่นในพระรัตนตรัย 

ในขณะที่จิตเรานั้นสงบ แผ่เมตตาจิตออกไปให้ดวงจิตสรรพสัตว์วิญญาณ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย เชื้อโรคเชื้อภัยทั้งหลาย อย่าได้มาเบียดเบียน อย่าได้มาจองเวร อย่าได้มาจองกรรม อย่าได้มาอาฆาตพยาบาท ด้วยอำนาจบุญกุศลที่เราเจริญภาวนา เจริญมนต์ก็ดี เจริญเมตตาก็ดี ขอกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำนี้ จงไปช่วยอนุเคราะห์เกื้อกูล ยับยั้งป้องกันภัยพิบัติทั้งหลาย ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเรา ครอบครัวเรา เพื่อนฝูง ญาติมิตรสหาย ลูกหลาน บุตรภรรยา 

จิตเรานั้นเมื่อเราน้อมเข้าถึงกระแสพระรัตนตรัยนั้น ย่อมมีอำนาจ ย่อมมีกระแส ย่อมมีกำลัง แผ่ไปได้ไพศาล แล้วเรามาย้อนถามกันว่า..บุญกุศลนี้จับต้องได้หรือไม่ ก็ไม่ต่างอะไรกับเชื้อภัย เชื้อโรค ก็ไม่สามารถจับต้องได้ว่ามันจะมาอย่างไร มาได้ตอนไหน เมื่อจิตเราตั้งมั่นในกุศล ละจากความกลัว สิ่งเหล่านี้แลก็จะช่วยป้องกันภัยได้ 

หากเรายังมีอกุศลกรรมจนจิตไม่ตั้งมั่นในศีล นั้นยุคนี้ผู้จะประคองตนให้อยู่ได้ ไม่ว่าในฐานะใดๆ อำนาจแห่งศีลนี้แลจะเป็นตัววัดผล นั้นเมื่อเรานั้นถ้าตั้งมั่นในศีลได้แล้ว..ก็ควรรักษามันไว้ให้มั่นคง เมื่อศีลเรามีมั่นคงแล้ว ก็ควรเจริญภาวนา เจริญสมาธิ เจริญปัญญา ให้เข้าถึงธรรมอันประเสริฐ คือการเห็นโทษเห็นภัยในวัฏฏะ 

เมื่อผู้ใดเห็นโทษเห็นภัยในวัฏฏะอยู่บ่อยๆเนืองๆ จิตนั้นย่อมปล่อยวาง คลายจากความยึดมั่นถือมั่น เมื่อจิตคลายจากความยึดมั่นถือมั่น ไม่ส่งจิตออกไปภายนอก จิตไม่เร่าร้อน จิตไม่มีความอาฆาตพยาบาทกับผู้ใด จิตมันก็ว่าง เมื่อจิตมันว่างมีความสงบแล้วไซร้ ขอให้โยมจำไว้ว่า เภทภัยศัตรูอันใด เจ้ากรรมนายเวรอันใด..ก็จักมองไม่เห็นเรา

นี้แล..นี่หมายถึงว่าจิตเรานั้นเป็นปรกติ นั้นเมื่อจิตเป็นปรกติแล้ว อะไรที่มันผิดปรกติ เราก็สามารถจะรับรู้สัมผัสมันได้ เท่าทันมันได้ อย่าไปอุปาทานไปวิตกกังวลเสียก่อนที่มันจะเกิดขึ้น 

ดังนั้นหากว่าใคร..ศีลมันยังบกพร่องอยู่ก็ให้แก้ไข หากมันชำรุดก็ให้ชุนปะซ่อมแซม ประคับประคอง ปะชุนมันขึ้นมา ก็อย่างที่บอกเหมือนเสื้อผ้าอาภรณ์ หากมันมีรูรอยรั่วรอยร้าว ก็เป็นของธรรมดาก็ย่อมมีสิ่งใดๆที่มันจะผ่านเข้ามาได้ อุปมาก็เปรียบเหมือนอย่างนั้น

นั้นถ้าศีลเรายังไม่มั่นคงแข็งแรง ก็ให้ระลึกถึงความตายไว้เป็นที่ตั้ง ระลึกถึงบุญกุศลที่เรามี ระลึกถึงทานที่เราทำ ระลึกถึงองค์ภาวนา การระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ความตายก็ดี บุญกุศลก็ดี นี่ก็เรียกว่าจิตเรามีที่ยึดเป็นสรณะ จิตเป็นบุญเป็นกุศล จะทำให้จิตเข้าถึงความสงบได้โดยเป็นปรกติ โดยธรรมชาติของจิต 

ให้ระลึกถึงธรรมใดธรรมหนึ่ง เมื่อพิจารณาแล้วระลึกแล้ว..มันทำให้เราคลายจากความกำหนัด จิตเข้าถึงความปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นใดๆ เข้าถึงการปลงสละ ว่าความตายจักมีแก่เราในไม่ช้า ความแก่ ความชรา ความพลัดพรากจักมีแก่เรา เมื่อเราระลึกและพิจารณาได้อย่างนี้ จิตมันก็ปล่อยวางละวาง ความโลภ ความโกรธ ความหลงใดๆ มันก็จะปล่อยวางและเบาบาง 

ไอ้ที่เวรภัยทั้งหลายมันเข้ามาถาโถม บุคคลที่ไม่มีสรณะ ไม่มีที่ตั้งในความดีแล้ว โลภนี้แล ความโกรธนี้แล ความหลงนี้แล นี่คือไฟที่ทำให้จิตมนุษย์มันเร่าร้อน นี่ก็คือเจ้ากรรมนายเวรที่ตามคอยมาอาฆาตพยาบาท คอยทำให้เกิดวิบากกรรมเกิดผล ดังนั้นไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดหากเรานั้นไม่มีสรณะเป็นที่พึ่ง จิตใจเรานั้นต้องมีแต่ความเร่าร้อน แม้จะนอนก็ดีก็ไม่เป็นสุข ตื่นมาแล้วก็หาความสงบไม่ได้

ดังนั้นการที่เรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีศีลเป็นที่รองรับเหมือนเป็นกำแพงเป็นรั้ว ย่อมป้องกันศัตรูป้องกันภัย การภาวนาคือการเจริญสติเพื่อให้ระลึกเท่าทันอาการของจิต ของอารมณ์ที่มากระทบให้เท่าทัน

ดังนั้นบุคคลที่จะอยู่รอดปลอดภัยอยู่ในยุคนี้ ขอให้โยมตระหนักว่าบุญกุศลที่โยมทำมานั้นมันเป็นอย่างไร เรายังยึดมั่นถือมั่นพอใจในบุญกุศลหรือไม่ ทาน ศีล ภาวนาของเรายังอบรมบ่มจิตอยู่หรือไม่ ภาวนามนต์เรายังทำเป็นกิจวัตรประจำวันหรือไม่ ถ้าสิ่งการใดที่เราเคยทำแล้ว ในปัจจุบันนี้ในขณะนี้เรานั้นได้พลั้งเผลอ ได้ปล่อยปละละเลย ขอให้โยมระลึกถึง ควรมีความเพียร มีมานะ มีความขยัน อุตสาหะ มีศรัทธา 

เพราะว่าไม่มีอะไรจะมารับรองภัยได้..นอกจากพระรัตนตรัย หากเรานั้นยังไม่มีอะไรดี จิตเรายังไม่มั่นคงตั้งมั่น เมื่อยังมีความกลัวอยู่ ยังมีความหดหู่ ยังมีความฟุ้งซ่านในจิตอยู่แล้ว อย่างนี้ย่อมเป็นที่ไม่ปลอดภัย 

นั้นสิ่งที่จะปลอดภัยก็คือการเจริญทาน ศีล ภาวนาให้บังเกิด ถ้ามันเกิดแล้วก็ให้รักษาไว้ แล้วสิ่งไหนมันเข้ามา..ก็ควรให้ละในอกุศลกรรมออกไป คือการขอขมากรรม ขออโหสิกรรม คือการเจริญในพรหมวิหาร ๔ ให้มากๆ ไม่อย่างนั้นแล้ว เจ้ากรรมนายเวร คู่อาฆาตพยาบาท คู่อิจฉาริษยาเหล่านี้ มันก็จะได้สบได้ช่องเข้ามาเบียดเบียน 

ถ้าโยมไม่ตั้งมั่นในศีล ก็จะไม่มีใครจะช่วยเราได้ ไม่ใช่ว่าบอกว่าเรานั้นจะไปอยู่วัด อยู่สถานที่อันเป็นมงคล แต่ตัวเรายังไม่มีความเป็นมงคล อยู่วัดแต่ใจยังไม่ถึงวัด สวดมนต์ภาวนาแต่จิตนั้นยังหาความสงบไม่ได้ เจริญสมาธิจิตก็ยังไม่ปล่อยวาง สิ่งเหล่านี้เรียกว่า..เรายังไม่เข้าถึง เมื่อยังไม่เข้าถึงแล้ว..ก็เรียกว่ายังไม่พ้นภัย 

การที่จะให้จิตเราเข้าถึง ตั้งมั่นและพ้นภัย นั้นเราต้องเข้าถึงความศรัทธาให้ได้ก่อนในความเชื่อ ต้องมีศรัทธา ต้องเคารพในพระรัตนตรัย ตั้งมั่นอยู่ในศีล เมื่อเรามีความเคารพและตั้งมั่นในศีลในพระรัตนตรัยแล้ว เราก็จะมีที่ที่ปลอดภัย..เหมือนมีสิ่งที่คุ้มครอง 

มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต

09 พฤษภาคม 2564

เทวดากบ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

หลังอาหารกลางวันแล้ว เข้าที่พักเพื่อลงรับแขกตามปกติเมื่อว่างงานจิตก็มีกังวล จึงหางานให้จิตทำคือนึกถึงพระไตรปิฎกด้วยเมื่อคืนวันที่ ๑๘ หลับยาก จึงเอาหนังสือพระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ มาอ่าน พอดีไปพบเรื่องที่ถูกใจเรื่องหนึ่งคือเรื่อง เทวดากบ เรื่องมีมาในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ หน้า ๗๔ ดังนี้

บัณฑุเทพบุตรวิมาน

ขอให้นามว่า กบเทวดา หรือ เทวดากบ ตามบาลีท่านว่า พระพุทธเจ้าตรัสถามเทวดากบว่า นั่นใครมีผิวพรรณสวยงามมาก รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์และยศสว่างทั่วจักรวาลไหว้เท้าทั้งสองของตถาคตอยู่

เทวดากบกราบทูลว่า เมื่อชาติก่อนข้าพระองค์เป็นกบเที่ยวหาอาหารอยู่ในถ้ำ เมื่อข้าพระองค์ฟังธรรมของพระองค์อยู่ คนเลี้ยงโคได้ฆ่าข้าพระองค์ ข้าพระองค์ตายจากความเป็นกบไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวรรณะ ยศ ฤทธิ์ เยี่ยงนี้ เพราะมีจิตเลื่อมใสฟังธรรมะของพระองค์เพียงครู่เดียว สำหรับท่านที่มีโอกาสฟังนาน ๆ มีหวังไปนิพพานสิ้นทุกข์ เป็นดินแดนสิ้นโศกสิ้นความเร่าร้อนพระเจ้าข้า

เป็นอันว่าเรื่องนี้ยืนยันว่า สัตว์เดรัจฉานก็ทำบุญได้
ตามที่นักเทศน์ชอบเทศน์กันว่า เทวดา พรหม สัตว์
ทำบุญไม่ได้ เป็นอันว่าท่านลืมอ่านพระไตรปิฎกที่เขียนมาแล้วนี้ ซึ่งเขียนตามบาลีในพระไตรปิฎก ต่อเติมเล็กน้อยเพื่อให้ได้ความชัด ต่อนี้ไปเป็นตอนหนังสืออ่านเล่นเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้สาระคงไม่มีอะไรมากนัก

เมื่อกินข้าวเสร็จนอนคอยเวลา จึงนึกถึงเทวดากบท่านคิดว่าท่านเป็นกบ ท่านเป็นเทวดาได้ เราเป็นคนลำบากเกือบตายสู้กบไม่ได้ อยากจะทราบว่าท่านนิพพานแล้วหรือยัง
ถ้ายังท่านมีวิมานและทิพยสมบัติเป็นอย่างไร เมื่อนึกถึงท่านก็ปรากฏทั้งกายทั้งวิมาน ท่านทำให้เห็นชัดเท่าเห็นคนธรรมดาท่านสวย วิมานก็สวย แสงสว่างก็มากแต่ท่านไม่สวมชฎา
จึงถามท่านว่าทำไมจึงไม่สวมชฎา ท่านบอกว่าท่านมาหาพระท่านไม่รีบกลับจึงไม่สวมชฎา ขอให้ท่านสวมชฎา

เมื่อชฎาปรากฏบนศีรษะ ไม่ได้หยิบสวมเหมือนคนปรากฎขึ้นเองดูสวยไปอีกแบบหนึ่ง แล้วชฎาก็สลายไป ถามท่านว่า เมื่อถูกคนเลี้ยงโคแทงแล้วตายทันทีหรือเปล่า ท่านบอกว่ายังไม่ตายเขาเอาเหล็กแทงเอาเชือกร้อยแล้วลากไปกับพื้นดิน เพราะเขาหากบต่อไป มันเจ็บปวดที่สุด เมื่อถึงบ้านเขาวางตากแดดไว้
ที่ชานบ้าน มันเจ็บปวดแล้วร้อนแดดเพิ่มเข้าอีก ในที่สุดก็ตายทุกข์มากเหลือเกิน

ถามท่านว่า เมื่อมาเป็นเทวดาแล้วคิดอยากเกิดเป็นกบหรืออยากเกิดเป็นมนุษย์อีกไหม ท่านยิ้มแล้วตอบว่า ไม่อยากเกิดเป็นอะไรเลยครับ มนุษย์ก็ทุกข์ สัตว์ก็ทุกข์ แม้เทวดา ผมก็ไม่อยากเป็นอีก อยากไปนิพพาน ถามท่านว่า ท่านฟังเทศน์สมัยพระพุทธเจ้าเป็นเทวดาแล้วได้ฟังต่ออีกไหม ท่านบอกว่าฟังอีกหลายครั้ง ถามท่านว่า เป็นพระโสดาบันหรือยัง ท่าน
บอกว่า เวลานี้ผมเป็นพระสกิทาคามีผลขอรับ คนถามหน้าแหงเลย เพราะความโง่คิดว่าเทวดาโง่เท่าตัวเอง

เมื่อถามว่า เพราะกรรมอะไรจึงเกิดเป็นกบ ภาพที่ปรากฏก็คือท่านเองเป็นชายสูงโปร่ง ผิวดำเป็นลูกชาวนา เมื่อไถนาเสร็จแล้วก็เที่ยวหากบ ได้แล้วก็เอาเหล็กแหลมแทงร้อยเชือกลากกบไปเหมือนที่เขาทำกับท่าน ท่านบอกว่าเศษบาป ผมยังชำระไม่หมด ถ้าไปเกิดใหม่ต้องชำระหนี้อีกมากจึงอยากจะไปนิพพานเลย

อานิสงส์ของการรักษาศีล

ศีลอย่างแท้จริงเป็นไปด้วยความมีสติ รู้สิ่งที่ควรหรือไม่ควร

ระวังการระบายออกทางทวารทั้งสาม คอยบังคับกาย วาจา ใจ ให้เป็นไปในขอบเขตของศีลที่สภาพเป็นปกติศีลที่เกิดจากการรักษา มีสภาพปกติ ไม่คะนองทางกาย วาจา ใจ ให้เป็นที่เกลียด นอกจากความปกติก็งดงาม ทางกาย วาจา ใจ ของผู้มีศีลว่า เป็นศีล เป็นธรรม

เราควรรักษาศีล ๕ เพราะ….

๑. สิ่งมีชีวิต เป็นสิ่งที่มีคุณค่า จึงไม่ควรเบียดเบียน ข่มเหง และทำลายคุณค่าแห่งความเป็นอยู่ของเขาให้ตกไป

๒. สิ่งของใคร ใครก็รักและสงวน ไม่ควรทำลาย ฉกลักปล้นจี้ เป็นต้น อันเป็นการทำลายสมบัติและทำลายจิตใจกัน

๓. ลูกหลาน สามี ภรรยา ใคร ๆ ก็รักสงวนอย่างยิ่ง ไม่ปราถนาให้ใครมาเอื้อมล่วงเกิน เป็นการทำลายจิตใจของผู้อื่นอย่างหนัก และเป็นบาปมากไม่มีประมาณ

๔. มุสา การโกหกพกลม เป็นสิ่งที่ทำลายความเชื่อถือของผู้อื่นให้ขาดสะบั้นลงอย่างไม่มีดี แม้เดรัจฉานเขาก็ไม่พอใจกับคำหลอกลวง จึงไม่ควรโกหก หลอกลวงให้ผู้อื่นเสียหาย

๕. สุรา ยาเสพติด เป็นของมึนเมาและมีโทษ
ดื่มเข้าไปย่อมทำให้คนดีดีกลายเป็นคนบ้าได้ ลดคุณค่าลงโดยลำดับ ผู้ต้องการเป็นคนดี มีสติปกครองตัวอย่างมนุษย์ จึงไม่ควรดื่มสุรา เครื่องทำลายสุขภาพร่างกายและใจอย่างยิ่ง เป็นการทำลายตัวเองและผู้อื่นไปด้วยในขณะเดียวกัน

อานิสงส์ของศีล ๕ เมื่อรักษาได้

๑. ทำให้เราอายุยืน ปราสจากโรคภัยเบียดเบียน

๒. ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ในความปกครอง มีความปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายมาราวีเบียดเบียนทำลาย

๓. ระหว่างลูก หลาน สามี ภริยา อยุ่ด้วยกันเป็นผาสุก ไม่มีผู้คอยมา ล่วงล้ำกร้ำกราย ต่างครองกันอยุ่ด้วยความสุข

๔. พูดอะไรมีผู้เคารพเชื่อถือ คำพูดมีเสน่ห์เป็นที่จับใจไพเราะ ด้วยสัตย์ด้วยศีล

๕. เป็นผู้มีสติปัญญาดี และเฉลียวฉลาด ไม่หลงหน้า ลงหลัง จับโน่นชนนี่ เหมือนคนบ้าบอหาสติไม่ได้

๖. ผู้มีศีล…. เป็นผู้ปลูกและส่งเสริมสุขบนหัวใจคนและสัตว์ทั่วโลก ให้มีแต่ความอบอุ่นใจ ไม่เป็นที่ระแวงสงสัย

“...ผู้ไม่มีศีล เป็นผู้ทำลายหัวใจคนและสัตว์ ให้ได้รับความทุกข์ร้อน เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า...”

โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

#เคล็ดลับในการทำทานแบบไม่เสียเงิน ที่หนุนดวงเราให้ได้งาน ได้บ้าน ได้รถ ได้ทุกอย่าง

บางท่าน คิดว่าการทำบุญ ต้องเสียเงินซื้อของไปถวายพระเท่านั้น หรือว่าการใส่บาตร ซึ่งบางท่านอาจจะทำได้ยาก บางท่านไม่มีเวลา บางท่านไม่มีปัจจัย บางท่านไม่สะดวกด้วยประการต่างๆ หากเราไปรอเวลา เมื่อไหร่เราจะได้ทำทาน เมื่อไหร่เราจะได้อานิสงส์ บางทีการทำทาน ด้วยของ ได้บุญน้อย เป็นเพราะอะไร

ทำเพราะจำใจทำบ้าง ทำเพราะแก้บนบ้าง โกงเขามาทำบุญบ้าง การให้ทานในสัตว์เดรัจฉานได้ผลหนึ่งร้อย เท่า ให้ผีก็ได้ผลกลับมาเช่นกัน อย่าลืมว่าในโลกทิพย์ เราเอาของไปให้เขา เขาก็รับไม่ได้ ไม่ได้ประโยชน์อะไร 

สำคัญคือ การนำไปทำบุญ แล้วอุทิศผลของบุญ ให้พวกในโลกทิพย์ คน เราทุกๆคนนั้น ล้วนเคยทำบุญมาแล้วทั้งนั้น ให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ในอดีตชาติที่ผ่านมา ถึงแม้เรา ไม่มีเงินซื้อของทำบุญในชาติปัจจุบัน แต่อย่าลืมว่า

การอาราธนา พระพุทธคุณเพื่อดึงเอาผลบุญที่เราเคยทำในอดีตมาใช้ในกาลปัจจุบันย่อมทำได้ ดัง นั้น เราดึงมา จึงเหมือนเรามีสมบัติมากมาย ข้าวปลา อาหาร ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย ที่ดิน ยานพาหนะ สามารถเบิกมา ซึ่งสามารถยกให้ใครก็ได้ แล้ว เมื่อให้ไปแล้ว บุญเราไม่หมด ยิ่งกลับมาร้อยเท่าพันเท่า ยิ่งให้ยิ่งขยายออก 

เราอุทิศ ผลเหล่านี้ให้ผู้ตกทุกข์ได้ยากได้ ผู้ตกทุกข์ในโลกทิพย์ ได้แก่ใครบ้าง เปรต ผี สัมภเวสี อสุรกาย และผีต่างๆ ซึ่งเขาเคยสร้างบาปไว้ จึงมาตกทุกข์ กว่าจะพ้นภพภูมิก็ยาก หากเราช่วยเขา แทนที่เขาจะเป็นผีไปเป็น ร้อยปี 

เราอุทิศให้ 1 ครั้ง เขาอาจจะหลุดพ้นไปเป็นเทวดาเลยก็ได้ พอเป็นเทวดาเขาก็จะกลับมาช่วยเหลือเรา ตามดูแลรักษาเรา หากเราอุทิศ อาหารให้เขา ผีเขาก็ได้รับ ผลกลับมาอานิสงส์เราจะได้อาหาร และร่างกาย ที่ดีกลับมา 

หากเราให้อะไรเขา เราก็ได้กลับ ที่อยู่อาศัย ที่ดิน เสื้อผ้าอาภรณ์ ยานพาหนะ หากเราทำบ่อย กุศลจากการช่วยเหลือผีตกทุกข์ได้ยาก ซึ่งคือผู้ที่ลำบากมากๆ ให้เขาพ้นทุกข์ อานิสงส์ก็เกิดกับเรามาก พอเขาเปลี่ยนภพภูมิเป็นเทวดาไป เขาก็ตามดูแลสงเคราะห์ช่วยเหลือเรา

ดังนั้น หากเราไม่มีเงินแม้สัก 1 บาท ก็ทำบุญด้วยการ ยกบ้านให้คนอื่นได้ ก็คืออุทิศบุญนี่แหละให้เขา ผีเขาได้รับเขาก็มีบุญ มีบ้านอยู่ มีอาหารกิน พ้นภพภูมิผี การจะให้ได้ผลมาก คืออุทิศให้เขาเป็นขอบเขต เช่น อธิษฐานว่า กายทิพย์ทุกกายที่อยู่รอบบริเวณ 1 ตารางกิโลเมตร รอบๆ ที่ข้าพเจ้านั่งแผ่บุญนี้ การแผ่ล้อมให้ทั้งจักรวาล เขาได้รับยาก ไม่มีอานิสงส์แรงเท่า เราแผ่เจาะจง ตัวอย่าง

👍#คำอธิษฐานแผ่บุญเพื่อสงเคราะห์ผี

"สาธุด้วยเดชะแห่งพระรัตนตรัย ขอให้บุญข้าพเจ้าที่ได้ทำแล้วด้วย ทาน ศีล ภาวนา และบุญกริยาวัตถุสิบประการ ในอดีตชาติที่ผ่านมาทั้งหมดจนถึงกาลปัจจุบันนี้

โปรดแปรสภาพบุญทั้งหลายเหล่านั้นให้เป็น น้ำดื่ม โภชนาหารทิพย์ ยารักษาโรค ปราสาทราชวัง ที่อยู่อาศัยทิพย์ ที่ดิน ที่สวนอุทยาน เสื้อผ้าอาภรณ์พรรณ เครื่องประดับกาย เครื่องยานพาหนะ ราชยานเวหนทิพย์ อีกทั้งเครื่องบันเทิงสำราญใจทั้งปวง

เพื่ออุทิศให้แก่ ผี เทวดา และกายทิพย์ทุกกายที่อยู่รอบบริเวณ 1 ตารางกิโลเมตร รอบๆ ที่ข้าพเจ้านั่งแผ่บุญนี้ทั้งหมดทุกกาย"

👍#ได้อานิสงส์2ทาง คือ

1.ผลบุญที่เราแผ่ให้ผี แผ่อะไรให้ เราจะได้สิ่งนั้นกลับมา ในไม่นานเพราะได้ช่วยคนตกทุกข์มากๆ 

2.ผีที่มีสภาพดีขึ้นหรือเปลี่ยนภพ ภูมิ เขาจะตามดูแลรักษาช่วยเหลืองานต่างๆเรา มีบริวารมากขึ้น 
หมาย เหตุ- สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกๆวัน รักษาศีลทุกๆวัน จากนั้นเวลาแผ่บุญ ก็แปรสภาพ แล้วอุทิศให้ เราก็จะได้บุญไม่ขาดเลย ได้สงเคราะห์ผู้ตกทุกข์ด้วย

ที่มา : หนังสือ ตายไม่สูญ…แล้วไปไหน ของ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง

08 พฤษภาคม 2564

พูดตลก, ลามก กรรมบท 10 ขาดไหม

ลูกศิษย์ : ทีนี้ ถ้าพูดตลก กรรมบถ 10 ขาดไหม ศีลขาดไหม

หลวงพ่อ : คือไม่ชนกับศีล ศีลไม่ขาดนะ เขาตลก จะหาว่าพูดไร้สาระยังไม่ได้นะ ตลกเพื่อความรื่นเริง ไม่มีอะไรเลย ทำใจคนอื่นให้ชุ่มชื่น ไม่มีอะไร

พระพุทธเจ้าท่านเคยทำ พระสารีบุตรท่านเคยทำ พระสาวกหลายองค์เคยทำ ต้องทำถ้าสมาคมนี้จะเหงาเกินไป ก็ต้องทำให้เกิดความรื่นเริง แต่ไม่ผิดศีล ผิดธรรม

ลูกศิษย์ : ...........

หลวงพ่อ : นั่นเขารวมคำแล้ว เขารวมคำๆ ไว้นะ นั่นเขารวมไว้ในกลุ่ม มันไม่เป็นไร เขาพูดตลกคะนอง เขาพูดทำให้คนอื่นหัวเราะ เขาทำให้จิตใจเราชุ่มชื่น แต่ใจเขาเองน่ะเขาจะรู้ ถ้าเขาพูดดีน่ะ ใจเราสบาย อย่าลืมนะ

ลูกศิษย์ : ...........

หลวงพ่อ : ลามก ก็คนที่ลามกเขาก็ชอบนี่ เขาก็พูดให้ชอบ แกงต้มให้คนกิน ก็ต้องทำตามแต่ละคนใช่ไหม คนนี้กินเค็มชอบเค็ม เราทำเปรี้ยวเขาก็กินไม่ได้ เขาชอบเปรี้ยว เราทำเค็มเขาก็กินไม่ได้ ต้องทำให้เหมาะสม

คนลามกก็ชอบภาษาลามกไม่เป็นไร คือไม่ได้โกหก ไม่โกหก ไม่สร้างความสะเทือนใจให้เกิดแก่เขานะ ทำใจให้สบาย ใช่ไหม

แล้วประการที่ 2 เขาไม่ได้สร้างความแตกร้าวให้เกิดแก่ใคร อันนี้โทษเขาไม่ได้หนู อย่าหาว่าเขาบาป ผิด ถ้าถามผิดศีลข้อไหน บอกผิดทุกข้อ คือไม่ชนศีล ศีลไม่ขาด ศีลไม่ช้ำนะ หือหมอ ถ้าชนศีล ชนแรง ศีลขาด ชนเบา ศีลช้ำ เดี๋ยวมีเวลา 15 นาที

ลูกศิษย์ : ...........

หลวงพ่อ : หน้าบึ้งน่ะดี ไม่ทำชาวบ้านเขากลุ้ม เวลาไม่พูดด้วยช่างมัน บึ้งได้บึ้งไป จะได้หมดเรื่องหมดราว แกอยากบึ้งแกนั่งเฉยๆไปหมดเรื่อง ก็ไม่ต้องพูดกัน

ลูกศิษย์ : ...........

หลวงพ่อ : เขาไม่ได้ต้องการให้ชอบนี่ แต่คนชอบบึ้งอาจจะมีนะ อย่างน้อยที่สุด ตัวเขาเองเขาชอบ (หัวเราะ) มีหนึ่งคนคือเขาชอบบึ้ง หน้าบึ้งเกินไป ก็สุดแล้วแต่อารมณ์คน

ทางที่ดีแล้วไม่ควรจะฝึก จิตใจมันเศร้าหมองนะ ถ้าเราหัวเราะได้อย่างน้อยที่สุด แกก็จะได้ชุ่มชื่น ใช่ไหม 

หัดหัวเราะให้มากดีกว่า มันทำลายโทสะไปในตัว หัวเราะได้ ยิ้มได้ ใจชุ่มชื่นมากกว่า

จาก : หนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 10 หน้า 295-296 โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

#อดีตชาติหลวงพ่อฤาษี 13 ชาติ..


#ที่เกิดตั้งแต่สมัยโยนกนคร #จนถึงรัตนโกสินทร์...

ลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และเพื่อช่วยเหลือคนไทย และช่วยให้พระพุทธศาสนามีอายุครบ 5000 ปี

เรื่อง อดีตชาติหลวงพ่อฤาษี 13 ชาติที่เกิดตั้งแต่สมัยโยนกนคร จนถึงรัตนโกสินทร์ ลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และเพื่อช่วยเหลือคนไทย และช่วยให้พระพุทธศาสนามีอายุครบ 5000 ปี
นี้ 
ผมอ่านพบข้อมูลจาก กลุ่มพุทธภูมิ ซึ่งนำข้อมูลมาจาก คุณปานิสรา ศิลางาม ซึ่งย่อตอนนี้มาได้กระชับดีมาก เข้าใจง่าย  ถ้าท่านใดต้องการอ่านฉบับเต็ม ผมลงเพจที่จะค้นหาไว้ให้แล้วในตอนท้าย
เนื้อหามีอยู่ว่า

นำเรื่องราวของ หลวงพ่อวัดท่าซุง ในการเกิด 13 วาระตั้งแต่สมัยโยนกนคร จนถึงรัตนโกสินทร์ ลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และเพื่อช่วยเหลือคนไทย และช่วยให้พระพุทธศาสนามีอายุครบ 5000 ปี ตามพุทธทำนาย ถ้าอยากอ่านให้ครบก็ไปหา หนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษมาอ่าน หลวงพ่อพูดได้ละเอียดและลึกซึ้งกว่านี้มาก อันนี้เราบอกคร่าวๆนะ เกิดเป็นใครบ้างก็ลองอ่านดู

#วาระที่ 1 เกิดเป็นพระเจ้ามังราย รัชกาลที่ 2 แห่งโยนกนคร เป็นลูกชายพระเจ้าอชุตราช ในชาตินั้นท่านเป็นผู้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ดอยตุง โดยการนำมาของพระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ 

#วาระที่ 2 เกิดสมัยโยนก เป็นเณรน้อยอายุ 7 ปีทรงฌานสมาบัติ แต่ได้ถูกขอมดำกระทำย่ำยี เวลานั้นขอมดำมายึดเมืองโยนกนครได้แล้ว แล้วทำการกดขี่ข่มเหงรังแกคนไทย
เณรจึงเข้าฌานสมาบัติ ตั้งจิตอธิษฐานว่า เกิดคราวหน้าขอให้ได้เกิดมาเป็นคนไทย และได้ช่วยคนไทยทุกแง่ทุกมุม
มิไม่ใช่เฉพาะการรบ การเศรษฐกิจ การปกครอง แม้แต่การรบทุกอย่างให้ครบถ้วน ให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส "พอตั้งจิตอธิษฐานก็ไม่ถอนจากฌานสมาบัติ ก็นั่งทรงฌานอย่างนั้นจนตาย แล้วไปเกิดเป็นพรหม ชั้นที่ 11

#การเกิดครั้งที่3 หลังจากตายจากเณรน้อย ไปเป็นพรหมชั้นที่11ได้เพียง1ปีเศษ ก็ลงมาเกิดเป็น "พระเจ้าพรหม มหาราช" เป็นโอรสของพระเจ้าพังคราช รัชกาลที่ 37 ในสมัยโยนกนคร มีพี่ชายชื่อทุกภิขะ( บริเวณพระธาตุจอมกิตติ ดอยตุง เป็นเขตเมืองโยนกนคร) เกิดพร้อมสหชาติที่เป็นพรหม เทวดา ลงมาเกิดพร้อมกัน 250คน ทั้ง250คน เกิดเป็นผู้ชายทั้งหมด พรหมอีกองค์นึงเกิดเป็นช้างประกายแก้ว ช้างคู่บารมีพระเจ้าพรหม ลงมาเกิดเพื่อกู้ชาติให้พ้นความเป็นทาสจากขอมดำ และทำสำเร็จด้วย ทุกวันนี้วันอาสาฬหบูชาที่วัดท่าซุงก็มีการแห่ชัยชนะพระเจ้าพรหมทุกๆปี

#การเกิดในวาระที่4 หลังจากที่ตายจากการเป็นพระเจ้าพรหมสมัยโยนก แล้วเข้าฌาณตาย กลับไปเป็นพรหม เวลาผ่านไปอีก 800 ปีลงมาเกิดเป็นพระร่วงโรจนฤทธิ์ ตอนเด็กมีนามว่าอรุณกุมาร เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก มีวิชาอาคม มีวาจาสิทธิ์ สามารถเสกขอมให้เป็นหินได้ และขยายอาณาเขตของประเทศไทย (ตอนนั้นยังไม่เป็นเทศไทย )กว้างใหญ่ไพศาล ยึดมอญ พม่าขอมไว้ได้หมด อาณาจักรยาวเหยียด เวลานั้นคือก่อนเมืองสุโขทัย 700 ปีเศษ ก่อนหน้าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ 700ประมาณปีเศษ

#วาระที่5 เกิดเป็น"พ่อขุนศรีเมืองมาน"( เป็นพ่อของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งอณาจักรสุโขทัย)
ตายจากพระร่วงโรจนฤทธิ์ก็เข้าฌานตาย กลับไปเป็นพรหมเช่นเดิม กลับมาเกิดวาระที่5 เป็นพ่อขุนศรีเมืองมาน มีสหชาติเกิดมาด้วยคือ พ่อขุนน้าวนําถม
ลงมาช่วยกู้ชาติไทยจากขอมดำ ขยายอาณาเขตประเทศไทยไปถึงสิงคโปร์ มีภรรยาชื่อพรรณวดีศรีโสภาศ เป็นเมียเอก และมีเมียราษฏร์อีก 29 คน พอเมียเอกตาย ก็บวชไม่สึกอีกเลย เข้าฌานตายแล้วไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม

#วาระที่6 "ขุนหลวงพระงั่ว" รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงศรีอยุธยา
ต่อมาคนไทยเกิดแบ่งเป็น 2 พวก จึงต้องลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็น1
เดียว ลงมาเกิดในราชวงศ์อู่ทอง เป็น"ขุนหลวงพระงั่ว" มาปลุกจิตสำนึกคนไทยให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ จึงนิมนต์พระสงฆ์มาร่าง"ไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วง พระร่วงไม่ได้ทำ
ท่านเป็นเพียงแต่ศาสนูปถัมภ์
ไตรภูมิพระร่วง เป็นการร่วมมือกันระหว่างสุโขทัยและกรุงศรี 
และยังได้ร่วมกันสร้างพระพุทธชินราชพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศากยมุนีขึ้นมาเป็นมิ่งขวัญของเมืองไทย เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าประเทศไทยจะทรงตัวได้ด้วยเหตุ 3 อย่างด้วยกัน
คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
พระพุทธชินราช หมายถึง พระมหากษัตริย์
พระพุทธชินสีห์ หมายถึง พระศาสนา
พระศากยมุนี หมายถึง ชาติ
การสร้างครั้งนี้ก็เป็นหน้าที่ของท้าวโกสีย์สักกะเทวราชให้พระวิษณุกรรมมาช่วย ขุนหลวงพระงั่วได้มารวมสุโขทัยกับอยุธยาเป็นประเทศเดียวกัน

#เกิดวาระที่7 ต่อมาลงมาเกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงศรีฯ ครั้งนี้เป็นลูกชาวบ้าน แต่เป็นลูกมหาเศรษฐี มีแม่ชื่อปิ่นทอง พ่อชื่อกองแก้ว ท่านเองเป็นลูกชายชื่ออำไพ ลงมาช่วยคน ให้เงินให้ทอง ให้ที่ทำกิน ช่วยการเกษตร ช่วยทุกสิ่งทุกอย่าง ให้การศึกษา จนคนไทยเป็นปึกแผ่นแน่นหนาพอ ประชาชนมีความสุข และท่านก็ตายไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม

#วาระที่ 8 เกิดมาในตระกูลของแม่ทัพสมเด็จพระพันวสา คือสมเด็จพระอินทราธิราช มีนามว่า "ขุนไกร" (#ขุนแผน) เป็นอันว่าชาตินี้ขุนแผนต้องรวบรวมไทยอาศัยที่มีวิชาการมาก เป็นนักรบเก่ง
ล่องหนหายตัวได้ สะเดาะกลอนได้
ทำหุ่นพยนต์ได้ ทำอะไรได้แปลกๆ
การยกทัพไปก็ไม่ต้องใช้กำลังคนมาก
ก็สามารถจะสู้ข้าศึกได้
#วาระที่ 9 เกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ มีนามว่าพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อพระบรมไตรโลกนาสวรรนคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิมไม่ช้าไม่นานก็ต้องเสด็จลงมาเกิดอีก

#วาระที่10 เกิดสมัยพระนารายณ์ ท่านลงมาเกิดเป็น"ขุนเหล็ก"
หรือพระยาโกษาเหล็ก เกิดควบคู่กับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นเพื่อนเล่นกัน ขุนเหล็กมีน้องชายชื่อว่าขุนปาน หรือพระยาโกษาปาน ทั้งสองพระองค์ เป็นที่ไว้วางใจของสมเด็จพระนารายณ์มาก 
#บั้นปลายชีวิตลากิจราชการไปจำศีลเจริญภาวนาวิปัสสนาญาณ ให้ทาน ตายจากเจ้าพระยาโกษาเหล็ก ก็เข้าฌานกลับไปเป็นพรหมตามเดิม
(#ท่านไม่ได้ตายตามประวัติศาสตร์เขียนไว้หรอกนะ)

#วาระที่11 ลงมาเกิดมาเป็นขุนดาบคู่ใจของพระเจ้าตากสินมหาราช คือพระยาศรีสิทธิสงคราม อยู่ในกองทัพหลวงประจำองค์พระเจ้าตากสินมหาราชสมัยกรุงธนบุรี
ก่อนกรุงศรีจะแตก เป็นกำนันจัน ชื่อว่า 
#จันหนวดเขี้ยว เป็นที่รักของประชาชน
ต่อมาค่ายบางระจันแตก 
#นายจันหนวดเขี้ยวไม่ได้ตายไปตามประวัติศาสตร์ที่เขียน 
นายจันหนวดเขี้ยวจึงมารวมกำลังกับพระเจ้าตากสินกู้ชาติ
ต่อมาพระเจ้าตากสินจึงเปลี่ยนชื่อให้จากกำนันจัน มาเป็นพระยาศรีสิทธิสงคราม ประจำกองทัพหลวง
(ด้วง- นายจันหนวดเขี้ยว- พระยาศรีสิทธิสงคราม -เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก-และ #สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็คือคนๆเดียวกัน เพียงแต่ว่า หน้าที่การงานและตำแหน่งมันต่างวาระ ทำให้ชื่อต่างกัน แต่ก็คือคนๆเดียวกันนั่นเอง)

#วาระที่12 มาเกิดเป็น รัชกาลที่... แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ สร้างคุณประโยชน์ใหญ่ไว้มากมายต่อแผ่นดิน (คิดเอาเองไม่บอก)

#วาระที่13 ชาติสุดท้ายเกิดมาเป็นหลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง ไปนิพพานเรียบร้อยแล้ว
หาอ่านเพิ่มได้จากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ อันนี้เราเขียนแค่คร่าวๆ
แต่ถ้าอ่านทั้งเล่มเราจะรักชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ จะรู้สึกรักบรรพบุรุษของเรามาก เพราะกว่าจะมีไทยทุกวันนี้บรรพบุรุษของเราแลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิต
*#ถ้าใครไม่เชื่อก็เลื่อนผ่านไป อย่าคิดดูหมิ่นและเหยียดหยาม จะเป็นการปรามาสพระป่าวๆ ถ้าไม่เชื่อก็ข้ามไปเลยจ้า ไม่ได้ให้บังคับให้เชื่อ แต่ว่าเอามาเล่าสำหรับคนที่ศรัทธา และคนที่เนื่องตามกันมาจ้า
อันนี้เอาเฉพาะสมัยโยนกถึงกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยพุทธกาล ของสมเด็จองค์ปัจจุบัน ท่านก็เกิดนะ เป็นพระเจ้าปเสนทิโกศล มีมเหสีชื่อท่านแม่มัลลิกาเทวี
คัดลอกมาจากเนื้อหาบางส่วนจาก
ปานิสรา ศิลางาม 

หนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ หลวงพ่อฤาษี หาอ่านได้จากที่นี่ครับ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=39139

ข้อมูลจาก กลุ่มพุทธภูมิ

"เล่าเรื่องพระสีวลี"โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

" .. ในสมัยพระพุทธเจ้า "องค์นี้เป็นที่หนึ่ง (พระสีวลี) ท่านจึงยกเอตทัคคะ คือเลิศในทางความมีอดิเรกลาภ" เครื่องสักการะบูชา จตุไทยทานมีมากนะองค์นี้ นี่พระสีวลี องค์หนึ่งเลิศทางหนึ่งๆ

อย่าง "พระสารีบุตรเลิศทางปัญญา ฝนตกเจ็ดวันเจ็ดคืน พระสารีบุตรนับได้ทุกเม็ด สามารถนับได้" องค์อื่นนับไม่ได้ แต่พระสารีบุตรสามารถนับได้ นี่อัตโนมัติ เขาเรียกว่าคอมพิวเตอร์ แต่ว่าคอมพิวเตอร์ของธรรมไม่ได้เหมือนโลก ละเอียดไปกว่านั้น แม้เช่นนั้นยังถูกตำหนิจากพระพุทธเจ้า "ไอ้ความรู้ของเธอขี้ปะติ๋ว เราตถาคต ฝนตกตั้งกัปตั้งกัลป์นับได้หมด" นั่นล่ะธรรมชาติที่รู้จริงๆ อย่างนั้น ไม่ผิดไม่พลาด นั่นล่ะ พระญาณหยั่งทราบ ทางนี้เขาเรียกคอมพิวเตอร์ นี่คอมพิวเตอร์ของธรรมเป็นอย่างนี้

คอมพิวเตอร์ของพระพุทธเจ้าใช้มากับพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ กับบรรดาสาวกผู้มีความเชี่ยวชาญทางไหนก็เป็นคอมพิวเตอร์ทั้งนั้น ประจำองค์ท่านเป็นประจำอย่างงั้น ทางเราปัจจุบันเขาเรียกคอมพิวเตอร์หรืออะไร คอมพิวเตอร์ของธรรมเป็นอย่างนั้นคิดดูซิฝนตกตั้งกัปตั้งกัลป์นับได้หมดทุกเม็ด ตกมากขนาดไหนนับได้หมดไม่เคลื่อนคลาด

"นี่พระสีวลีท่านก็อติเรกลาภมากเหมือนกัน" จนพระพุทธเจ้าท่านหาอุบายยกชมเชย คือพระเรวตะ เป็นน้องชายของพระสารีบุตร ท่านชอบอยู่ในป่าในเขาเป็นประจำ ทีนี้พระพุทธเจ้า "เราอยากไปเยี่ยมพระเรวตะ" พระอานนท์ก็ทูลว่า "จะไปได้อย่างไง อยู่ในป่าในเขาลึก ๆ อาหารการกินจะมีมาจากที่ไหน มีแต่ป่าแต่เขา จะหาอยู่หากินได้ยังไง โคจรบิณฑบาตมาก"

ยากอะไร "เราก็เอาพระสีวลีไปด้วยสิ" (พระพุทธเจ้าทรงรับสั่ง) ถ้าพระสีวลีไปนี่ มาทุกแห่งทุกหนทุกทิศทุกทางเทวบุตร เทวดา มาทั้งนั้น นี่ฤทธิ์ธานุภาพบุญของท่านนะ "จึงเรียกว่าพระสีวลีเป็นผู้เลิศเลอในเรื่องอติเรกลาภมาก" ไปที่ไหนทั้งเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมมนุษย์มนากราบไหว้บูชา ถวายเครื่องสักการะบูชา มันต่างกันอย่างนั้นน่ะ

นี่พูดถึงเรื่องอดีตของท่าน "ท่านทำไม่ถึงมีอติเรกลาภมาก ท่านเป็นนักเสียสละ ถึงไหนถึงกัน ตลอดมา เป็นนิสัยกว้างขวาง การบริจาคทานไม่อัดไม่อั้น ไม่กลัวหมดทำมาตลอดประจำนิสัยของท่าน"

ทีนี้วาระสุดท้ายมาเป็นพระอรหันต์แล้ว นี่เป็นครั้งสุดท้าย ท่านจะไม่มาเกิดอีก มาตายอีก "ความเลิศเลอของท่านจึงแสดงให้โลกเห็น พระสีวลีไปที่ไหนเกลื่อนไปด้วยเครื่องจตุปัจจัยไทยทานทั้งเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม เด่นกว่าเพื่อน เด่นกว่าบรรดาสาวกทั้งหลาย บรรดาสาวกทั้งหลายก็มีแต่ว่าองค์นี้เด่นกว่าเพื่อน จึงยกให้เป็นเอตทัคคะ เลิศทางนี้"

ไม่ใช่เหล่านั้นท่านไม่มี มีเหมือนกัน "แต่องค์นี้เด่นกว่าเพื่อน อดีตชาติของท่านเป็นนักเสียสละ" แม้แต่ไปเป็นสัตว์ก็เป็นหัวหน้าสัตว์ เป็นมนุษย์นี่ก็เขาต้องมาเชิญท่านไปทำบุญให้ทาน ทีนี้เวลาผลสุดท้ายที่ท่านบรรลุพระอรหันต์เรียบร้อยแล้ว ผลบุญของท่านประจักษ์ไปที่ไหนเกลื่อนไปหมด .. "

มนุษย์ มีนิสัยภาวนาให้สำเร็จได้ง่ายกว่าภพอื่นๆ









"...ธาตุมนุษย์เป็นธาตุตายตัว ไม่เป็นเหมือน นาค เทวดา ทั้งหลายที่เปลี่ยนเป็นอื่นได้ มนุษย์ มีนิสัยภาวนาให้สำเร็จได้ง่ายกว่าภพอื่น อคคํ ฐานํ มนุสเสสุ มคคํ สตต วิสุทธิยา มนุษย์มีปัญญาเฉียบแหลมคม คอยประดิษฐ์ กุศล อกุศล สำเร็จ

อกุศล...มหาอเวจีเป็นที่สุด ฝ่ายกุศล มีพระนิพพานให้สำเร็จได้ ภพอื่นไม่เลิศเหมือนมนุษย์ เพราะมีธาตุที่บกพร่อง ไม่เฉียบขาดเหมือนมนุษย์ ไม่มีปัญญากว้างขวางพิสดารเหมือนมนุษย์ มนุษย์ธาตุพอหยุดทุกอย่าง สวรรค์ไม่พอ อบายภูมิธาตุไม่พอ มนุษย์มีทุกข์ สมุทัย..ฝ่ายชั่ว ฝ่ายดี..กุศล มรรคแปด นิโรธ รวมเป็น ๔ อย่าง มนุษย์จึงทำอะไรสำเร็จ ดังนี้ ไม่อาภัพเหมือนภพอื่น..."

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

06 พฤษภาคม 2564

หลวงปู่โง่น โสรโย จบ ดร. จากเยอรมัน **พูดได้ 7 ภาษา** #เดิมนับถือ ศ.คริสต์ เหตุใดจึงเปลี่ยนมานับถือพุทธ

🌸#หลวงปู่โง่นท่านเล่าเอาไว้ว่า🌸

อาตมาไม่ได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก่อนเลย จนอยู่มาวันหนึ่ง ไปเจอะพระเข้าองค์หนึ่ง พระองค์นี้เป็นพระผู้ใหญ่ เป็นเพื่อนกับสำเร็จลุน เมืองเหนือประเทศลาว ท่านพูดภาษาฝรั่งเศสเก่ง ท่านมาปักกลดซอมซ่ออยู่ที่วัดบรมนิวาส พวกสาว ๆ เขาเลื่อมใส

แม่เล็ก ล่ำซำ ก็เป็นคนหนึ่งที่เลื่อมใสท่าน เดี๋ยวนี้เขาแก่แล้ว เขามา ชวนอาตมาว่า “พี่ ๆ ไปกราบพระ ด้วยกันไหม ?” อ้ายเราก็นับถือศาสนาคริสต์อยู่ ก็เลยเอาไม้กางเขนซ่อนไว้ในอก

พระองค์นี้ชื่อ หลวงพ่อวัง จิตฺตวโร

พออาตมาเข้าไปถึง ท่านก็ชี้หน้าว่า
“นี่ถือศาสนาคริสต์ใช่ไหม ?”

แล้วท่านก็บอกเลยว่า #ถือศาสนาคริสต์ก็ดี เขามีเครื่องหมายบวก คนเราถ้ามองคนในแง่บวกแล้วใจจะสบาย

เออ...นี่ลูกมีคำถามอยู่ในกระเป๋าเสื้อของลูก ทำไมไม่ดึงเอาขึ้นมาถาม หลวงพ่อ ล่ะ”

อ้ายเราก็กำลังจะควักออกมา อาตมาเขียนไว้อย่างนี้ โยม เขียนไว้ว่า

1. ศาสนาพุทธทำไมจึงถือวันพระ ในวัน 8 ค่ำ 15 ค่ำ จะเอาวันอื่นไม่ได้หรือ ?

2. ศาสนาพุทธมีการล้างบาปหรือเปล่า ?

3. ศาสนาพุทธเป็นศาสนาจริง หรือเป็นปรัชญา ?

ปัญหาเหล่านี้อาตมาไปถามพระ องค์ไหนก็โดนด่ากลับมา แต่หลวงพ่อองค์นี้ท่านอธิบายให้อาตมาฟังว่า

“ศาสนาพุทธมิใช่ศาสนาอย่างแท้จริงตามหลักวิชาการแผนใหม่ ศาสนาที่แท้จริงจะต้องมีพระผู้เป็นเจ้า

และศาสนาพุทธก็มิใช่ปรัชญา ปรัชญาต้องมีเจ้าของ อย่างปรัชญาของท่านเพลโต้ ของท่านฟูโซ่ ของท่านกงจื๊อ อันนี้เป็นปรัชญา

พระพุทธศาสนาไม่มีเจ้าของ พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นเจ้าของพระพุทธ ศาสนา โลกทั้งโลกเป็นเจ้าของ พระพุทธศาสนาเป็นของเราทุกคน พระพุทธเจ้าท่านค้นพบของจริงที่มีอยู่ในคน ที่มีอยู่ในโลก แล้วนำมาสอนคนอีกต่อหนึ่ง ดังนั้นศาสนาพุทธจึงอยู่ในระหว่างกลาง ทั้งปรัชญาและศาสนา

พระพุทธเจ้าค้นพบทุกข์ ท่านค้นพบสมุทัย ท่านค้นพบนิโรธ ท่านค้นพบมรรค ซึ่งทุก ๆ คนมีด้วยกันหมด มันมีมาก่อนแล้ว ท่านค้นพบจึงมาสอนคนอื่น

ฉะนั้น ศาสนาพุทธจึงมิใช่ศาสนา และมิใช่ปรัชญา อยู่ในระหว่างกลาง ลูกเอ๋ย... จำไว้”

พอฟังท่านอธิบายให้ฟัง มันถูกหัวใจของเราอย่างจังเลยโยม !

ส่วนที่ถามว่า ขึ้น 8 ค่ำ แรม 8 ค่ำ ขึ้น 15 ค่ำ แรม 15 ค่ำ ทำไมจึงถือเป็นวันธรรมสวนะ ท่านอธิบายว่า

“พระพุทธเจ้าของฉันท่านเป็นโลกวิทู เป็นผู้แจ้งโลก

วัน 8 ค่ำ ทั้งข้างขึ้น ข้างแรม พระอาทิตย์กับดวงจันทร์กำลังทำมุม สแควร์กัน ผัวเมียจะทะเลาะกันก็อยู่ ใน 7 ค่ำ 8 ค่ำนี้ อย่าไปทวงหนี้ทวงสินกัน ผัวเมียให้ยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน

ถ้าวันแรม 15 ค่ำ จะมีโจรผู้ร้ายชุกชุม การปล้นฆ่าทารุณจะเกิดขึ้น ไปดูสถิติของกรมตำรวจเขาก็ได้ เพราะเดือนมันมืด ใจคนมันมืดมน

ขึ้น 15 ค่ำ ดวงจันทร์มันแจ่มกระจ่าง อาชญากรมันจะก่อคดีในทางที่เกี่ยวกับความรักความใคร่มากกว่าปกติ การข่มขืน การปลุกปล้ำกระทำการชั่วมากกว่า เป็นกามกิเลส มันดลดวงจิตของคนอย่างนี้

ดวงจิตของคนจะมีการกวัดแกว่ง มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน แทนที่จะทำเช่นนี้ จึงสมควรเข้าวัดให้พระท่านอบรมสั่งสอน พระพุทธเจ้าท่านรู้จักกฎของโลก ท่านจึงได้กำหนดไว้

แทนที่จะทะเลาะกัน ก็ให้เข้าวัดเถิดลูก !

แทนที่จะขโมยของของเขา ก็ให้เข้าวัดเถิดลูก !

แทนที่จะรักกันด้วยความใคร่ ก็ให้เข้าวัด รักกันด้วยเมตตา”

โยมเอ๋ย ! คำพูดของท่านเหมือน กับท่านเข้ามานั่งในหัวใจของอาตมา ด้วยเวลานั้นกำลังเรียนดาราศาสตร์อยู่ด้วย แหม ! ท่านเก่ง !

แล้วท่านยังบอกอีกว่า กลับไป ให้ไปอ่านคัมภีร์ศาสนาคริสต์ เล่มที่ 5 เมื่อเปิดอ่านแล้วจะโยนหนังสือทิ้ง !

อาตมาก็นึกสงสัยว่า “เอ๊ะ ! นี่ ยังไงกัน หนังสืออยู่ในกระเป๋าของเรา ท่านก็รู้ กลับไปพออ่านเล่มที่ 5 พระ เจ้าสร้างโน่น พระเจ้าสร้างนี่ พระเจ้าสร้างโลก เป็นคัมภีร์เรื่องสร้างโลกของเรา ถ้าไม่มีพระอาทิตย์ จะมีกลางวันอย่างไร ถ้าไม่มีพระจันทร์ จะมีกลางคืนอย่างไร เอ๊ะ ! มีพระเจ้าบ้า ! เราก็โยนทิ้ง ”

หลวงพ่อโง่น เล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านประจักษ์ในความจริงเช่นนั้น ท่านก็เข้าไปนมัสการพระอาจารย์วัง ไปกราบเรียนขอบวชกับท่าน แต่พระอาจารย์ยังกลับบอกว่า

“เอ็งยังบวชไม่ได้ เอ็งยังต้องไปใช้กรรม เพราะเอ็งไปโกหกผู้หญิงเขาไว้ 2 คน เมื่อชาติก่อน”

หลวงพ่อโง่นท่านก็ตั้งใจไว้ว่า พบท่านอาจารย์วังภายหลังก็จะขอบวชอีก จะต้องกลับมาบวชกับท่านให้ได้ แล้วจากนั้นหลวงพ่อโง่นก็ไปพบผู้หญิงคนหนึ่ง ผูกสมัครรักใคร่กันเป็นอันดี แต่กลับโดนต้ม โดนหลอกจนหมดตัว ท่านบอกว่า

“แล้วก็ไปเจอะคนที่สอง โดนต้มอีก เรียบร้อย ก็เลยเป็นอันบวชดีกว่ากู”

Cr. ทองทิว สุวรรณทัต​ จากหนังสือโลกลี้ลับ 
ฉบับที่ ๔๘ ปีที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๑

03 พฤษภาคม 2564

คนที่มาวัดนั้นร้อยละแปดสิบ#เป็นพวกคนโง่ #จ้องจะมาเอาแต่ของขลัง

"คุณฟังฉันให้ดี ๆ นะ คนที่มาวัดนั้นร้อยละแปดสิบ

#เป็นพวกคนโง่ #จ้องจะมาเอาแต่ของขลัง 

#เพราะเขายังห่างธรรมะร้อยละยี่สิบ

#เข้ามาหาธรรมะมาสนทนาธรรมกับฉัน 
#มีเพียงไม่กี่คน"

......

“รอยเท้าของฉันเหยียบไว้เป็นที่ระลึกว่า ฉันคือหลวงพ่อเดิม #ที่ในหลวงท่านพระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็นพระครูนิวาสธรรมขันธ์ 

#หมายถึงว่าเป็นที่ตั้งแห่งธรรมทั้งปวง 
#ฉันปฏิบัติในกรอบแห่งความดี 

ฉันไม่เบียดเบียน ฉันสร้างความเจริญในถิ่นกันดาร ฉันทำดีเพื่อให้พระศาสนารุ่งเรือง เมื่อได้รอยเท้าของฉันไปแล้วก็จงระลึกว่า หลวงพ่อเดิมท่านทำดี เราควรทำความดีเจริญรอยตามรอยเท้าของท่านไปเป็นคนดี คิดดี ทำดี อยู่แต่ในศีลธรรมอันดีงาม 

#นั่นแหละรอยเท้าของฉันจึงจะขลัง 
#ไม่ใช่เอาไปโพกหัวแล้วยิงไม่ออก 

แต่ไม่เคยมีใครถามฉันสักราย เห็นแต่เอารอยเท้าไปติดตัวแล้วหายเงียบไป”

“#คุณฟังฉันให้ดี ๆ นะ คนที่มาวัดนั้นร้อยละแปดสิบ

#เป็นพวกคนโง่ #จ้องจะมาเอาแต่ของขลัง 

#เพราะเขายังห่างธรรมะ ร้อยละยี่สิบเข้ามาหาธรรมะมาสนทนาธรรมกับฉัน มีเพียงไม่กี่คนที่ถามฉันเหมือนที่คุณถามฉัน ก็จะบอกกับเขาว่า
“#เอารอยเท้าฉันไปนะ ฉันเป็นอุปัชฌาย์ของเธอ ฉันเป็นพระที่เธอนับถือ ฉันไม่เก่งอะไรหรอก 

#แต่ฉันสร้างความดี #เธอจงเอารอยเท้าฉันไปดูให้ติดตา 

#แล้วทำความดีตามรอยเท้าฉัน 
#แล้วจะประสบความสุขความเจริญทั่วหน้า”

หลวงพ่อเดิม พุทฺธสโร วัดหนองโพ

http://www.yorbor.com/index.php?topic=4211.0;wap2

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...