นั้นไม่ว่าบ้านเมืองหรือโลกนั้นมันจะผิดปรกติหรือวิปริตไปแล้วก็ดี เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงหรือห้ามมันได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราสามารถจะทำได้ ก็คือจิตใจของเรานี่แล ควรหมั่นภาวนาอบรมบ่มจิต หมั่นเจริญศีลคือการรักษาจิตให้มันสะอาด เป็นการผดุงกรรมอย่างหนึ่ง
นั้นเมื่อการที่เราเจริญศีลเจริญภาวนา ก็ถือเป็นการผดุงกรรม ทำให้จิตเรานั้นร่างกายก็ดี..มีภูมิต้านทานเกี่ยวกับโรคภัย นั้นสิ่งสำคัญก็คือกำลังใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การเจริญบุญกุศลบารมีนั้นมันก็ต้องยังไปต่อ เพราะว่าลมหายใจเรายังมีอยู่ หากเราไม่เจริญบุญเจริญกุศลในช่วงนี้ คือประคับประคองไว้ หากมีเภทภัยเข้ามามากจนเกินไป บุญที่เราพอมีอยู่อาจจะรับต้านทานไว้ไม่ได้
นั้นเราต้องทำอย่างไร..ไม่ว่าเราจะอยู่ที่เรือนที่พักอาศัยใดก็ตาม เมื่อเราพ้นจากกิจอันว่างจากทางโลกแล้ว ก็ควรมีเวลาให้กับเทพเทวดาพรหมเค้าบ้าง คือหมั่นเจริญภาวนา สวดมนต์แผ่เมตตา ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ทำที่กล่าวมามันจะช่วยอะไรได้บ้าง นี่แหล่ะคือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นการเจริญความดี สร้างภูมิคุ้มกันเป็นเกราะกำแพง
เมื่อเราเจริญความดีเจริญเมตตาเจริญภาวนา ก็ให้เรามีการเจริญอโหสิกรรม ขอขมากรรม เมื่อเราขอขมากรรมเจริญเมตตา เจริญพรหมวิหารอยู่บ่อยๆ จนจิตเราเข้าถึงตั้งมั่นในพระรัตนตรัย
ในขณะที่จิตเรานั้นสงบ แผ่เมตตาจิตออกไปให้ดวงจิตสรรพสัตว์วิญญาณ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย เชื้อโรคเชื้อภัยทั้งหลาย อย่าได้มาเบียดเบียน อย่าได้มาจองเวร อย่าได้มาจองกรรม อย่าได้มาอาฆาตพยาบาท ด้วยอำนาจบุญกุศลที่เราเจริญภาวนา เจริญมนต์ก็ดี เจริญเมตตาก็ดี ขอกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำนี้ จงไปช่วยอนุเคราะห์เกื้อกูล ยับยั้งป้องกันภัยพิบัติทั้งหลาย ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเรา ครอบครัวเรา เพื่อนฝูง ญาติมิตรสหาย ลูกหลาน บุตรภรรยา
จิตเรานั้นเมื่อเราน้อมเข้าถึงกระแสพระรัตนตรัยนั้น ย่อมมีอำนาจ ย่อมมีกระแส ย่อมมีกำลัง แผ่ไปได้ไพศาล แล้วเรามาย้อนถามกันว่า..บุญกุศลนี้จับต้องได้หรือไม่ ก็ไม่ต่างอะไรกับเชื้อภัย เชื้อโรค ก็ไม่สามารถจับต้องได้ว่ามันจะมาอย่างไร มาได้ตอนไหน เมื่อจิตเราตั้งมั่นในกุศล ละจากความกลัว สิ่งเหล่านี้แลก็จะช่วยป้องกันภัยได้
หากเรายังมีอกุศลกรรมจนจิตไม่ตั้งมั่นในศีล นั้นยุคนี้ผู้จะประคองตนให้อยู่ได้ ไม่ว่าในฐานะใดๆ อำนาจแห่งศีลนี้แลจะเป็นตัววัดผล นั้นเมื่อเรานั้นถ้าตั้งมั่นในศีลได้แล้ว..ก็ควรรักษามันไว้ให้มั่นคง เมื่อศีลเรามีมั่นคงแล้ว ก็ควรเจริญภาวนา เจริญสมาธิ เจริญปัญญา ให้เข้าถึงธรรมอันประเสริฐ คือการเห็นโทษเห็นภัยในวัฏฏะ
เมื่อผู้ใดเห็นโทษเห็นภัยในวัฏฏะอยู่บ่อยๆเนืองๆ จิตนั้นย่อมปล่อยวาง คลายจากความยึดมั่นถือมั่น เมื่อจิตคลายจากความยึดมั่นถือมั่น ไม่ส่งจิตออกไปภายนอก จิตไม่เร่าร้อน จิตไม่มีความอาฆาตพยาบาทกับผู้ใด จิตมันก็ว่าง เมื่อจิตมันว่างมีความสงบแล้วไซร้ ขอให้โยมจำไว้ว่า เภทภัยศัตรูอันใด เจ้ากรรมนายเวรอันใด..ก็จักมองไม่เห็นเรา
นี้แล..นี่หมายถึงว่าจิตเรานั้นเป็นปรกติ นั้นเมื่อจิตเป็นปรกติแล้ว อะไรที่มันผิดปรกติ เราก็สามารถจะรับรู้สัมผัสมันได้ เท่าทันมันได้ อย่าไปอุปาทานไปวิตกกังวลเสียก่อนที่มันจะเกิดขึ้น
ดังนั้นหากว่าใคร..ศีลมันยังบกพร่องอยู่ก็ให้แก้ไข หากมันชำรุดก็ให้ชุนปะซ่อมแซม ประคับประคอง ปะชุนมันขึ้นมา ก็อย่างที่บอกเหมือนเสื้อผ้าอาภรณ์ หากมันมีรูรอยรั่วรอยร้าว ก็เป็นของธรรมดาก็ย่อมมีสิ่งใดๆที่มันจะผ่านเข้ามาได้ อุปมาก็เปรียบเหมือนอย่างนั้น
นั้นถ้าศีลเรายังไม่มั่นคงแข็งแรง ก็ให้ระลึกถึงความตายไว้เป็นที่ตั้ง ระลึกถึงบุญกุศลที่เรามี ระลึกถึงทานที่เราทำ ระลึกถึงองค์ภาวนา การระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ความตายก็ดี บุญกุศลก็ดี นี่ก็เรียกว่าจิตเรามีที่ยึดเป็นสรณะ จิตเป็นบุญเป็นกุศล จะทำให้จิตเข้าถึงความสงบได้โดยเป็นปรกติ โดยธรรมชาติของจิต
ให้ระลึกถึงธรรมใดธรรมหนึ่ง เมื่อพิจารณาแล้วระลึกแล้ว..มันทำให้เราคลายจากความกำหนัด จิตเข้าถึงความปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นใดๆ เข้าถึงการปลงสละ ว่าความตายจักมีแก่เราในไม่ช้า ความแก่ ความชรา ความพลัดพรากจักมีแก่เรา เมื่อเราระลึกและพิจารณาได้อย่างนี้ จิตมันก็ปล่อยวางละวาง ความโลภ ความโกรธ ความหลงใดๆ มันก็จะปล่อยวางและเบาบาง
ไอ้ที่เวรภัยทั้งหลายมันเข้ามาถาโถม บุคคลที่ไม่มีสรณะ ไม่มีที่ตั้งในความดีแล้ว โลภนี้แล ความโกรธนี้แล ความหลงนี้แล นี่คือไฟที่ทำให้จิตมนุษย์มันเร่าร้อน นี่ก็คือเจ้ากรรมนายเวรที่ตามคอยมาอาฆาตพยาบาท คอยทำให้เกิดวิบากกรรมเกิดผล ดังนั้นไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดหากเรานั้นไม่มีสรณะเป็นที่พึ่ง จิตใจเรานั้นต้องมีแต่ความเร่าร้อน แม้จะนอนก็ดีก็ไม่เป็นสุข ตื่นมาแล้วก็หาความสงบไม่ได้
ดังนั้นการที่เรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีศีลเป็นที่รองรับเหมือนเป็นกำแพงเป็นรั้ว ย่อมป้องกันศัตรูป้องกันภัย การภาวนาคือการเจริญสติเพื่อให้ระลึกเท่าทันอาการของจิต ของอารมณ์ที่มากระทบให้เท่าทัน
ดังนั้นบุคคลที่จะอยู่รอดปลอดภัยอยู่ในยุคนี้ ขอให้โยมตระหนักว่าบุญกุศลที่โยมทำมานั้นมันเป็นอย่างไร เรายังยึดมั่นถือมั่นพอใจในบุญกุศลหรือไม่ ทาน ศีล ภาวนาของเรายังอบรมบ่มจิตอยู่หรือไม่ ภาวนามนต์เรายังทำเป็นกิจวัตรประจำวันหรือไม่ ถ้าสิ่งการใดที่เราเคยทำแล้ว ในปัจจุบันนี้ในขณะนี้เรานั้นได้พลั้งเผลอ ได้ปล่อยปละละเลย ขอให้โยมระลึกถึง ควรมีความเพียร มีมานะ มีความขยัน อุตสาหะ มีศรัทธา
เพราะว่าไม่มีอะไรจะมารับรองภัยได้..นอกจากพระรัตนตรัย หากเรานั้นยังไม่มีอะไรดี จิตเรายังไม่มั่นคงตั้งมั่น เมื่อยังมีความกลัวอยู่ ยังมีความหดหู่ ยังมีความฟุ้งซ่านในจิตอยู่แล้ว อย่างนี้ย่อมเป็นที่ไม่ปลอดภัย
นั้นสิ่งที่จะปลอดภัยก็คือการเจริญทาน ศีล ภาวนาให้บังเกิด ถ้ามันเกิดแล้วก็ให้รักษาไว้ แล้วสิ่งไหนมันเข้ามา..ก็ควรให้ละในอกุศลกรรมออกไป คือการขอขมากรรม ขออโหสิกรรม คือการเจริญในพรหมวิหาร ๔ ให้มากๆ ไม่อย่างนั้นแล้ว เจ้ากรรมนายเวร คู่อาฆาตพยาบาท คู่อิจฉาริษยาเหล่านี้ มันก็จะได้สบได้ช่องเข้ามาเบียดเบียน
ถ้าโยมไม่ตั้งมั่นในศีล ก็จะไม่มีใครจะช่วยเราได้ ไม่ใช่ว่าบอกว่าเรานั้นจะไปอยู่วัด อยู่สถานที่อันเป็นมงคล แต่ตัวเรายังไม่มีความเป็นมงคล อยู่วัดแต่ใจยังไม่ถึงวัด สวดมนต์ภาวนาแต่จิตนั้นยังหาความสงบไม่ได้ เจริญสมาธิจิตก็ยังไม่ปล่อยวาง สิ่งเหล่านี้เรียกว่า..เรายังไม่เข้าถึง เมื่อยังไม่เข้าถึงแล้ว..ก็เรียกว่ายังไม่พ้นภัย
การที่จะให้จิตเราเข้าถึง ตั้งมั่นและพ้นภัย นั้นเราต้องเข้าถึงความศรัทธาให้ได้ก่อนในความเชื่อ ต้องมีศรัทธา ต้องเคารพในพระรัตนตรัย ตั้งมั่นอยู่ในศีล เมื่อเรามีความเคารพและตั้งมั่นในศีลในพระรัตนตรัยแล้ว เราก็จะมีที่ที่ปลอดภัย..เหมือนมีสิ่งที่คุ้มครอง
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น