30 มิถุนายน 2564

พ่อสอนลูก

เราตั้งใจทำความดีแล้ว ก็จงอย่าปล่อยให้ใจมันเสีย ที่เราทำนี้ เราบูชาพระพุทธเจ้า จำไว้ว่าเราทำความดีทุกอย่าง ก็เพื่อการบูชาคุณของพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ การสอนแนวแห่งการปฏิบัติ สอนให้รู้อารมณ์พระกรรมฐาน แล้วก็รู้อาการของปิติ รู้นิมิตรต่างๆนั้น เป็นหัวใจของการภาวนา เป็นหัวใจที่จะเข้าถึง การละวางอุปทานขันธ์ ๕ และกองทุกข์

การหยิบผลของคนที่เขาปฏิบัติได้แล้วมาเชยชม นอกจากจะไม่ส่งผลถึงการกำหนดรู้ได้แล้ว ยังไม่สามารถเข้าใจ ในด้านอารมณ์แห่งการปฏิบัติได้จริง ศิษย์เอก ศิษย์โท ไม่ได้มาจากการเป็นนักปราชญ์ผู้รู้ในความหมาย ของพระกรรมฐานทุกกอง แต่การจะเป็นศิษย์เอกนั้น เขาเริ่มกันที่ เพียรสร้าง สติ สัมปชัญญะ จากศีล สมาธิ และปัญญา

พ่อไม่เคยสอนศิษย์ของพ่อ ให้แตกฉานในวิทยาอาคม สิ่งสูงสุดที่พ่อสอน คือหนทางแห่งการ "เจริญวิปัสสนา" เพื่อการชำระล้างกิเลสให้สูญ แต่การจะมีวิปัสสนา ก็ต้องฝึกจิตให้มีกำลัง ในด้านของสมถะกันเสียก่อน วิปัสสนาจึงชื่อว่ามาคู่กันกับสมถะเสมอ พ่อไม่เคยสอนให้แยกกันทำ ไม่เคยบอกว่าต้องฝึกทีละตัว หรือเลือกมาเพียงตัวใดตัวหนึ่ง ก็ไม่เคย   
ลูกต้องเข้าใจว่า การฝึกสมาธิให้รวมตัวกันเป็นตัวรู้ หรือจิตผู้รู้นั้น จงอย่าหวังไกล อย่ามองข้าม แล้วทำแบบคนขยันเกิน ไม่ได้ ก็พยายามเอาให้ได้ ให้เร็ว เดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้ อย่างนี้จะไม่มีวันได้ คำว่าพยายามในความหมายนั้น ท่านหมายถึงทำแบบสบายๆ ไม่ลด ละเลิกความตั้งใจ ไม่ฝืนร่างกายให้ทรมาน ไม่ฝืนอารมณ์ ข่ม หรือพยายามจนเกินกำลัง แบบขาดสติสัมปชัญญะ ผู้ใดหมั่นภาวนา แต่ สติ สัมปชัญญะ ไม่ทรงตัวจะกลายเป็นการพัฒนาแบบผู้มีปัญญาทึบ   

อย่านั่งเงียบๆเลยลูก...
จะชอบนิ่งๆก็ไม่เอาไหนจิตต้องจับกุศลส่วนใดส่วนหนึ่งในการภาวนา ตามรู้ลมหายใจ เข้า และออกเมื่อจิตละจากกุศล จิตจะมัวทันที เกิดเป็นความทุกข์ถ้าฝึกกันชำนาญสติ รู้จักเข้ามาช่วยประคองให้ทรงตัวอยู่ได้ นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมต้องฝึก สติ สัมปชัญญะให้เกิด.....

โดย พระเดชพระคุณ
พระราชพรหมยานมหาเถระ
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

   ' ทางสายพระอริยบุคคล ' 
๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๔

29 มิถุนายน 2564

พระคาถาป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ

ทุกวันนี้ พวกเราต้องเผชิญกับโรคภัยต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะโรคโควิด-19 ที่กำลังระบาดหนักในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนมาไหน จะป้องกันตัวเองอย่างดีเท่าไร ก็ยังหวั่นใจ ทำให้เราเผชิญความเครียดสะสม มีคาถา บทสวดมนต์ ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ บทต่างๆ มาแนะนำ ซึ่งสามารถสวดได้ทุกวัน ทุกเวลา มีคาถา บทสวดมนต์ดังนี้ 

บทสวดรัตนสูตร (คาถาปัดเป่าโรคระบาด)
ในสมัยพุทธกาลเล่ากันว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระสูตร ‘รัตนสูตร’ ขึ้นมา ก็เพื่อขจัดปัดเป่าภัยความอดอยาก ภัยจากโรคระบาด และภัยจากอมนุษย์เบียดเบียน ชาวพุทธจึงถือเป็นธรรมเนียมสวดพระสูตรนี้เพื่อขจัดโรคภัยโรคระบาด เช่นโรคห่า นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่าการสาธยายรัตนสูตร หรือรัตนปริตร จะทำให้ได้รับความสวัสดี และพ้นจากอุปสรรคอันตรายทั้งหลายทั้งปวงด้วย อีกหนึ่งตำนานเล่าว่า “รัตนสูตร” เป็นพระสูตรที่พระอานนท์เรียนจากพระพุทธองค์โดยตรง เพื่อใช้สวดขจัดปัดเป่าภัยพิบัติที่เกิดกับชาวกรุงเวสาลี พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้พระอานนท์น้อมเอาคุณของพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำสัจกิริยาให้เกิดเป็นอานุภาพขจัดปัดเป่าภัยพิบัติได้

บทสวดโพชฌงคปริตร (คาถาขจัดโรคร้าย)
บทสวดนี้เป็นบทสวดสำคัญที่พระสงฆ์นิยมนำมาสวดในงานทำบุญคล้ายวันเกิด หรือสวดเพื่อสร้างกำลังใจให้แก่ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยให้มีพลังจิตในการสร้างสติขึ้นซึ่งบทนี้จะเกิดอานุภาพมากหากประกอบกับการบำเพ็ญจิตเจริญภาวนาควบคู่ไปด้วย

พระคาถาสักกัตวา (ระงับโรคภัยไข้เจ็บ)
 ผู้ใดหมั่นสวดพระคาถานี้ จะระงับโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งจะอายุยืนยาว ถ้าผู้ใดสวดเจริญอยู่เป็นนิจ นอกจากจะปราศจากโรคภัยไข้เจ็บแล้ว ยังแคล้วคลาดจากภัยต่างๆ

คาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร (ป้องกันอันตรายทั้งปวง)
เป็นคาถาปราบมารจากพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ใช้สวดเพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจากอุบัติเหตุในบ้าน, อุบัติเหตุบนท้องถนน หรือแม้แต่อันตรายที่อาจจะเกิดได้จากคน สัตว์ หรือสิ่งของต่าง ๆ

คาถาป้องกันสารพิษและเชื้อโรคร้าย โดยครูบาบุญชุ่ม
สวดคาถานี้เพื่อให้จิตมีเกราะ มีสมาธิ จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่หวาดกลัว เพราะจิตที่เข้มแข็งก็เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง

การศึกษาในองค์สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี

 

อายุได้ ๑๘ ปี ก็ย้ายมาศึกษากับอาจารย์แก้ว วัดบางลำพู กรุงเทพฯ อาจารย์แก้วจัดให้สามเณรโตอยู่ที่วัดบางลำพูบนนั้น และเมื่อเห็นว่าฤกษ์ดีแล้วจึงพาไปฝาก พระโหราธิบดี และ พระวิเชียร กรมราชบัณฑิต ให้ช่วยแนะนำสั่งสอนสามเณรโต

พระโหราธิบดี พระวิเชียร บ้านอยู่หลังวัดบางลำพูบน เสมียนตราด้วง และ ขุนพรหมเสนา บ้านอยู่บางขุนพรหม ปลัดกรมนุท บ้านอยู่บางลำพูบน เสมียนบุญ และ พระกระแสร์ ทั้ง ๗ ท่านล้วนเป็นคนมั่งคั่งหลักฐานดี มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เมื่อเห็นจรรยาอาการของสามเณรโตที่หมั่นเรียนพากเพียร มารยาทก็ละมุนละม่อม ท่านทั้ง ๗ จึงร่วมกันเป็นโยมอุปัฏฐากอุปถัมภ์บำรุง หมั่นไปหาที่วัดบางลำพูเสมอ สัปบุรุษอื่นๆก็เลื่อมใส บางคนก็นิมนต์แสดงธรรมเทศนา ถึงฤดูหน้าเทศน์มหาชาติ ตามวัดแถวนั้นคนก็นิยมนิมนต์สามเณรโตเทศน์ทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ทำเสียงเล็กแหลมก็ได้ ทำเสียงหวานแจ่มใสก็ได้ ทำเสียงโฮกฮากก็ได้ มีกลเม็ดแพรวพราว เสียงเสนาะน่าฟังทุกกัณฑ์ แต่สามเณรโตก็มิได้หลงใหลกับความรวยจากเทศน์มหาชาติ และมิได้มัวเมาด้วยอุปัฏฐากมาก เอาใจใส่แต่การเรียนการปฏิบัติทางเพลิดเพลินเจริญธรรม จึงเป็นที่รักใคร่ของผู้ที่อุปถัมภ์ทั่วไป

สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี สร้าง หลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร

พ.ศ. ๒๔๑๐ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ขณะนั้นท่านอายุประมาณ ๘๐ปี ได้เริ่มก่อสร้างพระพุทธรูปยืน อุ้มบาตร เป็นวัดบางขุนพรหมนอก (วัดอินทรวิหาร) เป็นวัดเก่าแก่สมัยกรุงศรีอยุธยา ท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้วางรากฐานโดยใช้ซุงใหญ่ฝังเป็นคานทับถมด้วยไหและตุ่ม ตั้งเสาไม้ตะเคียนเป็นแกนกลาง ๗ ต้น ก่ออิฐถือปูนติดแน่นตลอดทั้งองค์ เป็นการวางรากฐานไว้อย่างแน่นหนามั่นคง นับเป็นพุทธานุสรณ์ที่ท่านมุ่งมั่นตั้งใจ ด้วยมีเหตุว่าท่านมายืน-มาเติบโตที่วัดบาง ขุนพรหมนอกแห่งนี้ ท่านจะระลึกถึงทุกสถานที่ที่ผูกพันกับชีวิตท่านเสมอ เพื่อแสดงความกตัญญูกับสถานที่ ที่ท่านเคยดำรงอยู่ในช่วงหนึ่งของชีวิตท่าน 

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้มาเป็นประธานก่อสร้างปูชนียวัตถุครั้งสุดท้ายที่สำคัญของท่าน คือ พระพุทธรูปหลวงพ่อโต (พระศรีอริยเมตไตรย) ที่วัดอินทรวิหาร ทว่าการก่อสร้างก็ยังไม่ทันสำเร็จ โดยขณะนั้นก่อองค์พระได้ถึงเพียงระดับพระนาภี (สะดือ) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ก็ได้อาพาธถึงแก่มรณภาพสิ้นชีพิตักษัย บนศาลาเก่าวัดอินทรวิหาร ณ วันเสาร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ ปีวอก ตรงกับวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๕ เวลา ๒ ยาม สรีระสังขารของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ก็ได้เคลื่อนย้ายไปสู่วัดระฆัง ตรงกับในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สิริรวมอายุได้ ๘๔ ปี อยู่ในสมณเพศ ๖๔ พรรษา เป็นเจ้าอาวาสครองวัดระฆังโฆสิตารามได้ ๒๐ ปี

“อภินิหารของหลวงพ่อโต”
หลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ดังเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วโดยทั่วกันในอดีต กล่าวคือในระหว่างที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในระหว่างสงคราม (พ.ศ. ๒๔๘๔ - ๒๔๘๗) หลวงพ่อโตหาได้กระทบกระเทือนแต่อย่างใดไม่ คงอยู่เป็นมิ่งขวัญเป็นที่สักการะของชาวเราอยู่ตลอดไป ได้มีผู้กล่าวสรรเสริญถึงอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ของท่านอยู่เสมอมิได้ขาด ในยามสงครามประชาชนในเขตอื่นๆ อพยพกันเป็นจ้าละหวั่น แต่ในบริเวณเขตหลวงพ่อโตมิใคร่จะมีใครอพยพกัน ซึ่งบางท่านกล่าวว่าจะไม่ยอมไปไกลจากองค์หลวงพ่อโตเป็นอันขาด แต่มีบางท่านที่จะต้องอพยพ ได้ไปทูลลาสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสเทว)” วัดสุทัศน์ มีรับสั่งว่า
“อย่าไปเลย ในบริเวณวัดอินทรวิหารเหมาะและปลอดภัยดีแล้ว เพราะหลวงพ่อโตท่านก็คุ้มครองอยู่คงจะปัดเป่าภยันตรายไปได้ และสมเด็จพระพุฒาจารย์ฯ (โต) ท่านเป็นผู้สร้าง ได้ทำไว้ดีแล้ว”
ประชาชนส่วนมากในบริเวณวัดอินทรวิหาร จึงไม่ใคร่อพยพจากไป นอกจากนั้นเมื่อมีภัยทางอากาศเกิดขึ้นในคราวใด ประชาชนในเขตอื่นๆ ยังพลอยหลบภัยเข้ามาอาศัยอยู่ในบริเวณหลวงพ่อโตเป็นจำนวนมาก ปรากฏว่ามีเครื่องบินมาทิ้งลูกระเบิดที่บริเวณวัดอินทรวิหารเหมือนกัน เป็นลูกระเบิดเพลิงรวมด้วยกัน ๑๑ ลูก แต่ไม่ระเบิดและไม่เกิดเพลิงแต่อย่างใด ในครั้งต่อมาได้มีเครื่องบินมาทิ้งระเบิดที่ตำบลเทเวศร์ โดยเฉพาะองค์หลวงพ่อโตวัดอินทรวิหารใกล้กับจุดอันตรายมาก แต่ก็หาเป็นอันตรายแม้แต่น้อยไม่ ซึ่งประชาชนส่วนมากที่หลบภัยเข้ามาในบริเวณหน้าหลวงพ่อโต มองเห็นฝูงเครื่องบินมาทิ้งระเบิดบ่ายโฉมหน้ามุ่งหมายตรงมายังหลวงพ่อโต ครั้นมาถึงในระยะใกล้เครื่องบินฝูงนั้นกลับวกมุ่งไปทางทิศอื่น ซึ่งดูประหนึ่งว่าหลวงพ่อโตท่านโบกพระหัตถ์ให้ไปทางอื่นเสีย ประชาชนและบ้านเรือนในบริเวณหน้าหลวงพ่อโตวัดอินทรวิหารจึงหาเป็นอันตรายแต่ประการใดไม่
พรรณนาไว้ในเรื่องประวัติ อภินิหารหลวงพ่อโต (พิมพ์เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๐)

28 มิถุนายน 2564

พระพุทธรูปไว้ชั้นล่าง เป็นอะไรไหม..

"พระพุทธรูปไว้ชั้นล่าง"

🔹️ผู้ถาม : "ถ้าหากว่าบ้านมี ๒ ชั้น แล้วเอาพระพุทธรูปไว้ข้างล่าง ถ้ามีคนเดินผ่านชั้นบนจะเป็นไรไหมคะ ถือว่าเป็นการข้ามพระพุทธรูปไหมคะ..?" 

🔸️หลวงพ่อ : "ไม่เป็นไรหรอก เพราะเราไม่ได้ตั้งใจปรามาส ก่อนขึ้นก็ไหว้ ขอขมาอภัยท่าน" 

🔹️ผู้ถาม : "แต่ถ้าหากเป็นพระธาตุนี่ เอาไว้ชั้นล่างไม่ได้ใช่ไหมคะ..?" 

🔸️หลวงพ่อ : "มันก็ครือกัน...แล้วแต่ ถ้าหากว่าไม่มีความจำเป็นอะไรก็ไว้ชั้นบนก็ดี ใจจะได้สบาย พระพุทธรูปก็เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นกรณีพิเศษ เราเดินขึ้นไปโดยไม่มีใจปรามาส ก็ไม่เป็นไรนะ"
.
.
.
🙏โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
✍คัดจากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑ หน้า ๑๑๕
Cr : เจง กิสข่าน

27 มิถุนายน 2564

อดีตชาติหลวงพ่อฤาษี 13 ชาติ

 อดีตชาติหลวงพ่อฤาษี 13 ชาติที่เกิดตั้งแต่สมัยโยนกนคร จนถึงรัตนโกสินทร์ ลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และเพื่อช่วยเหลือคนไทย และช่วยให้พระพุทธศาสนามีอายุครบ 5000 ปี

เรื่อง อดีตชาติหลวงพ่อฤาษี 13 ชาติที่เกิดตั้งแต่สมัยโยนกนคร จนถึงรัตนโกสินทร์ ลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และเพื่อช่วยเหลือคนไทย และช่วยให้พระพุทธศาสนามีอายุครบ 5000 ปี
นี้
ผมอ่านพบข้อมูลจาก กลุ่มพุทธภูมิ ซึ่งนำข้อมูลมาจาก คุณปานิสรา ศิลางาม ซึ่งย่อตอนนี้มาได้กระชับดีมาก เข้าใจง่าย ถ้าท่านใดต้องการอ่านฉบับเต็ม ผมลงเพจที่จะค้นหาไว้ให้แล้วในตอนท้าย
เนื้อหามีอยู่ว่า
นำเรื่องราวของ หลวงพ่อวัดท่าซุง ในการเกิด 13 วาระตั้งแต่สมัยโยนกนคร จนถึงรัตนโกสินทร์ ลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และเพื่อช่วยเหลือคนไทย และช่วยให้พระพุทธศาสนามีอายุครบ 5000 ปี ตามพุทธทำนาย ถ้าอยากอ่านให้ครบก็ไปหา หนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษมาอ่าน หลวงพ่อพูดได้ละเอียดและลึกซึ้งกว่านี้มาก อันนี้เราบอกคร่าวๆนะ เกิดเป็นใครบ้างก็ลองอ่านดู
#วาระที่ 1 เกิดเป็นพระเจ้ามังราย รัชกาลที่ 2 แห่งโยนกนคร เป็นลูกชายพระเจ้าอชุตราช ในชาตินั้นท่านเป็นผู้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ดอยตุง โดยการนำมาของพระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์
#วาระที่ 2 เกิดสมัยโยนก เป็นเณรน้อยอายุ 7 ปีทรงฌานสมาบัติ แต่ได้ถูกขอมดำกระทำย่ำยี เวลานั้นขอมดำมายึดเมืองโยนกนครได้แล้ว แล้วทำการกดขี่ข่มเหงรังแกคนไทย
เณรจึงเข้าฌานสมาบัติ ตั้งจิตอธิษฐานว่า เกิดคราวหน้าขอให้ได้เกิดมาเป็นคนไทย และได้ช่วยคนไทยทุกแง่ทุกมุม
มิไม่ใช่เฉพาะการรบ การเศรษฐกิจ การปกครอง แม้แต่การรบทุกอย่างให้ครบถ้วน ให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส "พอตั้งจิตอธิษฐานก็ไม่ถอนจากฌานสมาบัติ ก็นั่งทรงฌานอย่างนั้นจนตาย แล้วไปเกิดเป็นพรหม ชั้นที่ 11
#การเกิดครั้งที่3 หลังจากตายจากเณรน้อย ไปเป็นพรหมชั้นที่11ได้เพียง1ปีเศษ ก็ลงมาเกิดเป็น "พระเจ้าพรหม มหาราช" เป็นโอรสของพระเจ้าพังคราช รัชกาลที่ 37 ในสมัยโยนกนคร มีพี่ชายชื่อทุกภิขะ( บริเวณพระธาตุจอมกิตติ ดอยตุง เป็นเขตเมืองโยนกนคร) เกิดพร้อมสหชาติที่เป็นพรหม เทวดา ลงมาเกิดพร้อมกัน 250คน ทั้ง250คน เกิดเป็นผู้ชายทั้งหมด พรหมอีกองค์นึงเกิดเป็นช้างประกายแก้ว ช้างคู่บารมีพระเจ้าพรหม ลงมาเกิดเพื่อกู้ชาติให้พ้นความเป็นทาสจากขอมดำ และทำสำเร็จด้วย ทุกวันนี้วันอาสาฬหบูชาที่วัดท่าซุงก็มีการแห่ชัยชนะพระเจ้าพรหมทุกๆปี
#การเกิดในวาระที่4 หลังจากที่ตายจากการเป็นพระเจ้าพรหมสมัยโยนก แล้วเข้าฌาณตาย กลับไปเป็นพรหม เวลาผ่านไปอีก 800 ปีลงมาเกิดเป็นพระร่วงโรจนฤทธิ์ ตอนเด็กมีนามว่าอรุณกุมาร เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก มีวิชาอาคม มีวาจาสิทธิ์ สามารถเสกขอมให้เป็นหินได้ และขยายอาณาเขตของประเทศไทย (ตอนนั้นยังไม่เป็นเทศไทย )กว้างใหญ่ไพศาล ยึดมอญ พม่าขอมไว้ได้หมด อาณาจักรยาวเหยียด เวลานั้นคือก่อนเมืองสุโขทัย 700 ปีเศษ ก่อนหน้าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ 700ประมาณปีเศษ
#วาระที่5 เกิดเป็น"พ่อขุนศรีเมืองมาน"( เป็นพ่อของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งอณาจักรสุโขทัย)
ตายจากพระร่วงโรจนฤทธิ์ก็เข้าฌานตาย กลับไปเป็นพรหมเช่นเดิม กลับมาเกิดวาระที่5 เป็นพ่อขุนศรีเมืองมาน มีสหชาติเกิดมาด้วยคือ พ่อขุนน้าวนําถม
ลงมาช่วยกู้ชาติไทยจากขอมดำ ขยายอาณาเขตประเทศไทยไปถึงสิงคโปร์ มีภรรยาชื่อพรรณวดีศรีโสภาศ เป็นเมียเอก และมีเมียราษฏร์อีก 29 คน พอเมียเอกตาย ก็บวชไม่สึกอีกเลย เข้าฌานตายแล้วไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม
#วาระที่6 "ขุนหลวงพระงั่ว" รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงศรีอยุธยา
ต่อมาคนไทยเกิดแบ่งเป็น 2 พวก จึงต้องลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็น1
เดียว ลงมาเกิดในราชวงศ์อู่ทอง เป็น"ขุนหลวงพระงั่ว" มาปลุกจิตสำนึกคนไทยให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ จึงนิมนต์พระสงฆ์มาร่าง"ไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วง พระร่วงไม่ได้ทำ
ท่านเป็นเพียงแต่ศาสนูปถัมภ์
ไตรภูมิพระร่วง เป็นการร่วมมือกันระหว่างสุโขทัยและกรุงศรี
และยังได้ร่วมกันสร้างพระพุทธชินราชพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศากยมุนีขึ้นมาเป็นมิ่งขวัญของเมืองไทย เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าประเทศไทยจะทรงตัวได้ด้วยเหตุ 3 อย่างด้วยกัน
คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
พระพุทธชินราช หมายถึง พระมหากษัตริย์
พระพุทธชินสีห์ หมายถึง พระศาสนา
พระศากยมุนี หมายถึง ชาติ
การสร้างครั้งนี้ก็เป็นหน้าที่ของท้าวโกสีย์สักกะเทวราชให้พระวิษณุกรรมมาช่วย ขุนหลวงพระงั่วได้มารวมสุโขทัยกับอยุธยาเป็นประเทศเดียวกัน
#เกิดวาระที่7 ต่อมาลงมาเกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงศรีฯ ครั้งนี้เป็นลูกชาวบ้าน แต่เป็นลูกมหาเศรษฐี มีแม่ชื่อปิ่นทอง พ่อชื่อกองแก้ว ท่านเองเป็นลูกชายชื่ออำไพ ลงมาช่วยคน ให้เงินให้ทอง ให้ที่ทำกิน ช่วยการเกษตร ช่วยทุกสิ่งทุกอย่าง ให้การศึกษา จนคนไทยเป็นปึกแผ่นแน่นหนาพอ ประชาชนมีความสุข และท่านก็ตายไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม
#วาระที่ 8 เกิดมาในตระกูลของแม่ทัพสมเด็จพระพันวสา คือสมเด็จพระอินทราธิราช มีนามว่า "ขุนไกร" (#ขุนแผน) เป็นอันว่าชาตินี้ขุนแผนต้องรวบรวมไทยอาศัยที่มีวิชาการมาก เป็นนักรบเก่ง
ล่องหนหายตัวได้ สะเดาะกลอนได้
ทำหุ่นพยนต์ได้ ทำอะไรได้แปลกๆ
การยกทัพไปก็ไม่ต้องใช้กำลังคนมาก
ก็สามารถจะสู้ข้าศึกได้
#วาระที่ 9 เกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ มีนามว่าพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อพระบรมไตรโลกนาสวรรนคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิมไม่ช้าไม่นานก็ต้องเสด็จลงมาเกิดอีก
#วาระที่10 เกิดสมัยพระนารายณ์ ท่านลงมาเกิดเป็น"ขุนเหล็ก"
หรือพระยาโกษาเหล็ก เกิดควบคู่กับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นเพื่อนเล่นกัน ขุนเหล็กมีน้องชายชื่อว่าขุนปาน หรือพระยาโกษาปาน ทั้งสองพระองค์ เป็นที่ไว้วางใจของสมเด็จพระนารายณ์มาก
#บั้นปลายชีวิตลากิจราชการไปจำศีลเจริญภาวนาวิปัสสนาญาณ ให้ทาน ตายจากเจ้าพระยาโกษาเหล็ก ก็เข้าฌานกลับไปเป็นพรหมตามเดิม
#วาระที่11 ลงมาเกิดมาเป็นขุนดาบคู่ใจของพระเจ้าตากสินมหาราช คือพระยาศรีสิทธิสงคราม อยู่ในกองทัพหลวงประจำองค์พระเจ้าตากสินมหาราชสมัยกรุงธนบุรี
ก่อนกรุงศรีจะแตก เป็นกำนันจัน ชื่อว่า
#จันหนวดเขี้ยว เป็นที่รักของประชาชน
ต่อมาค่ายบางระจันแตก
นายจันหนวดเขี้ยวจึงมารวมกำลังกับพระเจ้าตากสินกู้ชาติ
ต่อมาพระเจ้าตากสินจึงเปลี่ยนชื่อให้จากกำนันจัน มาเป็นพระยาศรีสิทธิสงคราม ประจำกองทัพหลวง
(ด้วง- นายจันหนวดเขี้ยว- พระยาศรีสิทธิสงคราม -เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก-และ #สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็คือคนๆเดียวกัน เพียงแต่ว่า หน้าที่การงานและตำแหน่งมันต่างวาระ ทำให้ชื่อต่างกัน แต่ก็คือคนๆเดียวกันนั่นเอง)
#วาระที่12 มาเกิดเป็น รัชกาลที่... แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ สร้างคุณประโยชน์ใหญ่ไว้มากมายต่อแผ่นดิน (คิดเอาเองไม่บอก)
#วาระที่13 ชาติสุดท้ายเกิดมาเป็นหลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง ไปนิพพานเรียบร้อยแล้ว
หาอ่านเพิ่มได้จากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ อันนี้เราเขียนแค่คร่าวๆ
แต่ถ้าอ่านทั้งเล่มเราจะรักชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ จะรู้สึกรักบรรพบุรุษของเรามาก เพราะกว่าจะมีไทยทุกวันนี้บรรพบุรุษของเราแลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิต
*#ถ้าใครไม่เชื่อก็เลื่อนผ่านไป อย่าคิดดูหมิ่นและเหยียดหยาม จะเป็นการปรามาสพระป่าวๆ ถ้าไม่เชื่อก็ข้ามไปเลยจ้า ไม่ได้ให้บังคับให้เชื่อ แต่ว่าเอามาเล่าสำหรับคนที่ศรัทธา และคนที่เนื่องตามกันมาจ้า
อันนี้เอาเฉพาะสมัยโยนกถึงกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยพุทธกาล ของสมเด็จองค์ปัจจุบัน ท่านก็เกิดนะ เป็นพระเจ้าปเสนทิโกศล มีมเหสีชื่อท่านแม่มัลลิกาเทวี
คัดลอกมาจากเนื้อหาบางส่วนจาก
ปานิสรา ศิลางาม
หนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ หลวงพ่อฤาษี หาอ่านได้จากที่นี่ครับ
ข้อมูลจาก กลุ่มพุทธภูมิ

25 มิถุนายน 2564

วิริยังค์ ทำไมจึงมาบวช

ครั้งนึงขณะธุดงค์อยู่หลวงปู่มั่น ท่านก็ถามว่า
“วิริยังค์ ทำไมจึงมาบวช”
พระอาจารย์วิริยังค์ ตอบว่า “เพราะภาวนาเห็นทุกข์”
หลวงปู่มั่น ท่านถามว่า “ใครสอนให้ครั้งแรก”
พระอาจารย์วิริยังค์ ตอบว่า “ไม่มีใครครับ”
หลวงปู่มั่น ท่านก็ถามว่า “ทำยังไงจึงเป็นสมาธิ”
พระอาจารย์วิริยังค์ ตอบว่า “เป็นขึ้นมาเองครับกระผม วันหนึ่งเพื่อนกระผม ชวนไปวัด เพราะจะบวช กระผมเองไม่อยากไป แต่ก็จำใจ วันนั้นต้องอยู่ถึงเที่ยงคืน กระผมก็กลับบ้านคนเดียวไม่ได้เพราะกลัวผี จำเป็นต้องอยู่ อยู่ไปนั่งไป นึกในใจอย่างเดียวว่า (ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่มาอีกแล้ว ๆ ๆ ) อย่างนี้ ไม่ช้าเท่าไรปรากฏว่า ตัวของกระผมหายไปเลย เบาไปหมด...ถึงกับอุทานออกมาเองว่า คุณของพระพุทธศาสนา มีถึงเพียงนี้เทียวหรือ”
หลวงปู่มั่น ก็ได้พูดว่า “มันแม่นแล้ว เธอมีความเป็นต่าง ๆ มีบารมีพอสมควร มิฉะนั้นจะได้บวชหรือ”
“..ร่างกายอันนี้เกิดมา ร่างกายอันนี้แก่ ร่างกายอันนี้เจ็บ ร่างกายอันนี้ตาย ทีนี้คนที่จะหลงรักหลงชังกันก็ต้องมีร่างกายนี้เป็นสื่อสัมพันธ์ มองเห็นตา มองเห็นศีรษะ แขน ขา มองเห็นร่างกายต่างๆ แล้วเกิดความชอบ หรือเรียกว่าเกิดความพอใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ ร่างกายอันนี้ก็เป็นตัวสำคัญที่จะต้องจัดการในอันดับแรกของวิปัสสนา จัดการอันดับแรกก็คือ หั่นร่างกายนี้ออกมาเป็นชิ้นๆ ให้เห็นว่าร่างกายนี้เป็นเพียงธาตุทั้ง ๔ ถ้าหากว่าพลังจิตเพียงพอนั้น พิจารณาเห็นได้ ถ้าพลังจิตไม่เพียงพอนั้น มองเข้าไปเท่าไหร่ มันก็ไม่เห็น คือมันเห็นเหมือนกัน แต่มันเห็นไปด้วยอำนาจกิเลส แต่ถ้าพลังจิตเพียงพอนั้นมองเข้าไปแล้วก็เห็นชัดว่า อันนี้เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม เกิดอะไรขึ้น เมื่อมองเห็นชัดเจนขึ้นมา เมื่อมองเห็นชัดเจนขึ้นมาก็เกิดนิพพิทาญาณ คือความเบื่อหน่าย มันน่าเบื่อหน่ายจริงๆ อย่างนี้..”  

โอวาทธรรม หลวงปู่วิริยังค์ สิรินฺธโร

23 มิถุนายน 2564

หลวงพ่อฤาษี ช่วยตากิ่มไม่ให้ตกนรก ด้วยบุญกรรมฐาน

ตากิ่ม เป็นคนต้นคดปลายตรง คืออดีตทำความไม่ดีมามาก 
พอมาพบหลวงพ่อ ก็ศรัทธาคอยอุปฐากเวลาหลวงพ่อไปชัยนาท เวลาตาย จิตเศร้าหมองถูกนำตัวไปนรก หลวงพ่อ
ไปเป็นประธานงานศพ ขอตัวมาจากนรก หลวงพ่อช่วย
ให้เป็นเทวดา ด้วยบุญกรรมฐาน

เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๔ อาตมาไปเทศน์ที่วัดศีรษะเมือง 
หรือวัดมหาธาตุ อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท วันนั้นเขาทำบุญ
งานศพ สำหรับงานศพรายนี้ ก็ปรากฏว่าลูกสาวเป็นคนจัด 
คือแม่ตายแล้ว จะทำศพพ่อ วันนั้นก็จะบวชน้องชายด้วย 
ตอนเช้าบวชน้อง ตอนบ่ายยกศพพ่อขึ้นมา จัดการศพ 
มีเทศน์ เขาก็อาราธนาอาตมาเป็นประธาน

ก็บอกเจ้าภาพว่า
“อีหนูเอ็งให้หลวงน้าเป็นประธานนี่เป็นได้ แต่ว่าให้พระ
เป็นประธานนี่ งานทั้งหมดจะให้เป็นบาปไม่ได้สักนิดหนึ่ง”
เธอก็ถามว่า “มันเป็นอย่างไร”
ก็บอกว่า “คือว่า สิ่งใดก็ตาม แม้แต่ไข่ลูกหนึ่งก็ห้ามทุบ 
จะมาบอกว่าไข่ไม่มีตัวก็ไม่ได้ ใจมันไม่สบาย”

เธอก็รับคำ ก็แนะนำเธออีกว่า
“เมื่อเวลาจัดงานศพ เมื่อเวลาพระให้ศีล แขกจะมาจากไหน
ก็ช่าง ต้องรับศีลให้จบเสียก่อน และตั้งใจรับศีล ด้วยความเคารพ เวลาพระสวด แขกจะมา อย่าเพิ่งลุกไปรับแขก 
ตั้งใจฟังพระสวดด้วยความเคารพ เวลาถวายทานก็
เหมือนกัน ให้ถวายทานด้วยความเคารพ เวลาพระเทศน์ 
ตั้งใจฟังพระเทศน์ด้วยความเคารพ อย่าให้มีสุรายาเมา
เข้ามาเจือปน”

เธอก็รับคำ แล้วก็มีผู้หญิงท่านผู้เฒ่าคนหนึ่งชื่อแฟ้ม 
ก็บอกว่า “โยมต้องเป็นพี่เลี้ยงนะ” ก็ปรากฏว่าท่านรับคำ

เมื่อถึงวันงานจริงๆ วันนั้นไปเทศน์กับท่านเจ้าคุณภาวนา
ภิรามเถระ อาจารย์วิปัสนาญาณองค์หนึ่ง ตอนต้นอาตมา
ก็บอกอานิสงส์ไปสัก ๑๕ นาที เป็นการเทศน์คู่ ที่นี้ต่อมา 
เจ้าคุณภาวนาท่านเป็นคนถาม องค์นี้ชอบร่ายยาว ว่า
อารัมภบทอย่างน้อยที่สุดก็ ๓๐ นาที

เมื่อแกเริ่มตั้งนะโม อาตมาก็เริ่มจับจิตเข้าสู่ความสงบ 
คือ ตามแบบฉบับที่หลวงพ่อปานท่านเคยสอน ว่าก่อน
จะเทศน์ให้ทำจิตเข้าสู่พระกรรมฐานสูงสุดเท่าที่เรามีอยู่

เพราะฉะนั้นแกว่าแกร่ายยาวนี้อาตมาก็ได้กำไร ได้กำไร
ตอนไหน ตอนที่มีจิตวางอารมณ์ได้สบาย พอวางอารมณ์
ได้สัก ๕ นาที ก็มานั่งนึกถึงคนตายว่า เออ..ตากิ่มนี่แก
ไปอยู่ที่ไหน ดูไปดูมาบริเวณที่เขาทำบุญ เห็นแต่ผี
คนอื่นยืนเต็มไปหมด แต่ผีตากิ่มปรากฏว่าไม่ได้อยู่ที่นั่น

จึงได้นึกในใจว่า เอ.. ตากิ่มนี่น่ากลัวจะมีอันตราย นั่นก็
หมายความว่า แกอาจจะต้องถูกลงโทษ อาจจะกรรม
อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงได้กำหนดจิตถามว่า
“เวลานี้นายกิ่มอยู่ที่ไหน ใครควบคุมอยู่ ขอได้โปรด
นำมาก่อนด้วย ขอโอกาสนิดหนึ่ง”

ภาพก็ปรากฏเห็นแกเดินมา แกเศร้าสร้อยเหลือเกิน มีโซ่
ล่ามคอมา ๒ เส้น คนจูงหางโซ่มาข้างละคน มาถึงก็มานั่ง
ก้มหน้าแสดงความทุกข์ ถามแกก็ไม่พูด

จึงถามคนคุมมา บอกว่า
“วันนี้ลูกสาวเขาบวชลูกชายแก และทำบุญถวายสังฆทาน 
มีพระมากนี่และก็มีพระเทศน์ บุญนี้เป็นมหากุศล ทำไม
บุญขนาดนี้ นายกิ่มจะไม่มีโอกาสได้บ้างเชียวหรือ”

เขาก็ตอบว่า ไม่มีโอกาส เขาก็เลยเล่าประวัติของนายกิ่ม
ที่ทำความไม่ดีมามาก แต่ตอนที่ตากิ่มแกพบอาตมานี่แก
ทำดี เมื่อตอนนั้นยังอยู่กรุงเทพฯ ขึ้นมาชัยนาททีไรพัก 
๕ วัน ๗ วัน ตากิ่มมานอนอยู่ทุกวันไม่ยอมกลับ ตอนเช้า
ไปเอาข้าวต้มมาจากบ้าน ตอนกลางวันเอาข้าวสวยมา 
ตอนเย็นตอนบ่ายก็เอาเภสัชมาถวาย ทำดีทุกอย่าง 
แต่อดีตของแกไม่ดี เขาเรียกว่า ต้นคดปลายตรง 
ตอนปลายนี่ดีมาก

เมื่อเขาเล่าประวัติจบก็เลยถามว่า
“ความดีเขามีอยู่ แต่เวลาตายจิตมัวหมอง อันนี้
ทำอย่างไร จึงจะให้เขามีโอกาสโมทนาบุญได้”

คนที่คุมมาเขาก็เลยบอกว่า
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน บุญที่ลูกทำให้ก็ดี หรือที่นายกิ่ม
ทำมาแล้วก็ดี เวลานี้กำลังไม่พอ”

จึงได้ถามว่า “กำลังบุญอะไรมันถึงจะพอ”
แกก็บอกว่า “กำลังของบุญกรรมฐาน”

บุญกรรมฐานมีกำลังใหญ่มาก สามารถจะแหวกวงล้อม
เข้าไปได้ ถ้าไม่หนักจนเกินไป คือยังไม่ลงนรกละก็
ช่วยได้ ก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะอุทิศส่วนกุศล
ให้ตากิ่มจะได้ไหม เพราะแกมีบุญคุณกับฉันมาก”

คนคุมเขาก็บอกว่า “ก็ดีเลย บุญของท่านมีกำลังเยอะ”
ก็บอกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว ฉันจะให้นายกิ่ม”

ก็เลยตั้งใจอธิษฐานว่า
“ด้วยอำนาจบุญกุศลบุญบารมีที่บำเพ็ญมา ตั้งแต่ต้น
จนกระทั่งถึงบัดนี้ จะพึงมีประโยชน์และความสุข
แก่ข้าพเจ้าเพียงใด ขอให้นายกิ่มจงโมทนาผลบุญนี้
และมีประโยชน์และความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้า
จะพึงได้รับ”

เพียงเท่านี้ละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ปรากฏว่า โซ่ล่าม
รัดคอมาทั้ง ๒ เส้น มันหลุดลงไปทันที แล้วนายกิ่มก็
ก้มลงกราบครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ยังมีสภาพเดิม พอครั้งที่ ๓ 
แหม สวยอร่ามเป็นเทวดา มีความสวยผิดปกติ

จึงได้ถามคนคุมว่า ทำไมเขาถึงสวยมาก เขาบอกว่า
“ด้วยอำนาจบุญกรรมฐานที่ท่านให้ สามารถจะปลด
เปลี้องเขาออกจากความทุกข์ เมื่อบุญส่วนใดส่วนหนึ่ง
เข้าถึงใจแล้ว บุญทั้งหมดที่นายกิ่มทำก็ดี ที่ลูกสาว
ทำให้วันนี้ก็ดี มันก็รวมตัวกันหมด จึงเป็นเทวดาที่มี
ความสวยงามมาก”

พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญานแสดงฤทธิอภิญญาเป็นที่น่าอัศจรรย์

หลวงพ่อธุดงค์ไปเชียงตุง
พบพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาน
แสดงฤทธิอภิญญาเป็นที่น่าอัศจรรย์

พระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ได้เคยเล่าให้ลูกศิษย์ของท่านฟังว่า เมื่อประมาณ
ปี พ.ศ. 2484 ท่านได้มีโอกาสเดินธุดงค์ไปถึงป่าแถบเมืองเชียงตุง ได้พบเจดีย์ยอดด้วนองค์หนึ่ง เป็นเจดีย์เก่า อยู่ใกล้ต้นยางใหญ่ ท่านและเพื่อนสหธรรมิกร่วมธุดงค์ด้วยกันอีก
สองรูปตัดสินใจว่าจะอาศัยเขตเจดีย์เป็นที่จำวัด เนื่องด้วย
รอบบริเวณนั้นมีต้นไม้ใหญ่เป็นที่ร่มรื่นและอยู่ใกล้ภูเขา เมื่อท่านเดินเข้าไปใกล้องค์เจดีย์ ก็ปรากฏพระภิกษุรูปหนึ่งออกมาต้อนรับท่านและคณะด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้ถามพระคุณเจ้ารูปนั้นว่าอยู่ที่นี่นานแล้วหรือ ท่านตอบว่าอยู่นานแล้ว ถามว่าแถบนี้มีบ้านเรือนผู้คนหรือไม่ ท่านตอบว่าไม่มี จึงถามว่าแล้วอาหารบริโภคของพระคุณเจ้าได้มาจากที่ใด ท่านตอบว่าได้มาจากบ้าน ท่านเดินจนชินแล้ว จะไกลเพียงใดท่านเดินสักพักหนึ่งก็ถึงแล้ว

พอเวลาเช้า พระคุณเจ้ารูปนั้นก็ห่มจีวร สะพายบาตรเดินออกไปหลังเขา หายไปสักสิบกว่านาที ก็กลับมาพร้อมกับอาหารหลายอย่าง มาอยู่กับท่าน 2-3 วัน ท่านก็ออกบิณฑบาตมาเลี้ยงทุกวัน

เมื่ออาศัยอยู่กับท่าน ก็ได้คุยกันในฐานะนักปฏิบัติด้วยกัน 
รู้สึกว่าท่านมีความรู้ดีมาก มานั่งนึกในใจว่า นี่เราพบ
พระอรหันต์เข้าแล้วหรือนี่ พอนึกเพียงเท่านี้ ท่านก็ยิ้ม 
บอกว่านึกอย่างนั้นไม่ถูก เราไม่ควรนึกว่าคนอื่นเขาจะเป็นอะไร ใครเขาจะเป็นอะไรก็ช่างเขา ข้อสำคัญเราชำระจิตใจของเราให้สะอาดเป็นพอ

วันที่ลาท่านกลับ ท่านถามว่าจะไปไหน ก็ตอบไปว่าตั้งใจจะไปขึ้นรถไฟที่ลำปาง ท่านก็ชวนออกมานอกถ้ำที่ท่านอาศัยอยู่ แล้วชี้ให้ดูยอดเจดีย์ บอกว่าเจดีย์องค์นี้เป็นเจดีย์เก่ามาก ต่อจากนี้ไป ถ้าจะมาเยี่ยมเยียนท่าน ก็ให้สังเกตยอดเจดีย์ให้ดี เจดีย์ตั้งอยู่ตรงนี้ เขาตั้งอยู่หลังเจดีย์ แล้วต้นยางต้นนี้ตั้งอยู่ด้านขวาของเจดีย์ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ท่านชี้ให้ดูยอดเจดีย์จนเพลิน แล้วจู่ ๆ ท่านก็พูดว่า ถึงสถานีลำปางแล้ว

พอท่านพูดขึ้นมาว่าถึงสถานีลำปางแล้วเท่านั้น ก็มองเห็นรถไฟวิ่งไปวิ่งมา กำลังสับเปลี่ยนราง ก็ตกใจ พูดคุยกันเบา ๆ กับเพื่อนสหธรรมิกว่า พระองค์นี้เป็นพระอรหันต์ทรงปฏิสัมภิทาญาณ เพียงพูดกันเบา ๆ เท่านั้น ท่านก็หันมายิ้ม เตือนอีกว่าอย่าสนใจกับคนอื่นสิขอรับ สนใจใจของท่านเองดีกว่า ชำระจิตให้สะอาดเป็นดี คนอื่นจะดีจะชั่วก็เรื่องของเขา

เมื่อถึงสถานีรถไฟลำปาง ท่านก็พาแวะเข้าไปในร้านขายอาหารแห่งหนึ่ง เมื่อฉันเสร็จ เจ้าของร้านก็บอกว่ามีเจ้าภาพชำระค่าอาหารให้แล้ว เมื่อจะขึ้นรถไฟ ก็มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาถวายตั๋วรถไฟมาลงที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตรงตามที่พระคุณเจ้าท่านบอกไว้ล่วงหน้าทุกประการ เป็นเรื่องอัศจรรย์

การภาวนาจิต

ความสงัดเหล่าใด ความวิเวก ความสันโดษเหล่าใดเหมาะแล้วกับการฝึกจิตที่จะเป็นวิหารธรรม ที่จะเป็นครูบาอาจารย์ ที่ใดก็ตามที่เราฝึกแล้วภาวนาจิตแล้วทำให้จิตเราตื่นตัวได้ตลอดนั่นแล..สถานที่แห่งนั้นแลเหมาะกับการเจริญพระกรรมฐานอย่างยิ่ง สถานที่ใดเมื่อเราประพฤติแล้ว ระลึกแล้ว อาศัยแล้วทำให้เรานั้นเกิดความเคลิบเคลิ้มจิตเกิดความสุข..สถานที่แห่งนั้นแลย่อมทำให้จิตเรานั้นมีแต่ความเสื่อม 

ดังนั้นขอให้โยมจงพิจารณาเพ่งโทษในการนอน..นี่คือความเพลิดเพลิน อย่างน้อยก่อนนอน ๑๐ นาที ๑๕ นาที ครึ่งชั่วยาม อึดใจเดียวของเราก็ดี ให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือว่ากำหนดรู้ในอานาปานสติแล้ว ทำความรู้สึกให้ทั่วตัว วางจิตไว้ในกาย ทรงจิตให้สงบ แล้วระลึกถึงพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งเป็นสรณะของข้าพเจ้า แล้วก็ทำจิตนั้น..สำรวมจิตนั้นให้สงบตั้งมั่น อยู่ในกาย วาจา ใจ 

เมื่อสงบดีแล้วก็ภาวนาจิตกำกับเข้าไป กำหนดรู้ลมพุทธ-เข้า โธ-ออก อยู่อย่างนี้ จนจิตรู้สึกว่าพอสมควรแล้วกับความเพียรของเรา ก็อธิษฐานจิตแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายกับเราในโลกนี้ ก่อนที่เราจะนอนหลับลงไป 

ก็เอาความสงบนั้นแลดูความสงบที่เหนือศูนย์จากกลางกาย เหนือสะดือของเรา ภาวนากำกับลงไปจนจิตเรานั้นดับลงไป กายสังขารสงบหลับลงไป องค์ภาวนาที่โยมกำกับไปนั้นแลจะเป็นตัวรักษาจิตของโยม เพราะขณะที่โยมระลึกถึงพุทโธนั้นแล..เค้าเรียกตัวสติ 

ตัวสติจะเป็นตัวรักษาจิตไม่ให้ฝันร้าย ไม่ให้ฝันลามก เมื่อมีเภทภัยอะไรเข้ามา..สติตัวนี้ก็จะทำหน้าที่คอยดูแลตามรักษาร่างกายสังขารของโยม ผู้ใดมีองค์ภาวนาพุทโธก็ดี ธัมโมก็ดี สังโฆก็ดี พุทธัง สรณัง คัจฉามิก็ดี ธัมมัง สรณัง คัจฉามิก็ดี สังฆัง สรณัง คัจฉามิก็ดี จะมีเทพเทวดามาคอยปกปักรักษา

แม้ผู้ใดเรือนใดเจริญมนต์อยู่ไม่ขาดแล้ว ผู้นั้นเรือนนั้นจะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข แม้อัคคีไฟก็ดี ความฉิบหายก็ดี โจรภัยก็ดีจะมาปล้นเอาทรัพย์ไปก็ดี จักต้องต้องมนตรานั้น จะทำการนั้นไม่สำเร็จ ดังนั้นแล้วขอให้โยมทั้งหลายจงเห็นคุณของอำนาจแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ 

ในวาระใดอารมณ์ใดก็ตามที่เรานั้นพอจะทำได้ ในการสวดมนต์ก็ดี ในการฟังธรรมก็ดี ในการให้ธรรมก็ดี ในการตรึกตรองในธรรมก็ดี ในการเจริญวิปัสสนาคือพิจารณาอารมณ์ทั้งหลายของจิตก็ดี ล้วนแล้วนำไปสู่ทางแห่งมรรคแห่งนิโรธทั้งนั้น 

ดังนั้นแล้วข้อเตือนใจมีอยู่ว่าการสวดมนต์อย่ารีบสวดเพื่อเราจะนั่ง..อยากจะนั่งสมาธิ แท้ที่จริงแล้วการที่โยมสวดมนต์อยู่นั้นแลก็คือการทำสมาธิอย่างหนึ่ง การเจริญมนต์อยู่นั้นแลคือการฝึกขันติธรรมอย่างหนึ่ง การเจริญมนต์อยู่นั้นแลเค้าเรียกว่าการเนกขัมมะคือการละอารมณ์อย่างหนึ่ง ดังนั้นเป็นการเจริญบารมีทั้ง ๑๐ ให้เกิดขึ้น 

และเมื่อในขณะที่เราเจริญมนต์อยู่ จิตเรานั้นไม่มีเวรภัยกับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ในขณะนั้นเรียกว่าจิตเรานั้นเข้าถึงความบริสุทธิ์ บุญที่เราสวดมนต์ภาวนานั้นแลจะมีรัศมีออกทางกายของเรา บุญนี้เมื่อเราระลึกแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ดวงวิญญาณเหล่าใดก็ตาม เค้าก็จะได้รับกระแสบุญนี้ นี่เรียกว่าเป็นทานแห่งเสียงนั่นเอง 

ไม่ว่าเราจะสวดในใจก็ดี สวดขณะที่เรามีเสียงพอดีก็ดี สวดในเสียงดังก็ดี แต่จิตเรานั้นต้องมีสมาธิจดจ่ออยู่แต่อักขระภาษาที่เราสวดอยู่ จนจิตเรานั้นเข้าถึงตัวปัญญา คือเข้าถึงความหมายของบทสวด นั่นแลก็จะนำพาให้เกิดทั้งปัญญาเห็นทางพ้นทุกข์ได้ ก็จะมีอานิสงส์มากนั่นเอง..

ที่มา
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒

สมาธิวิธี โดย หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม | #มรรคสมังคี คืออะไร.?

.
๑. วิธีนั่งสมาธิ
ให้นั่งขัดสมาธิ เอาขาขวาวางทับขาซ้าย เอามือขวาวางทับมือซ้าย 
.
อุชุ กายํ ปณิธาย ตั้งกายให้ตรง คือ ไม่ให้เอียงไปข้างซ้าย ข้างขวา ข้างหน้า ข้างหลัง และอย่าก้มนักเช่นอย่างหอยนาหน้าต่ำ อย่าเงยนักเช่นอย่างนกกระแต้ (นกกระต้อยตีวิด) นอนหงายถึงดูพระพุทธรูปเป็นตัวอย่าง 
.
อุชุ จิตฺตํ ปณธาย ตั้งจิตให้ตรงคืออย่าส่งใจไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และอย่าส่งใจไปข้างหน้า ข้างหลัง ข้างซ้าย ข้างขวา พึงกำหนดรวมเข้าไว้ในจิตฯ
.
๒. วิธีสำรวมจิตในสมาธิ
มนสา สํวโร สาธุ สำรวมจิตให้ดี คือ ให้นึกว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ใจ พระธรรมอยู่ที่ใจ พระอริยสงฆ์อยู่ที่ใจ นึกอยู่อย่างนี้จนใจตกลงเห็นว่า อยู่ที่ใจจริงๆ แล้วทอดธุระเครื่องกังวลลงได้ว่า ไม่ต้องกังวลอะไรอื่นอีก จะกำหนดเฉพาะที่ใจแห่งเดียวเท่านั้น จึงตั้งสติกำหนดใจนั้นไว้ นึกคำบริกรรมรวมใจเข้าฯ
.
๓. วิธีนึกคำบริกรรม
ให้ตรวจดูจิตเสียก่อน ว่าจิตคิดอยู่ในอารมณ์อะไร ในอารมณ์อันนั้นเป็นอารมณ์ที่น่ารัก หรือน่าชัง เมื่อติดใจในอารมณ์ที่น่ารัก พึงเข้าใจว่าจิตนี้ลำเอียงไปด้วยความรัก เมื่อติดใจในอารมณ์ที่น่าชัง พึงเข้าใจว่าจิตนี้ลำเอียงไปด้วยความชัง ไม่ตั้งเที่ยง พึงกำหนดส่วนทั้งสองนั้นให้เป็นคู่กันเข้าไว้ที่ตรงหน้าซ้ายขวา แล้วตั้งสติกำหนดใจตั้งไว้ในระหว่างกลาง
.
ทำความรู้เท่าส่วนทั้งสอง เปรียบอย่างถนนสามแยกออกจากจิตตรงหน้าอก ระวังไม่ให้จิตแวะไปตามทางเส้นซ้าย เส้นขวา ให้เดินตรงตามเส้นกลาง แต่ระวังไม่ให้ไปข้างหน้า ให้กำหนดเฉพาะจิตอยู่กับที่นั่นก่อน แล้วนึกคำบริกรรมที่เลือกไว้จำเพาะพอเหมาะกับใจคำใดคำหนึ่ง 
.
เป็นต้นว่า “พุทโธ ธัมโม สังโฆ” ๓ จบ แล้วรวมลงเอาคำเดียวว่า “พุทโธๆๆ” เป็นอารมณ์เพ่งจำเพาะจิต จนกว่าจิตนั้นจะวางความรักความชังได้ขาด ตั้งลงเป็นกลางจริงๆ แล้วจึงกำหนดรวมทวนกระแสประชุมลงในภวังค์ ตั้งสติตามกำหนดจิตในภวังค์นั้นให้เห็นแจ่มแจ้ง ไม่ให้เผลอฯ
.
@@@@
.
๔. วิธีสังเกตจิตเข้าสู่ภวังค์
พึงสังเกตจิตใจเวลากำลังนึกคำบริกรรมอยู่นั้น ครั้งเมื่อจิตตั้งลงเป็นกลาง วางความรัก ความชังทั้งสองนั้นได้แล้ว จิตย่อมเข้าสู่ภวังค์ (คือจิตเดิม) มีอาการต่างๆ กัน บางคนรวมผับลง บางคนรวมปึบลง บางคนรวมวับแวมเข้าไปแล้วสว่างขึ้นลืมคำบริกรรมไป บางคนก็ไม่ลืม แต่รู้สึกว่าเบาในกายเบาในใจที่เรียกว่า
.
     - กายลหุตา จิตฺตลหุตา กายก็เบา จิตก็เบา
     - กายมุทุตา จิตฺตมุทุตา กายก็อ่อน จิตก็อ่อน
     - กายปสฺสทฺธิ จิตฺตปสฺสทฺธิ กายก็สงบ จิตก็สงบ
     - กายุชุกตา จิตฺตชุกตา กายก็ตรง จิตก็ตรง
     - กายกมฺมญํญตา จิตฺตกมฺมญฺญตา กายก็ควรแก่การทำสมาธิ จิตก็ควรแก่การทำสมาธิ
     - กายปาคุญฺญตา จิตฺตปาคุญฺญตา กายก็คล่องแคล่ว จิตก็คล่องแคล่ว
.
หายเหน็ดหายเหนื่อย หายเมื่อย หายหิว หายปวดหลังปวดเอว ก็รู้สึกว่าสบายในใจมาก ถึงเข้าใจว่าจิตเข้าสู่ภวังค์แล้วให้หยุดคำบริกรรมเสีย และวางสัญญาภายนอกให้หมด ค่อยๆ ตั้งสติตามกำหนดจิตจนกว่าจิตนั้นจะหยุด และตั้งมั่นลงเป็นหนึ่งอยู่กับที่ เมื่อจิตประชุมเป็นหนึ่งก็อย่าเผลอสติ ให้พึงกำหนดอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะนั่งเหนื่อย นี้แลเรียกว่าภาวนาอย่างละเอียดฯ
.
๕. วิธีออกจากสมาธิ
เมื่อจะออกจากที่นั่งสมาธิภาวนา ในเวลาที่รู้สึกเหนื่อยแล้วนั้น ให้พึงกำหนดจิตไว้ให้ดี แล้วเพ่งเล็งพิจารณาเบื้องบนเบื้องปลายให้รู้แจ้งเสียก่อนว่า เบื้องต้นได้ตั้งสติกำหนดจิตอย่างไร พิจารณาอย่างไร นึกคำบริกรรมอะไร ใจจึงสงบมาตั้งอยู่อย่างนี้ 
.
ครั้นเมื่อใจสงบแล้ว ได้ตั้งสติอย่างไร กำหนดจิตอย่างไร ใจจึงไม่ถอนจากสมาธิ พึงทำในใจไว้ว่า ออกจากที่นั่งนี้แล้ว นอนลงก็จะกำหนดอยู่อย่างนี้จนกว่าจะนอนหลับ แม้ตื่นขึ้นมาก็จะกำหนดอย่างนี้ตลอดวันและคืน ยืน เดิน นั่ง นอน เมื่อทำในใจเช่นนี้แล้วจึงออกจากที่นั่งสมาธิ เช่นนั้นอีกก็ถึงทำพิธีอย่างที่ทำมาแล้วฯ
.
๖. มรรคสมังคี
มรรคมีองค์อวัยวะ ๘ ประการ ประชุมลงเป็นเอกมรรค คือ ทั้ง ๗ เป็นอาการ องค์ที่ ๘ เป็นหัวหน้า อธิบายว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ก็คือจิตเป็นผู้เห็น สัมมาสังกับโป ความดำริชอบ ก็คือจิตเป็นผู้ดำริ สัมมาวาจา กล่าววาจาชอบ ก็คือจิตเป็นผู้นึกแล้วกล่าว 
.
สัมมากัมมันโต การงานชอบ ก็คือจิตเป็นผู้คิดทำการงาน สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีวิตชอบ ก็คือจิตเป็นผู้คิดหาเลี้ยงชีวิต สัมมาวายาโม ความเพียรชอบ ก็คือจิตเป็นผู้มีเพียรมีหมั่น สัมมาสติ ความระลึกชอบ ก็คือจิตเป็นผู้ระลึก
.
ทั้ง ๗ นี้แหละเป็นอาการ ประชุมอาการทั้ง ๗ นี้ลงเป็นองค์สัมมาสมาธิ แปลว่า ตั้งจิตไว้ชอบ ก็คือ ความประกอบการกำหนดจิตให้เข้าสู่ภวังค์ได้แล้ว 

ตั้งสติกำหนดจิตนั้นไว้ เป็นเอกัคคตา อยู่ในความเป็นหนึ่ง ไม่มีไป ไม่มีมา ไม่มีออก ไม่มีเข้า เรียกว่า #มรรคสมังคี ประชุมมรรคทั้ง ๘ ลงเป็นหนึ่ง หรือเอกมรรคก็เรียก มรรคสมังคีนี้ประชุมถึง ๔ ครั้ง จึงเรียกว่า มรรค ๔ ดังแสดงมาฉะนี้ฯ
.
@@@@
.
๗. นิมิตสมาธิ
ในเวลาจิตเข้าสู่ภวังค์และตั้งลงเป็นองค์มรรคสมังคีแล้วนั้น ย่อมมีนิมิตต่างๆ มาปรากฏในขณะจิตอันนั้น ท่านผู้ฝึกหัดใหม่ทั้งหลายพึงตั้งสติกำหนดใจไว้ให้ดี อย่าตกใจประหม่ากระดากและอย่าทำความกลัวจนเสียสติและอารมณ์ ทำใจให้ฟุ้งซ่านรั้งใจไม่อยู่ จะเสียสมาธิ
.
นิมิตทั้งหลายไม่ใช่เป็นของเที่ยง เพียงสักว่าเป็นเงาๆ พอให้เห็นปรากฏแล้วก็หายไปเท่านั้นเองฯ นิมิตที่ปรากฏนั้น คือ 
    - อุคคหนิมิต ๑ 
    - ปฏิภาคนิมิต ๑  
.
    - นิมิตที่ปรากฏเห็นดวงหทัยของตนใสสว่างเหมือนกับดวงแก้ว แล้วยึดหน่วงเหนี่ยวรั้ง ให้ตั้งสติกำหนดจิตไว้ให้ดี เรียกว่า อุคคหนิมิต ไม่เป็นของน่ากลัวฯ
.
    - นิมิตที่ปรากฏเห็นคนตาย สัตว์ตาย ผู้ไม่มีสติย่อมกลัว แต่ผู้มีสติแล้วย่อมไม่กลัว ยิ่งเป็นอุบายให้พิจารณาเห็นเป็นอสุภะ แยกส่วนแบ่งส่วนของกายนั้นออกดูได้ดีทีเดียว และน้อมเข้ามาพิจารณาภายในกายของตนให้เห็นแจ่มแจ้ง จนเกิดนิพพิทาญาณ เบื่อหน่ายสังเวชสลดใจ ยังใจให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิมีกำลังยิ่งขึ้น เรียกว่า ปฏิภาคนิมิตฯ
.
๘. วิธีเดินจงกรม
พึงตั้งกำหนดหนทางสั้นยาวแล้วแต่ต้องการ ยืนที่ต้นทาง ยกมือประนม ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ แล้วตั้งความสัตย์อธิษฐานว่า ข้าพเจ้าจะตั้งใจปฏิบัติเพื่อเป็นปฏิบัติบูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับทั้งพระธรรม และพระอริยสงฆ์สาวก ขอให้ใจของข้าพเจ้าสงบระงับตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีปัญญาเฉลียวฉลาดรู้แจ้งแทงตลอดในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกประการเทอญ
.
แล้ววางมือลง เอามือขวาจับมือซ้ายไว้ข้างหนึ่ง เจริญพรหมวิหาร ๔ ทอดตาลงเบื้องต่ำ ตั้งสติกำหนดจิตนึกคำบริกรรมเดินกลับไปกลับมา จนกว่าจิตจะสงบรวมลงเป็นองค์สมาธิ ในขณะที่จิตกำลังรวมอยู่นั้น จะหยุดยืนกำหนดจิตให้รวมสนิทเป็นสมาธิก่อนจึงเดินต่อไปอีกก็ได้ ในวิธีเดินจงกรมนี้กำหนดจิตอย่างเดียวกันกับนั่งสมาธิ แปลกแต่ใช้อิริยาบถเดินเท่านั้นฯ
.
เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฝึกหัดใหม่ทั้งหลายพึงเข้าใจเถิดว่า การทำความเพียรคือฝึกหัดจิตในสมาธิวิธีนี้ มีวิธีที่จะต้องฝึกหัดในอิริยาบททั้ง ๔ จึงต้องนั่งสมาธิบ้าง เดินจงกรมบ้าง ยืนกำหนดจิตบ้าง นอนสีหไสยาสน์บ้าง เพื่อให้ชำนาญคล่องแคล่ว และเปลี่ยนอิริยาบถให้สม่ำเสมอฯ
.
๙. วิธีแก้นิมิต
มีวิธีที่จะแก้นิมิตได้เป็น ๓ อย่าง ติดตามอ่านรายละเอียดได้ที่ → วิธีแก้นิมิต โดย หลวงปู่สิงห์ ขันตยาค โม (คลิกที่นี่) https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/203349.html

 ที่มา
_______________________________________
ขอบคุณภาพจาก : เฟซบุ้ก พระวีระ สุขมีทรัพย์ ฐานวีโร
ที่มา : หนังสือพระไตรสรณคมน์และสมาธิวิธี โดย พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม วัดป่าสาลวัน
Photo by Leonardo Corral on Unsplash ,Secret Magazine (Thailand)
ขอบคุณ ; https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/207279.html
By ying ,22 June 2020

ทุกการแสดงออก

ทุกการแสดงออกของทุกคนในแต่ละวันของช่วงชีวิต
ทั้งทาง 
"กาย วาจา ใจ"
(กาย เช่น นั่งสมาธิ, เดินจงกรม, หรือ เล่นเฟสบุ๊ค พิมพ์ข้อความจริงมีประโยชน์, ให้กำลังใจผู้คน หรือ พิมพ์ข้อความเท็จที่ใส่ร้ายผู้อื่นทุกวัน และ ฯลฯ)
(วาจาที่กล่าว กล่าวแต่คำจริงที่มีประโยชน์, ด้วยเมตตา, ให้กำลังใจผู้คน หรือ กล่าวคำเท็จ, กล่าวแต่คำที่ทำให้ผู้อื่นเจ็บช้ำใจ, กล่าววาจาสารพัดก่นด่าผู้อื่นทุกวัน และ ฯลฯ)
(ใจ เช่น ใจที่แผ่เมตตา, ใจที่คิดหาทางสงเคราะห์คนอื่น หรือ ตั้งหน้าตั้งตาโกบโกยทุกวิถีทาง คอร์รัปชั่นทุกครั้งเมื่อโอกาสอำนวย และ ฯลฯ)
เหล่านี้จะถูกบันทึกไว้ทุกวันทั้งหมด
เพื่อรอวันพิพากษาความดีและความชั่ว ของแต่ละคนที่ได้ทำไว้บนโลกมนุษย์
เพื่อใช้ผ่านด่านไปถึงสวรรค์หรือนรกภูมิต่อไป
(หากบุคคลนั้นยังปฏิบัติไม่บรรลุถึงพระนิพพาน)

22 มิถุนายน 2564

โปรดอย่ากลัวความตาย

โปรดอย่ากลัวความตาย//.เพราะวิญญาณของมนุษย์เรานั้นเป็นอมตะ มันเป็นเพียงการเปลี่ยนสถานะจากภพภูมิหนึ่งไปสู่อีกภพภูมิใหม่ ส่วนจะดีหรือเลวร้ายนั้นก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวตนเราในภพภูมิปัจจุบัน??..

เพราะการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์แต่ละคน ผ่านมานับภพชาติไม่ถ้วนกันมาแล้วทั้งนั้น เพียงแต่เราถูกทำให้ลบเลือนความทรงจำในขณะที่ตัวตนเราคลอดออกมาจากครรภ์มารดานั่นเอง

หากมนุษย์เราคนใดมีความตื่นรู้ และ สร้างกระบวนการเรียนรู้เพื่อเพิ่มทักษะจนก้าวเข้าสู่ความตระหนักรู้ขั้นสูง ตัวตนของเขาผู้นั้นจิตเขาก็สามารถก้าวเข้าสู่ความตระหนักรู้ขั้นสูงกว่าในมิติที่ 4/5 ต่อไปเป็นลำดับต่อไปไม่รู้จบ

โดยมิพักต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในโลกธาตุมิติที่ 3 นี้อีกเลย ฉะนั้นปฎิบัติการลดประชากรโลกโดยใช้อาวุธชีวภาพ เชื้อไข้หวัดโควิด 19 จึงไม่ได้รับการทัดทานจากพระองค์ผู้ทรงคุณธรรมลํ้าเลิศในจักรวางแต่ประการใด

เหตุเพราะผู้คนในยุคปัจจุบันมีจิตสำนึกที่ตกตํ่า มีการประหัตประหารกัน มีการทำสงครามแย่งชิงพื้นที่และทรัพยกรกัน มีการสร้างขยะเทคโนโลยี่ 4 /5 Gเพื่อตอบ
สนองชีวิตกันอย่างเมามัน

ยังมีการขนย้ายมวลนํ้าหนักขนาดใหญ่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง หรือการสร้างเขื่อนขนาดยักษ์หลายๆ แห่งจนโลกเสียสมดุล และ ที่สำคัญที่สุดคนทั้งหมดในยุค
ปัจจุบันไม่สามารถผลิตคลื่นความถี่ด้านบวกป้อนให้แก่แกนโลกได้เหมือนเดิม

พ่อจึงต้องทำความเข้าใจกับลูกๆนะ ระบบทั้งระบบของเอกภพนั้นยิ่งใหญ่และมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และ มากมายมหาศาลยิ่งนัก กลไกของสนามพลังในเอกภพอันสลับซับซ้อนนั้นมีค่ายิ่งนัก

ถ้าหากเขาปล่อยให้ระบบของโลกเสียสมดุลเพราะทุกสรรพสิ่งในจักรวาลล้วนเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายอันสลับซับซ้อนยิ่งนักถ้าหากเกิดการเสียสมดุล หายนะ
ที่ยิ่งใหญ่กว่าก็จะตามมา

ดังนั้นพวกเขาจึงต้องยอมที่จะเก็บกวาดบางสิ่งบางอย่างให้เรียบร้อย ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เสียใจนะในสิ่งที่พวกเขากระทำ แต่มันเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องตัดเนื้อชิ้นร้ายส่วนเล็กๆ นี้ออกไปเพื่อรักษาระบบทั้งระบบให้คงอยู่ได้

ความเข้าใจอีกประการหนึ่งคือ ชีวิตทุกรูปธรรมที่เกิดมาเป็นมนุษย์ในโลกธาตุแห่งนี้แท้ที่จริงเป็นเพียงสถานภาพชั่วคราวของจิตวิญญาณเท่านั้น ชีวิตที่แท้จริงไม่ได้จบสิ้นตอนที่มนุษย์เราถึงแก่กรรม

ฉะนั้นการตาย จึงเป็นแค่การย้ายสถานะหนึ่งไปสู่อีกสถานะหนึ่งเท่านั้นหากพวกเรามองในมุมของจักรวาล ฉะนั้น จึงไม่มีชีวิตใดเลยที่ตายจริงๆ..

ที่มา
Teucer Rom..

แสงสว่าง มองการไกล...

30 ความมหัศจรรย์!!! ถ้าปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้อง จะเกิดสิ่งต่อไปนี้

ลองสังเกตุดูว่าตรงไหม

1. โกรธน้อยลง เห็นความโกรธเร็วขึ้น
2. เข้าใจผู้อื่นมากขึ้น ตัดสินถูกผิดน้อยลง
3. เห็นความเลวของตนมากขึ้น เห็นความดีของผู้อื่นมากขึ้น
4. รับฟังมากขึ้น อยากอวดภูมิรู้น้อยลง
5. ไม่อยากโกหก หลีกเหลี่ยงการนินทา พูดน้อยลง
6. แสวงหาความสุขแบบกามคุณน้อยลง
กิน ดื่ม เที่ยว ต้องการสุขแบบโลกๆ น้อยลง
7. มีสมาธิในการทำงานมากขึ้น
ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น
8. ใช้เงินเพื่อตนเองน้อยลง เพราะความต้องการน้อยลง
9. สนใจฟังเรื่องละกิเลส ไม่ค่อยสนใจเรื่องเพิ่มกิเลส
10. ไม่จุกจิกจู้จี้ ไม่ขี้บ่น ไม่คิดมาก
11. ละอายใจเมื่อคิดชั่ว เมตตามากขึ้น คิดถึงส่วนร่วมมากขึ้น 
12. รักษาข้าวของเครื่องใช้มากขึ้น แต่ไม่หวงแหน
13. ยึดในตัวผู้อื่นน้อยลง ต้องการความเข้าใจน้อยลง
เป็นอิสระจากผู้อื่นมากขึ้น
14. หลับสบาย ไม่ค่อยฝัน ควบคุมเวลาตื่นนอนได้ดังใจ
15. ไม่เห็นสิ่งต่างๆ เป็นบวกหรือลบ
เห็นเพียงความธรรมดาของโลก
16. คลุกคลีกับหมู่คณะตามกาลเทศะ
ไม่คลุกคลีตามอำเภอใจ สนใจสำรวจความเลวของตนเอง
17. รับรู้ความงามจากธรรมชาติได้มากขึ้น รักต้นไม้มากขึ้น
18. ไม่อยากสะสมอะไร มีของเท่าที่จำเป็น
19. อยากได้อะไรมักสมหวัง คิดอะไรมักได้ดังใจ
20. เห็นปัญหาเป็นเรื่องสนุก ขำขัน มองแล้วยิ้ม
21. ไม่ค่อยสนใจคำสรรเสริญนินทา
22. เจอคนดีมากขึ้น พบครูผู้ชี้ทางเจริญได้
23. ไม่กลัวใคร เห็นทุกคนเป็นเพื่อนเสมอกัน
24. ต้องการควบคุมผู้อื่นน้อยลง
ต้องการเปลี่ยนความคิดผู้อื่นน้อยลง มั่นใจตัวเองมากขึ้น
25. ค้นพบสิ่งน่าสนใจรอบตัวที่ไม่เคยพบมาก่อน
26. คาดเดาอนาคตได้ถูกต้องมากขึ้น
27. คิดถึงความตายมากขึ้น เห็นชีวิตแสนสั้นแต่มีคุณค่า
28. ความสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น คิดนอกกรอบ
แก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ความคิดเป็นระบบมากขึ้น
29. ความรู้สึกเหงาหายไป
30. อยู่กับลมหายใจได้นานขึ้น ดึงสติกลับมารู้ตัวได้เร็ว

************************************
เพจ พศิน อินทรวงค์

ปัญญา 3 ประเภท


 ปัญญาชนิด "ภาวนามยปัญญา"
มี "สัมมาสมาธิ" เป็น "ฐานกำลัง" 

"สัมมาสมาธิ" 
คือจิตตั้งมั่น
ไม่ไหลตามอารมณ์ 

หากสงบแบบลึกสุด จะไม่สามารถรับรู้อะไรได้
ต้องรอให้สมาธิลึสุดนั้นคลายตัวออกมาตามธรรมชาติก่อน 

บางกรณีอาจไม่ได้สงบลึก แต่ไม่เพลินไหลไปตามอารมณ์
สามารถมีปฏิสัมพันธ์ได้ในชีวิตประจำวัน 
เมื่อเสร็จการปฏิสัมพันธ์ก็กลับมาอยู่ในสภาพจิตตั้งมั่นดังเดิม 

เมื่อมีกำลังของ "สมาธิแบบจิตตั้งมั่น" ไม่ควรปล่อยทิ้งไปเปล่าๆ
ควรนำกำลังนั้น มาพิจารณาความจริงของรูปขันธ์และ/หรือนามขันธ์
ชนิดพิจารณาแล้ว พิจารณาอีก
ตั้งแต่ระดับหยาบ กลาง ละเอียด
พิจารณาอย่างลึกซึ้ง
พิจารณาอย่างแยบคาย
พิจารณาซ้ำไป ซ้ำมา 

เมื่อสั่งสมบารมีมากพอ
ก็จักเห็นความจริงไปโดยลำดับ....
ตามกำลังของ "ภาวนามยปัญญา" ที่ได้บำเพ็ญและสั่งสมมาจากอดีตจวบจนปัจจุบันขณะ นั้นๆ
ทำให้เราสามารถบริหารจัดการกับกิเลสทั้งหยาบ กลาง ละเอียดได้....โดยลำดับ 

➡️ ปัญญาชนิด "สุตมยปัญญา" 
หมายถึง ปัญญาอันเกิดจากการฟัง หรือ จากการอ่าน 

➡️ ปัญญาชนิด "จินตมยปัญญา"
คือ ปัญญาที่เกิดจากการใช้ความคิดพิจารณาให้เกิดความเข้าใจในระดับเหตุผล 

ปัญญาสองชนิดหลังนี้
ต้องมีความเฉลียวฉลาด ปฏิภาณ ไหวพริบ ทักษะ เป็น "ฐานกำลัง"
เพื่อให้สามารถประดิษฐ์ คิดค้น ริเริ่มนวัตกรรมใหม่ๆ 
หรือสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องในสถานการณ์นั้นๆ
ถือว่ามีประโยชน์มากทีเดียว 

ทว่า....
หากไม่ประกอบไปด้วยหลักศีลธรรม หรือหลักคุณธรรมประจำใจ
ปัญญาทั้งสองชนิดนี้...มักทำให้เรามีตัวตนที่ขยายใหญ่มากขึ้น...โดยลำดับ  
จนบางคราว...ไม่ยอมฟังความคิดเห็น หรือข้อเสนอแนะของผู้อื่น
หรือ ยอมตกเป็นเหยื่อของกิเลส อันเป็นอำนาจฝ่ายต่ำ อย่างโงหัวไม่ขึ้น 

ดูเพียงผิวเผิน..ปัญญาเหล่านี้อาจทำให้เราสามารถต่อสู้กับกิเลสได้...แต่มักเป็นเพียงกิเลสตัวเล็กตัวน้อยเท่านั้น 

ในทางตรงข้าม....มักชักนำให้เราพ่ายแพ้ต่อกิเลสตัวใหญ่ ที่เป็นอำนาจฝ่ายต่ำ ซึ่ง​มักมาแบบแนบเนียน...พร้อมมีเหตุผล​ที่เข้าข้างตัวเอง...จนทำให้เรากระทำอกุศล​กรรมในท้ายที่สุด 

ขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อาจาริยบูชา 
และน้อมถวายเป็นพระราชกุศลฯ  
ที่มา
นฤมล สุมะโน
เพจ สัมมา​ปฏิบัติ
220664

องค์คุณ

ทุลฺลโภ องฺคสมฺปนฺโน 
ผู้ถึงพร้อมด้วยองค์คุณหาได้ยาก

คำว่า “องค์คุณ” คือ 
ความดีที่เป็นคุณสมบัติอันเลิศ

ผู้ถึงพร้อมด้วยองค์คุณ ๔ ประการ คือ
๑.คติสมบัติ ถึงพร้อมด้วยทางไปที่ดี
๒.อุปธิสมบัติ ร่างกายสมบูรณ์ดี
๓.กาลสมบัติ ถึงพร้อมด้วยกาลเวลา
๔.ประโยคสมบัติ ถึงพร้อมด้วยความเพียร

เป็นบุคคลที่หาได้ยากนักหนา 
ต้องสั่งสมอบรมบารมีมาอย่างมากเท่านั้น

โอวาทธรรม พระอาจารย์คม อภิวโร

……………………………………………

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่านครับ

#พระอาจารย์คมอภิวโร 
#วัดป่าธรรมคีรี #จันดีอนุสรณ์
#วัดป่าธรรมคีรีสถานที่เจริญสติปัญญา 
#สถานที่บำเพ็ญบุญบารมี
#ที่นี่ไม่วุ่นวาย #วัดแท้_วัดใจคุณ

16 มิถุนายน 2564

ตัณหา 3 ความทะยานอยาก

ความทะยานอยาก
   1. กามตัญหา ความทะยานอยากในกาม ความอยากได้กามสุข คือ สิ่งสนองความต้องการทางประสาททั้ง 5
   2. ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ ความอยากในภาวะของตัวตนที่จะได้ จะเป็น อย่างใดอย่างหนึ่ง อยากเป็น อยากคงอยู่ตลอดไป ความใคร่อยากที่ประกอบด้วยภวทิฐิหรือสัสสตทิฏฐิ 
   3. วิภวตัณหา ความทะยานอยากในวิภพ ความอยากในความพรากพ้นไปแห่งตัวตน จากความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งอันไม่ปรารถนา อยากทำลาย อยากให้ดับสูญ ความใคร่อยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ

14 มิถุนายน 2564

ฌาน 4

โยม : แล้วตอนที่เรานิ่ง เป็นฌาน 4 เป็นอุเบกขา
เป็นเอกัคคตารมณ์ เราจำเป็นจะต้องถอยออกมา

พระอาจารย์ : “ไม่ถอยอยู่ตรงนั้นจนกว่ามันจะถอยออกมาเอง”

โยม :พิจารณาไป

พระอาจารย์ : “ไม่ต้องพิจารณาอะไรทั้งนั้น เวลาอยู่ในสมาธิต้องการให้มันนิ่งเฉยอย่างเดียว #เวลาจะพิจารณานี้ให้มันออกมาก่อน #ให้มันออกมาเองไม่ต้องไปดึงมันออกมา ดันมันเข้าไปแทบเป็นแทบตาย พอมันเข้าไปแล้วก็จะไปดึงมันออกมา อย่างนั้นก็ไม่ต้องเข้าไปให้มันเสียเวลา ตอนนี้คุณก็พิจารณาได้เลยนิ คุณอยากจะพิจารณาตอนนี้คุณก็พิจารณาได้เลย”

โยม : ในชีวิตประจำวัน

พระอาจารย์ : “#ถ้าคุณเห็นอะไรก็พิจารณาให้เป็นไตรลักษณ์แล้วก็ปล่อยวางมันให้ได้ #ที่มันปล่อยวางไม่ได้ก็เพราะว่ามันไม่มีอุเบกขา #เราถึงต้องไปสร้างอุเบกขาในสมาธิ แต่พอเราไปถึงอุเบกขาเราก็ดึงมันออกมาแล้ว ที่นี้มันจะมีอุเบกขาได้อย่างไร มันอุเบกขาต้องให้มันนานๆ อย่างที่คุณบอก นั่งนิ่งอยู่ 2 ชม.อย่างนี้ ถ้ามันเป็นอุเบกขาจริงนี้

#ออกมาใจจะเฉยๆใจจะเย็นจะไม่วุ่นวายกับเหตุการณ์ต่างๆที่มาสัมผัสรับรู้ 

#แล้วถ้ามันมาเราใช้ปัญญาพิจารณาได้”

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.......

ว่าด้วยจิตที่เป็นกาลของสมถะและวิปัสสนา
             [๙๘๖] คำว่า ตามกาล ในคำว่า ภิกษุนั้น เมื่อกำหนดพิจารณาธรรมโดยชอบตาม
กาล ความว่า

#เมื่อจิตไม่ฟุ้งซ่านเป็นกาลของสมถะ
#เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นกาลของวิปัสสนา.

             #สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า

                          โยคีผู้ใด ย่อมประคองจิตในกาล ย่อมข่มจิตในกาลอื่น ย่อมให้จิต
                          รื่นเริงโดยกาล ย่อมตั้งจิตไว้ในกาล ย่อมวางเฉยในกาล โยคีผู้นั้น
                          ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดในกาล ความประคองจิตควรมีในกาลไหน? ความข่ม
                          จิตควรมีในกาลไหน? กาลเป็นที่ให้จิตรื่นเริงควรมีในกาลไหน? และ
                          กาลของสมถะเป็นกาลเช่นไร? บัณฑิตย่อมแสดงกาลเป็นที่วางเฉย
                          แห่งจิตของโยคีบุคคลอย่างไร? เมื่อจิตของโยคีบุคคลย่อหย่อน เป็นกาล
                          ที่ควรประคองไว้ เมื่อจิตของโยคีบุคคลฟุ้งซ่านเป็นกาลที่ควรข่มไว้ โยคี
                          บุคคลพึงยังจิตที่ถึงความไม่แช่มชื่นให้รื่นเริงในกาลนั้น จิตเป็น
                          ธรรมชาติรื่นเริงไม่ย่อหย่อน ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมมีในกาลใด กาลนั้นเป็น
                          กาลของสมถะ ใจพึงยินดีในภายใน โดยอุบายนั้นนั่นแหละ จิตเป็น
                          ธรรมชาติตั้งมั่น ย่อมมีในกาลใด ในกาลนั้น โยคีบุคคลพึงวางเฉย
                          ไว้ซึ่งจิตที่ตั้งมั่นแล้วด้วยปัญญา ธีรชนผู้รู้แจ้งกาล ทราบกาล ฉลาด
                          ในกาลพึงกำหนดอารมณ์อันเป็นนิมิตของจิต ตลอดกาล ตามกาล อย่างนี้.

 

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙ บรรทัดที่ ๑๑๗๒๑-๑๑๗๗๗ หน้าที่ ๔๙๑-๔๙๔.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=29&A=11721&Z=11777&pagebreak=0
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=29&A=11721&w=วิปัสสนา&pagebreak=0

ปัญญารู้แจ้งแทงตลอดที่จิต

…………………..

“การดูจิตเป็นวิธีปฏิบัติที่ลัดสั้นที่สุด
เมื่อก่อนไม่กล้าพูดนะ
แต่หลังๆ มีคนไปขุดธรรมะครูบาอาจารย์ออกมา
พูดเหมือนกันทุกองค์เลย
อยากไปเร็วที่สุด ก็ไปด้วยจิตนี่แหละ
 
ถ้าดูจิตไม่ได้ ดูกายก็อ้อมหน่อย
เพราะจะดูกายได้ดี ต้องทำสมถะก่อน
อ้อมมากเลยนะ 
ต้องไปทำสมาธิให้จิตสงบ จิตตั้งมั่น
จิตสงบ จิตตั้งมั่นแล้วมาดูกาย
ดูไปเรื่อยๆ ถึงวันหนึ่งก็จะเข้ามาที่จิต
 
ถ้าเราสติปัญญามากพอ
กำลังสติ สมาธิ ปัญญาเราดี
รู้เข้าไปที่จิตเลย
รู้ที่จิต ละความเห็นผิดที่จิต
บางองค์ท่านก็สอน “รู้ที่จิต ละที่จิต” 

ถ้าฟังไม่ดีก็นึกว่าให้ละอารมณ์
หรือจิตดีก็ให้ละ จิตชั่วก็ให้ละ
อะไรๆ ก็ไม่เอาเลยสักกอย่าง
อันนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐินะ
อะไรๆ ก็ไม่เอาสักอย่าง มันเป็นมิจฉาทิฐิ
อะไรๆ ก็ว่าง อะไรๆ ก็ไม่มี
เป็นพวกนัตถิกทิฏฐิ ไม่มีอะไรสักอย่าง
 
ดูไปเรื่อยๆนะ
มีญาณเห็นจิต เหมือนตาเห็นรูป
จิตสุขก็รู้ จิตทุกข์ก็รู้
จิตดีก็รู้ จิตชั่วก็รู้
ไม่แทรกแซง ไม่บังคับ
สุดท้ายปัญญามันก็รู้แจ้งแทงตลอดในตัวจิต
จิตนี้ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราไม่มี
 
เมื่อไรเห็นว่าจิตไม่ใช่เรานะ
ขันธ์ ๕ ทั้งหมดจะไม่ใช่เรา
เพราะขันธ์ ๕ เกิดจากจิตนั่นแหละ
จิตเหมือนเมล็ดพันธ์
อย่างมีเมล็ดมะม่วงอยู่หนึ่งเมล็ด
ก็งอกเป็นต้นมะม่วง
มีราก มีต้น มีใบ มีกิ่ง มีลูกได้อีก
เหมือนมีจิตดวงเดียวนี่แหละ
ก็งอกขันธ์ ๕ ขึ้นมาได้อีก
แต่ถ้าเมื่อไหร่เห็นว่าจิตไม่ใช่ตัวเรานะ
ขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นผลผลิตของจิต ก็จะไม่ใช่เรา

โลกทั้งโลกปรากฏแก่เรา
ด้วยขันธ์ ๕ ด้วยอายตนะ ๖
โลกปรากฏขึ้นมาด้วยสิ่งเหล่านี้
เมื่อ(เห็น)ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา
มันก็จะรวม(เห็น)อายตนะ ๖ ไม่ใช่เราเข้าไปด้วย
โลกข้างนอกก็ไม่ใช่เรา
อะไรๆ (ที่เป็น)ตัวเรา ไม่มีเลย ที่ไหนก็ไม่มี

ฉะนั้นปัญญาแทงตลอด
ลงมาที่จิตตัวเดียวนี่แหละว่า
จิตไม่ใช่เรา 
ขันธ์ ๕ ก็ไม่ใช่เรา 
โลกก็ไม่ใช่เรา
รูป นาม กาย ใจ อายตนะ ขันธ์ ธาตุ อินทรีย์
ล้วนแต่ไม่ใช่เราทั้งหมด
ฉะนั้นจะแตกหักลงที่จิตดวงเดียวนี่เอง”
 
…………………..
พระธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช 
วัดสวนสันติธรรม ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๑

ถอดคำ : พีเค
เรียบเรียง : สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา

การแก้อาถรรพ์ของชีวิต

ความยากจน ความโง่ ตระกูลต่ำ อายุสั้น มีโรคมาก ไร้บริวาร ขี้เหร่ เป็นผู้หญิงบัณเฑาะก์ เป็นใบ้บ้า ตาบอด หูหนวก ทรัพย์วิบัติ การเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย สัตว์นรก  
ล้วนชื่อว่าเป็นอาถรรพ์ ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา
บริจาคทาน แก้อาถรรพ์ข้อยากจน
การรับฟัง แก้อาถรรพ์ข้อโง่เขลา
การอ่อนน้อม แก้การเกิดในตระกูลต่ำ
การรักษาศีล แก้อายุสั้น (ศีลข้อ ๑)
การไม่เบียดเบียนสัตว์ แก้การมีโรคมาก
การสงเคราะห์สัตว์ แก้การไร้บริวาร
การรักษาศีลไม่ขี้โกรธ แก้การเกิดเป็นคนขี้เหร่
การรักษาศีลข้อ ๒ แก้ทรัพย์วิบัติ
การรักษาศีลข้อ ๓ แก้การเกิดเป็นผู้หญิงบัณเฑาะก์
การรักษาศีลข้อ ๔ แก้ ตาบอด หูหนวก ไม่มีคนเชื่อถือ
การรักษาศีลข้อ ๕ แก้เป็นใบบ้า มีสติปัญญาดี
การรดน้ำมนต์ เสกเป่าล้างอาถรรพ์ให้ชีวิตไม่ได้
การบำเพ็ญบารมีเท่านั้น จึงแก้อาถรรพ์ให้ชีวิตได้

พระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) 
วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี

มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจ

มโนมยิทธิได้จากเจ้าคุณอริยฯ...ท่านก็เคยให้พวกเรานั่งไปดูนรก ดูสวรรค์เหมือนกัน แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้..ใช้ภาวนา

การภาวนาหรือนั่งสมาธิไปดูนรกไปดูสวรรค์นั้น ตามตำรับของไสยศาสตร์มันมีแบบมีแผนให้ศึกษากัน ซึ่งมีหลักฐานปรากฏอยู่ในหนังสือ “กรรมฐานสิบสองยุค” ของเจ้าคุณพระเทพญาณวิศิษฐ์ (ใจ ยโสธโร) รวบรวมไว้ที่วัดบรมนิวาส (กรุงเทพฯ) มันมีคาถาบทหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าคาถาพระเจ้าเปิดโลก คาถาพระเจ้าเปิดโลกนี้ ตอนที่ ๒ หลวงพ่อจำได้ว่า ข้อความว่า

พุทฺโธ ทีปงฺกโร โลกทีปํ วิโสธยิ

ธมฺโม ทีปงฺกโร โลกทีปํ วิโสธยิ

สงฺโฆ ทีปงฺกโร โลกทีปํ วิโสธยิฯ

เมื่อว่าคาถานี้จบแล้ว ก็อธิษฐานในจิตในใจว่า

พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า เป็นดวงประทีปส่องโลก ขอโปรดส่องทางนรกทางสวรรค์ให้ข้าพเจ้าเห็นจริงแจ่มแจ้งในกาลบัดนี้ด้วยเถิด

พอเสร็จแล้วผู้บริกรรมภาวนา ถ้าจะไปดูนรก ก็นึกในใจว่า “นรก ๆ ๆ ๆ ๆ”

ถ้าจะไปสวรรค์ก็ “สวรรค์ ๆ ๆ ๆ ๆ”

#ทีนี้พอจิตมันสงบเป็นอุปจารสมาธิเกิดสว่างขึ้น
#ผู้ภาวนาจะมีอาการสั่นเหมือนกับผีสิง
#พอเสร็จแล้วสภาพจิตของผู้นั้นจะแสดงอาการไปดูนรกไปดูสวรรค์ตามที่ต้องการตามแบบแผนตำรับตำราที่กล่าวไว้

ที่จำได้อันนี้ ได้เคยทดสอบพิจารณาดูแล้ว เมื่อใครก็ตาม ได้มานั่งภาวนาตามคาถาบทที่กล่าวมานี้ ไปเห็นนรกเห็นสวรรค์ได้แล้ว

#สามารถที่จะเชิญวิญญาณต่างๆเข้ามาทรงภายในตัวเองก็ได้

สามารถที่จะเชิญวิญญาณปู่ย่าตายาย หรือ ครูบาอาจารย์ ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ให้เข้ามาสิง แล้วก็สนทนากับผู้ที่นั่งฟัง หรือผู้ที่ควบคุมการแสดงอยู่ อยากจะรู้ว่า คนตายแล้วไปเกิดที่ไหน ตกนรกหรือขึ้นสวรรค์อย่างไรก็ได้

ผู้นั่งสมาธิดูนรกดูสวรรค์นั้น สามารถที่จะนำชาวสวรรค์ชาวนรกมาคุยกับเราก็ได้ อันนี้เป็นวิธีอันหนึ่งสำหรับวิธีการภาวนา ไปดูนรก ไปดูสวรรค์ แต่มันจะจริงแน่นอนหรืออาจเกิดจากความจำก็ได้

และอีกนัยหนึ่ง เขาใช้วิธีการที่เรียกว่า ปลุกพระ จะเอาพระเครื่องรางของขลัง เป็นพระเป็นเหรียญเป็นอะไรก็ตาม มากำไว้โนมือ แล้วก็บริกรรมภาวนาว่า นะ มะ พะ ทะ จนกระทั่งมีอาการสั่นขึ้น ในเมื่อมีอาการสั่นขึ้นแล้ว จะให้ไปเชิญวิญญาณที่ไหน ๆ ให้มาทรงก็ย่อมเป็นได้ แต่วิญญาณที่มาทรงนั้น เท็จจริงอย่างไรก็ไม่กล้ายืนยัน ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ บางทีสามารถเชิญกระทั่งวิญญาณของพระอรหันตพระพุทธเจ้ามาทรงก็ได้

แต่สำหรับมติของหลวงพ่อนั้น เข้าใจว่า

#ในเมื่อประกอบพิธีเชิญวิญญาณขึ้นมา
#มันก็ต้องมีวิญญาณมาทรง

แต่วิญญาณที่มาทรงนั้น จะใช่บุคคลที่เราเชิญมา
ทรงหรือเปล่า ในเมื่อทำพิธีกรรมแล้ว ต้องมีวิญญาณมาทรงอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้มิใช่ว่าจะเป็นไปได้หมดทุกคน แม้แต่ในสำนักทรงวิญญาณทั้งหลาย ผู้ที่ชำนาญในการเชิญวิญญาณทรง เขาก็มีกันเพียง ๒ คนเท่านั้น ในเมื่อผู้ใดต้องการรู้ต้องการทราบเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องอดีต อนาคต ปัจจุบัน เขาก็ให้คนที่ฝึกเอาไว้นั้นแหละมาทำการทรง

และอีกนัยหนึ่ง การทรงวิญญาณแบบฝรั่ง เขาเรียกว่าใช้วิธีการสะกดจิต คือ เอาเด็กชายตั้งแต่ ๑๐ ขวบ ไม่เกิน ๑๕ ขวบ มาทำการสะกดตามแบบวิธีของเขา ในเมื่อเขาสะกดเด็กให้หลับแล้ว เขาสามารถที่จะใช้เด็กไปดูนรกดูสวรรค์ หรือไปติดต่อกับโลกข้างหน้าได้อย่างสบาย อันนี้ก็เป็นวิธีการอีกอันหนึ่งซึ่งก็แล้วแต่ผู้สะกด

#สมาธิที่ถูกต้อง

 #ไม่เป็นไปเพื่อพอกพูนกิเลส #ไม่เป็นไปเพื่ออิทธิฤทธิ์ 

เรื่องทั้งหลายที่กล่าวมานั้น มิได้เกี่ยวเนื่องด้วยการทำสมาธิภาวนาตามแบบที่ถูกต้องซึ่งเรียกว่า สัมมาสมาธิ

#และขอให้ท่านทั้งหลายพึงเข้าใจว่าการทำสมาธิตั้งแต่ขั้นปฐมฌานถึงขั้นจตุตถฌานนั้น

#มันยังเป็นสมาธิสาธารณะทั่วไปแก่ทุกลัทธิศาสนา และแก่ลัทธิที่มีการปฏิบัติสมาธิโดยทั่ว ๆ ไป

เพราะฉะนั้น สมาธิของพระพุทธศาสนานั้น จึงอาศัยหลักศีลตามขั้นภูมิของแต่ละบุคคลผู้ปฏิบัติอยู่นั้น เป็นหลักตัดสินว่า สมาธิของเขาถูกต้องหรือไม่ อย่างไร

ขอให้ถือคติว่า สมาธิหรือการปฏิบัติธรรมอันใด
ถ้าหากมันเป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ เป็นไปเพื่อพอกพูนกิเลส เป็นไปเพื่ออิทธิฤทธิ์ เป็นไปเพื่อการกระทำอะไรแปลก ๆ ต่าง ๆ

#เช่นอย่างการเป็นหมอดูด้วยสมาธิเป็นต้น

พึงเข้าใจเถิดว่า

 #มันเป็นมิจฉาสมาธิซึ่งออกนอกหลักพระพุทธศาสนา.

หลวงพ่อพุธ​ ฐานิโย

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...