21 พฤศจิกายน 2564

การสวดมนต์มีอานิสงส์ใหญ่

ผู้ถาม : “หลวงพ่อคะ สวดมนต์แบบในใจ กับ สวดมนต์แบบออกเสียง อานิสงส์เท่ากันไหมคะ…?”
หลวงพ่อ : “ไม่เท่าหรอก เพราะมันเหนื่อยไม่เท่ากัน… อานิสงส์ ถ้าแปลตามความหมายแปลว่า ผลที่จะพึงได้รับ ลีลาการสวดมนต์ในใจก็ไม่แน่ สุดแท้แต่คน บางคนนึกในใจ จิตเขาฟุ้งซ่าน ใช่ไหม… บางคนออกเสียงเหนื่อยเกินไป ในใจดีกว่า

ก็รวมความว่า สุดแล้วแต่ ทำอย่างไหนจิตจะมีสมาธิดีกว่ากัน บางคนนึกในใจไม่ได้หรอก จิตฟุ้งซ่าน ต้องว่าออกเสียงดังๆ

ถ้าอย่างหลวงพ่อออกเสียงดังไม่ดี นึกในใจดีกว่า ก็สุดแล้วแต่คนนี่ ผลก็ต้องอยู่ที่ว่าคนใดจิตมีสมาธิดีกว่า และสวดมนต์ได้ดีกว่ากัน ต้องถือตามนั้นนะ

การสวดมนต์มีอานิสงส์ใหญ่ สวดน้อยก็มีอานิสงส์ใหญ่ อานิสงส์ใหญ่จริงๆ อยู่ที่เจตนา จิตมีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์จริง และเวลาสวด สวดด้วยความเคารพจริง ถึงสวดน้อยก็มีอานิสงส์ใหญ่ ถ้าสวดว่าเรื่อยเปื่อยไปไม่ได้ตั้งใจ ว่าส่งเดช อย่างนี้ว่ามากก็มีอานิสงส์น้อย

ทีนี้ถ้าจะถามว่า สวดมนต์ กับ ภาวนา อย่างไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากัน?

ถ้า สวดมนต์ อย่างเก่งก็แค่อุปจารสมาธิ ถ้า ภาวนา สั้น ๆ จิตเป็นฌานได้ ต่างกัน ทีนี้ถ้าคนภาวนาส่งเดชก็ไม่เป็นเรื่องเหมือนกัน แต่ภาวนาส่งเดชก็ดีกว่าไมภาวนาเลย ใช่ไหม…”

ชอบสวดมนต์ 

ผู้ถาม : “หลวงพ่อเจ้าขา คนที่ชอบสวดมนต์ แต่ไม่เคยเจริญพระกรรมฐานเลย แต่อธิษฐานว่า ตายเมื่อไรขอไปนิพพานทันที อย่างนี้เขาจะไปได้หรือเปล่าเจ้าคะ…?”

หลวงพ่อ : “ถ้าเขากำลังใจดี เขาไปได้นะ ถ้านั่งสวดมนต์ก็กรรมฐานนี่ สวดมนต์อย่างต่ำเป็นอุปจารสมาธินะ ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิเราสวดไม่ได้ กรรมฐานไม่ใช่ว่าต้องนั่งหลับตาเสมอไป

ที่เขาอธิษฐานจิตว่า ถ้าเขาต้องการไปนิพพานชาตินี้ การสวดมนต์ถือว่าเป็นสมถภาวนาด้วยนะ ถ้าเขาเกิดมีปัญญา คิดว่าการเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ไม่สบายก็ทุกข์ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็ทุกข์ ความตายก็ทุกข์ ความทุกข์อย่างนี้ไม่ต้องการมีต่อไปอีกในชาติต่อไป อย่างนี้ตายแล้วไปนิพพานได้แน่ ปัญญาถึง”

วิ่งสวดมนต์

ผู้ถาม : “เวลาประมาณตี ๕ ลูกได้ออกมาวิ่งออกกำลังกาย ในขณะที่วิ่งลูกก็สวดมนต์ไปด้วย ตัดขันธ์ ๕ ไปด้วย มาวันหนึ่งคิดว่า ทำไปทำมา เอ…สติจะเสียหรือเปล่า ชักไม่ไว้ใจตัวเอง”

หลวงพ่อ : “เขาทำถูกแล้วไม่เสีย นั่นสติดี นั่นดีมากจริงๆ แบบจงกรม เขาวิ่งนี่ฉันเคยใช้นะ ใช้ก็สะดวกดี เมื่อก่อนก็เดิน เดินช้าหน่อย ต่อมาก็เร็ว หนักๆเข้าในป่าไผ่ ล่อกันครึ่บ ๆ วิ่ง…วิ่งแบบกวดหมานะ วิ่งกวดวัวแต่หนีหมา

ปรากฏว่ามีท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่งย่องแอบไปเห็นเข้า ก็ฟ้องหลวงพ่อปาน “พระ ๓ องค์ วิ่งกันพรึ่บ ๆ ไม่เป็นพระเป็นเจ้า”

หลวงพ่อปานเลยสวดเอาว่า เขาทำในป่าแล้วเสือกเห็นทำไม…ท่านบอกว่าปากหมา นั่นเขาทำกรรมฐานกัน สังเกตไหม…เขาวิ่งเขาไม่ได้วิ่งส่งเดช เขาวิ่งภาวนาไปด้วย

นี่เหมาะสำหรับพระที่ไปธุดงค์หรือคนเดินป่า เพราะอะไรรู้ไหม…เวลาเสือกวดเรา เราวิ่งหนีเป็นตัวคุมสติให้อยู่ นี่ทำถูกต้องแล้วนะ สังเกตไหม…แค่จงกรมธรรมดา สมาธิยังไม่เสื่อมเลย ต้องถือว่าเก่งมาก น่าจะฝึกอภิญญา”

ผู้ถาม : “อย่างนี้ฝึกได้จริงๆหรือครับ?”

หลวงพ่อ : “ฝึกได้ จะได้หรือไม่ได้ไม่รู้ เอางี้ซิ ว่าง ๆ ก็ตั้งเวลาไว้โก้ ๆ สัก ๑ ชั่วโมง นั่งบ้าง นอนบ้าง ภาวนาว่า สัมปจิตฉามิ เป็นอภิญญาตรง”

#คัดลอกจากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๕๘-๖๑ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...