25 ตุลาคม 2565

ความฉลาดในทาง" #คดีโลก "กับความฉลาดในทาง" #คดีธรรม "นั้น #เป็นคนละเรื่องกัน


       ความฉลาดในทาง" #คดีโลก "กับความฉลาดในทาง" #คดีธรรม "นั้น  #เป็นคนละเรื่องกัน
     ความฉลาดในทาง" คดีโลก "นั้น 
      ถ้า บุคคลใดสามารถแสวงหาทรัพย์สิน,ข้าวของ,เงินทอง,ยศ,ตำแหน่งและชื่อเสียงได้มากกว่าคนอื่น
            แม้ว่า การได้สิ่งเหล่านี้มา จะไม่สุจริตหรือไม่ชอบธรรมก็ตาม   #ทางคดีโลกถือว่า..." เป็นคนฉลาด "

              ส่วน" ความฉลาด "ในทาง" #คดีธรรม "นั้น หมายถึง....
             ผู้ที่มีจิตใจอิสระเสรี ไม่ต้องตกเป็น" #ทาสรับใช้ "ของกิเลส เช่น... ความโลภ, #ความเห็นแก่ตัว,ความเห็นผิด เป็นต้น 
      ไม่ถูกกิเลสเหล่านี้" ไสหัว "ให้ต้องดิ้นรนทะยานอยากจนต้องเบียดเบียนตนเองบ้าง, 
      เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง, เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นบ้าง 
       ซึ่งหลายครั้งนำไปสู่ความทุกข์ความเดือดร้อนต่างๆ  
      ( เช่น...
       มีศัตรูคู่เวรบ้าง, ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตหรือพิกล,พิการบ้าง, 
        เครียดจนเส้นเลือดในสมองแตกบ้าง, เป็นโรคร้ายต่างๆ เช่น มะเร็ง, โรคหัวใจ, โรคความดัน เป็นต้น บ้าง )

         ผู้ที่มีปัญญา ฉลาดในทาง" คดีโลก "สามารถแสวงหาทรัพย์สิน,สมบัติ,ข้าวของเงินทอง,ยศ,ตำแหน่งและชื่อเสียงได้อย่างมากมายมหาศาล 
     แต่....#ไม่มีความฉลาดในทาง" คดีธรรม "ถูกกิเลสตัณหาอุปาทานและ #ความเห็นแก่ตัวไสหัวให้คิด ๆ ๆ ๆ ๆ   #คิดแต่จะกอบโกย, คิดแต่จะหาผลประโยชน์,
       #คิดแต่จะเอาเปรียบผู้อื่น, คิดแต่จะได้, คิดแต่จะเอา ๆ ๆ ๆ 
             จิตใจแบบนี้ #เป็นจิตใจที่น่าสงสาร เพราะเป็นจิตใจที่ตกเป็น" ทาส "ของกิเลสความโลภ,ความอยาก,ความเห็นแก่ตัว
       เป็นจิตใจที่" ไม่มีอิสรภาพ " #หลับก็ไม่เป็นสุข 
      จะเดินทางไปในที่ไหนๆ ก็ต้องมี" บอดี้การ์ด "ล้อมหน้าล้อมหลังเคร่งเครียดหวาดระแวง #กลัวโดนจับไปเรียกค่าไถ่,
        #กลัวศัตรูคู่อริที่ขัดผลประโยชน์จะตามมาเอาคืน

 แล้วมีความสุขที่ตรงไหน....? 

ฉลาดในทาง" คดีโลก " ผลิตอาวุธนิวเคลียร์,อาวุธไฮโดเยนบอมส์ 
        โกรธขึ้นมา ถล่มกันแต่ละที มีคนตายเป็นแสน บาดเจ็บและพิกลพิการเป็นล้าน
        ฉลาดกอบโกยถลุงทรัพยากรธรรมชาติจนทำให้เกิดภาวะโลกร้อน อันเป็นสาเหตุแห่งภัยพิบัติต่างๆ เช่น ไฟป่า, น้ำแข็งขั้วโลกละลาย, สภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวน, น้ำท่วม, พายุหมุน น่ะหรือ....?

              #เวลาตายก็แบมือหรา....เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้สักอย่าง
       ยกเว้นบุญและบาปที่ตนเคยกระทำบำเพ็ญไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ 

              ก็เพราะไม่เคยรู้เรื่องศาสนา ไม่เคยรู้เรื่อง" ชีวิตหลังความตาย "#จึงคิดว่า .... " ตายแล้วสูญ "จึงทำอะไรๆ ตามใจอยาก แต่ด้วยเหตุที่ ตนเคยทำบุญบางอย่างเอาไว้ในอดีต จึงได้ตั๋วพิเศษ 
     มาเกิดในโลกมนุษย์เพียงชั่วคราว #แต่เป็นผู้หลงโลก #คิดว่าโลกนี้เป็นบ้านอันถาวรของตน จึงไม่ขวนขวายสร้างบุญกุศลคุณงามความดีเพิ่มเติม 
            เมื่อหมดบุญตายไป #ทุคติจึงเป็นอันหวังได้ 
              และบุคคลที่ละจากโลกนี้ไปแล้ว 
      ผู้ที่จะได้กลับมาเกิดใน" สุคติโลกสวรรค์ "นั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ใจความว่า...#มีน้อยเหมือนเศษดินที่ปลายเล็บ เมื่อเทียบกับแผ่นดินทั่วปฐพี

       ดังนั้น ผู้ที่มีความฉลาดตามแบบฉบับของชาวโลก #แต่ไม่มีความรู้,ไม่มีความเข้าใจเรื่อง" ความฉลาด "ในทาง" คดีธรรม " #จึงเป็นดุจบุคคลผู้มีตาเพียงข้างเดียว, 
            ผู้ที่มีความฉลาดรอบรู้ทั้งทาง" คดีโลก "และทาง" คดีธรรม  "จึงเป็นดุจผู้มีตา ๒ ข้าง 
             ส่วนผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐานจนลดละอาสวะกิเลสได้ไปตามลำดับ #รู้แจ้งในอริยสัจ ๔ เข้าถึง" #พระนิพพาน "อันเป็น" #บรมสุขนิรันดร์ "นั้น #เปรียบเสมือนผู้มีตาดี 
        สามารถนำพาชีวิตของตนให้ #เข้าถึงความประเสริฐสูงสุด ของการได้มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา 
       เป็นความฉลาดที่ภาษาทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า..." #กุศล "หรือ" #กุศลธรรม "นั่นเอง

23 ตุลาคม 2565

12 ประเด็นชวนคิดจากหนังสือ ชีวิตเราไม่ได้ยืนยาวพอที่จะอยู่อย่างอดทน

1. เมื่อใช้ชีวิตอยู่กับ "ระบบคุณค่าของคนอื่น" มาตั้งแต่เด็ก เราจะแยกแยะ "สิ่งที่ตัวเองอยากทำ" กับ "สิ่งที่ถูกคนอื่นยัดเยียดให้อยากทำ" ไม่ออก

2. คนส่วนใหญ่ทำตามกฎที่คนอื่นและสังคมกำหนด ให้ความสำคัญกับมันมากกว่ากฎของตัวเอง และพยายามอดทนมากเกินจำเป็น

3. การโทษตัวเองกับโทษคนอื่นนั้นมีสาเหตุเดียวกัน นั่นคือเส้นแบ่งระหว่างตัวเรากับคนอื่นไม่ชัดเจน จึงไม่รู้ว่าส่วนที่ตัวเองต้องรับผิดชอบอยู่ตรงไหนกันแน่

4. ความรู้สึกผิดนั้นบางทีก็เกิดจากการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง หลายคนรู้สึกผิดเพียงเพราะว่าตัวเองไม่อยากถูกเกลียด

5. I message คือประโยคที่ขึ้นต้นด้วยฉัน "ฉันเสียใจที่โดนว่าแบบนี้" "ฉันไม่สบายใจที่เจอแบบนี้" ส่วน You message คือประโยคที่มีคำว่า "คุณ" เป็นประธาน เช่น "ทำไมคุณถึงทำแบบนี้" "คุณพูดแบบนี้ไม่ได้นะ" เมื่อเราใช้ You message คนฟังจะเหมือนถูกโจมตี เราจึงควรหลีกเลี่ยง You message และเน้นการใช้ I message ในการพูดคุยกับคนสำคัญ

6. ถ้าเราเอ่ยปากแล้วแต่ยังมีบางคนคอยล้ำเส้นเราอยู่เรื่อยๆ นั่นแสดงว่าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรา เราจึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจคนที่ไม่เห็นว่าเราสำคัญ

7. คนที่มีพลังบวกมากเกินไปอาจเป็นพิษกับจิตใจที่อ่อนแอของเราได้ เพราะเขาไม่อาจเข้าใจว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ และอาจยิ่งกระตุ้นความรู้สึกว่าเราเป็นคนไม่ได้เรื่อง เวลาเรากำลังคิดว่า "อยากหายไปจากโลกนี้" คำพูดปลอบประโลมอย่าง "อย่าพูดอย่างนั้นสิ" หรือ "เธอมีค่ามากพอนะ" มันดังไม่ถึงหัวใจของเราหรอก

8. เราไม่ควรทำงานด้วยการเอาความอดทนไปแลกเงิน ความอดทนเป็นแค่ไพ่ใบหนึ่งในสำรับ และมันไม่ใช่ไพ่สารพัดประโยชน์ที่จะช่วยให้เราก้าวข้ามทุกอย่างในชีวิตไปได้

9. ยิ่งเราเป็นคนที่ยอมรับกฎเกณฑ์ที่คนอื่นขีดให้เท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะประสบวิกฤติวัยกลางคนมากขึ้นเท่านั้น

10. คุณค่าของมนุษย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชัยชนะหรือการเป็นที่ยอมรับของคนอื่น การแขวนความสุขไว้กับการต้องเอาชนะไปเรื่อยๆ นั้นมีราคาแพงเกินไป

11. เมื่อร่างกายและจิตใจทนไม่ไหว ความรู้สึกจะเผยตัวออกมาให้เห็น ตัวอย่างที่ได้ยินบ่อยๆ ก็เช่น "ขึ้นรถไฟอยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหลออกมา"

12. เส้นทางที่ใครๆ ก็เดินไปนั้นดูปลอดภัยก็จริง แต่มันก็หนาแน่นและการแข่งขันสูงลิ่ว ทำให้เราต้องคอยตอบสนองความคาดหวังของคนอื่นเรื่อยไป การออกนอกเส้นทางบ้างจะช่วยให้ได้เราเห็นโลกที่อยู่ง่ายขึ้น

-----

ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ ชีวิตไม่ได้ยืนยาวพอจะอยู่อย่างอดทน ซูซูกิ ยูซึเกะ เขียน ชลฎา เจริญวิริยะกุล แปล สำนักพิมพ์วีเลิร์น

https://anontawong.com/2022/10/22/life-is-not-long-enough/

"ความฉลาด" กับ "ปัญญา" เป็นคนละเรื่องกัน ...

"ความฉลาด" กับ "ปัญญา" เป็นคนละเรื่องกัน ...
ความฉลาดเป็นความสามารถอย่างหนึ่งในการดำรงอยู่
ส่วนปัญญาเป็นภาวะอย่างหนึ่งในการดำรงอยู่
ในโลกนี้ คนฉลาดมีไม่มาก คาดว่าประมาณหนึ่งในสิบ ส่วนคนมีปัญญายิ่งหายาก คาดว่าราวหนึ่งในร้อย  ก็ดูเถิด แม้โสเครตีสที่เห็นพ้องกันว่าเป็นคนมีปัญญาก็ยังยอมรับว่า หากยึดตามข้อเรียกร้องของความมีปัญญาแล้ว ตนนั้นไม่รู้อะไรเลย
ในชีวิตจริง คนที่ไม่เสียเปรียบคือคนฉลาด 
ส่วนคนที่ยอมเสียเปรียบคือคนมีปัญญา
คนฉลาดจะรักษาผลประโยชน์ของตนไว้ได้เสมอเมื่อทำงานกับคนอื่น เช่น ทำการค้า พวกเขาจะค้าขายได้ดีจนได้กำไรงาม
ส่วนคนมีปัญญาจะไม่ยอมแสวงหาผลประโยชน์สูงสุดทางการค้าเด็ดขาด การค้าบางอย่าง แม้ต้องแถมเงินก็ยังยอม
คนฉลาดรู้ว่าตนทำอะไรได้ 
ส่วนคนมีปัญญาเข้าใจว่าตนทำอะไรไม่ได้
คนฉลาดกุมโอกาสได้ รู้ว่าควรลงมือเมื่อใด
คนมีปัญญารู้ว่า ควรปล่อยมือเมื่อใด
ดังนั้น หยิบขึ้นมาได้คือฉลาด แต่วางลงได้จึงเป็นปัญญา
คนฉลาดมักแสดงด้านที่เปล่งประกายของตน นั่นก็คือลอกคราบออกมา 
ส่วนคนมีปัญญาจะปล่อยให้คนอื่นแสดงด้านที่เปล่งประกาย
เช่นในงานสังสรรค์ คนฉลาดปากไม่ว่าง พูดคุยได้เรื่อยๆ  จึงเป็นกาน้ำชา  ส่วนคนมีปัญญา หูไม่ว่าง ตั้งใจฟังคนอื่น จึงเป็นถ้วยน้ำชา น้ำในกาน้ำชาย่อมต้องเทใส่ถ้วยน้ำชา
คนฉลาดเน้นรายละเอียด ส่วนคนมีปัญญาเน้นองค์รวม
คนฉลาดวิตกกังวลมาก นอนไม่หลับกันโดยทั่วไป ดังนั้น คนฉลาดจะรู้สึกไวกว่าคนทั่วไป  
ส่วนคนมีปัญญาลี้ห่างความวิตกกังวล ลุถึงขั้นที่ "ไม่ยินดีในวัตถุ ไม่เสียใจกับตนเอง"  คนมีปัญญาจึงกินได้ นอนหลับ  
ดังนั้นคนฉลาดมักวายชนม์เร็ว ส่วนคนมีปัญญาจะไร้ทุกข์ไร้กังวล จึงมักอายุยืนนานกว่า
คนฉลาดใคร่อยากเปลี่ยนแปลงคนอื่น ให้คนอื่นทำตามเจตนาของตน  
ส่วนคนมีปัญญามักปล่อยไปตามธรรมชาติ  
ดังนั้น มนุษยสัมพันธ์ของคนฉลาดจะเครียดง่าย ส่วนของคนมีปัญญาจะผ่อนคลาย
คนฉลาดส่วนใหญ่ฉลาดแต่กำเนิด ได้ประโยชน์ทางพันธุกรรม ส่วนปัญญานั้นต้องอาศัยการเพียรบำเพ็ญ
ความฉลาดจะได้ความรู้มาก ส่วนความมีปัญญาทำให้คนมีวัฒนธรรม กลับกัน คนยิ่งมีความรู้ก็ยิ่งฉลาด ส่วนคนยิ่งมีวัฒนธรรมก็ยิ่งมีปัญญา
ความฉลาดพึ่งหู ตา ที่เรียกว่าหูตาดูฉลาด
ส่วนปัญญาอาศัยจิตวิญญาณ ก็คือ ปัญญาเกิดแต่ใจ
วิทยาศาสตร์ทำให้คนฉลาด
ปรัชญาสอนปัญญาคน
ความฉลาดนำมาซึ่งทรัพย์สินและอำนาจ ปัญญานำมาซึ่งความสุข  เพราะคนฉลาดมักมีความสามารถ และในความเป็นจริง ความสามารถเหล่านี้จะแปรเป็นความมั่งคั่งกับอำนาจหากโอกาสอำนวย  ทว่า ความมั่งคั่งและอำนาจกับความสุขนั้น บ่อยครั้งไม่เป็นสัดส่วนกัน  
ความสุขเกิดแต่ใจ ดังนั้น หากแสวงความสามารถ ความฉลาดก็เพียงพอ  แต่หากแสวงหลุดพ้นจากทุกข์ ไม่มีปัญญาทำไม่ได้
... คำจีน : ไม่ทราบผู้เขียน
... แปล : วิภาดา กิตติโกวิท

08 กันยายน 2565

พระยามาราธิราช


    พระยามาราธิราช เป็นเทวดาชั้นที่ ๖ หรือ ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ชื่อจริงๆ "ท้าวมาลัย" พวกเดียวกัน เขาปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน จริงๆ แล้วก็เป็นเพื่อนกับพระพุทธเจ้า แล้วปรารถนาพุทธภูมิมาด้วยกัน สมัยหนึ่งที่ท่านเป็นมนุษย์ เป็นคนเลี้ยงม้าเหมือนกัน ต่างคนต่างเกี่ยวหญ้าม้า เวลาบ่ายพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งท่านอยู่บนเขาคันธมาศกุฏิที่ทำด้วยดินของท่านเกิดร้าว ต้องการหญ้าไปผสมดินเหนียวทำฝา ท่านก็มายืนอยู่ข้างหลัง พระพุทธเจ้าของเราก็เอาหญ้าถวายไปฟ่อนหนึ่ง ท่านยืนเฉย ก็คิดว่าเวลานีเพื่อนของเราอยู่ไกล อยากเอาหญ้าของเพื่อนถวายก็ไม่แน่ใจ ถ้าเขาไม่เต็มใจเกิดตำหนิพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็จะลำบาก เลยไม่ได้ให้ไป เพื่อนกลับมาตอนเย็นก็เล่าสู่กันฟัง พระยามาราธิราชก็โกรธเพื่อน หาว่าอยากเป็นพระพุทธเจ้าคนเดียวและจะตามแกล้ง
    ก่อนพระพุทธเจ้าจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ แกก็นั่งมองถ้าสิทธัตถะราชกุมารบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ดีไม่ดีจะสอนคนไปนิพพานหมด ถ้าเราเป็นพระพุทธเจ้า ไม่มีใครจะให้สอน หาลูกศิษย์ไม่ได้ ก็เลยหาทางขัดคอ พระพุทธเจ้าท่านก็ทราบ เป็นเพื่อนกันมา คือเจตนาของท่านน่ะดี อยากจะสงเคราะห์คนให้พ้นทุกข์เหมือนกัน แต่เกรงว่าพระพุทธเจ้าจะเอาคนไปหมด ฉะนั้น เวลาที่กลั่นแกล้ง พระพุทธเจ้าจึงไม่ทำอะไร ไม่มีการทรมาน ไม่มีการปราบปราม ก็แกล้งเยอะมาก
    ก่อนจะออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ ก็ไปยืนขวางทางบอก "สิทธัตถะจะไปทำไม อีก ๗ วัน ตำแหน่งจักรพรรดิก็จะเป็นของท่านแล้วจะได้ครองโลก" 
    ตอนจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณก็มาแกล้งอีก ส่งลูกสาวมา ต่อมาก็มาสะกิดข้างๆ ให้ลืมตา "นี่ๆ ตามข้ามาซิๆ" มายั่วให้โกรธ พระพุทธเจ้าก็ไม่โกรธ 
    ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระยามาราธิราชก็แกล้งพระสาวกองค์นั้นองค์นี้ คราวหนึ่งพระราหุลอยู่หน้าพระวิหารก็ไปบีบขา พระราหุลร้องจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า "มาร เธอถือว่าหยิกเล็บจะเจ็บเนื้อหรือ มันหมดความหมายเสียแล้ว เพราะเราบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว"
    ต่อๆ มาท่านก็กลั่นแกล้งทุกอย่าง ครั้งหลังสุดก็แปลงเป็นหนุ่มน้อยผิวเหลืองรูปร่างสวย มาเฝ้าพระพุทธเจ้า บอกว่า 
  "สมณโคดม ในวันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เราอาราธนาให้ท่านนิพพานไป ท่านไม่ไป ท่านบอกว่าบริษัท ๔ ยังไม่ครบเพียงใดจะยังไม่นิพพาน เวลานี้มีบริษัท ๔ ครบสมบูรณ์แล้ว ขอจงนิพพานเถอะ"
    วันนั้นเป็นวันมาฆบูชา วาระมาถึงพอดี พระพุทธเจ้าก็ทรงพิจารณาขันธ์ ๕ แล้ว ทรงปลงอายุสังขาร ประกาศว่า "ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปอีก ๓ เดือน เราจะนิพพานระหว่างนางรังทั้งคู่ที่เมืองกุสินารามหานคร"
    หลังจากนั้นท่านก็เทศน์เฉพาะศีล สมาธิ ปัญญา ร่างกายก็ทรุดลงไปทุกวันด้วยอาการป่วย
    พระยามาราธิราชยังอยู่ที่สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี แล้วต่อมาก็ลาจากพุทธภูมิ
    มีพระเคยถามว่า ทำไมไม่ปราบปรามพระยามาราธิราช ท่านบอกว่า "ไม่ใช่หน้าที่ของตถาคต ในเมื่อตถาคตนิพพานแล้ว จะมีคู่ปรับมีนามว่า อุปคุต"
    ต่อมาพระเจ้าอโศกมหาราชต้องการบำรุงพระศาสนา ทรงสร้างพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ พระอรหันต์ประชุมกัน หาผู้ที่จะรับมือกับพระยามาราธิราช ก็หาทางให้เณรผู้มีฤทธิ์ ไปเชิญพระอุปคุตที่จำพรรษาอยู่กลางสะดือทะเลมา เพื่อต่อต้านพระยามาราธิราช ในที่สุดพระอุปคุตก็สามารถปราบพระยามาราธิราชได้ ไม่กลั่นแกล้งสาวกคนใดอีกตั้งแต่นั้นมา

หนังสือ พ่อสอนลูก หน้า ๕๐๗-๕๐๙

21 สิงหาคม 2565

จิตไม่สงบเพราะเกาะติดทุกข์-สุข

พระธรรมคำสอนสมเด็จองค์ปฐม
จิตไม่สงบเพราะเกาะติดทุกข์-สุข

ต่อไปนี้ขอให้เจ้า หมั่นดูอารมณ์ของตนเอง
อย่าไปมองดูอารมณ์ของคนอื่น การที่จะ
พ้นทุกข์แห่งอารมณ์พอใจหรือไม่พอใจ
ก็ต้องสังเกตที่จุดนี้

กำหนดสติสัมปชัญญะ รู้ให้ได้ว่าขณะนี้
กำลังเสวยอารมณ์อะไรอยู่ เมื่อเรียนรู้
อารมณ์ที่เสวยแล้ว ก็ต้องหมั่นเอา
พระกรรมฐานเข้ามาแก้อารมณ์ที่เป็นพิษนั้น ๆ

จิตไร้ความสงบ เพราะอารมณ์ของจิต
ดิ้นรนเกาะติดทุกข์-สุข ถ้าหากศึกษา
ไม่ถ่องแท้แล้ว ก็จักแก้ไขจุดนี้ได้ยาก
ต้องรู้จริงกระทบจริงด้วยสติสัมปชัญญะ
ที่ว่องไว อันตามรู้ว่ากิเลสชนิดใด
ได้เกิดขึ้นแล้วในขณะจิตนั้น

ถ้าไม่รู้ก็แก้ไขไม่ได้ ต้องหลงปล่อยให้จิต
เป็นทาสของอารมณ์อยู่ร่ำไปอย่าท้อแท้
พลั้งบ้างเผลอบ้างเป็นธรรมดา หมั่นเพียร
ดูจิตเสวยอารมณ์อยู่เสมอ ๆ ใหม่ ๆ มันก็
ยุ่งยากหนักใจบ้างเป็นธรรมดา แต่กำหนดรู้
ไปนาน ๆ ก็จักเกิดความเคยชินเอง

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

17 สิงหาคม 2565

กฎของกรรม

️ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ หนูเคยอ่านเรื่องกฎของกรรมเรื่องหนึ่งคือ นายแดงเป็นคนเนรคุณพ่อแม่ และเคยทุบตีพ่อแม่ พอแกมีลูกออกมา ลูกก็มีอาการเหมือนกับพ่อค่ะ คงจะเป็นกฎของกรรมของนายแดง แต่หนูคิดว่าลูกของนายแดง จะต้องมีบาปเหมือนกันใช่ไหมคะ..?" 

️หลวงพ่อ : "ก็ไม่ใช่บาป" 

️ผู้ถาม : "แล้วกฎของกรรม จะบันดาลให้เป็นอย่างไรคะ..?" 

️หลวงพ่อ : "นายแดงเป็นคนอกตัญญู ไม่รู้คุณพ่อแม่ ตีพ่อตีแม่ นายแดงก็เป็นคนมีจิตเลว ฉะนั้น...เด็กที่จะต้องมาเกิดด้วยก็ต้องเป็นเด็กเลวๆ มาเกิด คือว่าเด็กที่จะมาเกิดร่วมกันส่วนใหญ่ จะต้องมีศรัทธาเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน เสมอกับพ่อแม่ จึงจะสู่ครรภ์เข้าในตระกูลนั้นได้ 

.... แต่ว่าไอ้กรรมที่เป็นอกุศลย่อมให้ผลต่างวาระ บางทีตอนเป็นเด็กๆ แกดี ตอนโตอาจเลวไปชั่วขณะหนึ่งก็ได้ หมายความว่ากรรมที่เป็นอกุศลเดิมเข้ามาสิงจิตในช่วงกลางนะ และในช่วงหนึ่งของชีวิต เขาอาจจะมีดีในตอนปลายมือก็ได้ เพราะว่าตอนต้นพ่อเลวแม่เลว แต่เขาอาจมีดีอยู่ เป็นเพราะช่วงของกรรมเขาเกิดมาในช่วงนั้น กรรมที่เป็นอกุศลมันให้ผลไปก่อน แต่ว่ากรรมที่เป็นกุศล คือความดีมันอาจจะมาทีหลัง" 

️ผู้ถาม : "อย่างนั้นพระองคุลิมาล ที่ต้องเป็นโจรฆ่าคนเอานิ้วมือ ก็คงเป็นกฎของกรรมใช่ไหมคะ..?" 

หลวงพ่อ : "อันนี้ก็เป็นกฎของกรรม คือถอยหลังจากชาตินี้ไป ๑ ชาติ ก่อนที่จะเกิดมาเป็นคน ท่านเกิดเป็นควายป่า ภายหลังถูกฆ่า คนทั้งหมดมีพันคนเศษ ที่ร่วมกันตีให้ตาย พอตีลงไปแล้วก่อนจะสิ้นใจแกก็ลืมตาดู "ไอ้พวกนี้มันมาก กูคนเดียวมึงรุมฆ่ากู ถ้าชาติหน้ามีจริง...กูก็ขอฆ่ามึงบ้าง" นี่เป็นเวรที่จองกันไว้ 

... พอเกิดมาอีกชาติหนึ่ง พ่อตั้งชื่อให้ว่า "อหิงสกกุมาร" แปลว่ากุมารผู้ไม่เบียดเบียน พอเกิดมาแล้วสติปัญญาดีท่านเป็นคนดีมาก ต่อมาพ่อส่งไปเรียนศิลปวิทยา ภายหลังเพราะความดีของท่าน ถูกลูกศิษย์ด้วยกันกลั่นแกล้ง ยุยงให้อาจารย์ออกอุบายให้ไปเรียน "วิษณุมนต์" แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องยกครูก่อน โดยจะต้องฆ่าคนให้ได้ถึงพันคน จึงจะเรียนได้ 

.... ท่านก็เลยตกลงยกครู โดยการไล่ฆ่าคน ฆ่าได้ ๑ คนก็เอานิ้ว ๑ นิ้ว แต่ว่าคู่ปรับยังมีอีกคนเดียว ถ้าได้อีกนิ้วเดียวก็ครบคู่ปรับพอดี และคู่ปรับที่ต้องจะฆ่าก็คือแม่ 

.... สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่า ถ้าอหิงสกกุมารฆ่าแม่ จัดเป็นอนันตริยกรรม มรรคผลจะไม่ได้เลย ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ต้องการว่าคนที่จะดีก็ขอให้ดีต่อไป ไม่ให้ความชั่วเข้ามาทับถม จึงเสด็จไปโปรด 

....เพราะกรรมที่เป็นกุศลเดิมให้ผล ท่านจึงรู้สึกตัววิ่งเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า ภายหลังท่านก็ขอบวช แล้วก็ได้เป็นอรหันต์"

จาก : หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓ หน้า ๕๔-๕๕ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

16 สิงหาคม 2565

การเจริญพระกรรมฐาน

อันดับแรก ให้ทุกคนกำหนดรู้ลมหายใจเข้า ออก 
เวลาหายใจเข้า รู้อยู่หายใจเข้า 
เวลาหายใจออก รู้อยู่หายใจออก 

การภาวนาไม่จำกัด 
ใครจะภาวนาว่าอย่างไร ก็ไม่เป็นไร ตามถนัด

แต่ว่าก่อนภาวนา ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน
ถือเป็น พุทธานุสสติ 
เวลาภาวนาจะใช้เวลาไหนบ้าง ก็ตามชอบใจ

ถ้าเวลาอื่นไม่มี ก่อนนอนอย่าลืม 
ถ้าศีรษะถึงหมอน ภาวนาพุทโธ ทันที 

นึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง 
ที่เราชอบคิด ว่าองค์นี้คือ พระพุทธเจ้า 

แล้วก็ภาวนา 
อาจจะภาวนา "พุทโธ"

หายใจเข้านึกว่า "พุท" 
หายใจออกนึกว่า "โธ" 
สัก ๒-๓ ครั้ง ก็ได้ตามความพอใจ 
มากก็ได้น้อยก็ได้ แล้วก็หลับไป

พอตื่นขึ้นมาใหม่ๆ 
ก็นึกถึงพระพุทธรูปองค์นั้นอีก

แล้วก็ภาวนาว่า "พุทโธ" อีก 

ทำอย่างนี้ทุกวัน 
จนกระทั่งวันไหน ถ้าเราไม่มีโอกาสจะทำ วันนั้นรำคาญ 
ต้องทำเป็นอารมณ์ชิน 

อย่างนี้ ถือว่า ทรงฌานในพุทธานุสสติกรรมฐานแล้ว
 
แม้ศีลมันจะขาดมันจะบกพร่องบ้าง 
ถึงยังไงก็ตาม ตายแล้วต้องไปสวรรค์แน่นอน

ญาติโยมพุทธบริษัท
บางท่านที่ไม่สามารถจะรักษาศีล ๕ ได้ครบถ้วน
ก็ให้จับอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

หนึ่ง พุทธานุสสติกรรมฐาน อย่าทิ้งพระพุทธเจ้า

และประการที่สอง ให้จับอารมณ์ สังฆทาน 
มีภาพแบบไหน มีอะไรบ้าง 
ว่าเราเคยถวายสังฆทานแล้วในชีวิตนี้ 
จับอารมณ์ให้ทรงตัว

ส่วนนี้เป็นส่วนหนึ่ง ที่พาท่านไปนิพพานได้โดยง่ายเหมือนกัน

และจงอย่าลืมคิดตามความเป็นจริง 
ตามอริยสัจว่า

การเกิดมันเป็นทุกข์ 
ความแก่เป็นทุกข์ 
ความป่วยไข้ไม่สบายเป็นทุกข์ 
ความพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจเป็นทุกข์ 
ความตายเป็นทุกข์ 

ถ้าเราจะเกิดอย่างนี้ อีกกี่ชาติ ก็จะมีทุกข์อย่างนี้

เมื่อเวลาใกล้จะตาย จิตอย่าลืมนิพพาน 
ต้องยึดไว้ทุกวัน

นิพพานนี้ นึกให้เป็นอารมณ์ไปจนชิน

ตัวนึกว่า ถ้าตายจาก โลกนี้เมื่อไหร่
ขอไปนิพพานเมื่อนั้น ให้จิตเป็นฌาน 

ที่ เรียกว่า อุปสมานุสสติกรรมฐาน 

อย่างนี้ทุกคนจะไม่พลาดนิพพาน

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน 
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)

🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏

"ตอนเช้ามืด ไม่ต้องภาวนาก็ได้ 
ตั้งจิตไปเลย 
นึกถึงพระพุทธเจ้า 
นึกถึงพระธรรม 
นึกถึงพระอริยสงฆ์ 
พรหมและเทวดาทั้งหมด ตลอดจนท่านผู้มีคุณ 
ขอจงเป็นพยานแก่ข้าพเจ้า 
ข้าพระพุทธเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาแล้วทั้งหมด 
หรือจะทำในกาลข้างหน้าก็ตาม 
ไม่ต้องการอย่างอื่น ต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน 
จิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ เพียงเท่านี้แหละ"

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน 
(หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง)

จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๑๐๑-๑๐๔

เวสารัชชกรณธรรม


    เวสารัชชกรณธรรม คือ ธรรมทำความกล้าหาญ ๕ อย่าง ถ้ามีอารมณ์ ๕ อย่างนี้ประจำใจ ท่านผู้นั้นเป็นคนที่มีความกล้า กล้าไปสวรรค์ กล้าไปพรหม กล้าไปนิพพาน นี่กล้าดี ๕ อย่าง
  ๑. ศรัทธา เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ
  ๒. ศีล รักษากายวาจาใจให้เรียบร้อย ด้วยอำนาจของสติสัมปชัญญะ และปัญญา
  ๓. พาหุสัจจะ ศึกษาให้มาก ทำความเข้าใจให้ดี ให้มีความฉลาดในด้านสัญญา (อย่าเมาความรู้จากตำรา)
  ๔. วิริยารัมภะ ปรารภความเพียร ทำลายความชั่วให้พังไปให้หมด ไม่ให้เหลือ รักษาความดีเข้าไว้ จำพระบาลีให้ดีว่า "วิริเยนะ ทุกขะ มัจเจติ" เราจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร "วายะเมเถวะ ปุริโส" เป็นบุรุษต้องพยายามร่ำไป พยายามละชั่ว ประพฤติดี
  ๕. ปัญญา รอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้ แต่ว่าควรรู้ทุกข์อย่าง ใช้ปัญญารู้ ทั้งดีและชั่ว จะได้มีทางหลีกเลี่ยง จะได้หนีมัน

หนังสือ พ่อสอนลูก หน้า ๓๓๖-๓๓๗

13 สิงหาคม 2565

ทางปฏิบัติที่ง่ายที่สุด


    ทีนี้วิธีปฏิบัติ ถ้าแบบฉันนะ ก็หาทางปฏิบัติแบบที่ง่ายที่สุด แบบต้นอาจจะยากสักหน่อย ตอนต้น ก็ขึ้นต้นมาเมื่อกี้นี้ว่า นึกถึงความตายไว้ว่า... 
"ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง สักวันหนึ่งข้างหน้าเราต้องตายแน่"
    แต่ก่อนที่เราจะตาย เราจะพร้อมหาทรัพย์สมบัติไว้      ☆☆ถ้าเราอยากเป็นคนรวย...เราก็ให้ทาน
☆☆อยากเป็นคนสวย...ก็รักษาศีล
☆☆อยากเป็นคนมีปัญญาดี...ก็เจริญวิปัสสนาญาณ
ง่ายๆ ไม่ยากนะ เราก็เตือนตัวเราไว้
    ประการที่ ๒ เราก็ตั้งใจยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
    ประการที่ ๓ มีศีล ๕ บริสุทธิ์ หรือมีกรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์ ก็ได้ ๒ อย่าง
  เมื่อทำใจได้อย่างนี้ ตามบาลีท่านบอกว่า คนนั้นเป็นพระโสดาบัน ตามแบบหนังสือนั้นมี หนังสือที่แจกไปวันนี้นะ ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้ว ทีนี้การปฏิบัติหลังจากเป็นพระโสดาบัน เขาทำคนละอย่าง มันมี ๒ แบบ **หนึ่ง บางท่านรักษาระเบียบ หรือว่ากำลังใจอ่อน ก็ต้องไต่เต้าไปหาพระสกิทาคามี เมื่อเป็นพระสกิทาคามีแล้ว ก็ต้องการเป็นพระอนาคามี และต้องการเป็นพระอรหันต์ 
**สอง สำหรับท่านที่มีกำลังแน่วแน่ กำลังใจสูง มีความเด็ดเดี่ยวมาก ก็มุ่งอรหันต์ทันที ให้ไปมุ่งหาอรหันต์เลย
    เขาทำกันอย่างไรเมื่อเป็นพระโสดาบันแล้ว หลังจากนั้นก็คิดตามความเป็นจริงว่า...
    "ความทุกข์ทั้งหลายที่มีกับเราเพราะอาศัยความเกิดเป็นเหตุ อาศัยร่างกายเป็นเหตุ ถ้าเราไม่มีร่างกาย เราไม่เกิดมีร่างกายอย่างนี้ เราก็ไม่ทุกข์ ทุกข์จากความหิว เพราะอาศัยร่างกาย ความกระหายที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยร่างกาย ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นก็เพราะอาศัยร่างกาย ความแก่มีขึ้นก็เพราะอาศัยมีร่างกาย ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เพราะอาศัยร่างกาย ความตายเข้ามาถึงก็เพราะอาศัยร่างกาย"
    ก็รวมความว่า ไอ้ทุกข์ทั้งหมดที่เรามีอยู่น่ะอาศัยร่างกายตัวเดียว ถ้าเราไม่มีร่างกายอย่างนี้ความแก่มันก็ไม่มี ความป่วยก็ไม่มี ขึ้นชื่อว่าขันธ์ ๕ จะเป็นร่างกายคนร่างกายสัตว์ มีสภาพเหมือนกัน มันเป็นปัจจัยเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ แล้วก็ตัดสินใจว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นคนไม่มีทุกข์เพราะร่างกาย ก็ตัดกิเลส ๒ ตัว ไอ้กิเลส ๒ ตัวนี่รวมเข้าท่านเรียก อวิชชา 
ตัวที่ ๑ คือ ฉันทะ , ตัวที่ ๒ คือ ราคะ
**ฉันทะ แปลว่าความพอใจ เราจะไม่มีความพอใจในการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือเป็นพรหม เราต้องการนิพพาน
**ราคะ เราจะไม่มองเห็นว่ามนุษยโลกเป็นดินแดนที่สวยสดงดงามมีความน่าอยู่ จะไม่คิดว่าเมืองเทวดา หรือเมืองพรหมสวยงามน่าอยู่
    ดินแดนทั้ง ๓ ประการนี้ ความจริงไม่มีดินแดนไหนมีความสุขจริง เทวดา นางฟ้า หรือพรหม มีความสุขก็จริงแหล่ แต่ว่าไม่ช้าก็ต้องลงมาเกิดใหม่ พวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ทั้งหมดก็เคยเป็นเทวดา เคยเป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหมกันมาแล้ว แต่เมื่อหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ เป็นทุกข์อย่างนี้ เราไม่ต้องการ เราต้องการพระนิพพาน หลังจากนั้นก็จับอารมณ์คิดว่า ร่างกายนี้มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา การตัดกิเลสเขาตัดตัวเดียวตัวนี้นะ ทั้ง ๑๐ ตัวนี่ตัดตัวเดียว อีก ๙ ตัวไม่จำเป็นต้องตัด
    เดี๋ยวมันอยากน้ำ คอแห้ง ขอตังค์ห้าแสนเขาไม่ให้ คอแห้ง (หัวเราะ) การตัดกิเลสก็ตัดตัวแรก คือ สักกายทิฏฐิ ค่อยๆ หาความรู้สึกให้เกิดขึ้นว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้าร่างกายเป็นของเราจริง เราไม่ต้องการความแก่ ร่างกายต้องไม่แก่ เราไม่ต้องการความป่วย ร่างกายต้องไม่ป่วย เราไม่ต้องการความตาย ร่างกายต้องไม่ตาย เพราะมันเป็นของเรา เราบังคับได้ ทีนี้ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราบังคับมันไม่ได้ เมื่อเวลาที่เราตาย เราไปนรก ร่างกายไม่ได้ไปด้วย

หนังสือ ธรรมปฏิบัติ ๖๙ (พระราชพรหมยาน) 
หน้า ๘๙-๙๒

12 สิงหาคม 2565

ตั้งจิตไปนิพพาน

คนที่ตาย ที่เขาไปนรก ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน เขาเอาอะไรไป เอาตัวไปรึเปล่า ไอ้ที่ไปนี่คือจิตใช่ไหม ถ้าใจของเรายึดหัวหาดคืออารมณ์ของพระโสดาบันไว้ได้ มันตั้งตรงเฉพาะพระนิพพานนี่ 
จิตมันตั้งไว้แล้วว่าจะไปพระนิพพาน แล้วก็รู้แล้วว่าเวลาที่จะไปจริงๆ เอาจิตไป ทีนี้เวลาตายจริงๆ มันก็ไปนิพพานเลย 

   📖 หนังสือ พ่อสอนลูก (พระราชพรหมยาน)
หน้า ๒๖๖-๒๖๗

12 สิงหาคม วันแม่แห่งชาติ

คำว่าการให้เกิด..ไม่มีบุญอันใดที่จะมากเท่าด้วยการตอบแทนตามกำลังของเรา ดังนั้น โยมอย่าได้ท้อแท้หรือน้อยอกน้อยใจในคุณบิดามารดาผู้ให้กำเนิด ถึงแม้เขาไม่ได้เลี้ยงดูเรามาก็ตาม แม้ไม่เห็นหน้าก็ตาม.. 

อย่าลืมเมื่อเราเกิดแล้วมีชีวิตมีกายสังขารแล้ว นั่นแหล่ะจ้ะ..เขาให้ทุกสิ่งให้กับเรามาแล้ว ถ้าโยมได้บรรลุธรรมเล่าจ๊ะ บรรลุถึงความดีเล่าจ๊ะ ถ้าไม่มีท่านบุคคลผู้นั้นโยมจะมีมั้ยจ๊ะ ทุกอย่างที่โยมมี..โยมก็มีไม่ได้เช่นกัน

ถ้าอย่างนั้นโยมอย่าถามหาอะไร ว่าท่านนั้นไม่ได้เลี้ยงดูเรามา..ไม่จริง ชาตินี้ไม่เลี้ยงดูมา..ชาติก่อนเขาเลี้ยงมาแล้ว ที่เขาไม่เลี้ยงดูเราเพราะบุญเขาอาจไม่ถึงเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าเขาเลี้ยงดูเราต่างคนต้องต่างตายไปคนหนึ่ง ทีนี้ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างมีชีวิตรอด แล้วเมื่อถึงเวลาก็จะพบกันเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

ดังนั้นโยมมีหน้าที่ตอบแทนอย่างเดียว ไม่มีสิทธิ์มีข้อแม้ แต่ถ้าโยมมีอคติในใจเสียแล้ว..เป็นอกุศล ขอให้โยมจงน้อมจิตน้อมใจด้วยอำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระรัตนตรัยขอขมาด้วยกายวาจาใจของเราได้ล่วงเกินในคุณบิดามารดาผู้ให้กำเนิดที่มีคุณทั้งหลายไม่ว่าจะเกิดอีกกี่ภพกี่ชาติกี่ร้อยกี่พันชาติทั้งหลายที่ท่านได้เกิดมา ให้เราได้กำเนิด เลี้ยงดูมาแล้วในคุณไม่มีอะไรประมาณแล้ว

ข้าพเจ้าลูกคนนี้ ขอน้อมกราบแทบเท้า ต่อบิดามารดาผู้นั้น ด้วยกาย วาจา ใจที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ข้าพเจ้าขอขมากรรม ขอให้บิดามารดาเมื่อรับรู้แล้วจงอโหสิกรรมให้ลูกผู้นี้ ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยจงอดอาฆาตพยาบาท อย่าได้มีเวรภัยกับข้าพเจ้าเลย

ขอบุญกุศลข้าพเจ้าที่ได้มาเจริญกรรมฐานเจริญทานศีลภาวนานี้ที่สำเร็จเกิดขึ้นนี้แล้ว จงดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น แม้จะอยู่ก็ดี ไม่มีชีวิตอยู่ก็ดี เสวยสุขอยู่ก็ดี เสวยทุกข์อยู่ก็ดีขอให้พ้นทุกข์พ้นภัย อยู่ในภพภูมิที่ดี จงมีแต่ความสุขความเจริญ สบายจิตสบายใจ ตลอดชั่วกาลและนานเทอญ โยมเคยทำไมเล่าจ๊ะแบบนี้ โยมเคยน้อมระลึกถึงแบบนี้มั้ยจ๊ะ..

มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต

ติดตามข้อมูลข่าวสารกิจกรรมของมูลนิธิได้ทาง https://www.facebook.com/mprs.foundation
ติดตาม คลิปธรรมะได้ทาง YouTube channel : ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

24 กรกฎาคม 2565

#มรณานุสสติ


สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสสอนเรื่องมรณานุสสติยังอ่อนอยู่ มีความสำคัญดังนี้

๑. ในเมื่อรู้จิตตนเองว่ายังอ่อนเรื่องการนึกถึงความตายอยู่ ก็ต้องเร่งรัดตนเอง เช่นคิดถึงเรื่องในพระสูตร คือท่านปฏาจราเถรีที่พิจารณาว่า ความตายมีได้ทั้ง ปฐมวัย - มัชฌิมวัยและปัจฉิมวัย แล้วหวนนึกถึงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จปัจจุบัน ตรงที่ทรงตรัสว่า เมื่อความตายเข้ามาถึงเรา คนที่เรารักมีบิดา - มารดา สามี - บุตร - ธิดา เป็นต้น ก็ไม่สามารถจักช่วยเราได้มีแต่จิตของเราเอง จักต้องไปตามกฎของกรรมแต่เพียงผู้เดียว แม้ในขณะเดียวกัน คนที่เรารัก มีบิดา - มารดา - สามี - บุตร - ธิดาจักตาย เราก็ช่วยเขาไม่ได้เช่นกัน เขาก็จักต้องไปตามกรรมของเขา

๒. ถ้าพวกเจ้าเอามาพิจารณาว่า หากจิตของตนเองกำหนดรู้อยู่ถึงความตาย พฤติการณ์ของบุคคลใดเล่าจักมีประโยชน์แก่จิตของเราที่พึงจักไปสนใจ มีแต่กรรมของเราเท่านั้นที่พึงควรจักสนใจ เพราะเมื่อตายไปแล้ว มีแต่เราเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งแห่งตน จุดนี้จักทำให้ไม่ประมาทในชีวิต และวางเรื่องของคนอื่นลงได้อย่างสนิทใจ

๓. ให้พยายามถามจิตตนเองบ่อยๆ ว่า หากตายตอนนี้ในขณะจิตนี้จักไปไหน กำหนดจิตให้รู้ลม - รู้ตาย - รู้นิพพานไว้เสมอ จิตจักมั่นคงอยู่อานาปา, มรณา และอุปสมานุสสติอยู่เสมอๆ จัดเป็นการซ้อมตาย และพร้อมที่จักตายอยู่ตลอดเวลาด้วยความไม่ประมาท มีเป้าหมายที่จักต้องไปจุดเดียวคือพระนิพพาน พยายามทำบ่อยๆ ให้ชิน จิตก็จักเป็นฌานในการกำหนดรู้ลม - รู้ตาย - รู้นิพพาน เป็นอัตโนมัติได้ในที่สุด ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของจิตเราแต่ผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งแห่งตน หรือจักต้องไปตามกฎของกรรมแต่เพียงผู้เดียว

๔. ดังนั้น การพิจารณาศีล - สมาธิ - ปัญญา โดยเอาสังโยชน์ ๑๐ เป็นเครื่องวัดอารมณ์ของจิตอยู่เสมอ บวกกับมีบารมี ๑๐ เป็นตัวเสริมการพิจารณา จักเป็นทางเข้าถึงพระนิพพานได้ง่ายขึ้น และอย่าลืมเพียรพิจารณาขันธ์ ๕ ให้มากๆ โดยอเนกปริยายแล้ว จักละเอียดในธรรมมากขึ้น เพราะการไปพระนิพพานประสงค์จักตัดหรือละจากขันธ์ ๕ ก็จักต้องพิจารณาขันธ์ ๕ เท่านั้น ไม่มีทางอื่นไปได้

โดยพิจารณาร่างกายนี้ให้เห็นชัดตามสภาพของความเป็นจริง ไม่ว่ารูปอันประกอบขึ้นด้วยธาตุ ๔ เป็นอาการ ๓๒ เข้ามาประชุมกัน ให้เห็นความไม่เที่ยงอันเป็นที่ตั้งของรูป มีความเสื่อม มีความสลายตัวไปในที่สุด แล้วให้พิจารณาตาม อันได้แก่ เวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณ ก็ไม่เที่ยง มีเกิดขึ้นแล้วก็มีความเสื่อม มีความสลายตัวไปในที่สุดเช่นกัน ให้เห็นสภาพขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง จิตก็จักเกิดความเบื่อหน่ายในขันธ์ ๕ และละขันธ์ ๕ ได้ในที่สุด

ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๙ เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๙

รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

#สมเด็จองค์ปฐม3 #ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น3

22 กรกฎาคม 2565

การเลี้ยงหมานี่ป้องกันนรกได้ดีเหมือนกัน

การเลี้ยงหมานี่ป้องกันนรกได้ดีเหมือนกัน เพราะเป็นเมตตาบารมี เราเลี้ยง เราก็เลี้ยงเพื่อไม่หวังผลตอบแทน ไม่เคยจะใช้มันตักน้ำถูบ้าน ใช้อะไรไม่เคย อย่างนี้ชื่อว่าเลี้ยงโดยการสงเคราะห์ อย่างนี้เป็นการป้องกันนรกได้ดี นี่คนเลี้ยงหมาแบบนี้ละก็จำไว้นะ
    คนเลี้ยงหมาแบบปล่อยแบบนี้ได้บุญขนาดไหนลุงพุฒิ แน่ะ ลุงแกมานั่งนานแล้ว พูดตอนนี้ก็ยิ้ม เลยลืมถามแก ลุง ถามจริงๆ นะ คนเลี้ยงหมานี่น่ะ อ๋อ แกรีบบอกมาเลย บอกว่าล้างบาปไม่ได้ จำไว้นะ ฉันมันพูดป้ำๆ เป๋อๆ เหมือนกัน บอกว่ากันนรกได้จะกลายเป็นล้างบาป แกบอกว่าเรื่องบาปเรื่องความชั่วนี่ล้างไม่ได้นะ แต่ว่าอานิสงส์ของหมา ด้วยการเลี้ยงปล่อย หมายความว่าเลี้ยงไม่หวังผลตอบแทน ลุง ไปทางไหน แกบอกว่ามันหลายทาง ความจริงนี่มันจะไม่เหมือนกันกับที่ฉันเทศน์เสียแล้วล่ะ ฉันเคยเทศน์ว่าเลี้ยงหมานี่ได้ผลขั้นกามาวจรสวรรค์ สามารถจะไปเกิดเป็นเทวดาได้ ลุงพุฒิแกตอบไม่เหมือนกันเสียแล้ว ลุงว่ามาซิ อ๋อ ยังงั้นหรือ บอกว่าถ้าเลี้ยงหมาด้วยการสงเคราะะห์ใช่ไหมล่ะ สงเคราะห์ให้หมามีความสุข อย่างนี้เป็นผลแห่งกามาวจรสวรรค์ งั้นนะลุงนะ ดางดึงส์เลยหรือ บอกว่าดาวดึงส์เลย นี่ฟังแกพูดนา แล้วฉันเทศน์น่ะมันจะผิด ผิดไหมลุง บอกว่าไม่ผิด แต่อธิบบายไม่ครบ อ้อ แหม ดีจริงๆ อย่างนี้ดีจริงๆ 
    แล้วขั้นที่สองเล่าลุง การเลี้ยงหมาถ้าใจจดจ่ออยู่กับการให้ทานหมา หมายความว่าการให้ทานนี่น่ะมีจิตห่วงใยมากรึ ใช่ อ๋อ แกบอกว่าใช่ ไปไหนก็ห่วงกลัวจะอด นอนก็คิดว่าพรุ่งนี้หมาจะกินอะไร จะมีกับข้าวอะไรให้หมากิน พยายามหามาให้สิ่งที่มันต้องการ ที่เรียกว่าพอจะกินได้ หรือว่าขนมพวกนี้หมาจะมีกินไหม ตั้งใจอยู่อย่างนี้เป็นปกติก่อนหลับหรือว่าปกติก็คิดเป็นห่วงอยู่ แกบอกว่าเป็นจาคานุสสติกรรมฐาน คือเป็นจาคานุสสติกรรมฐานอย่างนั้นใช่ไหมลุง แกบอกว่าใช่
    อันนี้ฉันไม่ได้เคยคิดเลยนะลูกหลาน ตอนนี้ฉันไม่เคยคิด หรือไม่เคยเทศน์มาเลยนะ แกยิ้ม แกบอกว่าจะเทศน์ยังไงล่ะก็คนมันโง่บัดซบ นี่แกว่ายังงั้น แกบอกว่าโง่บัดซบแล้วจะเทศน์ยังไง ก็เทศน์ไปเพียงแค่กามาวจรสวรรค์ อ่านหนังสือมายังงั้น แกบอกว่า จิตถ้าจับอยู่อย่างนี้เป็นอารมณ์เขาเรียกว่าอารมณ์ฌาน แล้วก็อารมร์ฌานนี่น่ะเวลาใกล้จะตายถ้าจิตห่วงใยอยู่กับแมวหมาที่เราเลี้ยงไว้ คิดหวังจะให้ทานมันอยู่เป็นฌาน ตายไปเป็นพรหม ถ้าเวลาตายไม่คิด เวลาตายไปแล้วก็ไปเกิดบนกามาวจรสวรรค์ แล้วบุญอันนั้นบันดาลให้เป็นพรหมได้ เมื่อหมดอายุในสวรรค์แล้วก็ไปเกิดเป็นพรหม
    จำไว้ให้ดีนะลูกหลานนะ ฉันไม่เคยเทศนน์แบบนี้เลยนะ ฉันไม่เคยเทศน์ ลุงแกยิ้มใหญ่แล้วแกบอกว่า ต่อไปคนเลี้ยงหมานี่น่ะไปนิพพานได้ เพราะเอาหมาเป็นวิปัสสนาญาณ เอาอาหารเป็นวิปัสสนาญาณ ถาม ทำไงล่ะลุง วันนี้มีประโยชน์มากจำให้ดีนะ นี่คนรู้เขารู้จริงๆ อย่างลุงพุฒินี่แกเป็นพรหม ลุงพุฒิเป็นพรหม แล้วเป็นอนาคามีพรหมด้วย จะบอกไว้ให้เสียก็ได้ แล้วลุงพุฒิน่ะไม่มีโอกาสจะมาเกิดเป็นมนุษย์ จะนิพพานต่อไป นี่แกใกล้นิพพานเต็มทีแล้วใช่ไหมลุง แกบอกว่าใช่ พอสิ้นศาสนานี้แล้วประะมาณ ๕๐ ปี ๕๐ ปีนรกหรือว่า ๕๐ ปีมนุษย์ ลุง ๕๐ ปีมนุษย์หรือ ไปนิพพาน เวลานี้อยู่โต๋งเต๋งเล่นโก้ๆ ยังงั้นนะ เอาละ จำไว้นะ ว่าลุงพุฒิแกจะไปนิพพาน
    เอ้า ลุงว่าต่อไปซิ วิธีเอาขนมเป็นวิปัสสนาญาณทำยังไง คืออาหารหรือขนมที่ให้สัตว์ แกว่ายังงั้น เป็นวิปัสสนาญาณ เราซื้อมามันก็กินหมดไปน่ะซิ กินหมดไปนี่มันอนัตตานี่ ซื้อมามาก มันค่อยๆ ยุบไปทีละน้อยๆ มันเป็นอนิจจัง กินหมดไปเป็นอนัตตา นี่อีกอย่างหนึ่งนะ แล้วก็หมาที่มันกินของๆ เรานี่น่ะมันก็มีชีวิตอยู่ไม่ตลอด ในที่สุดมันก็ตาย นี่แสดงว่าถึงแม้เราจะเลี้ยงมันยังไงก็ตาม สภาพความเที่ยงมันไม่มี แล้วเวลาที่มันอยู่มันหิว มันกระหาย มันร้อน มันเย็น มันหนาว มันก็มีความทุกข์ ก็เป็นทุกขัง แล้วเวลามันตาย ก็เป็นอนัตตา เรารักษารอดไหม พุทโธ่ ลุง ก็ฉันจะตายเองฉันยังรักษาไม่รอด หมามันจะตายฉันจะรักษารอดยังไง แกก็เลยบอกว่านั่นแหล่ะมันเป็นอนัตตา 
    คำว่าอนัตตาหรือกฎธรรมดานี่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ๓ ประการนี่ ไม่มีใครบังคับได้ มันเป็นกฎตายตัว นี่ถ้าอารมณ์จิตอย่างนี้ว่าหมาเราเลี้ยงแล้วมันก็ตาย เราจะต้องตายอย่างนี้ เวลาหมามีชีวิตอยู่มันก็จะต้องมีความทุกข์ ต้องการอาหาร ต้องการความสบาย เราได้เกิดอีกเราก็มีทุกข์อย่างนี้ ในที่สุดก็ต้องตายอย่างนี้ เราก็เบื่อความตายมันเสีย เบื่อความเกิดมันเสีย เราไม่ต้องการมัน ขึ้นชื่อว่าความเกิดไม่ว่ามันจะเป็นคนก็ตามสัตว์ก็ตามเราไม่ต้องการ เราไม่เอาทั้งหมด คิดแค่นี้เราก็ไปนิพพาน เท่านี้น่ะหรือลุง แกบอกว่าเท่านี้แหล่ะไม่ต้องมาก

หนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน หน้า ๒๓๔-๒๓๖

พิมพ์แบ่งปัน ปัณณ์ธรรม

การไหว้ขอขมา 7 ครั้งก่อนนอน

1. ไหว้ครั้งแรก เพื่อบูชาและขอขมา"พระพุทธเจ้า" น้อมระลึกถึงคุณงามความดีของท่านที่ช่วยชี้ทางสว่างให้สัตว์โลก พร้อมสำนึกน้อมรับในสิ่งที่พระพุทธองค์ฝากเราไว้ให้ปฏิบัติได้แก่ "ทาน ศีล ภาวนา"

2. ไหว้ครั้งที่สอง เพื่อบูชาและขอขมา"พระธรรม" น้อมระลึกถึงคุณงามความดีของพระธรรมคำสั่งสอนที่เป็นสัจธรรมที่ช่วยรื้อถอน กิเลสให้สัตว์โลกและนำพาสัตว์โลกสู่ความสุขอย่างแท้จริง พร้อมสำนึกและน้อมรับพระธรรมที่พอจะนึกออกมาพิจารณาเนือง ๆ

3. ไหว้ครั้งที่สาม เพื่อบูชาขอขมา"พระสงฆ์" สาวกผู้มีพระคุณสานต่อจากพระพุทธเจ้าในการช่วยกันนำพาสัตว์โลกสู่ทางสว่าง ระลึกถึงพระที่ท่านเคารพรักนับถือแล้วอธิษฐานให้มาเป็นครูบาอาจารย์เพื่อปก ปักรักษาท่าน พร้อมสำนึกและน้อมรับในการช่วยส่งเสริมสถาบันสงฆ์ เพื่อช่วยการสานต่อศาสนาเช่น บำรุงสงฆ์ น้อมรับคำสอน ทำบุญตักบาตร และช่วยเผยแพร่ธรรม เป็นต้น

4. ไหว้ครั้งที่สี่ เพื่อ กราบไหว้บูชาขอขมา"พ่อ-แม่" ไม่ว่าท่านทั้งสองจะล่วงลับหรือยังอยู่ การกราบไหว้ท่านก่อนนอนเป็นประจำจะช่วยสร้างสิริมงคลให้ชีวิตและส่งเสริมให้ ผู้กราบได้บุตรที่ดีในอนาคต การงานและชีวิตส่วนตัวของผู้กราบจะเจริญรุ่งเรือง "ด้วยอานุภาพแห่งความกตัญญู" ขอให้ท่านน้อมระลึกถึงพระคุณของพ่อแม่ในขณะที่กราบพร้อมขอขมาท่านด้วยใจจริง น้อมสำนึกว่าจะไม่ทำความผิดต่อพ่อแม่อีกทั้งในภพนี้และภพหน้า

5. ไหว้ครั้งที่ห้า เพื่อกราบไหว้บูชาขอขมา"พระสยามเทวาธิราชและพระมหากษัตริย์" ท่านเหล่านี้ล้วนมีบุญบารมีในการปกปักรักษาบ้านเมือง บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้บ้านเมืองของพวกเรา พึงกราบไหว้ก่อนนอนเพื่อขอขมาและขอบารมีท่านมาปกปักรักษาสร้างสิริมงคลให้ ชีวิต ขณะกราบพึงน้อมระลึกสำนึกในหน้าที่ที่ท่านต้องทำเพื่อประเทศชาติ สิ่งศักดิ์สิิทธิ์จะมาอนุโมทนาและคอยส่งเสริมกิจการงานท่านให้เจริญ รุ่งเรือง

6. ไหว้ครั้งที่หก เพื่อกราบไหว้บูชาขอขมา"ครูบาอาจารย์ทั้งทางโลกและทางธรรม"ทั้งหลาย ไม่ว่าท่านเหล่านั้นจะมาในรูปแบบไหน ( เช่น เป็นเพื่อน เป็นครู เป็นคนรู้จัก เป็นเจ้านาย ฯลฯ ) พึงน้อมระลึกสำนึกในบุญคุณของพวกท่านเหล่านั้นและขอขมาต่อสิ่งที่ได้ทำผิด พลาดลงไป

7. ไหว้ครั้งที่เจ็ด เพื่อ กราบไหว้ขอขมา"เจ้ากรรมนายเวร" ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และเป็นดวงวิญญาณจากหลายภพหลายชาติ ( แม้แต่สัตว์ที่ท่านทานเข้าไป ) ให้ท่านน้อมระลึกในความทุกข์ของท่านที่กำลังประสบอยู่ ยิ่งทุกข์มาก แสดงว่ากรรมท่านก็มาก เพราะเคยทำผิดไว้มาก ตาม"กฏแห่งกรรม"ธรรมดาโลกให้ท่านขอขมาเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่ท่านเคยล่วงเกินไว้ไม่ว่าจะในภพนี้ หรือภพที่ผ่านๆมา เพื่อขออโหสิกรรมจากเจ้ากรรมนายเวร พึงน้อมสำนึกว่าจะไม่ก่อกรรมร้ายใดๆอีกตราบเท่าที่จะพยายามทำได้เพื่อไม่ให้ เป็นภาระในกาลข้างหน้าอีก ( การไม่ก่อกรรมชั่ว คือการไม่สร้างหนี้สินให้ตัวเอง )

หลังจากไหว้ครบ 7 ครั้ง พึงน้อมจิตแผ่เมตตาดังนี้
“ พรหมโลก เทวโลก มนุษยโลก นรกโลก มารโลก ตลอดทั่วขอบรอบจักรวาล ทุกรูปทุกนาม จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย ขอให้ทุกรุปทุกนาม จงมีแต่ความสุขกาย สุขใจ อย่าได้มีความทุกข์กายทุกใจเลย ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงมีแต่ความสบายจิตสบายใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งหลายทั้งสิ้นเทอญ ”

** อานิสงค์จากการไหว้บูชาขอขมา 7 ครั้งก่อนนอน **
1. ทำให้เป็นที่รักใคร่ของมวลสัตว์โลก และโลกวิญญาณทั้งเบื้องล่างและเบื้องบน
2. หน้าที่การงานเจริญรุ่งเรือง ทำมาค้าขึ้น ยศตำแหน่งรุ่งเรือง เจ้านายเมตตา
3. สิ่งศักดิ์สิิทธิ์คุ้มครอง ไปที่ไหนก็แคล้วคลาดจากอันตรายต่าง
4. จิตแจ่มใส มีสติ มีความเมตตาและความอ่อนโยนอยู่เนือง ๆ
5. สติปัญญาดี ไม่อับจนหนทาง
6. ปราศจากเจ้ากรรมนายเวรอาฆาตพยาบาท
7. เงินทองไหลมาเทมาด้วยอานุภาพของสิ่งทั้ง 7 ที่กราบไหว้
8. จิตเกิดสมาธิได้เร็ว จิตไม่มีมารมาคอยทำให้ฟุ้งซ่าน
9. ปัญหาชีวิตคลี่คลาย จากหนักเป็นเบา
10. ครอบครัวเจริญรุ่งเรือง รักใคร่ปรองดอง

คติธรรมคำสอน…."สมเด็จพระพุฒาจารย์" (โต พฺรหฺมรํสี)
ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

หลวงปู่สุ่น

    หลวงพ่อสุ่น พระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อปานเป็นพระได้อภิญญา หลวงพ่อสุ่นองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ทรงขึ้น ทรงมีความเคารพนับถือมาก
    ครั้งหนึ่งเมื่อพระองค์เสด็จไปจอดเรืออยู่ที่หน้าวัด เห็นนกกระยางบินผ่านมาหน้าวัด ก็ยกปืนขึ้นยิง ปรากฏว่ายิงไม่ออก แต่ผลที่สุดจะหันปืนไปทางไหน อากาศในบริเวณวัดนั้นทั้งหมด ยิงไม่ออก ท่านมีความสงสัย ขึ้นไปหาท่านเจ้าอาวาส คือ หลวงพ่อสุ่น
    หลวงพ่อสุ่นบอกว่า "อย่าว่าแต่อากาศเลย อะไรก็ยิงไม่ออกในวัดนี้" ถามว่า "เป็นเพราะอะไร" ท่านบอกว่า "เป็นเพราะอำนาจพุทธานุภาพ" รัชกาลที่ ๖ ก็อยากจะทราบว่า "ถ้ากระผมอยากจะเป็นคนยิงไม่ออกบ้างจะได้ไหม" ท่านก็บอกว่า "ได้ แต่ว่าต้องรับปากเสียก่อนว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ในขอบเขตของบริเวณวัด จะไม่ทำอันตรายแก่สัตว์ จะไม่ละเมิดสิทธิของสงฆ์" รัชกาลที่ ๖ ก็รับคำ แล้วท่านก็ขอพระแสงประจำตัว คือมีปืนเล็กๆ กระบอก เมื่อท่านมาเสกๆ แล้วก็ส่งให้ บอก "ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าพระองค์ติดปืนกระบอกนี้อยู่ล่ะก็ ปืนจะยิงไม่ออก อาวุธทุกอย่างทำอันตรายพระองค์ไม่ได้"
    พระองค์ก็บอกว่า "อาวุธทุกอย่างนี่อาจจะไม่ได้ติดตัวในบางขณะ แต่กระผมอยากจะให้ตัวกระผมเองไม่มีอันตรายจากอาวุธ" ท่านก็บอกว่า "ถ้ายังงั้นก็ก้มพระเศียรมา" รัชกาลที่ ๖ ก็ก้มพระเศียรลงไป ท่านก็ลงกระหม่อมให้ แล้วก็บอกให้มหาดเล็กลองยิง ให้ยิงเดี๋ยวนั้น ไม่ติด รัชกาลที่ ๖ มีความเลื่อมใสมาก
    นี่เป็นปฏิปทาของหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ ซึ่งเป็นอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อปาน

หนังสือ พ่อสอนลูก (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน) หน้า ๑๐๕
พิมพ์แบ่งปัน ปัณณ์ธรรม

20 กรกฎาคม 2565

#ธรรมโอวาทครั้งสุดท้าย..!!!

#ธรรมโอวาทครั้งสุดท้าย..!!! 
"มาอยู่ นี้ไม่ได้มาหาลาภยศอะไร มาหาทาง
หนีจากความทุกข์ กรรม คือการกระทำ ทั้งบาป ทั้งบุญ ให้พิจารณา รู้ไหม... 

#บุญเป็นอย่างไร_บาปเป็นอย่างไร 

.. คนที่ปฏิบัติหาทางออกจากกองทุกข์นั้น มันหายากแล้ว ให้ลูกหลานจำให้ดี จำได้ไหม ให้
มีสติ มีอารมณ์อยู่กับพุทโธ พุทโธเอาให้ได้ ทำให้มันเห็นของดี จำได้ไหม นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ ให้จับลมกับกายนี้ 

.. กายนี้ให้เห็นเป็นกายพระธรรมให้ได้ มีหู
ฟังแล้วก็ให้มันเป็นพระธรรม ตาให้เป็นตาพระธรรม กายให้เป็นกายพระธรรม ใจก็ให้เป็นใจพระธรรม 

.. ทำให้มันได้ ให้มีพุทโธอยู่กับกายนี้ใจนี้ จำ
ไว้ที่ใจ จำได้ไหม จำดีๆอย่าไปลืมนะ ไม่ต้องไปรู้ที่อื่น มันอยู่ในกายนี้ กายนี้แหละมันเป็นทุกข์ อยู่ทุกวันนี้ สังขารจะแตก จะตายก็ให้รู้ จำได้ไหม 

.. สมฺปโยโค ก็ให้รู้ จะต้องจากกันไม่ต้องตกใจ ให้พิจารณาเดี๋ยวนี้ จำได้ไหม จำให้ดีๆ ให้รู้อยู่กับกายกับใจ อย่าไปลืม ให้รู้จริงๆ อย่าทำเล่นไม่ได้นะ กามก็ดี ตัวกามนี้จับมันให้อยู่ จับมันมัดไว้ ให้มันตาย จำได้ไหม ไม่ว่าสัตว์ว่าคน หากาม แสวงหากาม

..มันเดือดร้อนวุ่นวาย ก็เพราะกามนี้แหละ
ชาย หญิง สัตว์ผู้เมียต่างก็ยินกันและกัน มัวเมากันอยู่อย่างนี้ ให้มันเป็นธรรมโม อย่าให้เป็นธรรมเมา ให้ออกจากกาม หาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้จำไว้ จำไว้ให้มันดี ปฏิบัติให้มันรู้ กามมันตายแล้วมันก็สบาย ให้เป็นธรรมโม อย่าให้เป็นธรรมเมา.. "

#จำให้ดีๆนะ_ปฏิบัติให้มันรู้_จำได้ไหม 
#อย่าไปลืมนะ_ไม่ต้องพูดมาก 
#พูดมากไปไม่ใช่ธรรมะ_มันเป็นธรรมเมา 
———————
#สุจิณฺโณวาท 
#หลวงปู่แหวน_สุจิณฺโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
********************************

15 กรกฎาคม 2565

“คนฉลาดจะรู้จักรักษาใจของตน”


พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พิจารณาว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ไม่ว่าจะทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว จะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ถ้าต้องตายไปก่อนเวลาที่ควร ก็เป็นเพราะวิบากกรรม ทำบุญมาเพียงเท่านี้ก็อยู่ได้เพียงเท่านี้ จะให้อยู่เกินบุญที่ทำไว้ไม่ได้ เหมือนกับเติมน้ำมันรถครึ่งถัง ก็จะไปได้ไม่ไกลเท่ากับเติมเต็มถัง 

คนเราก็เช่นเดียวกัน มีความแตกต่างกัน มีอายุสั้นยาวต่างกัน มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนต่างกัน มีอาการ ๓๒ ไม่เท่ากัน เพราะทำบุญกรรมมาต่างกัน ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตได้มากน้อยเพียงไร ถ้าละได้มากอายุก็ยืนยาวนาน โรคภัยไข้เจ็บไม่เบียดเบียนมาก มีอาการ ๓๒ ครบถ้วนบริบูรณ์ 

นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราพิจารณาอยู่เสมอ เวลามีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเราก็ดี กับคนที่เรารักก็ดี จะได้ทำใจได้ ไม่เศร้าโศกเสียใจ เพราะไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น ไม่ได้ทำให้คนที่ตายไปแล้วฟื้นขึ้นมา ไม่ได้ทำให้เราสบายใจ แต่จะทำให้จิตของเราว้าวุ่นขุ่นมัว กินไม่ได้นอนไม่หลับไปเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร

จึงต้องดูแลรักษาใจเป็นหลัก คนอื่นเราก็ดูแลไปด้วย แต่ต้องไม่ลืมมองใจของเรา บางทีเราห่วงคนอื่นมากจนลืมใจของเราไป ห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ อย่างนี้ไม่ถูก เป็นการสร้างความทุกข์ให้กับตนเอง เป็นอกุศล เป็นความไม่ฉลาด คนที่ฉลาดจะต้องรู้จักรักษาใจของตนด้วย ในขณะที่ดูแลรักษาผู้อื่น ช่วยอะไรได้ก็ช่วยไป ช่วยไม่ได้ก็ต้องปล่อยไปตามบุญตามกรรม จะมาเศร้าโศกเสียใจก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร 

นี่คือปัญญาที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เจริญอยู่เรื่อยๆ จะได้ไม่ลืม ถ้ายังคิดอยากจะอยู่ไปนานๆ ไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตายอยู่ แสดงว่ายังไม่มีปัญญา ยังไม่ได้พิจารณาตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ลองถามตัวเราว่า พร้อมที่จะเจอกับความแก่หรือไม่ พร้อมที่จะเจอกับความเจ็บไข้ได้ป่วยหรือไม่ พร้อมที่จะเจอกับความตายหรือไม่ ถ้ายังไม่พร้อมแสดงว่ายังสอนใจไม่มากพอ

กำลังใจ ๓๓,  กัณฑ์ที่ ๓๑๙       
วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขาชีโอน

13 กรกฎาคม 2565

วันอาสาฬหบูชา สำคัญอย่างไร?

วันอาสาฬหบูชา 
==========
ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ นับเป็นวันที่สำคัญในประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนา คือวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาหรือหลักธรรมที่ทรงตรัสรู้ เป็นครั้งแรกแก่เบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ณ มฤคทายวัน ตำบลอิสิปตนะ เมืองพาราณสี ในชมพูทวีปสมัยโบราณซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย ด้วยพระพุทธองค์ทรงเปรียบดังผู้ทรงเป็นธรรมราชา ก็ทรงบันลือธรรมเภรียังล้อแห่งธรรมให้หมุนรุดหน้า เริ่มต้นแผ่ขยายอาณาจักรแห่งธรรม นำความร่มเย็นและความสงบสุขมาให้แก่หมู่ประชา ดังนั้น ธรรมเทศนาที่ทรงแสดงครั้งแรกจึงได้ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม หรือพระสูตรแห่งการแผ่ขยายธรรมจักร กล่าวคือดินแดนแห่งธรรม
.
เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้วนั้นชมพูทวีปในสมัยโบราณ กำลังย่างเข้าสู่ยุคใหม่แห่งความเจริญก้าวหน้า รุ่งเรืองเฟื่องฟูทุกด้านและมีคนหลายประเภททั้งชนผู้มั่งคั่งร่ำรวย นักบวชที่พัฒนาความเชื่อและ ข้อปฏิบัติทางศาสนา เพื่อให้ผู้ร่ำรวยได้ประกอบพิธกรรมแก่ตนเต็มที่ ผู้เบื่อหน่ายชีวิตที่วนเวียน ในอำนาจและโภคสมบัติที่ออกบวช หรือบางพวกก็แสวงหาคำตอบที่เป็นทางรอกพ้นด้วยการคิดปรัชญาต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เหลือวิสัยและไม่อาจพิสูจน์ได้บ้าง 
.
พระพุทธเจ้าจึงทรงอุบัติในสภาพเช่นนี้ และดำเนินชีพเช่นนี้ด้วยแต่เมื่อทรงพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นขาดแก่นสาน ไม่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง แก่ตนเองและผู้อื่น จึงทรงคิดหาวิธีแก้ไขด้วยการทดลองต่าง ๆ โดยละทิ้งราชสมบัติ และอิสริยศแล้วออกผนวช บำเพ็ญตนนานถึง ๖ ปี ก็ไม่อาจพบทางแก้ได้ ต่อมาจึงได้ทางค้นพบ มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เมื่อทรงปฏิบัติตามมรรคานี้ก็ได้ค้นพบสัจธรรมที่นำคุณค่า แท้จริงมาสู่ชีวิต อันเรียกว่า อริยสัจ ๔ ประการ ในวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๔๔ ปี ที่เรียกว่า การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จากนั้นทรงประกาศศาสนาโดยทรงดำริหาทางที่ได้ผลดีและรวดเร็ว คือ เริ่มสอนแก่ผู้มีพื้นฐานภูมิปัญญาดีที่รู้แจ้งคำสอนได้อย่างรวดเร็วและสามารถนำไปชี้แจงอธิบาย ให้ผู้อื่นเข้ามาได้อย่างกว้างขวาง จึงมุ่งไปพบนักบวช ๕ รูป หรือเบญจวัคคีย์ และได้แสดงธรรม เทศนาเป็นครั้งแรกในวันเพ็ญ เดือน ๘
.
[ ใจความสำคัญของปฐมเทศนา ]
ในการแสดงแสดงปฐมเทศนาครั้งแรกของพระพุทธเจ้า
ทรงแสดงหลักธรรมสำคัญ ๒ ประการคือ
.
ก. มัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลาง ๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด ๒ อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ
.
๑. การหมกหมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่า เป็นการหลงเพลิดเพลินหมกหมุ่นในกามสุข หรือ กามสุขัลลิกานุโยค
.
๒. การสร้างความลำบากแก่ตนดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น การดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค
.
ดังนั้นเพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ ๘ ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ ๘ ได้แก่
.
๑. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง
๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม
๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต
๔. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต
๕. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต
๖. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี
๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด
๘. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน
.
ข. อริยสัจ ๔ แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ 
ซึ่งคือ บุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่
.
๑. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด
.
๒. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่น ๆ
.
๓. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา
.
๔. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ ประการดังกล่าวข้างต้น
.
[ ผลจากการแสดงปฐมเทศนา ]
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแล้ว ปรากฏว่าโกณฑัญญะผู้เป็นหัวหน้าเบญจวัคคีย์ได้เกิดเข้าใจธรรม เรียกว่า เกิดดวงตาแห่งธรรมหรือธรรมจักษุ บรรลุเป็นโสดาบัน จึงทูลขอบรรพชาและถือเป็นพระภิกษุสาวก รูปแรกในพระพุทธศาสนา มีชื่อว่า อัญญาโกณฑัญญะ
.
[ ความหมายของอาสาฬหบูชา ]
“อาสาฬหบูชา” (อา-สาน-หะ-บู-ชา/อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา) ประกอบด้วยคำ ๒ คำ คือ อาสาฬห (เดือน ๘ ทางจันทรคติ) กับบูชา (การบูชา) เมื่อรวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน ๘ หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน ๘ หรือเรียกให้เต็มว่า อาสาฬหบูรณมีบูชา
โดยสรุป วันอาสาฬหบูชา แปลว่า การบูชาในวันเพ็ญ เดือน ๘ หรือ การบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในวันเพ็ญ เดือน ๘ คือ
.
๑. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา
๒. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเริ่มประกาศพระศาสนา
๓. เป็นวันที่เกิดอริยสงฆ์ครั้งแรกคือการที่ท่านโกณฑัญญะรู้แจ้งเห็นธรรม เป็นพระโสดาบัน จัดเป็นอริยบุคคลท่านแรกในอริยสงฆ์
๔. เป็นวันที่เกิดพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา คือ การที่ท่านโกณฑัญญะขอบรรพชาและ ได้บวชเป็นพระภิกษุ หลังจากฟังปฐมเทศนาและบรรลุธรรมแล้ว
๕. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงได้ปฐมสาวกคือ การที่ท่านโกณฑัญญะนั้น ได้บรรลุธรรม และบวชเป็นพระภิกษุ จึงเป็นสาวกรูปแรกของพระพุทธเจ้า
เมื่อเปรียบกับวันสำคัญอื่น ๆ ในพระพุทธศาสนา บางทีเรียกวันอาสาฬหบูชา นี้ว่า วันพระสงฆ์ (คือวันที่เริ่มเกิดมีพระสงฆ์)
.
พิธีกรรมที่กระทำในวันนี้ โดยทั่วไป คือ ทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล เวียนเทียน ฟังพระธรรมเทศนา (ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร) และสวดมนต์ ดังนั้นในวันนี้จึงถือว่า พุทธศาสนิกชนควรได้รับประโยชน์ ที่เป็นสาระสำคัญจากอาสาฬหบูชา กล่าวคือ ควรทบทวนระลึกเตือนใจสำรวจตนว่า ชีวิตเราได้เจริญงอกงามขึ้นด้วยความเป็นอยู่อย่างผู้รู้เท่าทันโลกและชีวิตนี้บ้างแล้วเพียงใด เรายังดำเนินชีวิตอยู่อย่างลุ่มหลงมัวเมา หรือมีจิตใจอิสระปลอดโปร่งผ่องใสบ้างแล้วเพียงใด
.
เรียบเรียงจาก ความรู้เกี่ยวกับวันสำคัญไทย (เสฐียรโกเศศ และ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ,๒๕๔๑ : ๓๙ – ๕๙)

วันอาสาฬหบูชา


วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนาอีกวันหนึ่ง คือวันอาสาฬหบูชา คำว่า “อาสาฬหบูชา” แปลว่า การบูชาในเดือนอาสาฬห ทำไมจึงมีการบูชาในเดือนอาสาฬห เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าพระบรมศาสดาได้ทรงแสดงธรรมครั้งแรกให้แก่สัตว์โลก หลังจากที่พระองค์ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา พระองค์ก็ทรงใช้เวลาใคร่ครวญพิจารณาอยู่ระยะหนึ่งว่าควรที่จะนำความรู้ที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้มาเผยแผ่ให้แก่สัตว์โลกหรือไม่ ในเบื้องต้นก็มีความท้อแท้พระทัยไม่อยากที่จะสั่งสอนใคร เพราะทรงเห็นว่าสิ่งที่พระองค์จะทรงสั่งสอนเป็นสิ่งที่ยากสำหรับมนุษย์ปุถุชน ที่ยังอยู่ภายใต้อำนาจของโมหะอวิชชากิเลสตัณหา แต่หลังจากที่ทรงได้ใคร่ครวญอยู่ก็ทรงเห็นว่า บุคคลนี้มีไม่เหมือนกัน ทรงแบ่งความรู้ความสามารถไว้เป็น ๔ จำพวกด้วยกัน ทรงเปรียบเหมือนกับบัว ๔ เหล่า มีอยู่ ๓ จำพวกที่อยู่ในวิสัยที่จะเรียนรู้และปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ได้ มีอยู่พวกหนึ่งที่ไม่สามารถที่จะเรียนรู้และปฏิบัติตามได้ พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยที่จะนำความรู้อันประเสริฐที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ ได้ทรงปฏิบัติจนพระทัยของพระองค์ได้หลุดพ้นออกจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด จึงมุ่งไปหาบุคคลที่สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว คือบรรดานักบวชทั้งหลาย นักบวชที่มีทั้งศีล มีทั้งสมาธิพร้อมอยู่แล้ว จะเป็นผู้ที่มีความสามารถที่จะรับความรู้ที่จะเป็นปัญญานี้เอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ทันที ได้ในขณะที่ฟังธรรมเลย

จึงทรงนึกถึงพระปัญจวัคคีย์ผู้ที่เคยศึกษาปฏิบัติร่วมกับพระองค์มา ทรงเห็นว่าพระปัญจวัคคีย์มาพร้อมด้วยศีล ด้วยสมาธิ แต่ขาดเพียงอย่างเดียวคือปัญญา ความรู้ที่จะทำให้จิตได้หลุดพ้นออกจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยมุ่งไปหาพระปัญจวัคคีย์และได้พบกับพระปัญจวัคคีย์ในวันเพ็ญเดือน ๘ อย่างในวันนี้ เมื่อได้พบกันในตอนบ่าย พระองค์ก็ทรงแสดงธรรมให้แก่พระปัญจวัคคีย์ พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเป็นครั้งแรกนี้ที่เราเรียกว่า “พระปฐมเทศนา” มีชื่อว่า “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” เป็นธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแก่นของพระพุทธศาสนา คือ พระอริยสัจ ๔ และ มรรค ๘ ที่เป็นทางดำเนินสู่การหลุดพ้นจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด หลังจากที่พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมเทศนาเสร็จ หนึ่งในพระปัญจวัคคีย์คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ก็มีดวงตาเห็นธรรม เข้าใจถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า สามารถน้อมเอาเข้ามาปฎิบัติดับกิเลสตัณหาในขั้นที่ ๑ คือขั้นของพระโสดาบันได้ ทำให้สามารถปิดประตูแห่งอบายได้ และตัดภพตัดชาติให้เหลือเพียง ๗ ชาติเป็นอย่างมาก ถ้ายังไม่ได้ปฏิบัติขึ้นสูงกว่าระดับที่ได้บรรลุ ถ้าเกิดมีเหตุทำให้ตายไปก่อน ก็จะกลับมาเกิดใหม่ไม่เกิน ๗ ชาติ แล้วก็จะสามารถปฏิบัติเพื่อให้ขึ้นไปต่อ สู่ขั้นที่สูงต่อไปได้ จนถึงขั้นสูงสุดโดยที่ไม่ต้องมีพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธศาสนามาสอนมานำทาง

เพราะพระโสดาบันนี้เป็นผู้มีพระศาสนาประดิษฐานอยู่ในใจ มีพระธรรมของพระพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่ในใจ ถึงแม้ว่าร่างกายจะตายไปแต่ใจนี้ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย ใจที่มีพระพุทธศาสนาอยู่ในใจก็สามารถที่จะบำเพ็ญต่อได้ หลังจากที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็จะบำเพ็ญไปจนถึงขั้นพระนิพพานได้ ขั้นพระอรหันตสาวกได้ เพราะคำว่า “โสดา” ก็คือ แปลว่ามาจากคำว่า “โสตะ” โสตะนี่แปลว่ากระแส กระแสสู่พระนิพพาน โสตะเป็นผู้เข้าสู่กระแสของพระนิพพาน “โสดาบัน” ผู้ที่ได้บรรลุเป็นโสดาบันแล้วนี้จะไม่มีทางกลับไปเป็นปุถุชนอีกต่อไป จะมีแต่มุ่งไปสู่พระนิพพาน ออกจากวัฏสงสาร วัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ไม่เกิน ๗ ชาติเป็นอย่างมาก นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปรากฏขึ้นมาครบองค์ มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้แสดงพระธรรมคำสอน มีผู้ฟังคือพระอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุเป็นพระอริยสงฆ์สาวกขึ้นมา จึงมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ครบองค์ จึงถือว่าเป็นวันก่อตั้งพระพุทธศาสนา เป็นวันเกิดของพระพุทธศาสนาขึ้นมา พระพุทธศาสนานี้จำเป็นจะต้องมีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ จึงจะสามารถตั้งอยู่ได้เป็นเวลาอันยาวนาน ถ้ามีเพียงแต่พระพุทธเจ้าโดยที่ไม่มีการประกาศพระธรรมคำสอน ก็จะไม่มีพระอริยสงฆ์สาวก ถ้าพระพุทธเจ้าได้ทรงตัดสินพระทัยไม่สั่งสอน พระองค์ก็จะทรงไม่แสดงธรรม พระธรรมคำสอนก็จะไม่มาปรากฏขึ้นมาในโลกนี้ เมื่อไม่มีพระธรรมคำสอนก็จะไม่มีผู้มาศึกษา เมื่อไม่มีผู้ศึกษาก็จะไม่มีผู้ที่จะบรรลุเป็นพระอริยสงฆ์สาวก ก็จะไม่มีใครที่จะสืบทอดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว คือตายจากโลกนี้ไปแล้ว ก็จะไม่มีศาสนาพุทธอยู่ต่อไป

แต่ถ้ามีพระพุทธเจ้า มีพระธรรมคำสอน มีพระอริยสงฆ์สาวก ก็จะมีการอนุรักษ์รักษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้อยู่คู่ไปกับโลกได้เป็นเวลาอันยาวนาน จึงปรากฏมีพระพุทธศาสนาขึ้นมา วันนี้จึงถือว่าเป็นวันก่อตั้งของพระพุทธศาสนา หรือวันเกิดของพระพุทธศาสนาก็ได้ ถ้าเราอยากจะรู้ว่าอายุของพระพุทธศาสนามีอายุยาวเท่าไหร่ในขณะนี้ ก็ให้เอาปี พ.ศ. เช่นปีนี้ พ.ศ. ๒๕๖๑ บวกกับ ๔๕ เพราะว่าพระพุทธเจ้านั้นทรงสั่งสอนอยู่ ๔๕ ปี ก่อนที่จะเสด็จจากโลกนี้ไป พระพุทธศักราชนี้เราเริ่มนับตั้งแต่วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากโลกนี้ไป ดังนั้นปีนี้ ๒๕๖๑ เป็น ๒๕๖๑ ปีที่พระพุทธเจ้าได้จากพวกเราไป แต่พระพุทธศาสนานี้เกิดก่อนที่พระพุทธเจ้าจะจากเราไป ๔๕ ปี ดังนั้นอายุของพระพุทธศาสนาต้องบวกกับอีก ๔๕ ปี ๒๕๖๑ บวกกับ ๔๕ ก็ได้ ๒,๖๐๖ ปี (๒๕๖๑+๔๕=๒๖๐๖) นี่คืออายุของพระพุทธศาสนา และจะอยู่ต่อไปคู่กับโลกได้นาน ๕,๐๐๐ ปีด้วยกัน อันนี้เป็นคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้า ที่ทรงได้ตรัสไว้ในโอกาสที่มีพระพุทธมารดาเลี้ยง ได้นำเอาผ้าไตรจีวรที่ทรงตัดเย็บด้วยพระองค์เอง เอามาถวายให้แก่พุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงปฏิเสธถวายถึงสามครั้ง ก็ทรงปฏิเสธทั้งสามครั้งว่าไม่ขอรับเป็นของตน ให้ถวายเป็นของสงฆ์ คือให้ถวายเป็นสังฆทาน

คำว่า สังฆทาน คือไม่เจาะจงให้กับพระรูปใดรูปหนึ่ง ให้เป็นสมบัติรวม เป็นสมบัติส่วนกลางของพระทุกรูป ให้พระที่อยู่ร่วมกันได้พิจารณาว่าพระรูปใดขาดแคลนผ้า ก็ให้พระรูปนั้นรับไปใช้ สาเหตุที่ให้ถวายเป็นสังฆทานเพราะว่าจะได้มีพระสงฆ์อยู่กับพระพุทธศาสนาไปนานๆ นั่นเอง ถ้ามีแต่ญาติโยมถวายผ้าให้กับพระพุทธเจ้า แต่ไม่ได้ถวายให้กับพระภิกษุรูปอื่น พระภิกษุรูปอื่นก็จะอยู่อย่างอดอยากขาดแคลน และอาจจะอยู่ไม่ได้ อาจจะต้องลาสิกขาไป ก็จะไม่มีพระภิกษุสงฆ์มาศึกษา มาปฏิบัติ มาสืบทอดพระศาสนานั่นเอง พระพุทธเจ้าจึงทรงบอกกับพระพุทธมารดาเลี้ยงว่า ให้ถวายผ้านี้เป็นสังฆทานเพื่อจะได้อนุรักษ์รักษาพระพุทธศาสนาให้อยู่ได้นานถึง ๕,๐๐๐ ปี นี่คือเรื่องของการถวายสังฆทาน คือพระองค์ต้องการให้ดูแลพระภิกษุทุกๆรูป ให้มีปัจจัย ๔ พอเพียงทั่วถึงกัน ไม่ให้ไปเลือกที่รักมักที่ชังกับพระรูปใดรูปหนึ่ง ชอบพระรูปนี้แต่ไม่ชอบพระรูปนั้น ก็ไปถวายแต่พระที่เราชอบ พระที่เราไม่ชอบก็อาจไม่มีใครดูแล ก็อาจจะทำให้ไม่มีพระมาบวชกัน นี่คือเรื่องคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาว่า จะอยู่ได้นานไม่นาน ส่วนหนึ่งก็อยู่ที่การสนับสนุนของพุทธบริษัท ของศรัทธาญาติโยม ให้สนับสนุนกับสงฆ์เป็นส่วนรวม เพื่อที่สงฆ์จะได้อยู่กันอย่างร่มเย็นผาสุข ไม่มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในเรื่องปัจจัย ๔ นี่คือเรื่องของพระพุทธศาสนาที่ปรากฏขึ้นมา ให้ปรากฏเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกอย่างพวกเรา ปรากฎขึ้นมาในวันอาสาฬหบูชานี้ ถ้าเราไม่มีพระพุทธศาสนา พวกเรานี้ก็จะไม่มีผู้นำผู้สอน ผู้ที่จะพาให้เราได้ออกจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดนั่นเอง

ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑ 

#พระจุลนายก พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี

ขอบคุณภาพจาก วิกิพีเดีย

ตัดราคะ

⚜ตัดราคะ⚜
ถ้าใครสามารถทรงฌานได้ดี เวลาเจริญวิปัสสนาญาณนี่มันรู้สึกว่าง่ายบอกไม่ถูก เมื่อถ้า ฌาน ๔ เต็มอารมณ์แล้ว เราจะใช้วิปัสสนาญาณ ก็ถอยหลังมาถึง อุปจารสมาธิ เราจะต้องการตัดตัวไหนล่ะ
    ตัด ราคะ ความรักสวยรักงาม 
เราก็ยก อสุภกรรมฐาน ขึ้นมาเป็นเครื่องเปรียบ
ยก กายคตานุสสติกรรมฐาน ขึ้นมาเป็นเครื่องเปรียบ
เปรียบเทียบกันว่า ไอ้สิ่งที่เรารักน่ะ มันสะอาดหรือมันสกปรก กำลังของ ฌาน ๔ นี่เป็นกำลังที่กล้ามาก ปัญญามันเกิดเอง เกิดชัด มีความหลักแหลมมาก ประเดี๋ยวเดียวมันเห็นเหตุผลชัด
    พอตัดได้แล้วมันไม่โผล่นะ รู้สภาพยอมรับสภาพความเป็นจริงหมด เห็นคนปั๊ปไม่ต่างอะไรกับส้วมเดินได้ จะเอาเครื่องหุ้มห่อสีสันวรรณะขนาดไหนก็ตาม มันบังปัญญาของท่านพวกนี้ไม่ได้
    พระพุทธเจ้าจึงได้บอกว่า คนที่ทรงฌาน ๔ ได้ และก็รู้จักใช้อารมณ์ของฌาน ๔ ควบคุมวิปัสสนาญาณได้
🌟ถ้ามี บารมีแก่กล้า จะเป็นพระอรหันต์ ภายใน ๗ วัน
🌟ถ้ามี บารมีอย่างกลาง จะเป็นพระอรหันต์ ๗ เดือน
🌟ถ้ามี บารมีอย่างอ่อน จะเป็นพระอรหันต์ ภายใน ๗ ปี
    บารมี เขาแปลว่า กำลังใจ
มี บารมีแก่กล้า คือมีกำลังจิตเข้มข้นนั่นเอง ต่อสู้กับอารมณ์ที่เข้ามาต่อต้าน
    แต่ว่าถ้าบารมีมันเข้มบ้าง ไม่เข้มบ้าง เดี๋ยวก็จริงบ้าง เดี๋ยวก็ไม่ค่อยจริงบ้าง คือ ย่อๆ หย่อนๆ ตึงบ้าง หย่อนบ้าง อย่างนี้ ท่านบอกภายใน ๗ เดือน
    ทีนี้ บารมีย่อหย่อน เปาะแปะๆ ตามอัธยาศัย ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ตามอารมณ์อย่างนี้ไม่เกิน ๗ ปี
    นี่ผมพูดถึงคนที่ทรงฌาน ๔ ได้ และก็ฉลาดในการใช้ฌาน ๔ ควบวิปัสสนาญาณ ถ้าโง่ละก็ดักดานอยู่นั่นแหล่ะ กี่ชาติก็ไม่ได้เป็นอรหันต์

🙏หลวงพ่อพระราชพรหมยาน🙏
ธรรมที่ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์
📙ธัมมวิโมกข์ 
ปีที่ ๔๑ ฉบับที่ ๔๗๐ เดือน พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ 
หน้า ๘๔

🖊ปัณณ์ธรรม

ฟังธรรมแล้วบาปรบกวนไม่ได้...ไปสวรรค์

"แม่เป็นอัมพาต"
️ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ความจริงไม่อยากจะรบกวนหลวงพ่อ เห็นว่าหลวงพ่อไม่ค่อยจะมีเวลาพักผ่อน แต่นี่จำเป็นจริงๆก็ต้องขอพึ่งบารมี โดยจะไม่มีการรบกวนแต่อย่างใด คือว่าอย่างนี้ แม่ของดิฉันเป็นอัมพาตเป็นเวลา ๔-๕ ปีแล้ว คือว่าอาการป่วยลูกไม่ตกใจ แต่ที่ตกใจคือว่า ท่านมีแต่ความกลุ้ม ๆ ๆ ชักกลัวตายเป็นอย่างมาก ที่ลูกอยากจะพึ่งบารมีหลวงพ่อ ก็คือว่าหลวงพ่อมีเทปม้วนไหนที่ฟังแล้วไม่กลัวตาย มีบ้างหรือเปล่าเจ้าคะ..?

หลวงพ่อ : เอ้า!..ซื้อไปทั้งหมดไปเปิดให้ท่านฟัง ชอบใจม้วนไหน ฟังม้วนนั้นเป็นประจำ"

ผู้ถาม : "น่าจะตายก่อนฟังหมด"

️หลวงพ่อ : "อ้าว...ตายก่อนจบน่ะดี หูฟังธรรมะขณะที่ฟังทำอยู่ ถ้าตายแล้วนั้น อย่างน้อยที่สุดชั้นดุสิต"

️ผู้ถาม : "ยิ่งฟังจบทุกม้วนนี่ก็..."

️หลวงพ่อ : "ไปนิพพานเลย ไอ้นี่จริงๆนะ ถ้าจิตยังฟังธรรมอยู่นะ เอาอย่างนี้ดีกว่า เอาง่ายๆ ตั้งพระพุทธรูปให้ท่านมองเห็น ให้จิตใจจับพระพุทธรูปไว้ อย่างน้อยนึกถึงพระพุทธรูป อยู่บ้านใช่ไหม...คนป่วยถ้าเกาะก็เกาะติดเลย ถ้าตายอย่างน้อยไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แน่"

️ผู้ถาม : "ตกลงว่า ถ้าเป็นภาพพระพุทธรูป ถ้าเป็นเทปก็เอาหมดเลย"

หลวงพ่อ : "เอาหมดเลย ต้องสังเกตดูท่านชอบฟังอะไร โดยมากจะชอบฟังพระสูตร หาพระสูตรดูซิ พระสูตรมีเยอะนี่อย่าง ท่านมัฏฐกุณฑลี สุปติฏฐิตะ อย่างนี้ดีมาก หรือว่า ตัมพทาฐิกโจร ๓ เรื่องนี้นะเหมาะมาก เพราะคนกลัวบาป จะได้รู้ว่าฟังธรรมแล้วบาปรบกวนไม่ได้...ไปสวรรค์

จาก : หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๘ หน้า ๖๓-๖๕ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
Cr : เจง กิสข่าน

09 กรกฎาคม 2565

"การถวายเทียนเข้าพรรษา ทำให้ได้ทิพจักขุญาณ"

  "การถวายเทียนเข้าพรรษานี้ เป็นปัจจัยให้ได้ ทิพจักขุญาณ.. อย่าง พระอนุรุทธ.. พระอนุรุทธในสมัยก่อน ท่านเคยถวายแสงสว่างในพระพุทธศาสนา เวลานั้นตะเกียงไม่มี เขาใช้คบเพลิง.

  ท่านก็นำคบเพลิงไปถวายเป็นเครื่องส่องแสง ให้แก่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย. 

  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า.. พระอนุรุทธ ทำบุญแบบนั้น ตายแล้วท่องเที่ยวเกิดบนสวรรค์บ้าง มนุษยโลกบ้าง พรหมโลกบ้าง หลายชาติ พอมาชาติสุดท้ายนี้ ปรากฏ.. พระอนุรุทธ มีทิพจักขุญาณ พิเศษ เป็นผู้เลิศ. 

 แม้พระอรหันต์ ปฏิสัมภิหาญาณ ยังมีทิพจักขุญาณสู้ไม่ได้.. ความจริงพระอนุรุทธ เป็นพระวิชชาสาม.

 ตัวอย่างที่เราเห็นได้ว่า เวลาที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน เวลานั้นมีพระอรหันต์ตั้งสองแสนองค์เศษ ไม่มีใครสามารถจะตามญาณของพระพุทธเจ้าได้.

 เพราะว่า.. พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน หรือพระจะตายก็ตามที ถ้าจะตายจะเข้าสมาบัติ ท่านจะนอนเงียบ ๆ แล้วจิตก็เข้าฌาน ถ้าจิตเข้าฌาน ดูเหมือนว่าท่านไม่หายใจ.  

 ฌาน ๔ จะไม่ปรากฏท้องกระเพื่อม ว่ามีการหายใจ.

 พระอานนท์ ก็ย่องไปถามพระอนุรุทธ ว่า.. เวลานี้พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วหรือยัง.. พระอนุรุทธ บอกว่า.. ยัง เวลานี้อยู่ปฐมฌาน เวลานี้อยู่ ทุติยฌาน ฌานที่ ๒ เวลานี้อยู่ฌานที่ ๓ เวลานี้อยู่ที่ฌานที่ ๔ เรื่อยไปถึงฌานที่ ๘ แล้วก็มาถอยหลังยับยั้งอยู่ที่ฌานที่ ๔ หลังจากนั้นองค์เสมเด็จพระมหามุนี ก็นิพพาน. 

 นี่เป็นอันว่า.. การถวายเทียน ในพระพุทธศาสนา นี่มีอานิสงส์มาก เป็นปัจจัยทำให้เราเกิดปัญญาด้วย เป็นปัจจัยให้ได้ทิพจักขุญาณด้วย มีอานิสงส์ทั้ง ๒ ประการด้วยกัน. 

  จึงขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ที่ทำบุญในวันนี้ ก็จงภูมิใจในความดีของท่าน คือ..

๑. ผ้าจำนำพรรษาก็ดี ผ้าไตรก็ดี เราถวายแล้ว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะบันดาลให้ บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี จะมีเครื่องประดับอันเป็นทิพย์.

ประการที่ ๒. อาหาร ที่ถวายแล้ว.. อาหารจะเป็นปัจจัยให้ได้ร่างกายเป็นทิพย์.

และก็ ประการที่ ๓. ถ้ายังไม่ถวายก็เตรียมใจถวายไว้ก่อน.. น้ำ จะเป็นเหตุให้ได้ สระโบกขรณี.

 ก็รวมความว่า เป็นอานิสงส์หลายประการด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถวายเทียนเข้าพรรษา นี่ มีความสำคัญอย่างมาก นอกจากมีอารมณ์ใจเป็นทิพย์ และก็ มีปัญญามาก..."

จาก : หนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๓๗ หน้าที่ ๑๐๒-๑๐๓ ของวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

14 มิถุนายน 2565

บุญแห่งกรรมฐานสามารถช่วยพ่อแม่พ้นนรกได้

บุญแห่งกรรมฐานนี้เราสามารถช่วยสัตว์นรกได้ แต่ถ้าสัตว์นรกดวงจิตวิญญาณใดที่เค้ายังตกนรกใช้กรรมอยู่ บุญอาจจะไปไม่ถึง แล้วต้องทำอย่างไร ขอให้เราอธิษฐานบุญฝากบุญกุศลนี้ให้กับพญายมราชเจ้าท่าน ให้เค้าได้รับบุญกุศล ฝากไปถึงดวงจิตวิญญาณทั้งหลายที่ยังได้รับโทษทัณฑ์ ที่เค้ามีบุพกรรมมีบุญต่อเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถึงบิดามารดาของเรา ให้อธิษฐานไป 
ยิ่งเป็นวันพระวันเจ้าแล้วยิ่งดียิ่งมีอานิสงส์ เค้าเรียกว่ามันปลอด เมื่อวันพระวันเจ้าหรือวันปลอด..ปลอดอย่างไร นรกเค้าจะหยุดทำงาน มันก็เป็นการเยี่ยมหาญาติมิตรได้โดยตรง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแลบิดามารดาตาทวดของเรายังได้ชดใช้กรรมอยู่ เรานั้นเป็นทายาท นั้นบุญกุศลอันใดที่เราจะตอบแทนผู้มีคุณเราควรเจริญไปให้มากๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

บิดามารดาที่เค้าอยู่หรือล่วงลับไปแล้ว ถ้าเค้าไม่ได้เคยเจริญกรรมฐานจะพ้นนรกไปไม่ได้หรอกจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แม้แต่เราเองก็ตาม ถ้าไม่ได้เจริญกรรมฐานก็จะหาว่าพ้นนรกได้ไม่ ต่อเมื่อเราได้รู้กรรมฐานแล้วนี่แลที่จะช่วยสัตว์นรกได้ แล้วก็ช่วยเลื่อนภพเลื่อนภูมิตัวของเราเองได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

ดังนั้นแล้วถ้าเรายังไม่เจริญ ยังไม่สุข บิดามารดาผู้ให้กำเนิดของเราเค้าก็ยังไม่สุขหรอกจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้ายังร้อนอยู่ เพราะไฟเรายังไม่ดับ ที่ไม่ดับเพราะอะไร เพราะเรายังมีกรรมเป็นทายาทอยู่ เรายังไปรับเชื้อมาอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันยังดับไม่ได้หรอกจ้ะ เมื่อยังดับไม่ได้ต้องทำอย่างไร เราก็ต้องมาละมาตัดซะ เมื่อดับมันเย็นได้ เมื่อเย็นได้เราก็แผ่เมตตาจิตออกไป เพื่อเอาความเย็นของบุญกุศลนี้แลเพื่อไปชโลมให้การทุกข์ทรมานของสัตว์นรกนั้นได้เบาบาง 

แล้วโยมจะรู้ได้หรือไม่ว่าสัตว์นรกของโยม..ว่าคนนี้ไม่ใช่ญาติเรา คนนี้ดวงจิตนี้ไม่ได้มีบุพกรรมกับเรา ล้วนแล้วสรรพสัตว์ในโลกทุกจิตวิญญาณไม่ว่ามีช่องว่างไม่เว้นที่เราจะรู้ไม่รู้ก็ตามที..ล้วนแล้วเคยเกิดมามีบุพกรรมร่วมกันทั้งสิ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ 

ดังนั้นโยมสามารถแผ่เมตตาจิตให้ทั่วจักรวาลพิภพได้ทั้งหมดเลย แม้โยมที่จะมาเกิดในโลกนี้ แม้ยังไม่เคยเจอหน้า แม้เคยเจอหน้าแล้วก็ดีจะด้วยวาระบุพกรรมอันใดก็ตาม เป็นมิตร เป็นศัตรูอะไรก็ตาม ล้วนแล้วเคยเกิดมาเป็นญาติพี่น้อง เป็นบิดามารดา เป็นคู่สามีภรรยา เป็นลูกเป็นหลานหมดแล้วทั้งสิ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

เค้าถึงว่ามีศีลเพื่อเป็นการเป็นเกราะป้องกัน เพราะเกิดมาพอก็มีลูกมีหลาน เกิดระลึกชาติได้ว่าลูกคนนี้เคยเป็นสามีภรรยากัน เกิดความกำหนัดเกิดกิเลสตัณหา อันว่ามีศีลมาเพื่ออะไร พระพุทธองค์ท่านได้เล็งเห็นแล้วว่า สัตว์นรกนั้นเมื่อขาดจากศีลแล้วความละอายหรือการจะมีหิริโอตัปปะนั้นมันเกิดขึ้นได้ยาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

ดังนั้นขอให้โยมจงเจริญเมตตาจิตเจริญพรหมจรรย์ให้เข้าถึง เพื่อเป็นที่ๆจะไปช่วยเหลือปลดปล่อยดวงสรรพวิญญาณทั้งหลาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมสวดมนต์เจริญเมตตา ณ ที่ใด แผ่เมตตา ณ ที่ใด ที่ตรงนั้นมันก็ดับความเร่าร้อนได้ เมื่อดับความเร่าร้อนได้ เทวดาก็จะมีมากที่นั่น เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเมื่อสดับฟังมนต์ไปมากๆแล้ว เค้าก็จะเลื่อนภพเลื่อนภูมิได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต

ติดตามข้อมูลข่าวสารกิจกรรมของมูลนิธิได้ทาง https://www.facebook.com/mprs.foundation
ติดตาม คลิปธรรมะได้ทาง YouTube channel : ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

12 มิถุนายน 2565

เรื่อง.* แดนมนุษย์ อยู่ที่ ดาวราหู หรือ ดาวหลุมดำ *

* หลวงพ่อฤาษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ..เล่าให้ฟัง

..." แดนใด ถ้าปฏิบัติในกรรมบท ๑๐ ได้ครบถ้วน แดนนั้นเขาเรียกกันว่า.. "แดนมนุษย์".

~ ถ้าแดนใด ปฏิบัติกรรมบท ๑๐ ไม่ครบถ้วนก็ถือว่า.. "แดนคน" 

* ทีนี้ ถ้าถามว่า.. แดนมนุษย์จริง ๆ อยู่ที่ไหน.. บอกให้ก็ได้แต่ใครจะไปได้..

* ที่เขาเรียกกันว่า.. "ดาวราหู" ที่ฝรั่งเรียกว่า.. "ดาวหลุมดำ" นั่นแหละ  

* ไอ้ดาวดวงนี้ ข้างหลังดวงดาวขึ้นไป มันเป็นพิภพ ก็เป็นดินแดนอย่างของเรา มีบ้านมีโรงเรือน มีภูเขา มีแม่น้ำ มีมหาสมุทร มีทุกอย่างอย่างของเราหมด..

* แต่ว่า ดินแดนแห่งนั้น อันดับแรก.. เขามีพรหมวิหาร ๔ เป็นพื้นฐาน และมีกรรมบท ๑๐ เป็นข้อวัตรปฏิบัติ..

* แดนนั้นทั้งหมด ไม่มีคนจน คำว่า.. ยากจนเข็ญใจไม่มี.. คนสวยทั้งหมด.. เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความสุข..

~ นี่ พูดถึงมนุษย์ก็เลยพูดให้ฟัง ความจริงมันมีเยอะกว่านี้ เป็นดินแดนที่ไม่ละเมิดกรรมบท ๑๐ ก็สบายใจ..

~ แล้ว การทะเลาะกันไม่มี การฆ่ากัน แย่งกันไม่มี.. การรบราฆ่าฟันไม่มี ของหายไม่มี.. การแย่งความรักกันก็ไม่มี ทุกคนพูดตามความเป็นจริง พูดไพเราะ พูดเพื่อความสามัคคี เพียงเท่านี้ก็แล้วกัน..  

~ ถ้าถามว่า : พิภพนี้ อยู่ที่ไหน..  

~ ก็ขอตอบว่า : อยู่ในจักรวาลของมนุษย์ ไม่ใช่สวรรค์..."

( จากหนังสือ *ธัมมวิโมกข์* พ.ศ. ๒๕๖๐ ฉบับที่ ๔๔๐ หน้าที่ ๕๒-๕๓ ของวัดท่าซุงจ.อุทัยธานี )

สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ ไว้ดังนี้

ถ้าหากพวกเจ้าเข้าใจธรรมที่ตถาคตตรัสมาทั้งหมดนี้ได้ดีแล้ว ก็จักเห็นได้ว่า การกวาดวัด การช่วยทำความสะอาดเก็บขยะ การช่วยบำรุงรักษาซ่อมแซมวัตถุต่าง ๆ ในวัด โดยเอากายทำงานทางโลก แต่จิตอยู่กับพระธรรม คือ เอางานที่ตนทำนั้นมาพิจารณาให้เป็นพระกรรมฐาน ได้ทั้งสมถะและวิปัสสนาในคราวเดียวกัน ทำทุกอย่างโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น ทำทุกอย่างก็เพื่อพระนิพพานจุดเดียว เป็นผู้ไม่ประมาทในความตาย คิดเสมอว่าเราจักทำให้ดีที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย เพราะความตายเป็นของเที่ยง แต่ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง มีมรณา ควบอุปสมานุสสติ ไว้เป็นปกติ และมี กายคตานุสสติ ควบอสุภะ ไปในตัว โดยไม่ลืมการกำหนดรู้ลมหายใจ (อานาปา) เพื่อ ให้จิตสงบเป็นสุขอยู่เสมอผลที่เราได้รับจากกรรมหรือการกระทำของเราเป็นการตัดได้ทั้งความโลภ - ความโกรธ - ความหลงไปในตัว เป็นการทำให้เกิดปัญญาตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานได้ในที่สุด ก็คือ การให้ธรรมทานกับจิตตนเอง ซึ่งชนะทานทั้งปวง จัดเป็นบุญสูงสุดในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นอภัยทานด้วย คือ อภัยให้กับความชั่วของผู้อื่น เพื่อที่จักชนะความชั่วของตัวเราเองนั่นเอง ขอให้พวกเจ้าหมั่นทบทวนจุดนี้ให้ดี ๆ

จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๘ รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน คัดลอกโดย ด.ญ.ปุณยนุช ขจรนิธิพร (ลูกหลาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน สนับสนุนเครื่องคอมฯ ในการโพสต์ธรรมทานนี้ค่ะ)

08 มิถุนายน 2565

ตายจากทายกวัดไปรอที่สำนักท่านพระยายามแล้วไปเกิดเป็นเทวดาชั้นยามา

⚜️

     ณ สำนักท่านพระยายม(ท่านลุง) ไม่ชอบใจเลยแถวยาวเหยียดนั่นไปนรกหมด(หลวงพ่อฤาษีกล่าว) ต่อมามีชายคนนึงรูปร่างใหญ่ผิวคล้ำอายุ 70 ปี ชื่อ นายกิ่ง ได้ยินประกาศเธอเป็นทายกวัดเป็นคนเคร่งครัดในระเบียบคนศรัทธามาก แต่ทว่าเบื้องหลังชอบบังคับพระให้อยู่ในอำนาจ ชอบเอาของสงฆ์เข้าบ้านมีมากมาย เมื่อเสียงประกาศจบ ท่านลุงถามว่าเธอทำอย่างนั้นจริงหรือ นายกิ่งตอบว่าจริงดังนั้นทุกประการ ท่านลุงบอกว่าเธอทำกรรมหนักมากเอาของสงฆ์มาใช้ถึง 31 ปี โทษนี้ลงอเวจีมหานรกและนรกอีกหลายขุม นายกิ่งก้มหน้าน้ำตาไหล

    ส่วนที่เป็นกุศล นายกิ่ง รักษาศีล 5 บริสุทธิ์ทุกสิขาบทมีเรื่องเดียวที่เสียคือบังคับพระให้อยู่ในอำนาจ และนำของสงฆ์ไปเป็นครั้วคราว และ ชอบสวดมนต์บูชาพระด้วยความตั้งใจเคารพเป็นปรกติ ชอบใส่บาตรเป็นประจำ เคยถวายสังฆทาน มีผ้าไตร จีวร ของใช้ อาหารแห้ง ถวายพระพุทธรูป 1 ครั้ง บทสวดที่ชอบสวดที่สุดคือ ธรรมจักร ท่านลุงถามว่าที่เขาพูดนั่นจริงหรือ นายกิ่งตอบว่าจริงทุกประการ 
 
      ท่านลุงบอกว่าทำบุญอย่างนี้น่าจะไปสวรรค์โดยตรงไม่น่ามาที่นี่ ท่านถามว่าก่อนที่เขาจะนำเธอมาไม่ได้นึกถึงบุญเลยหรือ นายกิ่งตอบว่าตอนป่วยใหม่ๆ นึกถึงตอนสวดมนต์และถวายสังฆทาน แต่พอใกล้ตายมีเสียงเหมือนใครเอาของหนักมาขว้างที่ฝาบ้านดังปัง ตกใจลืมบุญหมดใจว้าวุ่น พร้อมอาการแน่นจุกเสียด เกิดอารมมืด แล้วเขาก็มารับขอให้ตามมา

     ท่านลุงบอกเออดี ยังนึกถึงบุญกุศลได้เอ็งไปรับผลความดีก่อน เรื่องอเวจีเอาไว้ภายหลัง อานิสงฆ์สวดมนต์ทำให้เป็นเทวดาชั้นยามา สังฆทานเป็นเหตุให้มีวิมานและเครื่องประดับทิพย์ การถวายพระพุทธรูปทำให้เป็นเทวดาที่มีอานุภาพมาก เป็นเทวดาเพียรสร้างความดี อย่าพลัดลงมาอีกนะ ชั้นช่วยได้แค่นี้ ท่านลุงกล่าว 

📔พิมพ์จากหนังสือตายแล้วไม่สูญ ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 51 หน้าที่ 135-136 
⚜️คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง)จ.อุทัยธานี 🙏🙏
📍เพจ:คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน🙏🙏  

🖊พิมพ์ธรรมทาน วิมลฉัตร สุวรัตนานนท์ 🥰🥰

ปัญหาการฝึกมโนมยิทธิแบบพิเศษ

💫ปัญหาของผู้ไม่เคยฝึกมาก่อน💫

หลวงพ่อ : "คำว่า มโนมยิทธิ แปลว่า มีฤทธิ์ทางใจ มโนมยิทธินี่เป็นการเตรียมอภิญญา จะเรียกวิชชาสามตรงก็เข้มเกินไป จะเรียกอภิญญาก็ยังอ่อนอยู่ เป็นการเตรียมอภิญญา เตรียมเพื่อรับอภิญญาหก
    วิชชาสามจริงๆ ไปไม่ได้แต่เห็นได้ นั่งอยู่ตรงนี้ สามารถเห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นพระอริยะ สามารถคุยกันได้ นั่งอยู่ตรงนี้ สามารถคุยกับเปรตได้ คุยกับอสูรกายได้ คุยกับพวกสัตว์นรกได้ แต่ก็นั่งตรงนี้เอง
    ทีนี้สำหรับมโนมยิทธินี่ก็เป็นอภิญญาทางใจส่วนหนึ่ง ต้องถือว่าเป็นกึ่งหนึ่งของอภิญญา เพราะว่าสามารถเอาจิตไป เอากายในไป ทว่าถ้าเป็นอภิญญาจริงๆ เขายกตัวไปเลย จะไปสวรรค์ ไปพรหมเขาเอาตัวไปเลย นั่นต้องใช้กำลังเข้มแข็งกว่า สูงกว่า แต่ว่ากันโดยผลก็มีผลเสมอกัน เพราะไปเห็นมาได้เหมือนกัน"

ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ ถ้าอย่างดิฉันต้องการฝึกบ้าง ต้องใช้เวลากี่วันคะ...?"

หลวงพ่อ : "ก็สุดแล้วแต่คุณจะทำได้ ถ้าคนทำได้เร็วไม่ถึงวันก็ได้ อันนี้จริงๆ นะ ถ้าทำได้เร็วใช้กำลังใจถูกต้อง โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้หญิงนี่ได้เร็วมาก เพราะพวกผู้หญิงนี่ไม่ค่อยสงสัย เพราะตัวสงสัยเป็นตัวนิวรณ์ ส่วนใหญ่จริงๆ พวกผู้หญิงนี่มักจะเป็นได้วันแรก นี่พูดถึงส่วนใหญ่นะ แต่พลาดมาวันที่ ๒ ที่ ๓ ก็มี ใช้เวลาไม่มากหรอกเราไม่ต้องนับเดือน ไม่ต้องนับปีกัน
    ถ้าคุณจะฝึก คุณต้องไปซ้อมกำลังใจเสียก่อน ถ้าซ้อมกำลังใจให้ทรงตัวมาวันแรกก็ได้ มันอยู่ที่ความเข้าใจ คือ ไม่ต้องทำอะไรมาก ทรงอารมณ์ไว้เฉยๆ หายใจเข้านึกว่า นะ มะ หายใจออกนึกว่า พะ ธะ ไม่ต้องทำให้มันเครียดหรอก ให้มันชินเท่านั้นเอง
    คำว่า ชิน หมายความว่า ถ้าให้เราภาวนาอย่างนี้เมื่อไรเราภาวนาได้ ไม่ต้องไปนั่งเครียดทั้งวันทั้งคืน ซ้อมให้ทรงตัวนะ"

ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ อย่างเรามีศรัทธา จะฝึกมโนมยิทธิ เรามีความจำเป็นไหมคะ ที่เราจะต้องรู้รายละเอียดในความหมายของคำภาวนา นะ มะ พะ ธะ"

หลวงพ่อ : "ก็ไม่ต้องไปละ อยู่ที่เดิมน่ะ ถ้าฉลาดแบบนั้นไปไหนไม่ได้ เขาให้ภาวนาเพื่อเป็นกำลังของสมาธิเท่านั้น เขาไม่ต้องใช้ปัญญา ปัญญาเขาใช้ส่วนอื่น ถ้าขืนฉลาดแบบนั้นก็อยู่ที่เดิม
    การเจริญพระกรรมฐาน เขาต้องไปตามจุด ต้องเฉพาะกิจ ที่เขาจะสอนให้แจกแจงนั่นต้องปฏิบัติในธาตุ ๔ เขาเรียกว่า จตุธาตุววัตถาน ๔ แต่อันนี้ไม่ใช่ เขาต้องการภาวนาเพื่อเป็นกำลังของจิต เพื่อให้จิตเป็นทิพย์ ชื่อเหมือนกันแต่ใช้กิจต่างกัน
    อย่างทัพพีเขาใช้คนหม้อข้าว เป็นทัพพีสำหรับหุงข้าว ถ้าเขาไม่มีช้อน เอามาตักข้าวเข้าปาก นี่มันกลายเป็นช้อนไป ใช่ไหม.....
    นี่ก็เหมือนกัน ต้องใช้เฉพาะกิจของเขา ถ้าเรื่อยเปื่อยไปก็พัง รับรองได้เลยถ้าเรื่อยเปื่อยไป นอกรีตนอกรอย อีกแสนชาติก็ไม่ได้ ต้องฉลาดพอดี ไม่ใช่ฉลาดเกินพอดี กิจอันนี้เขาทำเพื่ออะไร
    ถ้าเราจะแจงเป็นธาตุ ๔ ก็ไม่ใช่ลักษณะนี้ นั่นต้องหวนเข้าไปหาสุกขวิปัสสโก ไม่ใช่ฉฬภิญโญ หมวดแต่ละหมวดของกรรมฐานปฏิบัติไม่เหมือนกัน"

ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ บางคนเขาภาวนาว่า "พุทโธ" แต่ว่าทำไมเขาไปได้คะ...?"

หลวงพ่อ : "ถ้าเขาไปได้แล้วอะไรก็ได้ ให้มันสตาร์ทติดเสียก่อน ถ้าไปได้แล้วจริงๆ ไม่ต้องภาวนา นึกปั๊บมันถึงเลยกำลังเขาพอ เข้าใจไหม...
    คือว่า คำภาวนาที่เราใช้กันหนัก เพราะเรายังไม่คล่อง แบบเขียนหนังสือน่ะ อ่านหนังสือวันแรก สองวัน สามวัน เขียนตัว ก.ไม่ได้ ถ้าเขียนคล่องแล้ว นึกเมื่อไรเขียนได้เลย ใครเขาพูดก็เขียนได้เลยเหมือนกัน ถ้าคล่องจริงๆ ไม่ต้องภาวนา พอนึกปั๊บมันถึงทันที"

ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ บทสตาร์ทนี่ ต้อง "นะ มะ พะ ธะ" อย่างเดียวหรือคะ "สัมมา อรหัง" ได้ไหมคะ...?

หลวงพ่อ : "เอาแล้ว หาเรื่องตกร่องอีกแล้ว มันมีหลายสิบบท ไม่ใช่บทเดียว แต่ว่าบทนี้เท่านั้น ขณะที่ไปอยู่จึงจะคุยกับคนข้างๆ ได้ นอกนั้นเขาไปเงียบ จบจุดแล้วจึงมาเล่าสู่กันฟัง
    ฉันคิดว่า ถ้าไปกันเงียบ ชาวบ้านเขาจะหาว่าโกหก ฉันจะตัดตัวนี้ คือปัจจุบันเห็นแล้วคุยได้เลย ถามทางโน้นก็บอกทางนี้ได้ทันที เขาต้องการอย่างนี้
    ฉันยังจำคำแนะนำของหลวงพ่อปานได้ เมื่อก่อนฉันจะบวช ฉันบวชนี่ฉันไม่ได้บวชตามประเพณีกับเขา บวชเพื่อพิสูจน์พระศาสนา พระศาสนาว่า สวรรค์มีจริง นรกมีจริง ฉันจะไปเที่ยว 
    หลวงพ่อปานท่านบอก ความต้องการของแกน้อยไป ข้าต้องการมากกว่านั้น แต่ว่าแกบวชแล้วแกต้องรับคำสอนอย่างคนโง่นะ 
    "อย่างคนโง่" ก็หมายความว่า ท่านบอกตรงนี้ จุดไหนก็ไปแค่นั้นแหละ เดี๋ยวก็ถึง อันนี้ถูกต้อง เพราะท่านรู้จักทาง ท่านก็นำตรง ถ้าเราฉลาดเกินไป ก็เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาอีก
    ฉันอยู่กับหลวงพ่อปานเดือนเดียว ฉันได้หมด เพราะฉันยอมโง่ อย่างลูกสาวของฉันนี่มันฉลาดมากเกินไป อย่างนี้เขาเรียกว่า "ฉลาดหมาไม่กิน" ใช่หรือเปล่า...?"

ผู้ถาม : "ใช่ค่ะ"

หลวงพ่อ : "ถ้าหมากิน เอ็งหมดไปนานแล้ว"
    (หลวงพ่อพูดให้กำลังใจว่า) 
หลวงพ่อ : "ค่อยๆ ทำไปนะ ไม่ต้องใช้เวลาให้มาก ไม่ต้องไปใช้เวลาที่สงัดนั่งเล่นทำอะไรเล่นก็ตาม นึกอะไรได้ก็ภาวนา หายใจเข้า นึก "นะ มะ" หายใจออก นึกว่า "พะ ธะ" สองสามครั้งก็ได้ ถ้ามันฝืนขึ้นมาก็เลิกกัน ต้องการให้อารมณ์ชินอย่างเดียว เวลาเขาฝึกจะได้ไม่แย่งกัน ให้แยกกันเสียให้เด็ดขาด
    ยามปกติเราต้องการความสุข เราภาวนา "พุทโธ" ของเราไป แต่บางขณะเช่นเวลานี้ ฉันจะเอา "นะ มะ พะ ธะ" ไม่ยอมให้ "พุทโธ" มาแย่ง ไม่กี่วันหรอกอย่างมากก็ ๒-๓ วัน
    ถ้าลองจนชินดีแล้ว เราต้องการภาวนา "นะ มะ พะ ธะ" ก็ให้อยู่แค่ "นะ มะ พะ ธะ" พุทโธให้แยกไป
    ถ้าเราต้องการภาวนา "พุทโธ" ก็พุทโธไปตามปกติ อันนี้ก็ใช้ได้
    ค่อยๆ ทำไปนะ อยู่ที่ความเข้าใจตัวเดียว ใครจะคุมหรือไม่คุม ไม่สำคัญ ต้องภาวนาถูกต้องตามแบบเขา ไม่งั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่วางแบบไว้ซิ ถ้าภาวนาอย่างไรก็ได้ พระพุทธเจ้าจะวางแบบไว้ทำไม สอนเสียอย่างเดียวก็พอใช่ไหม..."
    "พุทโธ" น่ะ เป็นสายของสุกขวิปัสสโกเขา สายสุกขวิปัสสโกไปไหนไม่ได้ ได้แต่ตัดกิเลส สายเตวิชโชก็มีคำภาวนาตั้งหลายสิบแบบ 
    แต่ถ้า "นะ มะ พะ ธะ" เป็นการเตรียมเพื่ออภิญญาจึงไปได้ กรรมฐานไม่ใช่ว่าทำอย่างเดียว แบบจริงๆ มี ๔๐ แบบ ถ้าเราจะใช้อะไรก็ใช้แบบที่ถูกต้อง ไม่งั้นไปไม่ได้"

ผู้ถาม : "สมมติว่าหนูฝึก "พุทโธ" หลวงพ่อจะฉุดหนูไปได้ไหมคะ...?"

หลวงพ่อ : "ได้ ฉุดลงใต้ถุนไป ไม่มีทางจะฉุดได้ยังไง พระพุทธเจ้าท่านยังไม่ฉุดใคร หลวงพ่อจะไปฉุดเอ็งเข้า ดีไม่ดีเขาจะมาตีเอาตาย โทษหนักเสียด้วย โทษถึงประหารชีวิต
    เรื่องอื่นยังพอทำเนา บรรเทาโทษได้ แต่ว่าเรื่องนี้ประหารชีวิตกันเลยนะ หนอยแน่...ไม่ได้หรอกไอ้หนู ต้องฝึกเอง แล้วทำไมภาวนา "นะ มะ พะ ธะ" ไม่ได้...?"

ผู้ถาม : "รู้สึกว่ามันเหนื่อยค่ะ"

หลวงพ่อ : "แล้วทีด่าชาวบ้านทำไมทำได้ล่ะ..."

ผู้ถาม : "หนูไม่เคยด่าใครค่ะ ครั้งเดียวไม่เคยค่ะ..."

หลวงพ่อ : "น่ากลัวไปล่อหลายเที่ยว"

ผู้ถาม : (หัวเราะ)

หลวงพ่อ : "ไอ้นี่ต้องคิดซิว่า "พุทโธ" เหมือนกับนั่งอยู่กับบ้าน ถ้าเราจะไป ไปอเมริกา เดินไปมันก็ไม่ไหว ก็ต้องขึ้นเครื่องบินไป แบบ "นะ มะ พะ ธะ" เขาฝึกเพื่อหาเครื่องบินไป
    การฝึกในพระพุทธศาสนา เขามีตั้ง ๔ ประเภท ถ้าแบบใหญ่จริงๆ มี ๔๐ แบบ แบบย่อยอีกนับพัน อย่าง "นะ มะ พะ ธะ" เป็นส่วนหนึ่งของอภิญญา แต่ยังไม่เข้าถึงอภิญญาจริง ต้องถือว่าเตรียมเพื่ออภิญญา นี่เขามีจำกัดนะ
    แต่ว่าการปฏิบัติแบบนี้เขาก็มีหลายสิบแบบนะ ถ้าเป็นแบบเก่า คนข้างๆ ถามไม่ได้ ฉันก็ไม่อยากสอนใคร ฝึกแบบนี้ถ้าไปได้ คนข้างๆ สามารถถามได้ตลอดเวลา ไปถึงไหนๆ เล่าได้ตลอดเวลา ถ้านอกจากนี้ไปก็นั่งเงียบแต่ผู้เดียว เลิกแล้วกลับมาจึงเล่าสู่กันฟัง
    อย่างนี้ฉันว่าของเก่านั้นของดี แต่ว่าพวกที่เขามีความสงสัยก็จะคิดว่าพวกนี้มาโกหก จึงไปหาแบบนี้มา แบบนี้ก็ไม่ได้สร้างเอง เป็นของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน คนข้างๆ สามารถถามได้ เวลานี้ถึงไหน แล้วจะบอกได้ตลอดเวลา หาอย่างนี้มา ๒๓ ปี กว่าจะพบตำรานี้ ไม่ใช่ค้นคว้าเองนะ ทราบอยู่ว่าของพระพุทธเจ้าท่านมี
    แต่ตำราที่เราจะฝึกเราไม่พบ กว่าจะพบก็สิ้นเวลาบวชไป ๒๓ ปี แต่ว่าวิธีอื่นน่ะทำได้ ถ้าเพื่อส่วนตัวนี่ทำได้ตั้งแต่พรรษาต้น แต่ว่าเราจะรู้เราก็ต้องรู้คนเดียว เลิกมาแล้วจึงมาเล่าสู่กันฟัง ทีนี้สำหรับคนรับฟังก็จะหาว่าโกหก
    อย่างสมมติว่า พ่อเขาตาย แม่เขาตาย เขาถามว่าพ่อแม่เขาอยู่ที่ไหน ตามผีนี่ตามง่ายกว่าตามคน ต้องการจะพบใครมันพบทันที ถ้าเราจะเอาให้แน่นอนเมื่อพบแล้วก็ให้เขาแสดงตัว
    เวลาเป็นมนุษย์รูปร่างเป็นอย่างไร แสดงให้ดูซิ เวลาป่วยยังไง ผอมหรืออ้วน อาการป่วยที่คนพอจะรู้ได้ขอให้บอก พวกที่เขาถามเขารู้ว่าเคยป่วยแบบไหน เขาอาจจะไม่รู้ทั้งหมดรู้จุดใดจุดหนึ่งนะ เขาจะบอกให้ฟัง
    ถ้าถามถึงโรค มีอยู่หลายรายเขาบอกว่าที่หมอหรือพยาบาลบอกว่าตายด้วยโรคนั้นๆ มันไม่จริง เขาตายอีกโรคหนึ่ง แต่พยาบาลเขาเข้าใจว่าโรคนั้น
    นี่เราต้องถามอาการที่คนอื่นจะรู้ เขาทำท่าให้ดูเสร็จเรียบร้อยแล้วก็บอกคนข้างๆ ว่า พบแล้วเวลาที่มีชีวิตอยู่ รูปร่างเป็นอย่างนี้ใช่ไหม... และอาการที่จะตายจริงๆ มีลักษณะแบบนี้ใช่ไหม... คนนี้สมัยที่มีชีวิตอยู่เป็นคนใจดี หรือชอบหัวเราะ หน้าบึ้งขึงจออะไรก็ตาม ถามเขา เขาบอกตามความเป็นจริงหมด"
    (คงเข้าใจแล้วนะสำหรับท่านที่ยังมีความสงสัยในคำภาวนาและการฝึกแบบนี้ แต่ก็คงจะสงสัยอย่างอื่นอีก จึงขอนำปัญหาและคำตอบให้คลายสงสัยเสีย)

ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ ถ้าหากฝึกมโนมยิทธิขึ้นไปข้างบนได้แล้ว จะหลงวกวนอยู่บนนั้นไหมคะ...?"

หลวงพ่อ : "แหม...อีหนูเอ๊ย อยากให้หลงจริงๆ ถ้ามันไปติดอยู่วิมานใดวิมานหนึ่ง แหม...ดีจริงๆ"

ผู้ถาม : (หัวเราะ) "ไม่หลงใช่ไหมคะ...?"

หลวงพ่อ : "ไม่หลงหรอก"

ผู้ถาม : " แล้วที่ครูฝึกเขาแนะนำว่าไปที่วิมาน วิมานอยู่ที่ไหนคะ...?"

หลวงพ่อ : ถ้าเราไปถึงพระนิพพานได้ วิมานบนพระนิพพานก็ต้องมี เมื่อไปถึงนิพพานได้เขาจะบอก ๒ จุด เพราะว่าครูเขาไม่มีเวลาสอนมาก ถ้าเราขึ้นไปบนสวรรค์ ดูวิมานของเรามีไหม... ถ้าไม่มีก็ไปดูวิมานของเราที่พรหมมีไหม... ถ้าไม่มีก็เหลือแห่งเดียวที่นิพพาน แสดงว่าชาตินี้ตายแล้วไปนิพพานแน่
    ถ้าหากว่าวิมานที่สวรรค์ยังมีอยู่ หรือยังมีอยู่ที่พรหมและที่นิพพานมีอยู่ แสดงว่าจิตเราจับวิปัสสนาญาณได้เล็กน้อยแต่มันหมอง มันไม่แจ่มใส แต่วิมานเราอยู่จุดที่แน่นอนอันนี้แจ่มใส
    ถ้าวิปัสสนาญาณเราดีพอ จิตเราเข้าถึงโคตรภูญาณ วิมานข้างล่างนี่จะหายหมด มันจะเหลือหลังเดียวข้างบน ถ้าเหลือหลังเดียวข้างบน ตายแล้วมันไม่มีที่อยู่ ต้องไปอยู่หลังนั้นแหล่ะ
    ถ้าพอถึงนิพพานแล้วยังถามว่าไปไหนอีก ถ้าอารมณ์ใจยังพอใจในการเที่ยวก็แสดงว่ากิเลสยังหนาอยู่ ถ้าเที่ยวไปๆ ไม่ช้ามันจะเบื่อเที่ยว จิตมันจะรักอารมณ์อยู่จุดหนึ่ง คือขึ้นไปนิพพาน มันก็ไม่อยากขึ้น มันอยากจะตัดขันธ์ ๕ สบายๆ อารมณ์จิตเป็นสุข
    แต่ว่าก็มีเกณฑ์บังคับว่า นิพพานต้องไปทุกวัน เพื่อให้จิตมันจับเป็นเอกัคคตารมณ์ แปลว่าจิตมันเป็นหนึ่งเดียว ต้องการอย่างเดียวคือนิพพาน ให้มีความผูกพัน
    แล้วไปนิพพานไปที่ไหน...?
    นิพพานมี ๒ จุดที่เราจะไปก็คือ ที่ประทับของพระพุทธเจ้าและก็วิมานของเรา ถ้าเราไม่เห็นพระพุทธเจ้า เรานึกถึงท่านท่านจะมาทันที คือว่าจิตอย่าปล่อยพระพุทธเจ้า ให้จิตมันเกาะไว้เป็นอารมณ์ ทีนี้ตายแล้วก็มาที่นี่แหละ
    เรื่องของชีวิตมันจะตายเมื่อไรก็ช่าง คือว่าอย่าไปคิดว่ามันจะอยู่อีก ๒ ปี ตื่นขึ้นมาเราคิดว่าเราอาจจะตายวันนี้ มันถึงจะถูก อันนี้เป็น มรณานุสสติกรรมฐาน ใช่ไหม... ถ้าวันนี้มันจะตาย มันจะไปไหน ตื่นขึ้นมาปั๊บเราคิดว่าเราจะตายวันนี้ จิตพุ่งปรู๊ดขึ้นนิพพานเลย ขึ้นไปแล้วสัก ๒-๓ นาที ก็ช่าง ให้อารมณ์มันสดชื่น พิจารณาขันธ์ ๕ เท่านั้นแหล่ะ
    ถ้าจิตตอนเช้าเราจับเป็นอารมณ์ไว้ แล้วกลางวันเราก็ไม่ได้นึกถึงนิพพาน มัวนั่งพูดกับเพื่อนบ้าง ทะเลาะกับเพื่อนบ้าง ขัดคอกับเพื่อนบ้าง หลบหน้าเจ้าหนี้บ้าง ตามเรื่องตามวาระ บังเอิญตายวันนั้นมันก็ไปนิพพาน เพราะตอนเช้าเราตั้งอารมณ์ไว้แล้วใช่ไหม...
    คืออารมณ์ตอนเช้า เวลาที่จิตมันสบายตั้งจุดไว้เลย ตั้งอารมณ์ไว้ก็อย่าตั้งเฉยๆ ไปเลย ไปนั่งอยู่ข้างหน้าพระพุทธเจ้าให้จิตมันชื่นใจ เวลานั่งข้างหน้าพระพุทธเจ้ามันสบายใจ ใช่ไหม... ท่านสวย ท่านสว่าง ดูแล้วไม่อิ่มไม่เบื่อ อารมณ์มันก็มีความสุข คิดว่าที่นี่เป็นที่ที่เราจะมาในเมื่อขันธ์ ๕ มันพัง ให้ทำแบบนี้นะ"

ผู้ถาม : แล้วอย่างสมมติว่า คนที่เขาฝึกได้แล้ว เขาไปได้ เขาก็เห็นวิมานของเขา แสดงว่าเขามีวิมานอยู่ ถ้าหากเราอยู่อย่างนี้ เราทำแต่ความดี เราจะมีวิมานไหมคะ...?"

หลวงพ่อ : "เราก็มีบ้านอยู่"

ผู้ถาม : "หนูอยากมีวิมานค่ะ"

หลวงพ่อ : "ไปสร้างกุฏิสักหลังซิ"

ผู้ถาม " มีจริงๆ หรือคะ?"

หลวงพ่อ : "วิมานน่ะ เขามีด้วยกันทุกคน ถ้าทำความดี แต่ว่าเราจะสามารถไปเห็นวิมานของเราหรือไม่ อย่างการก่อสร้างวิหารทาน สร้างโบสถ์ สร้างกุฏิ สร้างส้วม สร้างศาลาอะไรก็ตามเถอะ เราเอาเงินไปร่วมกับเขาด้วยความตั้งใจจริง วิมานจะปรากฏเลย เราจะรู้หรือไม่รู้อยู่ที่การฝึกจิต อย่างที่เขาฝึก นะ มะ พะ ธะ กัน"
(เอาละ สำหรับปัญหาผู้ยังไม่เคยฝึกมีเท่านี้)

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
ตอบปัญหาธรรม (ฉบับพิเศษ เล่ม ๒)
หน้า ๗-๑๖

🖊 ปัณณ์ธรรม

ตราพระราชลัญจกร ในสมัย ร.1 - ร.9

ตราพระราชลัญจกร ในสมัย ร.1 - ร.9
..พระราชลัญจกร คือ พระตราสำหรับพระเจ้าแผ่นดินที่ใช้ประทับในเอกสารต่าง ๆ  
 
เครดิตภาพ มูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...