30 เมษายน 2566

ศาสนาที่ดีที่สุด...บนความพอเพียง..ไร้สงคราม..ไม่อ้างพระเจ้าเพื่อสวคราม

- ทั่วทั้งโลกนี้มีผู้นับถือศาสนาพุทธรวมแล้วประมาณเพียงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น
- ที่สำคัญไปกว่าคือ เหลือเพียงเมืองไทยแห่งเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่ง จึงยังคงศาสนาพุทธไว้ได้ค่อนข้างครบถ้วนไม่ขาดความต่อเนื่องเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ยังคงมีพระอริยะบุคคลสืบต่อกันมาให้เห็นถึงทุกวันนี้

- ประเทศใดหรือกลุ่มบุคคลใดจะสั่นคลอนล้มล้างสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็มีแต่จะได้โทษใส่ตัว แพ้ภัยตนเองไปในที่สุด เพราะดินแดนนี้จะเป็นที่ตั้งของศาสนาจนครบ 5,000 ปี

อานาปานสติ เป็นยอดพระกรรมฐาน

อานาปานสติ เป็นยอดพระกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าใช้ในวันที่พระองค์ตรัสรู้ หากผู้ตั้งใจปฏิบัติอานาปานสติ สามารถบรรลุพระอรหันต์ได้อย่างช้า 7 ปี อย่างเร็ว 7 เดือน แต่ผู้มีบารมีเต็มสามารถบรรลุได้ใน 7 วัน หรือ 7 นาทีก็ได้
อานาปานสติ เป็นได้ทั้งสมถะ และวิปัสสนากรรมฐาน ในเบื้องต้นเป็นสมถกรรมฐาน มีสติอยู่กับลมหายใจ รู้ลมเข้า ลมออก จะเห็นกายในกาย (กายในคือลมหายใจละเอียด กายนอกคือกายสังขาร) ผู้รู้ก็อยู่ในลมหายใจภายในนั่นแหละ เมื่อจิตสงบ กายและลมหายใจจะดับสนิท ต้องไม่กลัวตาย (หลายคนติดตรงนี้) ตรงนี้เป็นปรมัตถบารมี คือ ถวายชีวิตปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม เป็นทานบารมียิ่งกว่าพระเวสสันดรบริจาคกัณหา ชาลี เป็นทาน เพราะต้องกล้าสละชีวิตเพื่อธรรม กายและลมหายใจจะดับสนิท หายไป

เหลือแต่ ผู้รู้กับความสงบอยู่ดวงเดียว สว่างไสว แทงทะลุความมืดของอวิชชา เมื่ออยู่กับความสงบจนเต็มอิ่มแล้ว จิตถอนออกมาก็นำมาพิจารณาความไม่เที่ยงของร่างกาย 32 เป็นวิปัสสนากรรมฐาน
จิตที่มีกำลังจะพิจารณาแทงทะลุจนเกิดปัญญาต่างกับจิตที่ไม่มีพลังจากความสงบของสมาธิมาก

29 เมษายน 2566

กว่าจะเข้าใจในแต่ละสภาวะธรรม

กว่าจะเข้าใจในแต่ละสภาวะธรรม ไม่ใช้ได้มาง่ายๆจะต้องผ่านการปฏิบัติจริง และปฏิบัติอย่างจริงๆจังๆ
การประพฤติปฏิบัติธรรมถ้าทำเล่นๆไม่เอาจริงเอาจังในการปฏิบัติก็ได้ของเล่นๆไป ถ้าทำจริงก็ได้ของจริงไป ขอเล่าแบบที่ผมปฏิบัติมา อย่างการนั่งกรรมฐาน ต้องข้ามเวทนาไปให้ได้ ยุงกัดราวๆ10กว่าตัว ปวดขาเหมือนขามันจะขาดแบบนี้สภาวะธรรมของจริงจะเกิด คือต้องแยกกายกับจิตออกจากกันให้ได้ ถ้ายังปวด ยังยึดติดกับกาย ยึดอยู่กับเวทนายังแยกไม่ได้ ก็ยังไม่เข้าขั้นวิปัสสนา นี่วิปัสสนาจริงๆนะไม่ใช่แบบจำตำรามาว่า ถ้าแยกออกจากกันได้กายปวด แต่จิตไม่ปวดตาม เมื่อแยกได้เด็ดขาด จะยุงกัด10กว่าตัวยังแทบไม่รู้สึกเลย ไม่ใช่นั่งไปปวดเลิกดีกว่า คันเลิกดีกว่า แบบนี้ยังถือว่าไม่ผ่าน การทำกรรมฐานต้องมีกำลังใจเด็ดเดี่ยว ถ้าปรารถนาความหลุดพ้นจริงๆ อย่ากลัวต่อความลำบากในการปฏิบัติ สำหรับผู้ที่ปรารถนาความหลุดพ้นจริงๆ ต้องทำกำลังใจให้ได้แบบนี้

การนั่งสมาธินานๆ จุดประสงค์หลักไม่ใช่การนั่งเพื่อใช้ความอดทนไปสู้กับเวทนา จริงอยู่การนั่งแบบอดทนอาจได้ขันติบารมี หรือได้สัจจะบารมี เช่นกำหนดระยะเวลาแล้วอดทนนั่งจนครบกำหนดเวลา เช่น1-2ชม. แต่ที่นั่งนานหรือนั่งจนเกิดเวทนาก็เพื่อให้เกิดสภาวะและเข้าไปเห็นว่าเวทนานั้นไม่ใช่เรา นี่ละคือจุดประสงค์หลัก แบบนี้จึงจะเกิดปัญญาในขั้นแยกรูปแยกนาม เช่น เห็นเวทนาเป็นนาม กายเป็นรูป เป็นคนละส่วน หรือเห็นเวทนาเกิดทางกาย ร่างกายเกิดเวทนา แต่จิตวางเฉยต่อเวทนา ไม่รับเวทนาเข้ามาสู่จิต ให้เกิดสภาวะแยกรูปแยกนาม ส่วนการนั่งทนจะเป็นการใช้ขันติความอดทนข่มเวทนา(สู้กับเวทนา) โดยต้องอดทนเพื่อสู้กับเวทนาไปจนกว่าเวทนาจะดับ(จะคลายลง) ซึ่งต้องใช้ความอดทนสูงและต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรทีเดียว ซึ่งกว่าเวทนาที่ปวดมากๆจะค่อยๆเบาบางลงและดับไป เมื่อเวทนาดับไป ก็ค่อยน้อมพิจารณาว่า เวทนาก็เป็นไตรลักษณ์ มีเกิดขึ้น มีตั้งอยู่ ดับไป เมื่อผ่านเวทนาไปได้ จิตก็จะเข้าสู่สภาวะของความสงบเป็นสมาธิ

การทำกรรมฐาน อย่าไปกลัวการเกิดทุกข์เวทนา เพราะถ้าเรากลัวเวทนาเมื่อไหร่ จะกลายเป็นอุปทานจิต เมื่อเกิดอุปทานจิต เวทนาก็จะเข้ามา(เพราะจิตเราไปเปิดรับ) เมื่อทำกรรมฐานให้ละความกลัวเวทนานั้นทิ้งเสีย ถ้าละความกลัวเวทนาได้ เวทนาก็จะไม่เกิด หรือถึงจะเกิดเวทนาก็ไม่หนักหนา และเมื่อเวทนาเกิด อย่าเอาจิตไปยึดกับเวทนา พอเราไม่ยึดในเวทนา เวทนาก็จะดับไปเอง นี่เป็นการปฏิบัติแบบหนึ่ง ส่วนอีกวิธีคือดูเวทนาไปเลย ดูไปกว่าจนมันจะดับลง ดูให้เห็นว่าเวทนาก็อยู่ในกฏของไตรลักษณ์เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แล้วน้อมเข้ามาพิจารณาเข้าสู่กฏของไตรลักษณ์ ยกจิตขึ้นสู่ภูมิวิปัสสนา แบบนี้จะได้ปัญญา

ทำไมเราต้องนั่งเพื่อเจอเวทนา
ถ้าเราไม่เจอเวทนาเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเราวางจิตจากเวทนาได้จริง อย่างเราอ่านตำรามา รูปก็ไม่เที่ยงนามก็ไม่เที่ยง คิดว่าปล่อยวางได้ พอมานั่งจริงๆ เจอกับสภาวะจริง ปวดนิดหน่อยก็โอ้ยๆเลิกไม่เอาแล้ว นี่คือยังไม่ผ่านของจริง ดังนั้นการมาเจอกับสภาวะจริงๆจะเป็นสิ่งชี้วัดได้อย่างดี ว่าเราแยกรูปและนาม ข้ามเวทนาได้จริงหรือไม่ อนึ่งเป็นการซ้อมตายในตอนมีเวทนา อย่าลืมนะว่าขณะจะตาย(ธาตุจะพัง) เวทนาย่อมมี ถ้าเราไม่เคยฝึกแบบนี้มา คือฝึกข้ามเวทนามา เวลาที่ร่างการเกิดทุกขเวทนา จะเอากำลังสติปัญญาที่ไหน ไปวางจิตให้คลายจากความเจ็บปวด จนถึงขั้นยกจิตให้ไปสู่ภพภูมิที่ดีได้ เหตุนี้นักปฏิบัติที่นั่งสมาธิแล้วเกิดเวทนาท่านจึงไม่หยุดนั่ง ที่นั่งต่อไปเพื่อไปดูสภาวะของจิตกับเวทนา นี่ละคือจุดประสงค์หลัก แบบนี้จึงจะเกิดปัญญาในขั้นแยกรูปแยกนาม เช่น เห็นเวทนาเป็นนาม กายเป็นรูป เป็นคนละส่วน หรือเห็นเวทนาเกิดทางกาย ร่างกายเกิดเวทนา แต่จิตวางเฉยต่อเวทนา ไม่รับเวทนาเข้ามาสู่จิต ให้เกิดสภาวะในขั้นแยกรูปแยกนาม ให้วิปัสสนาญาณเกิด 

ที่มา
วุฒิตี้ธุดงค์กรรมฐาน

#วิธีช่วยญาติที่เสียชีวิต

#วิธีช่วยญาติที่เสียชีวิต
ตอนกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล อย่าลืมบอก 
"นะโมพุทธายะ อิทัง ปุญญะ พะลัง ด้วยบุญกุศล..........
ในครั้งนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศบุญที่ทำนี้ พร้อมกับบุญกุศลที่ข้าพได้เคยทำมาทั้งหมด เช่น บุญที่เกี่ยวเนื่องกับสมเด็จองค์ปฐม บุญสร้างพระ บุญสังฆทานพระพุทธรูปผ้าไตรจีวรภัตตาหารน้ำดื่ม วิหารทาน ธรรมทาน บุญเจ้าภาพบวชพระเณร บุญไถ่ชีวิตสัตว์ บุญสาธาระประโยชน์ บุญรักษาศีล๕ ศีล๘ ศีล๑๐ และบุญที่ข้าพเจ้าบวชพระรักษาศีล๒๒๗ และบุญสวดมนต์เจริญภาวนา ซึ่งได้มีการจดบันทึกลงในบัญชีบุญแล้วนั้นทั้งหมด อุทิศให้แก่.....(ชื่อ นามสกุล)...... หากบุคคลผู้นี้ยังไม่สามารถโมทนารับส่วนกุศลของข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าขอความเมตตาพระยายมราช ท้าวเวสสุวรรณ แม่ธรณี เทวดาทั้งหลาย และหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน โปรดรับทราบเป็นพยาน และได้โปรดสงเคราะห์นำส่วนกุศลนี้ให้ถึงแก่....(ชื่อ นามสกุล).....ได้สาธุโมทนาด้วยเถิด ลูกจักขอบพระคุณเป็นอย่างสูง สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ ขอให้บุญจงนำทางส่องแสงสว่างให้....(ชื่อ นามสกุล)...... ได้ไปสู่สุคติภพภูมิที่สุขสบาย ได้พบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรม สำเร็จมรรคผลต่อไปด้วยเถิด พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง สังฆัง นิพพานัง ปัจจะโย โหตุ เต"
ปล.การกรวดน้ำ เป็นวิธีการอุทิศส่วนกุศลที่ถึงผู้รับได้สำเร็จมากที่สุด แม้การตั้งจิตอุทิศก็ได้ผลเช่นกัน แต่ก็ยังเป็นเรื่องทำได้สำเร็จยากกับปุถุชนคนทั่วไป 

ธรรมทานโดย 
พชร ศิริภิญโญกฤต

"อุปัชฌาย์ข้า (หลวงพ่อกลั่น) สอนว่า ภาวนา"

อานิสงส์การภาวนา
โดย หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ  
หลวงพ่อท่านเคยพูดเสมอว่า 
"อุปัชฌาย์ข้า (หลวงพ่อกลั่น) สอนว่า ภาวนาได้เห็นแสงสว่าง (ฌาน 2) เท่าปลายหัวไม้ขีด ชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่าช้างกระดิกหูงูแลบลิ้น ยังมีอานิสงส์มากกว่าตักบาตรจนขันลงหินทะลุ" 

พวกเรามักจะได้ยินท่านคอยให้กำลังใจอยู่บ่อยๆ ว่า "หมั่นทำเข้าไว้ หมั่นทำเข้าไว้ ต่อไปจะได้เป็นที่พึ่งภายหน้า" 

เสมือนหนึ่งเป็นการเตือนให้เราเร่งความเพียรให้มาก การให้ทานรักษาศีลร้อยครั้งพันครั้งก็ไม่เท่ากับนั่งภาวนาหนเดียวนั่งภาวนาร้อยครั้งพันครั้ง กุศลที่ได้ก็ไม่เท่ากุศลจิตที่สงบเป็นสมาธิเกิดปัญญาเพียงครั้งเดียว

การบรรลุธรรม

อย่าพึงคิดว่าการบรรลุธรรมจะต้องบรรลุในท่านั่งขัดสมาธิหลับตาเท่านั้น บางคนมีความเข้าใจแบบนี้ ว่าคนที่จะบรรลุธรรมจะต้องบรรลุในท่านั่งขัดสมาธิหลับตา จริงๆไม่ใช่ แม้กวาดใบ้ไม้อยู่ก็สามารถบรรลุธรรมได้ ในสมัยพุทธกาลบางรูปฟังเพลงแล้วบรรลุเป็นพระอริยะบุคคลก็มี บางรูปเห็นฟันแล้วน้อมฟันเข้ามาพิจารณาจนบรรลุเป็นพระอนาคามีก็มี บางรูปบรรลุธรรมขณะที่คนอื่นแบกอยู่ก็มี สำหรับผู้มีปัญญาท่านสามารถเอาสิ่งรอบตัวต่างๆมาพิจารณาเป็นธรรมะได้ทั้งหมด และสามารถใช้ทุกอิริยาบถให้เป็นการปฏิบัติธรรมได้ การประพฤติปฏิบัติธรรม ถ้าทำแค่ตอนนั่งสมาธิหลับตา ไม่ทันกินหรอก สู้กิเลสไม่ไหว กิเลสเท่าแผ่นฟ้า ความเพียรเท่าฝ่ามือ มันจะไปทันกิเลสได้ยังไง นักปฏิบัติจริงๆเขาปฏิบัติทุกอิริยาบถ จะเว้นก็แค่เพียงตอนนอนเท่านั้น เดินหิ้วน้ำอยู่ ก็เอาจิตมาระลึกรู้อยู่กับการเดิน ระลึกรู้อยู่กับการเคลื่อนไหว มีสติอยู่กับฐานกาย เนี่ยทำงานไปด้วยปฏิบัติธรรมไปด้วยในตัวเสร็จ แถมไม่ต้องไปเข้าคอร์สให้เสียเงินเสียทองด้วย ได้ทั้งงานทางโลกและงานทางธรรม ถ้าบอกว่าตนเองเป็นนักปฏิบัติอย่าหายใจทิ้งหายใจขว้าง ถ้าคิดทิ้งคิดขว้าง เสียดายลมหายใจ เสียดายความคิด ถ้าหายใจทิ้งไปเปล่าๆมันน่าเสียดาย เอาลมหายใจมาทำให้เกิดเป็นบุญด้วยการภาวนาดีกว่า ถนัดดูลมก็ให้เอาสติมาตามรู้เข้าลมเข้าลมออก ถนัดใช้คำบริกรรมก็ให้เอาจิตมาอยู่กับคำบริกรรม เช่นทำการงานไปด้วย ก็ภาวนาในใจว่าพุทโธๆไปด้วย แบบนี้มันจึงจะพอทันกิเลส เมื่อเราฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆจนจิตมีความมั่นคงในฐาน เวลาไปปฏิบัติในรูปแบบด้วยการนั่งสมาธิหลับตา เชื่อได้เลยว่าจิตจะรวมเป็นสมาธิได้เร็วขึ้น เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของสภาวะจิตด้วยตนเอง บางครั้งไปนั่งสมาธิยังไม่ทันกำหนด จิตก็รวมเป็นสมาธิอัติโนมัติเองเลยก็มี เพราะจิตของเราได้ทรงสมาธิอยู่ในระหว่างวันอยู่แล้ว สมาธิจึงเกิดง่าย

28 เมษายน 2566

ฌานเสื่อมได้

"...ฌานมันเสื่อมได้ อันนี้ต้องเข้าใจว่า สมาธิก็คือฌาน

ฌานก็คือสมาธิ ทีนี้ความสำเร็จ โสดาบัน สกิทาคา 
อนาคา อรหันต์ ไม่ใช่ฌาน มันเป็นการหมดกิเลสตาม
ขั้นตอน เครื่องหมายของความหมดกิเลส พระโสดาบัน
ละสังโยชน์ได้ ๓ พระสกิทาคามีละสังโยชน์ได้ ๓ กับ
ทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง พระอนาคามีละ
สังโยชน์ได้ ๕ พระอรหันต์ละได้ ๑๐ ในเมื่อละได้แล้ว
ท่านก็บรรลุถึงจุดหมายแห่งความบริสุทธิ์สะอาด
กิเลสอาสวะน้อยหนึ่งไม่มีเหลืออยู่ในจิตใจของท่าน
อันนั้นคือความเป็นอมตะที่ไม่รู้จักเสื่อม

ศีล สมาธิ ปัญญา ญาณ ฌาน นี่เป็นแนวทางปฏิบัติ
เป็นการปฏิบัติ สมาธิ ฌาน ญาณ อะไรต่างๆ มันเป็น
ภูมิธรรมที่เกิดจากการปฏิบัติ แต่ภูมิธรรมอันนี้มันก็
เป็นแต่เพียงอุปกรณ์ช่วยให้จิตของเราหมดกิเลส
แต่มันก็ยังเป็นเรื่องของโลกๆ..."

#ที่มา หนังสือ สดใส หน้า ๙๕ - ๙๖
พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
♤.........................................................................♤

เทวสภา แม่ศรี ท่านย่า โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

**เทวสภา แม่ศรี ท่านย่า** **หลวงพ่อพระราชพรหมยาน**
**แม่ศรีนี่ ท่านอยู่นิพพานแล้วนะ ท่านย่าก็เป็นพระอริยะขั้นอรหัตมรรค**

**พระโพธิสัตว์ที่อยู่ชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นที่ ๖ มีหน้าที่เหมือนกับพระ ไปสงเคราะห์พรหม เทวดา ด้วยการเทศน์**

**อย่าง [#พระอินทร์](https://www.facebook.com/hashtag/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C?__eep__=6&__cft__%5B0%5D=AZV0e0IukAVfDOFlzAjmx5VMzgRl2ut3qoA1BOs6wyijv-vEhA8G66Aa5QWfeW2EmxXfign74NNU8zigHdTxBOyCzir2yTsETl5oFqcGG_DiBNhgv31nuPmN_6_AFstxJ86_ZoPyw31vSATaLTUnDIDYud1YODCJ22PAeac1vCB95cU9UvXhOdlafuSQpOp5Uk6u_8clxRIdi0vyTBgcmhMu&__tn__=%2ANK-y-R) เวลาถึงวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ถึงวันโกนสิ้นเดือน เทวดาต้องไปประชุมกันที่เทวสภา ตามปกติ**

พระอินทร์จะไปเชิญพระโพธิสัตว์มาเทศน์ บางคราวก็หาพระโพธิสัตว์ว่างไม่ได้พระอินทร์ต้องเทศน์เอง

**ไม่เคยเห็นเทวดานอน สวรรค์ พรหม นิพพาน ไม่มีกลางคืน ไม่มีกลางวัน ไม่มีพระอาทิตย์**

ในแดนนรกก็ไม่มีกลางวัน และกลางคืน ไม่มีพระอาทิตย์เหมือนกัน

**ฉะนั้น คำว่าหยุด คำว่าพัก คำว่าเหนื่อยไม่มี** หนักก็ดี กลุ้มก็ดี ไม่มีสำหรับเทวดา ท่านมีสภาพเป็นทิพย์ ไม่มีสภาพหนัก

มนุษย์นี่มีธาตุดิน จึงทำให้หนัก ของท่านไม่มีธาตุ เป็นนามธรรม **ที่เรียกว่า "รูปในนาม**" มีสภาพ คล้ายอากาศเบาๆ ทุกอย่างไม่มีของหนักอย่างเรา ฉันตอบได้เพราะว่าฉันเคยตายมาหลายอสงไขยกัป

**เป็นเทวดา เป็นพรหม บำเพ็ญบารมีต่อได้**เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ เขาบรรลุมรรคผลมากกว่าคน อย่าง"**ท่านแม่ศรี" อยู่ดาวดึงส์ เป็นอรหันต์ก็ไปนิพพานเลยเขาตัดเลย**

หลวงพ่อเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน **พุทธภูมิ ถ้าบำเพ็ญบารมีต่อ เขาคิดเฉพาะเมืองมนุษย์นะ**สวรรค์นี่เขาไม่คิดให้ ชาตินี้เลยลาพุทธภูมิ

**พระพุทธเจ้ามีเป็นแสนองค์นับไม่ไหว** พระพุทธเจ้าไปเทศน์บนสวรรค์ สมัยมีร่างกายเป็นมนุษย์ท่านก็เทศน์ นิพพานไปแล้วท่านก็ยังเทศน์ เดี๋ยวนี้ท่านก็เทศน์ ฉันฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้าทุกวัน เวลาแนะนำคน ฉันต้องการฟังข้างหลังหรือบนหัว

**นักเทศน์บางคนพูดว่า การบำเพ็ญบารมีต้องอาศัยชาติมนุษย์ เป็นเทวดาหรือพรหมบำเพ็ญบารมีต่อไม่ได้** **อันนั้นไม่จริง** เทวดาหรือพรหมที่เป็นพระอนาคามี ไม่มีใครกลับมาอีก บำเพ็ญตนให้เป็นพระอรหันต์ ไปนิพพานเลย

คนที่จะเป็นเทวดาได้ต้องมีความดี ๒ อย่างประจำใจ คือ..

**๑.หิริ ความละอายต่อความชั่ว**

อายความชั่ว ไม่ยอมทำความชั่วทั้งต่อหน้าและลับหลังคน ไม่ว่าในสถานที่ใดทั้งหมดขึ้นชื่อว่าความชั่วไม่ทำ

**๒.โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่ว จะให้ผลเป็นทุกข์**

"เทวะ" แปลว่า ผู้ประเสริฐ คนที่จะเป็นเทวดาได้ต้องมีคุณธรรม ๒ ประการคือ หิริ และโอตตัปปะ

ฉะนั้นการนึกถึงเทวดาโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ได้มโนมยิทธิ ก็มักจะเอาจิตไปจดจ่อกับ**แม่ศรี บ้าง ท่านย่า** บ้าง อย่าลืมว่าทั้ง ๒ ท่านเป็นพระอริยเจ้า

**แม่ศรีนี่ ท่านอยู่นิพพานแล้วนะ ท่านย่าก็เป็นพระอริยะขั้นอรหัตมรรค** ใกล้จะถึงผลแล้ว ทั้งสองท่านนี่ต้องถือว่าเป็น [#วิสุทธิเทพ](https://www.facebook.com/hashtag/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E?__eep__=6&__cft__%5B0%5D=AZV0e0IukAVfDOFlzAjmx5VMzgRl2ut3qoA1BOs6wyijv-vEhA8G66Aa5QWfeW2EmxXfign74NNU8zigHdTxBOyCzir2yTsETl5oFqcGG_DiBNhgv31nuPmN_6_AFstxJ86_ZoPyw31vSATaLTUnDIDYud1YODCJ22PAeac1vCB95cU9UvXhOdlafuSQpOp5Uk6u_8clxRIdi0vyTBgcmhMu&__tn__=%2ANK-y-R) เทวดาชั้นสูงสุด ในเมื่อเรานึกถึงท่านแล้วก็อย่านึกถึงท่านอย่างเดียว นึกถึงความดีของท่านว่า ท่านทั้งสองก่อนจะตายจากความเป็นคน เป็นเทวดาเพราะอะไรเป็นเหตุ

ทีนี้ท่านทั้งสองก็ต้องมี หิริ ความละอายความชั่ว สอง โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่ว ให้ผลในด้านความทุกข์ ทั้งสองท่านนี่เป็นพระอริยเจ้าทั้งหมด ท่านหนึ่งไปถึงนิพพานแล้ว อีกท่านหนึ่งถ้าไม่ห่วงลูกห่วงหลานก็ไปถึงนิพพานแล้วเหมือนกัน

**ที่กักตัวไว้ก็เพียงแต่ว่า รอรับลูกรับหลานเท่านั้นเอง**บางคนอาจจะวาดภาพว่าท่านสร้างความดีไว้มาก บาปอกุศลท่านไม่สร้างเลย อันนี้ผิด

**ทั้งสองท่านนี้เป็นนักรบทุกชาติ นักรบนี่เขาไม่ถือขนมไปรบนะ**สมัยก่อนเขาใช้หอกกันต้องรบราฆ่าฟันกันทุกชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านย่านี่เป็นจอมทัพเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถมาก ฉะนั้น การรบก็ต้องฆ่าคน แต่ว่าเมื่อการรบเสร็จไปแล้ว หรือก่อนรบ ก่อนรบนี่เป็นนักบุญ ยามสงครามก็ต้องเป็นนักรบ เลิกรบแล้วก็เป็นนักบุญ

ในเมื่อยามปกติเป็นอย่างนี้ ทั้งสองท่านนี่ไปติดอยู่ที่ดาวดึงส์ทั้งคู่ แล้วก็บำเพ็ญบารมีต่อ ท่านหนึ่งก็ไปนิพพานแล้ว อีกท่านหนึ่งก็เตรียมการไปนิพพาน **ก็ต้องดูว่า ก่อนที่ท่านตาย ท่านไปสวรรค์กันยังไง**

**ทั้ง ๒ ท่าน ก่อนจะตายจิตท่านนึกถึงบุญกุศลก่อนแล้วก็ตาย ฉะนั้นจึงไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้**

เมื่อการไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ คำว่า"สาวก" นี่มีกำลังต่อบารมีบนสวรรค์ บนพรหมโลกได้

ฉะนั้น การที่ท่านเป็นเทวดาก็มีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้า ได้พบพระอรหันต์ เมื่อฟังเทศน์จากพระอรหันต์ก็ดี เทวดา กับพรหม มีแต่ความสุข เมื่อไม่มีกังวล จิตก็ตัดกิเลสได้ง่ายเพียงฟังเทศน์จบเดียวเป็นพระโสดาบัน เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วการบำเพ็ญบารมีต่อเป็นของไม่ยาก

ฉะนั้นทั้ง ๒ ท่านเวลานี้เป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงคือเป็นพระอรหัตผลไปนิพพานได้แล้วหนึ่ง กำลังเป็นอรหัตมรรค กำลังพร้อมที่จะไปนิพพานหนึ่ง ฉะนั้น [#เทวตานุสสติ]

พิมพ์เพื่อธรรมทานโดย..

🖋..Moddam Thammawong

หลวงปู่แหวน เล่าถึงการบำเพ็ญภาวนา

#หลวงปู่แหวน สุจิณโณ


🍀หลวงปู่เล่าถึงการบำเพ็ญภาวนาอยู่ในสถานที่มีอันตราย เช่นมีสัตว์ มีเสือ มีช้าง มีหมี หรืองู อยู่ใกล้ๆว่า ในสถานที่เช่นนั้นแหละ สติมันตื่นอยู่ทุกเมื่อ

ที่ว่าสติมันตื่น เพราะมันกลัวอาจารย์เสือ อาจารย์ช้าง อาจารย์งู อาจารย์หมี จะมาทำอันตราย มันจึงตื่นตัวอยู่เสมอ

🍀หลวงปู่บอกว่า คำว่า ตื่น ในที่นี้ มิได้หมายความว่าตื่นกลัวแบบกลัวสัตว์ กลัวเสือ มันจะมาทำ อันตรายเอา แต่ความหมายว่า ตื่นอยู่ด้วยธรรม

เช่น เราเจริญธรรมะข้อ มรณานุสสติ จิตมันจะค้นคิดหาอุบายทางปัญญา อยู่เฉพาะเรื่องนั้นๆ ไม่ส่งออกไปรับอารมณ์ภายนอกอย่างอยู่ในที่ธรรมดาทั่วไป

เวลาจิตสงบ เมื่ออยู่ในสถานที่มีอันตราย ความสงบจะตั้งอยู่ได้นาน อุบายการพิจารณาก็แยบคาย

แม้ขณะเดินจงกรม เวลาจิตรวมก็สามารถยืนอยู่ได้โดยไม่ล้มหรือซวนเซ อยู่ได้นาน เท่าที่จิตจะถอนออกจากสมาธิ

🍀เพราะเหตุนั้น จิตในสภาพเช่นนี้ จึงองอาจกล้าหาญ มีกำลัง มีอำนาจคุ้มครองตัวเองได้

แม้เวลาน้อมจิตแผ่เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย จึงมีอำนาจโน้มน้าวจิตของสัตว์ให้เกิดมีความเมตตาต่อกันและกันได้

แนวคิดและความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์โลก..ต่อพระพุทธศาสนา

🌿🌎🌿 ตัวอย่างมุมมองของนักวิทยาศาสตร์..ต่อพระพุทธศาสนา
🔹" อุปสรรคแห่งการหลุดพ้นคือ 'อวิชชา' ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า 'ปิศาจที่ชั่วร้าย' เป็นอุปสรรคที่เกิดจากความโง่ของมนุษย์เอง "
• Nikola Tesla - บิดาแห่งกระแสไฟฟ้าสลับ

🔹" ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา หลักปรัชญาและกฏแห่งกรรม ทิ้งห่างศาสนาอื่นอย่างห่างไกล "
• Carl Jung - บิดาแห่งจิตวิทยาการวิเคราะห์

🔹" พุทธศาสนาเป็นเพียงศาสนาเดียวที่ปราศจากการเบียดเบียน การเข่นฆ่า หรือทารุณ จึงยิ่งใหญ่ที่สุด "
• Aldous Huxley - บิดาแห่งนักคิดยุคใหม่

🔹" หลักการทางศีลธรรมของพระพุทธเจ้าสมบูรณ์แบบที่สุด เท่าที่ชาวโลกเคยมีมา "
• Max Muller - บิดาแห่งประวัติศาสตร์ศาสนา

🔹" พุทธศาสนาสร้างความก้าวหน้าทางอารยธรรมที่แท้จริงให้แก่โลก และเหนือกว่าสิ่งใด ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ "
• H. G. Wells - บิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์

🔹" พุทธศาสนามีความยิ่งใหญ่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของอภิปรัชญาประยุกต์ "
• Alfred North Whitehead - บิดาแห่งอภิปรัชญา

🔹" พุทธศาสนามีวิธีการเข้าถึงความจริง ที่แตกต่างจากวิทยาศาสตร์ แต่เป็นวิธีที่ได้ผล "
• Jean Piaget - บิดาแห่งจิตวิทยาเด็ก

🔹" พระพุทธเจ้าได้ให้คำตอบเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายไว้แล้ว แต่ไม่อาจทำความเข้าใจได้ด้วยวิทยาศาสตร์ "
• J. Robert Oppenheimer - บิดาแห่งระเบิดปรณู

🔹" ถ้าเราต้องการจะเข้าใจเรื่องสติ-สัมปชัญญะของมนุษย์ เราต้องก้าวข้ามการหมกมุ่นอยู่กับเรื่องการทำงานของสมอง เพราะสติไม่ได้มาจากที่นั่น "
• Roger Penrose - นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลปี 2020

🔹" การค้นพบกลศาสตร์ควอนตัม และทฤษฎีสัมพันธภาพ ทำให้เกิดทางเลือกไปสู่จุดหมายได้ 2 ทาง ทางหนึ่งคือ เข้าหาพระพุทธเจ้า หรืออีกทางคือ เข้าหาระเบิด และขึ้นอยู่กับพวกเราเอง ว่าจะเลือกเดินทางไหน "
• Fritjof Carpa - ผู้เขียน เต๋าแห่งฟิสิกส์

🔹" ถ้าวิทยาศาสตร์เห็นว่าเรื่องของจิตไม่มีอยู่จริง กลศาสตร์ควอนตัมจะเข้ามาช่วยอธิบาย "
• Brian Josephson - นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลผู้ได้รับการยอมรับว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจเรื่องตัวนำยิ่งยวดและอุโมงควอนตัมมากที่สุดในโลก

🔹" เมื่อคนเราเสียชีวิตลง ความรู้สึก(เจตสิก52) สามารถข้ามไปเก็บไว้ที่มิติอื่นของจักรวาลได้(ในรูปของกรรม) " 
• Kip Stephen Thorne - นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลปี 2017 ผู้ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้หนึ่งที่เข้าใจทฤษฎีสัมพัทธภาพมากที่สุดในโลก

🔹" พุทธศาสนาเป็นการรวมกันของปรัชญากับวิทยาศาสตร์ พุทธอธิบายถึงเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ " 
" พุทธศาสนาจะเป็นศาสตร์ที่รับช่วงต่อ เพื่อค้นหาความจริง ในสิ่งที่วิทยาศาตร์ทำไม่ได้ "
• Bertrand Russell บิดาแห่งตรรกศาสตร์

🔹" ในทัศนะของข้าพเจ้า เป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ ที่จะต้องช่วยกันรักษาศาสนาแห่งจักรวาล(พุทธศาสนา)นี้ให้คงอยู่ "
• Albert Einstein อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ - ทฤษฎีสัมพันธภาพ, ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก, การเคลื่อนที่ของบราวน์, สมการสนาม, ทฤษฎีแรงเอกภาพ ฯลฯ - เจ้าของรางวัลโนเบลปี 1921 ผู้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

🔹" ถ้าเราอยากเข้าใจเรื่องอะตอมให้มากขึ้น เราจะต้องพยายามทำความเข้าใจเรื่อง 'ปัญญาทางญาณวิทยา' แบบที่นักปราชญ์อย่างพระพุทธเจ้าได้เผชิญมาแล้ว "
• Niels Bohr - เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ผู้ค้นพบโครงสร้างอะตอม

🔹" พระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งในบรรดาอัจฉริยะมนุษย์ทางศีลธรรมผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา "
• Albert Schweitzer - นักฟิสิกส์ นักมนุษยวิทยา นักปรัชญา นักศาสนศาสตร์ เจ้าของรางวัลโนเบลปี 1952

🔹" พุทธศาสนา..มีสภาวะที่เรียกว่า Cosmic Religious feeling อย่างเข้มข้น หรือแรงกล้ามาก "
" คุณค่าอันแท้จริงของการเป็นมนุษย์ สามารถพบได้ตามระดับที่เขาสามารถหลุดพ้นจากตัวตน(ego) "
" สำหรับผมแล้ว ความอ่อนแอของมนุษย์สร้างพระเจ้าขึ้นมา ส่วนคัมภีร์ไบเบิลนั้นเป็นหนังสือรวมเรื่องราวอันน่ามหัศจรรย์ แต่ก็เป็นเพียงตำนานซึ่งออกจะเหมือนนิทานหลอกเด็กมากกว่า แม้แต่ศาสนายิวก็เหมือนกับศาสนาอื่น ๆ ที่มีความเชื่อแนวผี เทวดา และโชคชะตาอันเหลวไหลไร้สาระ "
• Albert Einstein - นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

.
🍂 ที่มา :: หนังสือ ศาสนาแห่งจักรวาล
โดยทันตแพทย์สม สุจิรา

23 เมษายน 2566

การภาวนาสม่ำเสมอ เส้นทางของคนจริง

เส้นทางของคนจริง
"การภาวนาต้องทำสม่ำเสมอ 
ทำบ้างหยุดบ้าง ไม่ได้ผลหรอก 
เราหยุดเมื่อไร กิเลสก็ลากเราลงต่ำไป 
กว่าจะดิ้นรนกลับขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง มันใช้แรงเยอะ 
ถ้าทำแล้วก็หยุดๆ มันก็อยู่ตรงนั้น 
หรือไม่ก็นานๆ ก็หมดกำลังที่จะปฏิบัติ 
มันต้องอดทนจริงๆ ตัดสินใจให้เด็ดขาดลงไปเลย 
จะปฏิบัติ ไม่ใช่ทำเล่นๆ 
ถ้าเราทำถูกแล้วก็ทำสม่ำเสมอ 
มันจะมีพัฒนาการที่มองเห็นได้ด้วยตัวเอง 

เส้นทางนี้ไม่ได้ยาก 
แต่เส้นทางนี้เป็นเส้นทางของคนจริง 
หมายถึงคนที่เข้มแข็ง 
เอาจริงเอาจังในการที่จะเรียนรู้ตัวเอง 
เราทำกรรมฐานที่ดีถูกต้อง เราก็ได้รับผล 
ได้รับผลเป็นความร่มเย็นในจิตใจ 
การที่เราเจริญศีล สมาธิ ปัญญา 
นี่เรียกเราเจริญเหตุที่เป็นตัวมรรค 
ผลคือความพ้นทุกข์ มันก็จะมาถึงในวันหนึ่ง" 

ที่มา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
9 เมษายน 2566


19 เมษายน 2566

อารมณ์ของณาน

ณาน 1 2 3 จิตยังสัมผัสถึงกายและลมหายใจ
ฌาน 1 เกิด วิตก (ความคิดตรึกตรอง) วิจารย์ (ความคิดใคร่ครวญ) ปีติ (กาย) สุข (กาย) เอกัคตา (จิต)
ฌาน 2 เกิด ปีติ (กาย) สุข (กาย) เอกัคตา (จิต)
ฌาน 3 เกิด สุข (กาย) เอกัคตา (จิต)

ฌาน 4 จิตตัดแยกจากกายและลมหายใจ

ฌาน 4 เกิด เอกัคตา (จิต) และอุเบกขา (จิต) 

เมื่อถึง ฌาน 4 จิตแยกจากกาย จะเกิดปัญญาว่า ความคิด ความสุข ทุกข์ เวทนา ล้วนเกิดที่กาย 
จิตเป็นเพียงสภาวะรู้ และอุเบกขา ไม่สุข ไม่ทุกข์

18 เมษายน 2566

ขั้นตอนการปฏิบัติเข้าสู่ทางนิพพาน

1) ให้ตั้งสัจจะบารมีว่า เราจะรักษาศีล 5 ให้เป็นปกติทุก ๆ วัน นับต่อจากนี้ - ศีลบารมี ศีล จะเป็นตัวควบคุมกาย และ วาจาของเรา

2) สร้างสมาธิบารมี โดยการปฏิบัติกรรมฐานทุกวัน สมาธิ จะเป็นตัวควบคุมจิต และใจของเราจากกิเลสต่าง ๆ ถ้าสมาธิดี สติจะเกิด และมีกําลังมากขึ้น ปัญญาจะเกิดตามมา เมื่อกิเลสมากระทบ ก็จะเห็นสัจธรรมของไตรลักษณ์ ทุกสิ่งมีเกิด ตั้งอยู่และดับไป ไม่มีสิ่งใดอยู่คงทนถาวร แล้วสติจะทําให้จิตเราปล่อยวางจากกิเลสต่าง ๆ ที่มากระทบได้เอง จิตก็เข้าสู่ภาวะอุเบกขา เข้าสู่ความสงบต่อไป

ใช้สติ ให้เห็นอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตของเรา กรรมฐานที่ใช้เจริญสติ : สติปัฏฐาน 4, กาย 32, มรณานุสติ

~ ขั้นตอนการปฏิบัติเข้าสู่ทางนิพพาน

1. แยกกาย จิต เวทนา ว่ามันเป็นคนละส่วนกัน

2. ใช้จิตพิจารณากายในกายบ่อย ๆ จะสามารถปล่อยวางจิตจากกายหยาบที่ยึดมั่นอยู่ได้

3. สติพิจารณาเห็นกายเป็นขันธ์ 5 มีการแตกดับ เห็นจิตไม่ใช่กาย และกายไม่ใช่จิต แยกกันชัดเจน จะเข้าสู่ขั้นโสดาบัน

4. สติมีกําลังมากขึ้น และละเอียดขึ้น ถ้ายังคงรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์และคงสมาธิไว้ได้ดี จะสามารถเข้าสู่ระดับ พระสกิทาคามีผล
- ละความโลภ ด้วยการปล่อยวางได้
- ละความโกรธด้วยจิตที่มีเมตตากรุณาได้
- ละจากกามได้ ด้วยการปฏิบัติอศุภกรรมฐาน
พิจารณากายในกาย เป็นของไม่สวยงาม เพื่อละจากกามได้ (พิจารณากายในกาม)

5. เริ่มรักษาศีล 8 เพื่อเพิ่มกําลังสติให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น ความโลภ โกรธ ความไม่พอใจ จะถูกละจากจิตได้ง่ายขึ้น สติคงตัว เห็นกิเลสเกิดขึ้นและดับลงได้เร็วขึ้น

6. สติ จะไปพิจารณากายในกายที่ละเอียดมากขึ้น ปฏิบัติกรรมฐาน อสุภกรรมฐาน ธาตุกรรมฐาน เพื่อให้จิตเข้าสู่ความว่างบ่อย ๆ ขึ้น จิตจะเห็นกายในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตว่ามันไม่เที่ยง ทั้งของตนเอง ผู้อื่นและทุกสิ่งในโลกนี้เข้าสู่ พระอนาคามีผล จะดับความโลภ โกรธ กาม สิ้นออกจากใจได้

7. จิตจะเดินทางเข้าสู่ความเงียบ ความสุขเกิดขึ้น แต่จิตจะไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด ๆ จิตเริ่มปล่อยวางจากกายของตนเอง กายของผู้อื่นและวัตถุต่าง ๆ ในโลกนี้

แต่จิตยังมีความหลงในจิตปัจจุบันว่าเป็นตัวจิตอยู่ เป็นอวิชชาในส่วนที่ละเอียด

คือ จิตเป็นกิเลสทั้งก้อนเลย จิตกับอวิชชาเป็นสิ่งเดียวกัน แยกกันไม่ได้เลย เป็นจิตสะอาด แต่ไม่บริสุทธิ์

8. ต้องแยกกาย และจิตออกจากเวทนา สังขาร วิญญาณ สัญญา (ขันธ์ 5) ด้วยสติที่ละเอียดมาก ๆ ขึ้นเท่านั้น สติที่ละเอียดถึงจะทําลายอวิชชาที่ละเอียดออกได้

9. จิตเข้าสู่ภาวะธรรมธาตุ สะอาด และ บริสุทธิ์ แยกจิตจาก ขันธ์ 5 ได้ว่าจิตนี้ไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสังขาร ไม่มี สัญญา ไม่มีวิญญาณ สติอัตโนมัติ จะทำลายกิเลสเองทั้งหมดโดยสิ้นเชิง เข้าใจอริยสัจ 4 แท้จริง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค จึงจะเข้าสู้ภาวะนิพพานในที่สุด

หลวงพ่ออัครเดช(ตั๋น) ถิรจิตโต
วัดบุญญาวาส อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี
๒๖ มีนาคม ๒๕๕๕

วิสังขาร

สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเรียกว่าสังขาร 
มีเหตุแล้วก็เกิดขึ้นมาเรียกว่าสังขาร 
สังขารมีทั้งรูปธรรม 
อย่างร่างกายเราก็เป็นสังขารอย่างหนึ่ง 
ความรู้สึกนึกคิดจิตใจก็เป็นสังขารอีกอย่างหนึ่ง 
เกิดแล้วก็ดับ ๆ มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ 
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไป 
สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ คือมันทนอยู่ตลอดไปไม่ได้ 
มันถูกบีบคั้นให้แตกสลายอยู่ตลอดเวลา 

มีสิ่งที่ไม่ใช่สังขาร วิสังขาร 
วิสังขารคือพระนิพพาน พระนิพพานไม่มีการเกิดขึ้น 
ฉะนั้นพระนิพพานไม่มีการดับไป ไม่ใช่สังขาร 
เราเรียนสังขารนี้ให้ดี พอเรียนสังขารได้ดีแล้ว 
วันหนึ่งเราจะเห็นวิสังขาร สิ่งที่เหนือการเกิดดับ 
ส่วนธาตุขันธ์อะไรนี่มันเป็นสังขาร 
อย่างไรก็เกิดดับ มีได้เสื่อมได้ 

ถ้าเราภาวนาจิตมันถึงวิสังขาร มันคล้าย ๆ 
ครูบาอาจารย์สมัยโบราณท่านเปรียบ 
เหมือนเราเคี่ยวกะทิ 
เคี่ยวจนกระทั่งมันเป็นน้ำมันขึ้นมา แยกชั้นออกมา 
น้ำมันก็ไม่กลับเข้าไปรวมกับน้ำกะทิที่เหลือแล้ว 
ฉะนั้นจิตที่มันเรียนรู้สังขารแจ่มแจ้ง 
มันจะถอดถอนตัวเองขึ้นเหนือสังขารเป็นวิสังขาร 
เมื่อจิตมันเข้าถึงวิสังขาร 
มันจะไม่กลับเข้าไปรวมกับสังขารอีก 
ส่วนสังขารก็แก่ไป เจ็บไป ตายไป 
เป็นธรรมชาติธรรมดา 

สิ่งเหล่านี้พวกเราต้องค่อย ๆ ภาวนาไป 
พากเพียรไป ตั้งใจให้เด็ดเดี่ยว ทุกวัน ๆ 
เตือนตัวเองชีวิตของเราสั้นนิดเดียว จะอยู่ได้อีกสักกี่ปีก็ไม่รู้ 
ก่อนจะตายต้องหาสิ่งที่ดีที่สุด ให้ติดเนื้อติดตัวเราไป 
ไม่เคยรักษาศีลก็รักษาเสีย ไม่เคยฝึกสมาธิก็ฝึกเสีย 
ไม่เคยทำวิปัสสนาก็ทำเสีย 
ค่อย ๆ พัฒนาตัวเองขึ้นไปเป็นลำดับ ๆ จนเกิดปัญญา 
ปัญญาขั้นต้นก็จะเห็นว่า 'สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ' 
ปัญญาขั้นกลางก็จะเห็น 'รูปทั้งหลายนั้นคือตัวทุกข์'
ปัญญาขั้นสูงก็จะเห็น 'นามทั้งหลายนั้นเป็นตัวทุกข์' 
พ้นจากรูปพ้นจากนามไป ก็จะไปรู้จักวิสังขาร

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
21 พฤษภาคม 2565

ทานที่ไม่เป็นบุญ

ทานที่ไม่เป็นบุญ แต่ชาวโลกสมมุติว่าเป็นบุญมี ๕ ประการได้แก่
๑. ให้น้ำเมาเป็นทาน
๒. ให้มหรสพเป็นทาน
๓. ให้วัวตัวผู้เป็นทาน (ฆ่าสัตว์)
๔. ให้ผู้หญิงเป็นทาน
๕. ให้รูปภาพเป็นทาน (รูปโป๊ วาบหวิว)
บุญที่ไม่ต้องทานมี ๕ ประการ (ศีล ๕)
๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์
๒. เว้นจากการลักทรัพย์
๓. เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
๔. เว้นจากการพูดปดมดเท็จ ส่อเสียด หยาบคาย
๕. เว้นจากการดื่มสุราเมรัย

หลวงพ่อสมภพ โชติปัญโญ
วัดไตรสิกขาทลามลตาราม อ.คำตากล้า จ.สกลนคร

นางห้าม

# นางห้าม
นางห้าม .สตรีที่น่าสงสาร สตรีที่ถูกทำร้าย.ทั้งกายและจิตใจ.เยื่ยงสัตว์
เริ่มจาก.ความเชื่อของกษัตริย์ขอม.เมื่อ 2000 กว่าปี..ว่าตนเองมาจากเทพ..เมื่อชอบพอ.สตรีนางใด..ทั้งในอาณาจักร นอกอาณาจักร..ทั้งถวายมา.ทั้งเชลยศีก.กวาดต้อนมา.เป็น.1000 กว่านาง

.สตรีเหล่านั้.จะถูกปลดเปลื้องผ้าสไบออก..เห็นเนินอกและปทุมถัน(นม)..อยู่แบบนั้น.เรียก"นางห้าม"

 ถ้าขัดขืนจะถูกลงโทษทัณฑ์มหาโหด

-ใช้ช้างกระทืบกลางหน้าอกจนตาย

-ตัดลำตัวให้ขาดเป็นสองท่อน

-โยนลงบ่อจระเข้

-ต้มในน้ำเดือดจนตาย

-ใช้สิ่วตอกเพื่อเปิดกระโหลกให้แร้งกา จิกกินสมอง

-กรีดเนื้อเอาเกลือทาจนตาย

-เฉือนเนื้อและให้กินเนื้อจนกว่าจะตาย

-ใช้สิ่วตอกอวัยวะเพศให้ทะลุมดลูกจนตาย

-โยนเข้ากองไฟในขณะมีชีวิต

-ใช้ไม้ไผ่แหลมขนาดเท่าแขน สวนทวารหนักให้ทะลุปาก

.** เมื่อกษัตริย์เบื่อ .จะเอามีดสลักตรงหน้าผาก..นางห้าม.จะกลายเป็น.นางกองกลาง..นางสาธารณะ..ให้ทุกชนชั้น.ทั้งไพร่.เลว.ดี..เอาไปบำบัดความใคร่.เป็น."นางทาสกามารมย์"..

** ยังโหดไม่พอ..เมื่อนางห้ามตายลง..พราหมณ์เจ้าพิธีกรรมจะทำการจองจำสะกดวิญญาณนางห้าม..เพื่อรับใช้.เป็นทาสวิญญานของกษัตริย์ไปชั่วกาลปาวสาน

..สะกดวิญญาน.ไว้ที่รูปสลัก"นางอัปสรา "ตามปราสาทหินต่างๆนั่นเอง

..วันดีคืนดี วืญญาณนางอัปสรา.จะมาร่ายรำ..ด้วยความเศร้า..รำอยู่เช่นนั้น.นานแสนนาน

..ท่านใดไปเห็น.รูปปั้นนางอัปสรา.ในประสาทหินที่ไหน.โปรดแผ่เมตตา.ปรับภพภูมิ.ให้เธอด้วย..

..รู้สึกเศร้า.ในชะตากรรม..ที่มนุษย์.ทำกับมนุษย์ด้วยกัน..ขอคารวะต่อดวงวิญญาน.นางห้าม.ทุกดวง


Cr. มโนธาตุ โพธิญาณ

17 เมษายน 2566

กราบเป็น เห็น พระพุทธเจ้า

กราบเป็น เห็น พระพุทธเจ้า 
กราบไม่เป็น เห็นแต่ พระพุทธรูป
คุณยาย อุ่ม อายุ 73 ปี วันนี้ยังแข็งแรงสามารถปั่นจักรยานไปซื้อของที่ตลาดได้ แต่ที่เป็นความภาคภูมิใจของลูกหลานก็คือ 
คุณยายเป็นผู้มั่นคงในศาสนา เข้าวัดฟังธรรม มาตั้งแต่อายุ 7- 8 ขวบ 
มีพระรัตนตรัยแนบสนิทในหัวใจตลอดช่วงชีวิต แม้ฐานะความเป็นอยู่จะไม่หรูหราเหมือนชาวบ้านเขา แต่คุณยายก็มีอริยทรัพย์ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นเหตุปัจจัยทำให้หัวใจของคุณยายล้นปริ่มด้วยความสุขสงบ 

หลวงปู่เจ้าอาวาสวัดป่า เคยเอ่ยถึง คุณยายอุ่ม ท่ามกลางญาติโยมที่ไปทำบุญว่า คุณยายคืออุบาสิกา 

"ผู้จะไม่กลับมาเกิดอีก"

ช่วงเย็นของวันอาทิตย์ คุณยายพร้อมกับหลานชายวัย 16 และหลานสาววัย 14 ไปไหว้พระสวดมนต์ที่วัดซึ่งวัดป่าแห่งนั้นอยู่ห่างจากบ้านระยะทางหนึ่งกิโลเมตรพอดี ถนนลูกรังเส้นนี้ ยายกับหลานเดินกันจนชิน

5 โมงเย็น บนศาลาโรงธรรมเงียบกริบ ไร้ผู้คน จะมีก็แต่เสียงตุ๊กแกร้องเพรียกคู่อยู่บนซอกหลังคา
พระประธานหล่อจากทองเหลือง หน้าตักกว้าง 3 ศอก นั่งสงบบนฐานสูง หลังจุดเทียน จุดธูป ยายกับหลานสาวนั่งท่าเทพธิดา ส่วนหลานชายท่าเทพบุตร ก่อนจะไหว้พระสวดมนต์ คุณยายเอ่ยชื่อหลายสาวด้วยเสียงเรียบ ๆ 

“ อั๋น ลองทบทวนให้ยายฟังหน่อย ที่ว่า กราบเป็น แล้วจะเห็นพระพุทธเจ้านั้น กราบยังไง นะ”

เด็กสาว อมยิ้ม ดวงตาฉายฉานอย่างมั่นใจ 

“ ก้อ ขั้นแรก เราต้องตื่นรู้ ด้วยสัมปชัญญะก่อน 
แล้วก็พนมมือขึ้นกลางหว่างอกทำอัญชลี แล้วยกขึ้นทำวันทา โดยนิ้วหัวแม่มือจรดหว่างคิ้ว จากนั้นจึงค่อย ๆ ก้มศีรษะลงทำอภิวาทโดยแบมือ สองข้างลงราบพื้น มือห่างกันเล็กน้อย พอที่จะให้หน้าผากแตะพื้นได้ ขณะที่ข้อศอกสองข้างแนบชิดกับขา ”

“พอแค่นั้นก่อนลูก” เสียงยายดังขึ้นขัดจังหวะ 

“ 
ให้อ้น ช่วยอธิบายต่อว่า เห็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร “ 

“ ครับ พอเรามีสัมปชัญญะ รู้สึกตัวทั่วพร้อม เราจะรู้ได้ด้วยตนเองว่า กาย วาจา ของเรา ไม่ได้เบียดเบียนใคร นั่นหมายถึง เรามี "ศีล" แล้ว 

ขณะที่เราก้มลงกราบ จิตเราจดจ่อตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว ไม่ได้แส่ส่าย หรือ วอกแวกไปไหน 
นั่นมี "สมาธิ" แล้ว เพราะสมาธิหมายถึง จิตที่ตั้งมั่นในอารมณ์เดียว

ขณะกำลังก้มศีรษะอยู่นั้น สติเข้ามาดูที่จิต เห็นจิตสะอาดไม่มีกิเลสใด จรเข้ามา ทำให้สกปรก เศร้าหมอง ขณะเดียวกัน จิตนั้นก็สว่างจ้าด้วยปัญญา รู้ว่าจิตว่าง จากอกุศลทั้งปวง การรู้ว่าจิตว่างนั่นแหละ คือปัญญา 

และเมื่อบาปอกุศลไม่ปรุงแต่ง จิตก็สงบ

สรุปว่า ถ้าเราเข้าใจถูกต้องแล้ว ขณะกราบพระ เราสามารถจะมีได้ทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา”

คุณยาย หันมามองหน้าหลานสาว เหมือนจะบอกว่าช่วยพูดต่อให้จบ 

อั๋น เข้าใจการสื่อความหมายของยาย เธอ ทำหน้ายิ้ม ก่อนเอ่ยขึ้น 

“ เมื่อเรามี ศีล สมาธิ ปัญญา จิตเราก็จะเข้าถึง ความสะอาด สว่าง สงบ 
เวลาใดจิต สะอาด สว่าง สงบ เราก็จะได้พบพระพุทธเจ้า”

“นั่นแหละ ถูกต้องแล้ว” 
คุณยายหันมาทางหลานทั้งสอง ก่อนจะกล่าวสรุป

” พระพุทธเจ้าที่แท้จริง เป็น สภาวธรรม 
ไม่ใช่ตัวบุคคล ไม่ใช่ พระพุทธรูป แต่เป็นความสะอาด สว่าง สงบ ซึ่งเราจะพบได้ที่ ใจ 

ไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ที่ไหน แม้แต่ ขณะกราบพระ เราก็พบ พระพุทธเจ้า ได้

ถ้ากราบเป็น เราจะเห็น พระพุทธเจ้า 
ถ้ากราบไม่เป็นเราก็จะเห็นแต่ พระพุทธรูป”

พระคาถาธงชัยมหาเศรษฐี

หลวงปู่ใหญ่แถลงไข  #ธงชัยมหาเศรษฐี
ลูกหลานคนไหน ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต อาชีพการงาน โชคลาภ   จงนำไปปฏิบัติให้บังเกิดทิพยอำนาจแก่ตน  นะลูกหลานเอ๊ย๚.....

#ภาคธรรม
มหาสติปัฏฐาน 4 , อิทธิบาท 4  สัมมาอาชีวะ  องค์ธรรมทั้งสามหมวดนี้เป็นรากฐานสำคัญที่ลูกหลานจักต้องศึกษาและปฏิบัติให้ลึกซึ้งดื่มด่ำยิ่งขึ้น 

จากนั้นคือ กำหนดจิตให้เป็น เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา โปร่งโล่ง เบาสบาย แล้วแผ่จิตอันงามล้ำนี้ไปทั่วทุกทิศานุทิศ ทั่วทุกสัตว์ บุคคล ทุกสิ่งทุกประการ

ถึงใจเรามีทุกข์อยู่แต่เดิม จะมากจะน้อยเพียงใด ต้องสลายทุกข์นั้นให้เหลือเบาบางที่สุด  ซึ่งก็ใช้หลักมหาสติปัฏฐานนั่นเองเป็นเครื่องมือสลาย   

อากัปกิริยาต้องไม่สำแดงความหม่นหมอง ความหวาดหวั่น ความกร้าวกระด้าง ออกมาเลย  

สิ่งที่แสดงออกนั้นต้องเป็น #โสรัจจะ คือ ความสงบเสงี่ยม แช่มช้อย เยือกเย็น ความสุภาพยิ้มแย้มแจ่มใส ความเอาใจใส่ต่อสัตว์บุคคลที่เราสัมผัสสัมพันธ์อยู่ด้วยเสมอ อย่างจริงใจ

#ภาคทิพย์
จากนั้น กระทำภาวนาภาคจิตให้เป็นทิพย์ โดยน้อมรำลึกหลวงปู่ใหญ่ แล้วว่าพระคาถาอันเป็น "ธงชัยมหาเศรษฐี" ดังต่อไปนี้.......

"ว่า นะโม 3 จบ

โลกุตตโร จะ มหาเถโร เมตตาลาโภนะโสมิยะ อะระหังพุทโธ จัตตาโร สติปัฏฐานา จัตตาโร อิทธิปาทา สัมมาอาชีโว  (สวด 3 จบ)

มะณีจินดา ปิยังปัญจะธานัง ยะสังทาสา ทาสี โกมัง ปะสันติ เสน่หัง มาตาปุตตังวะโอระสัง สัพเพชะนา พะหูชะนา สัพเพปุริสา พะหูปุริสา สัพเพอิตถี พะหูอิตถี สารังเจนัง ภะวันตุ เม   (สวด 3 จบ)

เวทาสากุ กุสาทาเว ทายะสาตะ ตะสายะทา สาสาทิกุ กุทิสาสา กุตะกุภู ภูกุตะกุ  (สวด 3 จบ)"

ภาคธรรม กับ ภาคทิพย์ ต้องปฏิบัติควบคู่กัน ให้เข้าเนื้อเข้ากระดูก นะลูกหลานเอ๊ย  นี่แลจักเปลี่ยนแปลงดวงชะตาวาสนาชีวิตของลูกหลานทุกคนให้เฟื่องฟู จำเริญก้าวหน้า วัฒนาสถาพร ได้

ขอจำเริญพรประเสริฐทุกประการ  นะลูกหลานเอ๊ย๚
---------------
หลวงปู่เทพโลกอุดร.
หลวงปู่เทพโลกอุดร

เล่าประสบการณ์การปฏิบัติสมาธิ

เริ่มปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิครั้งแรกตอนอายุ10ขวบ นั่งอยู่ราว2-3วันก็ทำฌาน4ได้ อาจเพราะมีของเก่าติดมาและบวกกับเด็กยังมีจิตที่บริสุทธิ์ จึงทำฌานได้ง่าย เพราะพื้นจิตของเด็ก ยังไม่ได้สั่งสมกิเลสไว้มาก ยังไม่มีกามราคะ กิเลสอื่นๆก็ยังน้อย ความอยากก็น้อย ตอนนั่งก็ไม่คิดอะไรเลย เอาจิตจับพุทโธปกติ ไม่ไปสนใจเรื่องอื่น เน้นแค่ความสบายไม่ได้คิดอยากได้ฌานหรือไม่ได้ แต่จิตรวมเป็นฌานเอง ซึ่งตอนนั้นไม่รู้ว่าสภาวะนั้นคืออะไร รู้แค่ว่าเป็นสภาวะที่มีความสุขมาก สุขเหนือสุขทางโลก พอสมัยหลังโตขึ้น จึงมารู้ทีหลังว่านี่คือสภาวะของสมาธิในระดับฌาน ความสุขจากฌานนั้นสุขปราณีตมาก มีความสุขกว่าการมีเงินเป็นพันล้านแสนล้านเสียอีก ความสุขทางโลกที่ว่าสุขยังเทียบสุขจากฌานไม่ได้เลย

ที่ยกเรื่องนี้มาเพื่อให้ดูการวางอารมณ์ในการเข้าฌาน ว่าให้วางอารมณ์แบบเด็กที่บริสุทธิ์ คืออย่าไปทำด้วยความอยากจนเกินไป ให้เน้นอารมณ์พอดีสบายๆ อย่าให้มีกิเลสเกาะจิตได้ เหมือนกับเด็กที่บริสุทธิ์ ไม่ต้องไปคิดอะไร แค่อยู่กับลมหายใจเข้าออกหรือพุทโธ แค่นั้น ขณะที่อยู่กับการดูลมอยู่หรือพุทโธอยู่ ไม่สนสิ่งภายนอกอื่นๆ ขณะนั้นกามราคะก็ไม่มี พยาบาทก็ไม่มี ความฟุ้งซ่านก็ไม่มี ความง่วงก็ไม่มี ความอยากไม่อยากรวมทั้งความลังเลสงสัยใดๆก็ไม่มี เมื่อนิวรณ์ทั้ง5ไม่มี องค์ฌานก็ย่อมเกิดขึ้นมาเอง ไม่ยาก แต่ก่อนฌานจะเกิด นักปฏิบัติใหม่ๆจะต้องผ่านปิติก่อน เช่น เกิดความเย็นซาบซ่าน ขนลุกขนพอง ตัวสั่น ตัวโยก ตัวขยายใหญ่ขึ้น ตัวย่อเล็กลง เห็นแสงสว่าง น้ำตาไหล ตัวหมุน อื่นๆ ให้รู้ว่านี่คือปิติเป็นอาการที่จิตใกล้กำลังจะรวมไปสู่ความสงบในขั้นฌาน ถ้าเจออาการลักษณะแบบนี้หรือใดๆก็ตามให้วางเฉยไปเลย อย่าไปสนใจ อย่าตกใจ อย่าแปลกใจ ไม่งั้นสมาธิจะถอน ทำให้พลัดจากฌาน เมื่อพลัดจากฌานพอไปทำอีกอยากให้เกิดปิติ อันเป็นสภาวะความอิ่มเอิบทางใจแบบเดิมอีก แบบนี้จะยิ่งยากกว่าเดิม เพราะมีความอยากให้เกิดในสภาวะแบบเดิมนำ

อารมณ์ของฌานที่4
....อารมณ์ฌาน4นี้มักเป็นอารมณ์ที่นักปฏิบัติเข้าใจผิดมากที่สุด ส่วนมากแล้วมักหลงคิดว่าอารมณ์ของฌานที่1เป็นฌานที่4 สภาวะฌานที่4จริงๆจะมีแค่อารมณ์ของอุเบกขาและเอกัคคตาแค่นั้น หาได้มีวิตก วิจาร ปิติ สุขไม่ อารมณ์ของฌาน4จะเหนือสุขขึ้นไปอีก จิตจะเป็นอุเบกขและจะมีอารมณ์ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวไม่สอดส่าย สภาวะจิตที่อยู่ในฌาน4นี้จะมีอารมณ์ที่แน่นิ่งมาก 

....ถ้าปฏิบัติมาทางการดูลม จะมีลมหยาบ,กลาง,ละเอียด พอถึงฌานที่4ลมหายใจจะละเอียดมาก ละเอียดจนเหมือนลมหายใจหายไป ที่หายเพราะจิตละเอียด จนแยกสภาวะกายและจิตออกจากกัน จิตจะไม่สนใจอาการทางกาย จะมีแค่อารมณ์ที่เป็นอุเบกขาและอารมณ์ที่แน่นิ่ง

....ถ้าปฏิบัติโดยใช้คำบริกรรม คำบริกรรมจะหาย จิตจะวางคำบริกรรมโดยอัติโนมัติ จิตจะเข้าสู่ความเป็นกลางเป็นอุเบกขาและมีอารมณ์แน่นิ่งไม่สอดส่าย(แน่นิ่งมาก)

...ถ้าหากปฏิบัติมาทางกสิณ นิมิตกสิณจะเป็นประกายพรึก จะมีความเงาใส จิตจะตั้งมั่นเป็นอารมณ์หนึ่งอารมณ์เดียวและเป็นอุเบกขาจิต

(เสริมความรู้) นิมิตกสิณนี้แต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่างบางคนเพ่งกสิณไฟจากเทียน นิมิตกสิณแบบนี้จะเป็นลักษณะเหมือนเสาทองคำ มีลักษณะเป็นแท่ง บางคนเพ่งไฟโดยการเจาะรูเป็นวงกลม นิมิตกสิณก็จะเป็นดวงกลมๆ (คร่าวๆ)

เรื่องของฌานนี้คนที่ไม่เคยได้ฌานย่อมจะไม่ทราบวิสัยของผู้ได้ฌาน อย่างถ้าจะบอกว่าความสุขจากฌาน มีความสุขมากกว่าการมีเงินเป็นพันล้าน คนที่ไม่เคยได้ฌานก็คงจะไม่เชื่อ และไม่เข้าใจว่าเป็นความสุขแบบไหน ลักษณะอย่างไร เรื่องของฌานจึงเป็นอจินไตย เป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถเข้าใจได้ นอกเสียจากผู้นั้นจะได้ฌานเอง จึงจะรู้วิสัยของผู้ที่ได้ฌานว่าเป็นอย่างไร ความสุขในฌานมีความระเอียดปรานีตมาก โดยเฉพาะฌานขั้นสูงๆ ยิ่งมีความสุขระเอียดมาก ยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบพรรณา แม้จะมีเงินร้อยล้าน หรือแม้กระทั่งพันล้าน ก็สู้ความสุขสงบภายในจากอำนาจฌานไม่ได้เลย สุขจากฌานที่เป็นโลกียะยังขนาดนี้ แล้วสุขในโลกุตตระพระนิพพานจะขนาดไหน คงไม่ต้องพูดถึง เพราะคงไม่มีสิ่งใดที่จะพรรณาได้ อย่างกับคำว่านิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

การวางอารมณ์ขณะทำกรรมฐาน
....สำหรับบางท่านที่เคยปฏิบัติกรรมฐานจนได้พบความสุขสงบแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน พอมาปฏิบัติอีกก็ต้องการให้พบกับความสุขสงบแบบที่เคยเจอนั้นอีก แต่พอปฏิบัติไปก็ไม่พบความสุขสงบแบบนั้นอีก ด้วยเพราะไม่วางความอยากสงบ ในขณะทำกรรมฐานจึงต้องวางความอยากก่อน แม้กระทั่งความอยากสงบก็ให้วางไปก่อน เพราะความอยากนั้นเป็นกิเลส เป็นนิวรณ์ที่จะขวางไม่ให้จิตสงบ หากยังอยากสงบอยู่ ก็ยากที่จิตจะสงบ ทำจิตให้กลางๆ

เมื่อเกาไม่ถูกที่คัน วางกำลังใจไม่ถูกจุด จิตก็รวมเป็นสมาธิไม่ได้ จิตจะรวมเป็นสมาธิหรือไม่เป็นขึ้นอยู่กับการวางกำลังใจ ตั้งใจอยากสงบเกินไปก็ไม่สงบ หรือกำลังใจหย่อนเกินไปก็ไม่สงบ การทำสมาธิให้วางอารมณ์อยู่ในอารมณ์ที่พอดี คืออารมณ์ที่สบายๆ อุปมาเหมือนกับมือเรากำนก ถ้ากำแรงไปนกก็ตาย แต่ถ้าหากกำเบาไปหลวมไปนกก็บินหนี ต้องให้อารมณ์พอดี อย่าไปเครียด

ถ้าก่อนทำกรรมฐาน วางความยินดีในการเกิดออกไปได้ทั้งหมด คือไม่ยินดีในการเกิดใดๆอีก(ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรก็ตาม) โดยเห็นการเกิดเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ และจิตไม่อาลัยต่อชีวิตและความตาย(ทั้งต่อเวทนา,ทั้งต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย) วางโลกหรือเรื่องของโลกลงให้หมด (จิตไม่ติดกับสมุติใดๆในโลก,จิตไม่เกาะกับโลก) ถ้าทำได้แบบนี้จิตก็จะเกิดความสว่างเบิกบาน เกิดความสุขที่เยือกเย็นขึ้นในจิต

ก่อนจะนั่งทำกรรมฐาน ควรสำรวจความพร้อมของจิตตนเองเสียก่อน ว่าจิตเราพร้อมหรือไม่ในการยกสู่องค์กรรมฐาน อุปมาเหมือนจะสตาร์ทรถเพื่อออกเดินทาง ต้องสำรวจความพร้อมของรถก่อน การทำกรรมฐานก็ฉันนั้นเช่นกัน สำรวจจิตตน ทำจิตให้พร้อมกับการทำกรรมฐานเพื่อยกสู่องค์ภาวนา โดยไม่ให้จิตมีความอยากมากเกินไป การอยากให้เกิดสภาวะแบบนั้นแบบนี้ให้วางออกไป เพราะเป็นกิเลสจะขวางความสงบ สำรวจจิตตนเองว่ามีสิ่งกังวลหรือมีภาระที่ห่วงไหม ถ้ามีก็ให้วางออกไป โดยคิดว่าในขณะที่ทำไม่ว่าภาระหรือสิ่งกังวลใดเราจะวางออกไปชั่วขณะก่อน เพราะปลิโพธิกังวลจะขวางจิตไม่ให้เกิดสมาธิ จากนั้นวางเรื่องอดีตและอนาคตออกจากจิต ให้เอาจิตมาอยู่ที่ปัจจุบันขณะ รู้กายรู้ใจในปัจจุบันขณะ ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น ให้มีสติอยู่กับกายใจ จากนั้นก็เริ่มยกจิตสู่องค์กรรมฐาน ดำรงจิตให้มีสติอยู่เฉพาะหน้าในองค์ภาวนา

ในขณะทำกรรมฐาน ไม่ต้องไปพะวงคิดว่าขณะนี้เราอยู่ในฌานขั้นไหน ให้เอาจิตอยู่กับบริกรรมพอ อย่าไปพะวงว่าตอนนี้อยู่ขั้นนั้นขั้นนี้ ถ้าวางได้จิตจึงจะสงบ ถ้าไปติดพะวงอยู่ว่าตอนนี้เราอยู่ขั้นไหน จิตจะสงบตั้งมั่นได้ยาก ในทางตำราอาจจะบอกองค์ประกอบของฌาน ว่าในแต่ละฌานเป็นลักษณะอย่างไร(มีองค์อะไรบ้าง)ไว้เทียบ แต่ในทางปฏิบัติคือความว่างจากนิวรณ์หรือกิเลส จะตั้งมั่นเป็นอารมณ์เดียว ไม่มีอะไรมาก ถ้าเราปฏิบัติเราจะรู้ด้วยตัวเราเอง จะเห็นความสะอาดของจิตด้วยตัวเราเอง

วิธีฝึกสมาธิให้ได้ฌาน
....ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ฌานและนิวรณ์เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกันอุปมาความสว่างและความมืด อย่างขณะใดที่จิตไม่มีนิวรณ์ ขณะนั้นจิตก็เป็นฌานเองโดยอัติโนมัติ ถ้าขณะใดจิตมีนิวรณ์ขณะนั้นจิตก็จะเป็นฌานไม่ได้ 

...นิวรณ์มีอยู่5อย่าง...
กามฉันทะ
....อย่างข้อกามฉันทะความยินดีพอใจในกาม ทั้งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ถ้าขณะนั้นยังมีความยินดีพอใจแบบนี้อยู่ สมาธิขั้นฌานก็ไม่เกิด เพราะแบบนี้นักปฏิบัติทั้งจึงมีการบำเพ็ญเนกขัมมะหรือถือศีล8 โดยจะหลีกเลี่ยงการฟังเพลง การดูหนังดูละคร เพื่อไม่ให้จิตยินดีพัวพันพอใจในรูปรสกลิ่นเสียงจนมากเกินไป (เป็นการสละออกจากกาม) เมื่อจิตไม่พัวพันกับความยินดีพอใจในกามเวลาไปทำสมาธิฌานก็จะเกิดได้ง่ายขึ้น

อุทธัจจะ
....อย่างข้ออุทธัจจะความฟุ้งซ่าน,ความกังวล ตราบใดที่จิตยังมีความฟุ้งซ่านหรือมีพลิโพธกังวลกับสิ่งต่างๆอยู่ฌานก็ไม่เกิด เพราะแบบนี้นักปฏิบัติจึงมีการหลีกเลี่ยงการพบปะพูดคุยเพื่อให้เกิดกายวิเวก โดยการหาสถานที่สัปปายะในการปฏิบัติ เพื่อลดสิ่งกังวลและละสิ่งรบกวนภายนอกออกไป เช่นเลี่ยงการพบปะพูดคุยหรือการเล่นเฟส สังเกตุเวลาเราเล่นเฟสคุยเฟสมากๆ เวลาไปทำสมาธิจิตจะจมอยู่กับอารมณ์ของความกัววลหรือเกิดความฟุ้งซ่าน ทำให้ฌานเกิดได้ยาก หรือเราทำสมาธิด้วยความอยากให้เกิดฌาน แบบนี้แทนที่จะเกิดความสงบ กับทำให้จิตใจเกิดความฟุ้งซ่านแทน เพราะจิตไปไปกังวลพะวงว่าเมื่อไหร่จิตจะสงบจะเกิดฌาน
.....วิธีแก้ความฟุ้งซ่าน ถ้าขณะทำสมาธิอยู่จิตเกิดความฟุ้งซ่านขึ้นมา ก็ให้เร่งคำภาวนาให้ถี่ๆขึ้น เพราะจิตตั้งได้แค่อารมณ์เดียว ถ้าเราเร่งคำภาวนาให้ถี่ๆแล้วเอาจิตไปจับอยู่แค่คำภาวนาที่ถี่ๆนั้น จิตก็จะไม่ส่งไปคิดเรื่องภายนอกอื่น ทำให้หยุดฟุ้งซ่าน ตรงนี้ไม่ต้องกังวลว่าจิตจะติดกับคำภาวนา ถ้าจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ จิตจะวางคำภาวนาออกไปเอง

วิจิกิจฉา
......วิจิกิจฉาความลังเลสงสัย ถ้าในขณะทำสมาธิอยู่เกิดความลังเลสงสัยใดๆขึ้นก็ตาม ฌานก็ไม่เกิด อย่างบางคนทำสมาธิอยู่เกิดอาการของปิติขึ้น เช่นเห็นแสงสว่าง ตัวโยกโคลง ตัวสั่น ขนลุกขนพอง หรือจะใดๆก็ตาม ทีนี้เกิดความลังเลสงสัยขึ้นว่า แบบนี้คืออะไร สมาธิก็จะหยุดอยู่แค่นั้นหรือไม่ก็จะถอนออกมา ไม่ถึงฌาน เพราะจิตเกิดวิจิกิจฉาคือความลังเลสงสัยขึ้น
.....ตรงนี้ให้วางเฉย ในขณะทำสมาธิเห็นอะไรก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินอะไรก็สักแต่ว่าได้ยิน อย่างนิมิตบางอย่างก็มาทำให้เราเผลอสติ (เผลอสติออกจากกายใจตน) เช่นทำสมาธิอยู่แล้วเห็นภาพนิมิตเกิดขึันมาให้เห็น หากเราน้อมจิตไปตามนิมิตนััน จิตก็จะเคลื่อนของจากกายใจตนเอง(เผลอสติ) บางคนพอมารู้ตัวสมาธิก็ถอนแล้ว

พยาบาท
......พยาบาทความโกรธความไม่พอใจความขุ่นเคืองใจ ถ้าขณะใดมีอารมณ์แบบนี้อยู่ ฌานก็ไม่เกิด อย่างถ้าเราโกรธใครหรือไม่พอใจใครอยู่ เวลาไปทำสมาธิ ฌานก็เกิดไม่ได้ ถ้าหากเราไม่วางความพยาบาทออกจากจิต วิธีแก้พยาบาทให้หมั่นเจริญอัปปมัญญา ก็คือหมั่นเจริญพรหมวิหาร4 ซึ่งเป็นธรรมตรงข้ามกับพยาบาท

ถีนมิทธะ
......ถีนมิทธะความง่วงงาวหาวนอน ตรงนี้นักปฏิบัติเป็นกันบ่อย บางคนยังไม่ทันกำหนดก็เกิดความง่วงแล้ว ถีนมิทธะความง่วงนี้แม้ขนาดพระมหาโมคคัลลานะพระอัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศทางฤทธิ์ ขณะปฏิบัติเพื่อให้บรรลุอรหัตผล ยังเกิดความง่วงเลย นี่ขนาดพระมหาโมคัลลานะ จนพระพุทธองค์เสด็จมาบอกอุบายวิธีแก้ความง่วง เช่นเมื่อมีสัญญาอย่างใดแล้วเกิดความง่วงขึ้น จงทำไว้ในใจซึ่งสัญญานั้นให้มาก จะเป็นเหตุละความง่วงได้ หรือถ้ายังละความง่วงไม่ได้ควรตรึกตรองธรรมที่ได้เรียนได้ฟังมาแล้วให้มาก จะเป็นเหตุละความง่วงได้ หรือถ้ายังละไม่ได้อีกควรสาธยายธรรมที่ได้เรียนได้ฟังมาแล้วให้มาก จะเป็นเหตุละความง่วงได้ หรือถ้ายังละไม่ได้ควรยอนช่วงหูทั้งสองข้างและลูบตัวด้วยฝ่ามือ จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้ (คร่าวๆ)

16 เมษายน 2566

หลักของสรรพสิ่ง

ระบบ for loop คือ algorithm หลักของสรรพสิ่ง
 เพราะคือ main algorithm หลักของbackendของทุกสรรพสิ่งแม้กระทั่งผู้สร้างนั่นก็คือความว่างเปล่า ทุกอย่างเกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่าแน่นอน แต่คำถามใหญ่ที่ยังblankอยู่ก็คือแล้วผู้สร้างกำเนิดขึ้นมาได้ยังไงจากความว่างเปล่า แต่ประเด็นก็คือเมื่อผู้สร้างได้สร้างสรรพสิ่งที่ต้องไม่จีรังเพื่อให้สามารถเกิดดับและเปลี่ยนแปลงเพราะคงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะสร้างสิ่งเดิมๆที่มีค่า=0สัมบูรณ์ จึงได้ใส่ระบบ forloopเข้ามาเพื่อให้ทำงานเป็นค่า infinity อย่างสุดโหด
คำถามคือเราสามารถหลุดจากloopนี้เพื่อขึ้นไปยัง Birds eye view เพื่อให้ได้เห็นทุกสิ่งได้ในพริบตารึไม่ โดยที่ไม่จำเป็นต้องผ่านการเรียนรู้แต่ระบบและจึงรู้ทางออกในแต่ละชั้น

การปฏิบัติสำคัญที่จิต

การปฏิบัติสำคัญที่จิต
 เป็นเรื่องของจิต แต่คนส่วนใหญ่มักไปติดที่อาการทางกาย คือไปติดที่รูปแบบของกาย คิดว่าการดำรงกายลักษณะนั้น ลักษณะนี้คือการปฏิบัติ หรือคิดว่าคนที่นั่งสมาธิ หรือเดินจงกรมนั้นละเป็นคนที่ปฏิบัติ ตรงนี้ต้องดูที่จิตด้วยนะ ถ้าขณะใดจิตมีความสำรวมระวังในอินทรีย์ มีความเพียรที่ชอบอยู่ในกุศลธรรม(ตั้งมั่นอยู่ในความดี) มีสติระลึกรู้ในการกระทำ มีการตามระลึกนึกถึงอนุสสติอย่างใดอย่างหนึ่ง หากจิตอยู่ในวิหารธรรมแบบนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม ก็ได้ชื่อว่าคือการปฏิบัติ หรือขณะใดที่สำรวมไม่ให้บาปอกุศลเกิดขึ้นในจิตใจ เมื่อนั้นก็ชื่อว่ากำลังปฏิบัติอยู่ ตรงกันข้าม ถ้าดำรงกายนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมอยู่ แต่กับมีจิตคิดฟุ้งซ่าน (ไม่อยู่กับฐาน) คิดแต่เรื่องของโลก (เรื่องกิเลสกาม) อันได้แก่ โลภ โกรธ หลง แบบนี้แม้กายภายนอกจะดูเหมือนว่ากำลังปฏิบัติธรรมอยู่ แต่จิตภายในจริงๆยังไม่เรียกว่าปฏิบัติ ดังนั้นแม้เราไม่ได้อยู่ในอิริยาบถนั่ง อาจอยู่ในอิริยาบถยืน เดิน นอน ก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ โดยการทำความเพียรทางจิต ให้จิตมีวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ เช่นเอาจิตไปตั้งไว้ที่ฐานของสติ หรือคำบริกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง 

วุฒิตี้ธุดงค์กรรมฐาน

กำเนิดจักรวาล

ตัวเลขของพระเจ้าหรือก็คือผู้สร้างมีเพียงหนึ่งเดียวก็คือinfinityเพราะผู้สร้างเกิดมาจากความว่างเปล่าที่มีค่าเป็นinfinityทั้งเรื่องเวลาและสรรพสิ่ง=ความว่างเปล่าที่ไม่มีที่สิ้นสุด ผู้สร้างเลยสร้างเราให้
วนloopอย่างไม่มีที่สื้นสุด สรรพสิ่งจะวนซ้ำอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆจนกระทั่งเกิดสิ่งที่สามารถฉีกกฎจากจักรวาลเดิมออกได้และจะเริ่มcycleของตัวเองต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ในเมื่อผู้สร้างถูกสร้างขึ้นมาในมิติที่ทุกอย่างคือ eternity 
จึงไม่แปลกใจที่จะสร้างระบบวนloopขึ้นมาให้กับงานสร้างที่ไม่จีรัง เพราะผู้สร้างต้องการสิ่งต่างๆมากมายโดยที่ไม่มีวันจำกัดเพื่อดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
แต่ในความลึกแล้วไม่สามารถเจ้าใจได้ว่า
1. ผู้สร้างกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร
หรือผู้สร้างกำเนิดมาจากหลังการเดียวกับสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกลายสิ่งที่มีชีวิต แต่องค์ประกอบมาจากไหนกันล่ะ เพราะผู้สร้างมาจากความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรเลยทุกอย่างคือความศูนย์สัมบูรณ์
2. ผู้สร้างสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ได้ยังไง เพราะเมื่อ jwst ฉายภาพของจริงมากเท่าไหร่ก็ได้เห็นความสะพรึงที่เป็นแค่ส่วนเดียวเปรียบได้กับเม็ดทรายเม็ดเดียวของทั้งโลกและยังเป็นแค่จักรวาลเดียวจาก infinity universe อีกต่างหาก

พิจารณาอะไร เมื่อจิตสงบ

นั่งสมาธิพอจิตสงบแล้ว จากนั้นควรทำอย่างไรต่อ?
เมื่อเราปฏิบัติด้วยการดูลมหายใจเข้า-ออก หรือจะใช้คำภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งจนจิตมีความตั้งมั่นดีแล้ว ก็ใช้สมาธิความตั้งมั่นของจิตตรงนี้นี่ล่ะ มาพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เพราะการพิจารณาธรรมในขณะที่จิตมีสมาธิที่ตั้งมั่น จะเห็นอะไรได้ชัดเจนแจ่มชัดกว่าตอนที่จิตมีนิวรณ์ ตรงนีัอุปมาเหมือนกับกระจกที่มีเศษของฝุ่นเกาะอยู่ ยิ่งมีเศษฝุ่นเกาะอยู่มากเท่าใด ความมืดมัวของจิตหรือของปัญญาก็มีมากเท่านั้น จึงมักเห็นอะไรไม่ชัดเจนแจ่มชัด แต่ถ้าหมั่นชำระจิตให้สะอาดอยู่เสมอ ยิ่งจิตมีความสะอาดผ่องใสมากเท่าใด ความแจ้งชัดในสติปัญญาก็จะมีมากเท่านั้น อุปมาเหมือนกระจกที่เช็ดดีแล้วที่มีความเงาใส ทำให้เห็นอะไรที่ระเอียดชัดเจน ดังนั้นในขณะที่จิตตั้งมั่นไม่มีนิวรณ์ จึงอุปมาเหมือนกระจกที่เช็ดดีแล้ว มีความเงาใส มีปัญญาที่คมกล้า เหตุนี้พระบูรพาจารย์ในยุคก่อนๆจึงนิยมใช้สมถะมาเป็นบาทฐานเพื่อต่อยอดขึ้นไปสู่ภูมิของวิปัสสนา เพราะเป็นเหตุให้บรรลุมรรคผลได้ง่ายและเร็ว พระบูรพาจารย์ในยุคก่อนๆ จึงมีการสอนให้ดูลมหายใจเข้า-ออก หรือให้ภาวนาพุทธโธ เพื่อเป็นการสร้างฐานให้จิตเกิดความตั้งมั่น เมื่อจิตเกิดความตั้งมั่นก็ให้เอาความตั้งมั่นนั้นล่ะมาต่อยอดขึ้นสู่ภูมิวิปัสสนา คือไม่ได้หยุดอยู่แค่เพียงความสงบเท่านั้น แต่ให้นำมาพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ให้เกิดสติปัญญา เมื่อพิจารณาจนแจ้งในกาย เวทนา จิต ธรรม ตรงนี้จะเกิดปัญญาที่รู้ชัดขึ้น จะมองเห็นกิเลสที่ซัมซับในขันธสันดาน อุปมาเหมือนน้ำที่ใสสะอาด ที่สามารถมองเห็นอะไรได้ชัดเจนแจ่มชัด อุปมาเห็นตัวปลา คือเห็นรากเง้าต้นตอของกิเลสทั้งหมด ตรงนี้ถ้าพิมจริงๆได้เป็นหลายหน้ากระดาษ แต่ไม่ขออธิบาย เพราะเป็นสภาวะธรรมที่ลึกซึ้งละเอียดเพราะเป็นปฏิจจสมุปบาทซึ่งเป็นสภาวะที่เห็นด้วยกำลังสติปัญญา นักปฏิบัติเมื่อปฏิบัติจนถึงสภาวะด้วยตนเองก็จะเข้าใจ

วุติตี้ธุดงค์กรรมฐาน

พระแก้วมรกต ทรงเครื่องฤดูร้อน

ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว 
 พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรทรงเครื่องฤดูร้อน
เมื่อครั้งที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานี และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้มีการอัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรมาประดิษฐานในพระอุโบสถ เมื่อวันจันทร์ เดือน 4 แรม 5 ค่ำ ปีมะโรง พุทธศักราช 2327 ในสมัยนั้นได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องทรงถวายพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรสำหรับฤดูร้อนและฤดูฝน อย่างละสำรับ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนเครื่องทรงตามฤดูกาล ครั้นถึงรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องทรงสำหรับฤดูหนาวถวายอีกสำรับหนึ่ง พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร จึงทรงเครื่องทรง 3 อย่าง ตามฤดูกาลมาจนถึงทุกวันนี้

เครื่องทรงสำหรับฤดูร้อน เป็นเครื่องต้นอย่างพระมหากษัตริย์ ทำด้วยทองคำลงยาประดับเพชรและมณีต่างๆ มงกุฎที่ทรงเป็นเทริด ยอดประดับเพชรเม็ดใหญ่

สำหรับเครื่องทรงที่จัดสร้างขึ้นใหม่ทดแทนของเดิมที่ถอดเก็บรักษา ใช้อัญมณีในการจัดสร้างรวมทั้งหมด 6,297 เม็ด น้ำหนัก 2,132.81 กะรัต น้ำหนัก 426.56 กรัม น้ำหนักลงยา 166.24 กรัม น้ำหนักทองสุทธิ 7,145.00 กรัม รวมน้ำหนัก 7,737.80 กรัม

พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เลือกว่าต้องนุ่งเหลืองจึงจะสำเร็จ

"...พวกฆราวาสที่สำเร็จพระโสดา สกิทาคา อนาคา ผู้มีศรัทธา ผู้มีความยินดีแล้ว พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เลือกว่าต้องนุ่งเหลืองจึงจะสำเร็จ ไม่ใช่ นุ่งขาวก็ไม่ว่า นุ่งเหลืองก็ไม่ว่า หัวโล้นก็ไม่ว่า หัวดำก็ไม่ว่า สำเร็จหมด ชั้นสูงก็ไม่ว่า ชั้นต่ำก็ไม่ว่า สำเร็จหมด ไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่เลือกชาติเลือกภาษา ผู้ที่เข้ามาปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าทำลงไปแล้วไม่มีผลไม่มี ต้องมีผลทีเดียว ทำน้อยก็ได้รับผลตามน้อย ทำมากก็ได้รับผลตามมาก ติดตนเป็นอริยทรัพย์ สมบัติอันนี้ได้รับผลตามกำลัง..."
โอวาทธรรม หลวงปู่ขาว อนาลโย 
วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู

หลงในฌาน

การปฏิบัติธรรมไม่ว่าเกิดสภาวะใดขึ้นก็ตาม หรือจะเกิดญาณรู้ใดขึ้น หรือเกิดคุณวิเศษใดขึ้น ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งที่ได้ สิ่งที่รู้ ที่เห็น ก็ยังชื่อว่าหลงอยู่ 
หลงในรู้ คือหลงในความรู้ที่ตนมี เช่นมีทิฏฐิว่าตนมีความรู้มาก เป็นผู้ศึกษามามาก หรือเป็นผู้ปฏิบัติมามาก ย่อมทำให้เกิดมานะ ทำให้หลงในรู้ หลงในตน

หลงในฌาน คือทำฌานสมาบัติได้ แล้วหลงติดอยู่กับแค่ฌาน ยึดติดอยู่แค่ความสงบ โดยไม่เจริญปัญญาต่อ ติดอยู่กับแค่ความสงบหรือแค่ความว่าง

หลงในญาณ หลงในความรู้พิเศษที่ได้ ยึดมั่นถือมั่นในญาณพิเศษ เช่นตาทิตย์ หูทิพย์ ที่เป็นโลกียะญาน จนลืมพิจารณาว่าญาณนี้สามารถเสื่อมลงได้

เมื่อปฏิบัติธรรมไปถึงระดับหนึ่ง บางท่านจะเกิดปฏิภาณในการแสดงธรรมขึ้นมา จะมีโวหารในการอรรถาธิบายธรรม ในการแสดงแจกแจงธรรม หรือเรียกว่าธรรมผลุดขึ้นในจิต หยิบจับ มองสิ่งใด จะสามารถนำมาอรรถาธิบายเป็นธรรมะได้ทั้งหมด ย่อธรรมได้ ขยายธรรมได้ สภาวะธรรมจะหลั่งไหลเกิดตลอดเวลา นักปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสผู้ที่ปฏิบัติจนถึงขั้นนี้ถ้ารู้ไม่เท่าทัน ก็ไปหลงในรู้ได้เหมือนกัน หลงในความรู้,หลงในกิเลส คิดว่าตัวเองรอบรู้ในธรรมหรือแตกฉานในธรรม นี้ละความละเอียดของกิเลส เหตุนี้การปฏิบัติธรรมไม่ว่าจะปฏิบัติจนได้สภาวะธรรมใดมา หรือเกิดความรู้ ความพิเศษใดขึ้น ถ้ายังไปยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งที่ได้ สิ่งที่รู้ สิ่งที่เห็น นั่นก็ยังเป็นความหลงอยู่

วุฒิตี้ธุดงค์กรรมฐาน

จักระ (Chakra)

ในร่างกายมนุษย์มีสิ่งมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติซ่อนเร้นอยู่ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างพลังธรรมชาติ จิตวิญญาณและพลังเหนือธรรมชาติเข้าด้วยกัน และอยู่ภายใต้อำนาจของสมาธิ เราเรียกสิ่งมหัศจรรย์นี้ว่า “จักระ (Chakra)”

        จักระ (Chakra) เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า “กงล้อ” ซึ่งเป็นลักษณะของลำแสงที่แผ่ออกมาเป็นวงคล้ายกลีบดอกบัวมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 นิ้ว ลำแสงที่มีลักษณะคล้ายกลีบดอกบัวนี้จะหมุนอยู่ตลอดเวลาก่อให้เกิดสีสรรต่าง ๆ เหมือนประกายไฟ มีสีที่ต่างกันออกไป จักระในร่างกายมี 7 จุด ผู้ที่ผ่านการกระตุ้นจักระและฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอจะทำให้จักระหมุนวนรับพลังจักรวาลที่อยู่รอบตัวเข้าสู่จักระทั้ง 7 และหากสามารถพัฒนาอำนาจจิตให้สูงขึ้นก็จะสามารถมองเห็นรูปร่าง แสง สี และการหมุนได้อย่างชัดเจน

จักระทั้ง 7 มีดังต่อไปนี้

จักระที่ 1 มูลธารจักระ (The Base Chakra)
ตั้งอยู่ระหว่างอวัยวะสืบพันธุ์กับทวารหนัก เป็นพื้นฐานของพลังชีวิต มีหน้าที่ดูดซับพลังคุนดาลินี (Kundalini = งูไฟ หรือ Serpent Fire) จากโลก โดยปกติแล้วจักระนี้จะไม่มีการกระตุ้นอย่างเด็ดขาดเพราะอันตรายต่อระบบการทำงานของร่างกาย สีที่สัมพันธ์คือ สีแดง มี 4 เส้นแสง อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 1 คือ ทับทิม โกเมน

จักระที่ 2 สวาธิษฐานจักระ (The Sacral Chakra)
ตั้งอยู่ที่ปลายกระดูกสันหลังใต้ก้นกบ เป็นศูนย์กลางเกี่ยวกับพลังงานทางเพศและความเชื่อมั่นในตนเอง มีหน้าที่กระจายพลังที่ได้รับจากดวงอาทิตย์ ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือต่อมสืบพันธุ์ (Gonads Gland) สีที่สัมพันธ์คือ สีส้ม มี 6 เส้นแสง อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 2 คือ โกเมนสีส้ม คาร์เนเลี่ยนสีส้มแดง

จักระที่ 3 มณีปุระจักระ (The Solar Plexus Chakra)
ตั้งอยู่บริเวณสันหลังที่ตรงกับบั้นเอว มีความเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารทั้งหมด ผลิตโลหิต เป็นศูนย์กลางของอารมณ์ดิบ ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือต่อมหมวกไต (Adrenal Gland) สีที่สัมพันธ์คือ สีเหลือง มี 10 เส้นแสง อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 3 คือ บุษราคัม ซิทริน

จักระที่ 4 อนาหตะจักระ (The Heart Chakra)
ตั้งอยู่กลางกระดูกสันหลังระดับที่ตรงกับหัวใจ เป็นศูนย์รวมของความรัก ความเมตตากรุณา ความเสียสละ การพัฒนาจิตใจ ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือ ต่อมไธมัส (Thymus Gland) สีที่สัมพันธ์คือ สีเขียว มี 12 เส้นแสง อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 4 คือ มรกต เพอริโด

จักระที่ 5 วิสุทธิจักระ (The Throat Chakra)
ตั้งอยู่ตรงกระดูกต้นคอ เป็นจักระที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ หอบหืด โรคที่เกี่ยวกับผิวหนัง ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือ ต่อมไทรอยด์ (Thyroid Gland) สีที่สัมพันธ์คือ สีน้ำเงิน มี 16 เส้นแสง อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 5 คือ ไพลิน เทอร์ควอยซ์ ลาปิสลาซูลิ อะคัวมารีน

จักระที่ 6 อาชณะจักระ (The Third Eye Chakra)
ตั้งอยู่กลางหน้าผาก เป็นจักระที่เปรียบเหมือนดวงตาของปัญญา เป็นจุดกำเนิดของญาณหยั่งรู้ เป็นตาที่ 3 เป็นพาหนะแห่งญาณวิเศษสำหรับการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือ ต่อมใต้สมอง (Pituitary Gland) สีที่สัมพันธ์คือ สีคราม มี 96 เส้นแสง อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 6 คือ อะมีธีสต์สีม่วงคราม โซดาไลต์

จักระที่ 7 สหัสธารจักระ (The Crown Chakra)
ตั้งอยู่กลางกระหม่อม เปรียบเป็นมงกุฎดอกบัว เป็นศูนย์ควบคุมทุกจักระในร่างกาย เป็นสถานที่รับพลังแห่งจักรวาลและกระจายไปทั่วร่างกาย ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือ ต่อมเม็ดสน (Pineal Gland) สีที่สัมพันธ์คือ สีม่วง มี 972 เส้นแสง อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 7 คือ อะมีธีสต์

          การทำสมาธิเพื่อกระตุ้นจักระทั้ง 7 โดยการใช้อัญมณี เรื่องนี้ได้มีหนังสือหลายเล่มเขียนอธิบายไว้คล้าย ๆ กันคือ ให้เอาอัญมณีวางไว้ตรงกับจักระที่ต้องการกระตุ้น แล้วกำหนดสมาธิสร้างจินตนาการว่าจักระได้ดูดซับเอาพลังที่อยู่ในอัญมณีเข้ามาไว้กับตัว สำหรับเรื่องนี้ผู้เขียนมีความเห็นว่าจักระ เป็นสิ่งที่สำคัญที่มีอิทธิพลทั้งทางบวกและทางลบกับร่างกาย การกระตุ้นจักระโดยขาดความรู้อย่างแท้จริงจะทำให้การทำงานของจักระทั้ง 7 ขาดความสมดุล ส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายโดยรวมขาดความสมดุลตามไปด้วย ซึ่งเป็นที่มาของการเจ็บป่วยที่หาสาเหตุไม่ได้ เป็นต้นว่า นอนไม่หลับ ปวดศรีษะ เวียนศรีษะ คลื่นไส้ เดินโคลงไปเอียงมาร่างกายขาดความสมดุล ซึ่งโรคจำพวกนี้ไม่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีทางการแพทย์ นอกจากจะต้องไปพบผู้เชี่ยวชาญทางด้านพลังทำการปรับสมดุลร่างกายให้เท่านั้น

การกระตุ้นจักระอย่างถูกวิธีคือ จะต้องฝึกลมปราณ ทำสมาธิ และกระตุ้นทีละจักระ ภายใต้การแนะนำและควบคุมของอาจารย์ที่สำเร็จวิชานี้แล้ว การฝึกจะต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน ให้ร่างกายได้ปรับตัว เพราะผู้ที่ไม่เคยฝึกลมปราณมาก่อนจักระจะอ่อนแอ ไม่สามารถรับการกระตุ้นอย่างทันทีได้ ในการฝึกจะใช้เวลาหลายวันกว่าที่จะกระตุ้นได้ครบทุกจักระ และเมื่อฝึกสำเร็จจักระจะแข็งแรง เราก็สามารถมาฝึกหรือกระตุ้นจักระโดยวิธีอื่น เช่น การใช้ ควอทซ์ คริสตัล หินสี อัญมณีต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย

ความแตกต่างระหว่าง ฌาน ญาณและอภิญญา

ความแตกต่างระหว่าง ฌาน ญาณและอภิญญา
1.ฌาน อ่านว่า ชาน แปลว่า การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ ภาวะจิตสงบประณีต

2.ญาณ อ่านว่า ยาน แปลว่า ความรู้ คือ ปรีชาหยั่งรู้ ปรีชากำหนดรู้ หรือ กำหนดรู้ได้ด้วยอำนาจการทำสมาธิและวิปัสสนา เรียกว่า วิชชา คือ ความรู้ ตรงข้ามกับ อวิชชา คือ ความไม่รู้

3.อภิญญา อ่านว่า อะพินยา แปลว่า ความรู้ยิ่ง หมายถึงปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติ เป็นความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นจากการอบรมจิตเจริญปัญญาหรือบำเพ็ญกรรมฐาน

อภิญญา คือ คุณสมบัติพิเศษของพระอริยบุคคลซึ่งเป็นเหตุให้มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ มี 6 อย่าง คือ

1.อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ดำดินได้
2.ทิพพโสต มีหูทิพย์
3.เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้
4.ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
5.ทิพพจักขุ มีตาทิพย์
6.อาสวักขยญาณ รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป (มีเฉพาะพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น)

ในทัศนคติของผม ฌาน (ชาน) หมายถึง ชานชาลา
ญาณ (ยาน) หมายถึง ยานหรือ ยานพาหนะ ที่พาเราไปสู่ความเป็นพระอริยบุคคล ตั้งแต่ โสดาบัน ขึ้นไปจนถึง พระอรหันต์
ดังนั้นเราจะขึ้นยานไปสู่ภมิอริยบุคคล จะต้องปฏิบัติสมถกรรมฐานให้ได้ ฌาน (ชาน หรือ ชานชาลา) ก่อน จึงจะขึ้น ญาณ (ยาน) นำเราออกจากวัฏสงสารสู่พระนิพพานได้
ส่วนอภิญญา เป็นผลพลอยได้จากการปฏิบัติสมถ (ฌาน) และวิปัสสนา (ญาณ) กรรมฐาน

15 เมษายน 2566

การสะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตา

มีหนังสือพิมพ์เขาเขียนโจมตีว่า #การสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาไม่ใช่พระพุทธศาสนา 
อาตมาขอยืนยันว่าพระพุทธศาสนาคือต้นตำรับในการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คืออายุวัฒนกุมาร

พ่อแม่ของอายุวัฒนกุมารเป็นพราหมณ์ พาลูกไปหาเพื่อนที่เป็นพราหมณ์ด้วยกัน เพื่อนท่านนั้นมีอภิญญา พอว่ากล่าวเรื่องธุระเสร็จเรียบร้อยก็ลากลับ 

พอพ่อลา เพื่อนพราหมณ์ก็ให้พรว่า "อายุวัฑฒะโก จงเป็นผู้มีอายุ" พอแม่ลาก็ให้พรว่า "อายุวัฑฒะโก" แต่พอลูกลาบ้าง กลับเงียบ พ่อของอายุวัฒนกุมารก็สงสัยว่าเป็นเพราะอะไร จึงถาม 

พราหมณ์ที่เป็นเพื่อนบอกว่า "ลูกเธอจะสิ้นชีวิตภายใน ๗ วัน อวยพรไปแล้วไม่มีผล ก็เลยไม่รู้ว่าจะอวยพรไป

ทำไม" คนเป็นพ่อก็ตกใจ ถามว่า "มีวิธีแก้ไขหรือไม่ ?" พราหมณ์ที่เป็นเพื่อนจึงบอกว่า ตัวท่านเองไม่รู้วิธีแก้ไข แต่พระสมณโคดมน่าจะรู้ ให้พาลูกไปกราบพระสมณโคดมจะดีกว่า

ตรงนี้เราจะต้องเห็นความดีของท่านสองประการ
ประการแรกก็คือ ท่านมีทิพจักขุญาณชัดเจน ถึงขนาดว่ากล่าวอะไรที่ไม่ตรงความจริงท่านก็จะไม่พูด
ประการที่สอง ไม่หวงลูกศิษย์ ไม่หวงพรรคพวก แนะนำให้ไปกราบพระพุทธเจ้าแทน

พราหมณ์สองสามีภรรยาก็เลยพาลูกไปกราบพระพุทธเจ้า ปรากฏว่าเหมือนกัน พอพ่อกราบพระพุทธเจ้าก็ให้พร "อายุวัฑฒะโก จงเป็นผู้เจริญด้วยอายุ" พอแม่กราบก็ให้พร "อายุวัฑฒะโก ขอจงเป็นผู้เจริญด้วยอายุ" พอลูกกราบก็เงียบ แม่ก็นั่งร้องไห้ #เพราะตรงกับที่พราหมณ์คนแรกพูดเอาไว้

พ่อจึงได้ถามพระพุทธเจ้าว่ามีวิธีแก้ไขหรือไม่ ? พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามี ให้ตั้งปะรำ ปูผ้าขาว วงสายสิญจน์ แล้วนำกุมารน้อยนั่งอยู่กลางปะรำ นิมนต์พระสงฆ์ไปเจริญพระปริตรตลอด ๗ วัน ๗ คืน พระพุทธเจ้าถามว่า ทำได้หรือเปล่า ? พราหมณ์ก็บอกว่าทำได้ แล้วพราหมณ์ก็จัดแจงทำพิธีดังกล่าว

พอถึงวันที่ ๗ พระพุทธเจ้าเสด็จเอง คราวนี้ในเรื่องของเทวทูต หรือที่เราเรียกว่าพระกาล การที่ท่านจะมาเอาใครไป #ท่านจะมีวาระเฉพาะของท่าน #ถ้าพ้นวาระนั้นไปก็ไม่สามารถที่จะเอาไปได้ #เพราะผิดมารยาทผิดธรรมเนียม 

พอวันสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าท่านเสด็จเอง พรหมเทวดาผู้ใหญ่มากันมาก เทวทูตท่านเป็นระดับผู้น้อยก็ต้องรออยู่ข้างนอก พระพุทธเจ้าท่านก็นั่งอยู่จนเลยเวลา #พอเลยเวลาก็บอกว่า #คราวนี้ลูกของพราหมณ์ไม่เป็นอะไรแล้ว จะเป็นผู้ที่เจริญด้วยอายุถึง ๑๒๐ ปี เลยตั้งชื่อใหม่ว่า อายุวัฒนกุมาร

ถ้าเราพิจารณาตรงนี้เราจะเห็นว่า เรื่องของการสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ #พระพุทธศาสนามีบอกไว้ชัดเจนมาก

เช่นเดียวกับการที่มีคนโจมตีเรื่องทำน้ำมนต์ อย่าลืมว่า #พระพุทธเจ้าท่านแนะนำให้พระอานนท์ทำน้ำมนต์ เพื่อสงเคราะห์ชาวไพศาลีที่เกิดโรคระบาด บรรดาอมนุษย์อยู่กันเป็นจำนวนมาก จึงทำให้คนเจ็บป่วยล้มตาย พอโดนน้ำพระพุทธมนต์เข้าไป #ไม่สามารถที่จะสู้พุทธานุภาพได้ จึงเผ่นหนีกันจนกำแพงเมืองทะลายเป็นแถบ ๆ

บางเรื่องเจอบรรดาท่านที่มีแต่ปัญญา ต้องบอกว่ามีปัญญาแต่ขาดสติ เขาจะเอาแต่ธรรมะแท้อย่างเดียว พวกประเภทนี้เอาธรรมะแท้ ๆ ไปให้ก็รับไม่ได้หรอก #เขาคิดกันว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นก็เลยไปวิพากษ์วิจารณ์กันไปเรื่อย เช่นเดียวกับเรื่องของวัตถุมงคลที่ทำให้คนยึดติด ต้องฟังคำตอบหลวงปู่ดู่จึงจะชัดเจน #ท่านบอกติดวัตถุมงคล #ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล

พระพุทธเจ้าตรัสถึงบุคคล ๔ ประเภท ไม่ใช่บัวสี่เหล่านะ ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้แค่ ๓ เหล่า แต่กล่าวถึงบุคคลไว้ ๔ ประเภท ได้แก่

อุคฆฏิตัญญู เป็นบุคคลฉลาดมาก ฟังหัวข้อธรรมก็เข้าใจ บรรลุมรรคผลได้เลย

วิปจิตัญญู ขยายหัวข้อ อธิบายเพิ่มเติม ก็เข้าใจบรรลุมรรคผลได้

เนยยะ ต้องเคี่ยวเข็ญกันอย่างหนัก

ส่วนปทปรมะ ฉลาดเกินไป ไม่ควรที่จะสอน ปทปรมะไม่ได้โง่นะ #ฉลาดเกินมนุษย์ ตามรากศัพท์ ปทปรมะ แปลว่า มากด้วยบทบาท พวกนี้คือ #ท่ามาก ฉลาดเกินไป #ไม่ยอมรับความคิดของคนอื่น #ทำตัวเป็นน้ำเต็มถ้วย รับอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้น...ปทปรมะไม่ได้โง่ หากแต่ฉลาดเกิน #ท่านว่าไม่สมควรที่จะสอนเสียเวลาเปล่า

พวกเราก็เลยเอาบัวสามเหล่า กับบุคคลสี่จำพวกไปปนกัน กลายเป็นบัวสี่เหล่า ด้วยประการฉะนี้

ฉะนั้น...เขาจะไปคิดว่าทุกคนเป็นอุคฆฏิตัญญู ย่อมเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับไปบอกเด็กสามขวบว่า เรียนด็อกเตอร์ดีที่สุด ไปเรียนเลย ในเมื่อ ก.ไก่ เด็กยังเขียนไม่ได้ แล้วจะเรียนได้หรือ ? ส่วนใหญ่ปัจจุบันจะมีคนประเภทนี้มาก

เพราะฉะนั้น...เวลาเขาวิพากษ์วิจารณ์อะไร #ถ้าเราขาดประสบการณ์มักจะคล้อยตามเขาได้ง่าย #หรือไม่ก็อาจจะเผลอไปทำลายธรรมะของพระพุทธเจ้าไปด้วย ตกลงว่าการสะเดาะเคราะห์มีอยู่ในพระไตรปิฎกด้วยนะ การทำน้ำมนต์ก็มีด้วย

เทศน์ ณ บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม ๒๕๕๒

พลังกุณฑาลินี

พลังกุณฑาลินี คืออะไร

            พลังกุณฑาลินี คือ พลังดั้งเดิมของจักรวาลซึ่งสั่นสะเทือนอยู่ในมนุษย์ทุกคน เป็นพลังที่ทำให้เด็กน้อยและดอกไม้เติบโต 
            พลังจะรวมตัวกันอยู่มากในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก เช่น ในเทือกเขาหิมาลัย แม่น้ำคงคา มหานครเมกกะ หินเอเยอร์ ในประเทศออสเตรเลีย

            พลังกุณฑาลินี นี้ สถิตที่ปลายสุดของกระดูกสันหลัง ในพวกเราทุกคน เมื่อมันตื่นขึ้น มันจะพุ่งสู่จักรา (ช่องพลัง) สุดท้ายบนเหนือศีรษะของพวกเรา 
            ซึ่งเชื่อมต่อกับพลังจักรวาลที่มีอยู่ทั้งหมด และมอบความรู้แจ้งในตนเองกับเรา นักบุญในอดีตสามารถจะบรรลุโยคะที่สมบูรณ์และตรัสรู้ได้ เมื่อพลังกุณฑาลินีของพวกเขาเปิดจักราสุดท้ายอย่างเต็มที่บนเหนือศีรษะ 
            กระบวนการนี้ได้ถูกแสดงออกมาเป็นสัญลักษณ์ในทุก ๆ วัฒนธรรม .......1. พลังเริ่มแรก
.......2. พลังผู้ให้ชีวิต
.......3. พลังแห่งความดี
.......4. พลังแห่งความรัก
.......5. พลังแห่งการรู้แจ้ง
-------------------------------------------------------
เปิดจักราจะรู้สึกอย่างไร
-------------------------------------------------------
.......1. เย็นไปตามแกนกระดูกสันหลัง
.......2. เย็นไปจนถึงศีรษะ
.......3. จะมีลมเย็นออกจากศีรษะ
.......4. จะมีลมเย็นออกจากฝ่ามือ ปลายนิ้ว หรือในร่างกาย
.......5. ทำให้มีความสุข และความปิติสุข
.......6.หาความสุขใด ๆ มาเทียบมิได้
-------------------------------------------------------
เปิดจักราได้อะไรบ้าง
-------------------------------------------------------
.......1. เพื่อร่างกายแข็งแรง สุขภาพสมบูรณ์
.......2. โรคภัยไข้เจ็บหายไป
.......3. มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม
.......4. มีสติ สมาธิ และปัญญา
.......5. มีความสงบสุขอย่างถาวร
.......6. เข้าสู่สายกลาง
.......7. รู้แจ้งเห็นจริงในตนเอง
-----------------------------------------------

ภาพนิมิต

"#จิตส่งนอก"
"ภาพนิมิตบางทีเราชอบใจ เกิดความพอใจขึ้นเลยติดอยู่เพียงแค่นั้น ภาพนิมิตไม่ใช่เป็นของดีเสมอไป หากใช้เป็นประโยชน์ ถ้าใช้ไม่เป็นก็เป็นเหตุให้เกิดโทษ ถ้าไม่เห็นภาพนิมิตภาวนาไม่เป็น โดยมากจะเข้าใจอย่างนี้ 

#พอเห็นภาพมันเลยส่งออกไป 

#เรียกว่าส่งนอก"

"#ธรรมดาใจมันต้องมีผู้รู้ 
#หมายความว่ามันต้องรู้ตัวของมันเอง

#ที่ไปรู้นั่นรู้นี่ #มิใช่มันรู้ตัวของมันเอง 
#คือมันส่งออกไปรู้ของภายนอกมันไปยึด 

#อันนี้มันไม่ไปยึดภายนอก 

#แต่มันรู้ตัวของมันเองนี่แสดงว่าคุมใจได้แล้ว 
#มันอยู่ในอำนาจเราแล้ว 
หรือจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า 
#จิตกับสติรวมเข้ามาอยู่ที่เดียวเรียกว่าใจ 

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

ไก่ตายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าชั้นดาวดึงส์

**ไก่ตายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าชั้นดาวดึงส์ กฎของกรรม กรรมไก่ของฉัน หลวงพ่อฤาษี**
จึงถามว่า "**เวลานี้ไก่ตัวนี้ตายแล้วไปอยู่ไหน ไปเกิดเป็นไก่หรือว่าเกิดเป็นคน หรือเกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นนางฟ้า"**

เสียงท่านตอบมาว่า "**เจ้าจงไปดาวดึงส์ ไปที่ปัญจสิกขเทพบุตร เจ้าจะพบไก่ตัวที่เจ้าขว้างตายและเป็นไก่ที่เจ้ารัก**" จึงตามเสียงนั้นขึ้นไปที่ดาวดึงส์ ไปหาท่านปัญจสิกขเทพบุตร

เรื่องที่ ๑๔๗ ตายจากไก่ไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
 
 
 "..อาตมาให้ชื่อเรื่องนี้ว่า "กรรมไก่ของฉัน" เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๓๒ ตอนเช้ามีอาการมึนงงมาก จึงนอนภาวนาคิดว่าร่างกายอาจจะตายก็ได้ เพราะท้องก็ปวดจัด เสมหะก็มาก ขณะที่ภาวนาไปใกล้เวลา ๔ โมงเช้า ก็ปรากฏว่าจิตตกวูบลงจากนิวรณ์ มีอารมณ์สว่างไสว เห็นร่างกายของตัวเองนอนอยู่ แต่ร่างกายนั้นตัวใหญ่มาก ร่างกายสมบูรณ์ทุกอย่าง ผิวพรรณสวยสดงดงาม ผิวขาวเหลือง แต่สองมือกุมขมับแสดงว่ามีอาการปวดศีรษะมาก นอนลุกไม่ขึ้นพร้อมกันนั้นก็มีภาพไก่ตัวเมียประเภทไก่ชนสีนํ้าเงินแก่ค่อนข้างดำ มีลายจุดขาวทั้งตัว ยืนอยู่เหนือศีรษะ
 
 ขณะนั้นก็มีเสียงกังวานดังมาจากข้างบน เป็นเสียงค่อนข้างใหญ่ แต่กังวานมากเพราะมาก บอกว่า "**จงบวชเณรๆ**"

เมื่อฟังแล้วก็คิดในใจว่า**การที่ป่วยคราวนี้เป็นมาเดือนเศษ อาการป่วยพิเศษก็คือมันหนักที่ศีรษะมากและก็ปวดขมับ พอถึงเวลาใกล้จะ ๓ โมงเย็น ก็จะปวดขมับทนแทบไม่ไหว และก็มึนศีรษะมาก ศีรษะหนักลุกขึ้นก็มึนงง ขาไม่มีแรงเดินจวนจะล้ม อาการอย่างนี้เป็นมาเดือนเศษ**

**เมื่อเห็นภาพไก่อย่างนั้นก็ใช้กำลังใจควบคุม** อดทนต่ออาการปวดศีรษะ ทนต่ออาการมึนงง ทนต่ออาการปวดท้อง ใช้กำลังขันติเข้าควบคุมแล้วก็รวบรวมกำลังใจด้วย **สังขารุเปกขาญาณ**กับใช้กำลังใจอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่า **ปุพเพนิวาสานุสสติญาณและยถากัมมุตาญาณ** **คิดว่าอาการที่เกิดขึ้นอย่างนี้มันมาจากไหน**ชาตินี้ทั้งชาติไก่ตัวเมียไม่เคยฆ่า แต่ที่ฆ่าจริงๆ ในชีวิตนี้มีไก่ตัวผู้ ๒ ตัวเท่านั้น และก็ไม่ใช่ลงมือฆ่าเอง คนอื่นเขาฆ่าแต่พลอยกินกับเขา ถ้าถามว่า "ยินดีกับเขาไหม" เวลานั้นเป็นเด็กในเมื่อผู้ใหญ่เขาจะฆ่ากินมันก็ต้องยินดี แต่ก็ไม่ใช่ยินดีในการฆ่า แต่ยินดีในการกิน **ถ้าจะถามว่า "บาปไหม" ก็ต้องตอบว่า "บาป" ร่วมบาปกับเขาเพราะโมทนาความชั่ว การโมทนาความดีได้ไปสวรรค์ การโมทนาความบาปมันก็ไปนรกเหมือนกัน**

สำหรับไก่ตัวเมียไม่มีในชาตินี้ ก็ทบทวนกำลังใจหาเหตุหาผล การรู้เองนี่ไม่ค่อยจะแม่นยำนัก บางทีก็พลาด ถึงแม้ว่าการสอบถามก็เหมือนกัน ถ้ากำลังใจของเรามีอุปาทานควบคุมอยู่ก็พลาดเหมือนกัน ต้องทำกำลังใจให้เป็นปกติ

เมื่อกำลังใจเป็นปกติก็ถาม ถามว่า "**ไก่ตัวนี้ฆ่าตายมาตั้งแต่เมื่อไร**"

เสียงกังวานนั้นก็ตอบลงมาว่า "**ไก่ตัวนี้เจ้าฆ่าตายเมื่อสมัย ๓ ชาติที่ผ่านมา**" คือชาตินี้ไม่นับ ถอยกลับไป ๑, ๒ และ ๓

ถามว่า "**ในสมัยนั้นเกิดที่ไหน**"

เสียงก็ตอบมาว่า "**เกิดที่จังหวัดอยุธยา**"

ถามว่า "**เหตุที่ฆ่าเป็นเพราะอะไรจึงฆ่า อยากกินหรือว่าฆ่าด้วยความโกรธ**"

เสียงนั้นก็ตอบมาพร้อมกับทำภาพปรากฏชัดว่า **เวลานั้นเป็นเด็กอายุประมาณ ๑๐ ปี เป็นเด็กวัดอยู่ที่หันตรา จังหวัดอยุธยา ขณะเดินไปเห็นสุนัขของชาวบ้านมันเข้ามาในวัดเป็นสุนัขดุ เวลานั้นไก่ฝูงหนึ่งกำลังกินอาหารอยู่ พอเดินผ่านเข้าไปสุนัขดุมันก็ไล่กวดจะกัด ขณะนั้นมีไม้ท่อนสั้นๆ อยู่ที่มือ ก็ขว้างเจ้าสุนัข แต่เจ้าสุนัขมันหลบ เผอิญไปโดนไก่ตัวนี้ตายพอดี**เป็นไก่ชนตัวเมียสีนํ้าเงินแก่และก็มีจุดสีขาวตามตัวสวยมาก เห็นเข้าแล้วก็รู้สึกเสียใจว่า ไก่ที่เรารักไม่น่าจะมาตายเพราะเจ้าสุนัขดุตัวนี้ ก็เข้าไปประคับประคองนำไปหาพระท่าน พระก็พยายามทำการปฐมพยาบาลทุกอย่างแต่ไก่ก็ไม่ฟื้น
 
 ในที่สุดเมื่อไก่ตายแล้ว คนอื่นเขาจะนำไก่ไปกินก็ไม่ยอมเพราะฉันรักไก่มาก **จึงขอนำไก่ไปฝัง เวลานั้นมีสตางค์เหลืออยู่ ๑ ไพ พ่อให้ไปเพื่ออยู่ที่วัด ก็นิมนต์พระท่านบังสุกุล เมื่อพระบังสุกุลเสร็จก็ลงมือทำการฝัง ไก่ตัวนี้เราก็รักและพระในวัดท่านก็มีความรักในสัตว์ ท่านจัดอาหารมาก็ให้อาตมาเป็นคนเลี้ยง เมื่อเลี้ยงแล้วปรากฏว่าอาตมาก็รักมัน**

จึงถามว่า "**เวลานี้ไก่ตัวนี้ตายแล้วไปอยู่ไหน ไปเกิดเป็นไก่หรือว่าเกิดเป็นคน หรือเกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นนางฟ้า"**

เสียงท่านตอบมาว่า "**เจ้าจงไปดาวดึงส์ ไปที่ปัญจสิกขเทพบุตร เจ้าจะพบไก่ตัวที่เจ้าขว้างตายและเป็นไก่ที่เจ้ารัก**" จึงตามเสียงนั้นขึ้นไปที่ดาวดึงส์ ไปหาท่านปัญจสิกขเทพบุตร
 
 **เมื่อไปถึงแล้วก็ปรากฏว่าท่านคอยต้อนรับอยู่**

ก็ถามท่านว่า "**ไก่ที่ฉันขว้างถึงแก่ความตายเวลานี้อยู่ที่ไหน**"

ท่านตอบว่า "**ถามผิดให้ถามใหม่ คือว่าไก่ที่เธอขว้างถึงแก่ความตายนั้นไม่มี (ตั้งใจขว้างไก่) มีแต่ไก่ตัวที่เธอตั้งใจขว้างสุนัขแต่เผอิญไปถูกไก่นี้มีอยู่"**

ก็เลยบอกท่านว่า "ตามนั้นแหละ"

ท่านก็ชี้ให้ไปดู นางฟ้าที่นั่งใกล้ๆ เป็นคนโปร่งบาง ผิวขาว แต่งตัวสวยมาก เธอยิ้มแย้มแจ่มใส พอหันหน้าไปหาเธอ เธอก็ยกมือไหว้และถามว่า "จำดิฉันได้ไหมเจ้าคะ" ก็เลยบอกว่า "**ถ้าเป็นไก่อาจจะจำได้" ภาพไก่ก็ปรากฏข้างเธอ**

เธอก็บอกว่า "**ฉันคือไก่ตัวนี้เจ้าค่ะ**"
 
 ถามเธอว่า "**เธอตายจากไก่ที่ถูกขว้างขณะกำลังกินอาหารอยู่ แล้วเธอมาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ได้อย่างไร**"

เธอก็ตอบว่า "**เวลานั้นเธอมีจิตรักพระมาก พระทุกองค์ในวัดมีจิตเมตตาปรานีในสัตว์ เวลาพระมาเลี้ยงอาหารก็ไม่ต้องเรียก ไม่ต้องต้อน ไก่ทุกตัวเห็นพระก็วิ่งเข้ามาหา และท่านเองก็เป็นคนลงมือเลี้ยง ฉันก็มีความรักในท่าน อาศัยที่มีความรักในพระและมีความรักในท่านที่มีจิตเมตตา ขณะที่ถูกขว้างก็ยังไม่ตายทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่สลบเพราะความรู้สึกตัวยังมีอยู่ ขณะที่ท่านเข้าไปอุ้มก็ยังมีความรู้สึก เวลาที่พระทำปฐมพยาบาลเอามือลูบตัวไปลูบตัวมา ก็มีความรู้สึกคลายจากความเจ็บปวด เมื่อความเจ็บปวดหายไป ประเดี๋ยวหนึ่งจิตใจก็ชุ่มชื่น เวลานั้นจิตก็ออกจากร่างทันที แต่ก่อนที่จิตจะออกจากร่างก็เห็นนางฟ้าลอยอยู่ในอากาศมากมาย จิตใจก็รักนางฟ้า เมื่อจิตออกจากร่างกายก็กลายเป็นนางฟ้า และติดตามนางฟ้าพวกนั้นไป**"
 
 จึงได้ถามว่า "**ในเมื่อเธอเป็นนางฟ้าแล้วยังจองเวรจองกรรมฉันอยู่อีกหรือ**"

เธอก็ตอบว่า "**การจองเวรจองกรรมไม่มีในฉัน คือไม่มีเวรไม่มีกรรมที่จะจอง อาการที่ท่านป่วยไข้ไม่สบายเป็นกฎของกรรม ไม่ใช่ตัวถูกกระทำ ผู้ถูกกระทำมีความสุขและมีความรู้สึกขอบคุณในพระในท่านที่ช่วยเหลือ ทำไมฉันจะต้องจองเวรจองกรรม แต่นั่นเป็นกฎของกรรมที่ฉันไม่ได้เกี่ยวข้อง**"
 
 ทุกคนจงจำไว้ด้วยว่าการกระทำ เราฆ่าปลาก็ดี ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าวัว ฆ่าควายก็ตาม จงอย่านึกว่าเขาเป็นผู้จองเวรจองกรรม แต่ทว่าสิ่งที่กระทำกับเราก็คือ กฎของกรรม คือความชั่วที่เราฆ่าเขามันมาสนองตัวเรา ก็รวมความว่าเธอไม่ได้จองเวรจองกรรม ถามเธอว่า "อโหสิกรรมไหม" เธอตอบว่า "ไม่มีกรรมอันใดที่จะต้องอโหสิ เพราะฉันไม่ถืออยู่แล้วว่าฆ่าฉัน ฉันไม่ได้โกรธ เป็นแต่เพียงว่าขอให้ท่านปฏิบัติแก้กฎของกรรมให้พ้นไปก็แล้วกัน ฉันตามช่วย" ถามเธอว่า "เสียงบอกให้บวชเณร เธอจะว่าอย่างไร"
 
 เธอตอบว่า "**ต้องบวชเณรเป็นการแก้กฎของกรรม**"
 ก็ตกลงจะบวชเณรให้ในวันอาทิตย์ที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๒.."

ข้อมูลจาก หนังสือ ตายแล้วไปไหน_หลวงพ่อฤาษี

#รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์14 #หลวงพ่อฤาษี7

▪︎ยันต์เกราะเพชร

▪︎
   ตอนนี้ก็มาว่ากันถึง "ยันต์เกราะเพชร" ประเดี๋ยวจะลืมเสียแล้วสิ

   สำหรับ "ยันต์เกราะเพชร" คือ เป็นคาถา
อิติปิ โส ภควา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธวิชชาจะระณะสัมปันโน สุคโต โลกะวิทู อนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมนุสสานัง 
พุทโธ ภะคะวาติเรียกกันว่า ห้องพระพุทธคุณ 

   แต่เขียนลงมาอย่างหนังสือเจ๊ก เขียนลงมา ไม่เขียนตามบรรทัด เขียนลงมา ๗ คำ  แล้วก็ไปขึ้นต้นใหม่เรียงกันไป  ก็ว่า..
"อิระชาคะตะระสา ติหังจะโตโรถินัง"  
นี่เรียกว่า  #อิติปิโส๘ทิศ อย่างนี้แหละ

   แล้วก็ชักเป็นยันต์ เรียกสูตรตามเส้นที่เขาชักไป สำหรับยันต์เกราะเพชรนี่หลวงพ่อปานปลุกได้ดีมาก เพราะว่าเวลาท่านจะเป่าให้ใครนั้น ท่านเขียนยันต์ใส่กระดานดำไว้แล้วท่านก็ยืนอยู่ข้างหลัง  

   ให้ทุกคนจุดธูปเทียนแล้วภาวนาว่า #พุทโธ ถ้าคนไหนมีครรภ์ ผู้หญิงมีครรภ์ก็ให้จุดธูป ๑ ดอก แทนลูกในครรภ์ แล้วท่านก็เป่า  

   #เวลาเป่ายันต์เข้าตัวจะมีความรู้สึกหนักที่ศีรษะหรือว่าคันที่หน้าอย่างที่เรียกว่ายันต์เข้าจับตัวแล้ว ถ้ายันต์เข้าจับตัวทุกคนก็จะเป็นอันว่าเลิกกัน  

   ท่านเป่าเฉพาะวันเสาร์ ๕ คือว่าเป็นเดือนอะไรก็ตามเป็นขึ้น ๕ ค่ำวันเสาร์ หรือวันเสาร์ตรงกับขึ้น ๕ ค่ำ อันนี้ใช้ได้ เรียกว่าท่านทำเป็นปกติ

   แล้วก็วันเสาร์ห้านี่แหละ เป็นวันยกครูของท่าน ท่านจะยกครูหมอ ครูอะไรก็ตามก็ทำกันวันเสาร์ห้าคนเยอะยิ่งกว่ามีงานวัดอีก

   ศาลาของท่านใหญ่จุคนเป็นพัน แต่เวลาเป่ายันต์เกราะเพชรจริงๆต้องผลัดกัน ๔-๕ รุ่น เรียกว่า นั่งเต็มศาลา เป่า ๑ คราว ใครเป่าแล้วก็ลงมา คนที่ยังก็ขึ้นไปอย่างนี้เปลี่ยนกันถึง ๔-๕ รุ่น

▪︎คุณสมบัติของยันต์เกราะเพชร▪︎

   ก็เป็นการกันการกระทำ การกลั่นแกล้งจากคนอื่นด้วย วิชาการนี้ดีมาก หากว่าใครขืนทำเข้ามาคนนั้นน่ะเคราะห์ร้าย เคราะห์ร้ายเพราะอะไร ของเหล่านั้นมันจะกลับสะท้อนย้อนเข้าไปหาตัว

   คราวหนึ่งพระผลบวชพรรษาเดียวกับฉัน แกอยู่อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี แกไปรับยันต์เกราะเพชร พอรับแล้วแกก็ออกไปหลังวัด ปรากฏว่าถูกงูเห่ากัดเห็นตัวชัดเพราะเป็นกลางคืนเดือนหงาย เห็นว่าเป็นงูเห่าแน่ เอาไฟส่องดูก็แผ่แม่เบี้ยหลาเป็นงูเห่า แกก็วิ่งเข้ามาหาหลวงพ่อปาน   

หลวงพ่อปาน ก็ถามว่า..
แกรับยันต์เกราะเพชรหรือเปล่า  

พระผลก็บอกว่า..รับขอรับ

ท่านบอกว่า..ถ้ารับ ไม่รักษา ฉันอยากจะดูคนมันตายเพราะอำนาจงูกัดที่ได้รับยันต์เกราะเพชรไปแล้วสักคน ถ้าหากว่าแกตายฉันจะดีใจมาก

ท่านผลหน้าซีด ปรากฏว่าในขณะที่ท่านพูด พิษมันวิ่งขึ้นมาถึงเข่าแล้วก็ถอยไปปวดอยู่ปากแผล เดี๋ยวมันก็ปวดขึ้นมาถึงเข่า แล้วก็ปวดที่ปากแผล ๓ ครั้ง 

พอวาระที่ ๓ ปรากฏว่าอาการปวดหายไปหมดเลย พิษหมดเลย  

พระผลดีใจมาก  บอกว่า..หายปวดแล้วครับ  

หลวงพ่อปานก็บอกว่า..
นั่นน่ะสิ ฉันแน่ใจว่ายันต์เกราะเพชรของฉันดี แต่ถ้าแกรับแล้วแกตายเพราะงูกัด  ฉันก็จะเห็นว่าแกเป็นคนเลวมาก ไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า เพราะว่ายันต์เกาะเพชรนี่ ฉันอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าคุ้มครองนะไม่ใช่อื่น ถ้าแกตาย แล้วก็เป็นพระด้วย แกรับยันต์เกราะเพชรไปแล้วด้วย ถ้าถูกงูกัดแล้วตายเพราะงูพิษก็น่าจะตายหรอก  

เพราะว่าคนที่บวชแล้วไม่เคารพในพระพุทธเจ้า ไม่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาเป็นคนเลวก็ควรจะตาย 

แต่ว่านี่แกไม่ตาย นี่ก็แสดงว่าแกเป็นคนดีแล้ว ความมั่นคงในพระพุทธเจ้าใช้ได้  
นี่ว่ากันถึงยันต์เกราะเพชร

#หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี
หนังสือธัมมวิโมกข์๓๕๓ส.ค.๕๓ หน้า ๔๕-๔๗
#เพจคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
พิมพ์เพื่อธรรมทานโดย..
🖋..Moddam Thammawong

14 เมษายน 2566

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็น อรหันต์องค์เอก *


* หลวงปู่ดาบส สุมโณ กล่าวขานถึง หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

..." พระคุณเจ้าองค์นั้น เป็นอรหันต์องค์เอกองค์หนึ่งของโลก ในปลายศาสนา ๕,๐๐๐. ปี จะหาใครสอนเสมอเหมือนพระคุณท่าน หาไม่ได้แล้ว. 

~ พระคุณท่านองค์นั้น สอนได้คล้ายพระพุทธเจ้าสอน  เพราะท่านปรารถนาพระโพธิญาณ.

~ ถ้าท่านไม่ลาพุทธภูมิ หักใจเป็นพระอรหันตสาวกเสียก่อน  ท่านเทศน์คราวไร  เรา.. พวกเรานี้  ที่บำเพ็ญบารมีตามท่านมา  ก็จะฟังเทศน์จากท่านเพียงครั้งเดียว ก็จะเป็นพระอรหันต์ตามได้.
 
~ จำไว้นะ..!  กลับไปฟังคำสอนของพระคุณท่าน  ฟังเทปของท่าน  ดูวีดีโอของท่าน  ให้ส่งจิตคิดตามเสียงท่าน ประหนึ่งว่าเป็นเสียงในใจเรา.

~ ก็อาจจะบรรลุมรรคผลได้ตามที่ตัดสินใจ ตามเสียงนั้นเฉพาะหน้า เหมือนฟังจากพระพุทธเจ้านั่นแหละ องค์นี้หาใครสอนได้เสมือนท่านยากนักหนาแล้ว..."

( ที่มา..เพจ วัดท่าซุง..ยุพยง พัฒนเจริญ )

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...