28 เมษายน 2566

เทวสภา แม่ศรี ท่านย่า โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

**เทวสภา แม่ศรี ท่านย่า** **หลวงพ่อพระราชพรหมยาน**
**แม่ศรีนี่ ท่านอยู่นิพพานแล้วนะ ท่านย่าก็เป็นพระอริยะขั้นอรหัตมรรค**

**พระโพธิสัตว์ที่อยู่ชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นที่ ๖ มีหน้าที่เหมือนกับพระ ไปสงเคราะห์พรหม เทวดา ด้วยการเทศน์**

**อย่าง [#พระอินทร์](https://www.facebook.com/hashtag/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C?__eep__=6&__cft__%5B0%5D=AZV0e0IukAVfDOFlzAjmx5VMzgRl2ut3qoA1BOs6wyijv-vEhA8G66Aa5QWfeW2EmxXfign74NNU8zigHdTxBOyCzir2yTsETl5oFqcGG_DiBNhgv31nuPmN_6_AFstxJ86_ZoPyw31vSATaLTUnDIDYud1YODCJ22PAeac1vCB95cU9UvXhOdlafuSQpOp5Uk6u_8clxRIdi0vyTBgcmhMu&__tn__=%2ANK-y-R) เวลาถึงวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ถึงวันโกนสิ้นเดือน เทวดาต้องไปประชุมกันที่เทวสภา ตามปกติ**

พระอินทร์จะไปเชิญพระโพธิสัตว์มาเทศน์ บางคราวก็หาพระโพธิสัตว์ว่างไม่ได้พระอินทร์ต้องเทศน์เอง

**ไม่เคยเห็นเทวดานอน สวรรค์ พรหม นิพพาน ไม่มีกลางคืน ไม่มีกลางวัน ไม่มีพระอาทิตย์**

ในแดนนรกก็ไม่มีกลางวัน และกลางคืน ไม่มีพระอาทิตย์เหมือนกัน

**ฉะนั้น คำว่าหยุด คำว่าพัก คำว่าเหนื่อยไม่มี** หนักก็ดี กลุ้มก็ดี ไม่มีสำหรับเทวดา ท่านมีสภาพเป็นทิพย์ ไม่มีสภาพหนัก

มนุษย์นี่มีธาตุดิน จึงทำให้หนัก ของท่านไม่มีธาตุ เป็นนามธรรม **ที่เรียกว่า "รูปในนาม**" มีสภาพ คล้ายอากาศเบาๆ ทุกอย่างไม่มีของหนักอย่างเรา ฉันตอบได้เพราะว่าฉันเคยตายมาหลายอสงไขยกัป

**เป็นเทวดา เป็นพรหม บำเพ็ญบารมีต่อได้**เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ เขาบรรลุมรรคผลมากกว่าคน อย่าง"**ท่านแม่ศรี" อยู่ดาวดึงส์ เป็นอรหันต์ก็ไปนิพพานเลยเขาตัดเลย**

หลวงพ่อเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน **พุทธภูมิ ถ้าบำเพ็ญบารมีต่อ เขาคิดเฉพาะเมืองมนุษย์นะ**สวรรค์นี่เขาไม่คิดให้ ชาตินี้เลยลาพุทธภูมิ

**พระพุทธเจ้ามีเป็นแสนองค์นับไม่ไหว** พระพุทธเจ้าไปเทศน์บนสวรรค์ สมัยมีร่างกายเป็นมนุษย์ท่านก็เทศน์ นิพพานไปแล้วท่านก็ยังเทศน์ เดี๋ยวนี้ท่านก็เทศน์ ฉันฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้าทุกวัน เวลาแนะนำคน ฉันต้องการฟังข้างหลังหรือบนหัว

**นักเทศน์บางคนพูดว่า การบำเพ็ญบารมีต้องอาศัยชาติมนุษย์ เป็นเทวดาหรือพรหมบำเพ็ญบารมีต่อไม่ได้** **อันนั้นไม่จริง** เทวดาหรือพรหมที่เป็นพระอนาคามี ไม่มีใครกลับมาอีก บำเพ็ญตนให้เป็นพระอรหันต์ ไปนิพพานเลย

คนที่จะเป็นเทวดาได้ต้องมีความดี ๒ อย่างประจำใจ คือ..

**๑.หิริ ความละอายต่อความชั่ว**

อายความชั่ว ไม่ยอมทำความชั่วทั้งต่อหน้าและลับหลังคน ไม่ว่าในสถานที่ใดทั้งหมดขึ้นชื่อว่าความชั่วไม่ทำ

**๒.โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่ว จะให้ผลเป็นทุกข์**

"เทวะ" แปลว่า ผู้ประเสริฐ คนที่จะเป็นเทวดาได้ต้องมีคุณธรรม ๒ ประการคือ หิริ และโอตตัปปะ

ฉะนั้นการนึกถึงเทวดาโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ได้มโนมยิทธิ ก็มักจะเอาจิตไปจดจ่อกับ**แม่ศรี บ้าง ท่านย่า** บ้าง อย่าลืมว่าทั้ง ๒ ท่านเป็นพระอริยเจ้า

**แม่ศรีนี่ ท่านอยู่นิพพานแล้วนะ ท่านย่าก็เป็นพระอริยะขั้นอรหัตมรรค** ใกล้จะถึงผลแล้ว ทั้งสองท่านนี่ต้องถือว่าเป็น [#วิสุทธิเทพ](https://www.facebook.com/hashtag/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E?__eep__=6&__cft__%5B0%5D=AZV0e0IukAVfDOFlzAjmx5VMzgRl2ut3qoA1BOs6wyijv-vEhA8G66Aa5QWfeW2EmxXfign74NNU8zigHdTxBOyCzir2yTsETl5oFqcGG_DiBNhgv31nuPmN_6_AFstxJ86_ZoPyw31vSATaLTUnDIDYud1YODCJ22PAeac1vCB95cU9UvXhOdlafuSQpOp5Uk6u_8clxRIdi0vyTBgcmhMu&__tn__=%2ANK-y-R) เทวดาชั้นสูงสุด ในเมื่อเรานึกถึงท่านแล้วก็อย่านึกถึงท่านอย่างเดียว นึกถึงความดีของท่านว่า ท่านทั้งสองก่อนจะตายจากความเป็นคน เป็นเทวดาเพราะอะไรเป็นเหตุ

ทีนี้ท่านทั้งสองก็ต้องมี หิริ ความละอายความชั่ว สอง โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่ว ให้ผลในด้านความทุกข์ ทั้งสองท่านนี่เป็นพระอริยเจ้าทั้งหมด ท่านหนึ่งไปถึงนิพพานแล้ว อีกท่านหนึ่งถ้าไม่ห่วงลูกห่วงหลานก็ไปถึงนิพพานแล้วเหมือนกัน

**ที่กักตัวไว้ก็เพียงแต่ว่า รอรับลูกรับหลานเท่านั้นเอง**บางคนอาจจะวาดภาพว่าท่านสร้างความดีไว้มาก บาปอกุศลท่านไม่สร้างเลย อันนี้ผิด

**ทั้งสองท่านนี้เป็นนักรบทุกชาติ นักรบนี่เขาไม่ถือขนมไปรบนะ**สมัยก่อนเขาใช้หอกกันต้องรบราฆ่าฟันกันทุกชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านย่านี่เป็นจอมทัพเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถมาก ฉะนั้น การรบก็ต้องฆ่าคน แต่ว่าเมื่อการรบเสร็จไปแล้ว หรือก่อนรบ ก่อนรบนี่เป็นนักบุญ ยามสงครามก็ต้องเป็นนักรบ เลิกรบแล้วก็เป็นนักบุญ

ในเมื่อยามปกติเป็นอย่างนี้ ทั้งสองท่านนี่ไปติดอยู่ที่ดาวดึงส์ทั้งคู่ แล้วก็บำเพ็ญบารมีต่อ ท่านหนึ่งก็ไปนิพพานแล้ว อีกท่านหนึ่งก็เตรียมการไปนิพพาน **ก็ต้องดูว่า ก่อนที่ท่านตาย ท่านไปสวรรค์กันยังไง**

**ทั้ง ๒ ท่าน ก่อนจะตายจิตท่านนึกถึงบุญกุศลก่อนแล้วก็ตาย ฉะนั้นจึงไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้**

เมื่อการไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ คำว่า"สาวก" นี่มีกำลังต่อบารมีบนสวรรค์ บนพรหมโลกได้

ฉะนั้น การที่ท่านเป็นเทวดาก็มีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้า ได้พบพระอรหันต์ เมื่อฟังเทศน์จากพระอรหันต์ก็ดี เทวดา กับพรหม มีแต่ความสุข เมื่อไม่มีกังวล จิตก็ตัดกิเลสได้ง่ายเพียงฟังเทศน์จบเดียวเป็นพระโสดาบัน เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วการบำเพ็ญบารมีต่อเป็นของไม่ยาก

ฉะนั้นทั้ง ๒ ท่านเวลานี้เป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงคือเป็นพระอรหัตผลไปนิพพานได้แล้วหนึ่ง กำลังเป็นอรหัตมรรค กำลังพร้อมที่จะไปนิพพานหนึ่ง ฉะนั้น [#เทวตานุสสติ]

พิมพ์เพื่อธรรมทานโดย..

🖋..Moddam Thammawong

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...