มีเหตุแล้วก็เกิดขึ้นมาเรียกว่าสังขาร
สังขารมีทั้งรูปธรรม
อย่างร่างกายเราก็เป็นสังขารอย่างหนึ่ง
ความรู้สึกนึกคิดจิตใจก็เป็นสังขารอีกอย่างหนึ่ง
เกิดแล้วก็ดับ ๆ มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไป
สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ คือมันทนอยู่ตลอดไปไม่ได้
มันถูกบีบคั้นให้แตกสลายอยู่ตลอดเวลา
มีสิ่งที่ไม่ใช่สังขาร วิสังขาร
วิสังขารคือพระนิพพาน พระนิพพานไม่มีการเกิดขึ้น
ฉะนั้นพระนิพพานไม่มีการดับไป ไม่ใช่สังขาร
เราเรียนสังขารนี้ให้ดี พอเรียนสังขารได้ดีแล้ว
วันหนึ่งเราจะเห็นวิสังขาร สิ่งที่เหนือการเกิดดับ
ส่วนธาตุขันธ์อะไรนี่มันเป็นสังขาร
อย่างไรก็เกิดดับ มีได้เสื่อมได้
ถ้าเราภาวนาจิตมันถึงวิสังขาร มันคล้าย ๆ
ครูบาอาจารย์สมัยโบราณท่านเปรียบ
เหมือนเราเคี่ยวกะทิ
เคี่ยวจนกระทั่งมันเป็นน้ำมันขึ้นมา แยกชั้นออกมา
น้ำมันก็ไม่กลับเข้าไปรวมกับน้ำกะทิที่เหลือแล้ว
ฉะนั้นจิตที่มันเรียนรู้สังขารแจ่มแจ้ง
มันจะถอดถอนตัวเองขึ้นเหนือสังขารเป็นวิสังขาร
เมื่อจิตมันเข้าถึงวิสังขาร
มันจะไม่กลับเข้าไปรวมกับสังขารอีก
ส่วนสังขารก็แก่ไป เจ็บไป ตายไป
เป็นธรรมชาติธรรมดา
สิ่งเหล่านี้พวกเราต้องค่อย ๆ ภาวนาไป
พากเพียรไป ตั้งใจให้เด็ดเดี่ยว ทุกวัน ๆ
เตือนตัวเองชีวิตของเราสั้นนิดเดียว จะอยู่ได้อีกสักกี่ปีก็ไม่รู้
ก่อนจะตายต้องหาสิ่งที่ดีที่สุด ให้ติดเนื้อติดตัวเราไป
ไม่เคยรักษาศีลก็รักษาเสีย ไม่เคยฝึกสมาธิก็ฝึกเสีย
ไม่เคยทำวิปัสสนาก็ทำเสีย
ค่อย ๆ พัฒนาตัวเองขึ้นไปเป็นลำดับ ๆ จนเกิดปัญญา
ปัญญาขั้นต้นก็จะเห็นว่า 'สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ'
ปัญญาขั้นกลางก็จะเห็น 'รูปทั้งหลายนั้นคือตัวทุกข์'
ปัญญาขั้นสูงก็จะเห็น 'นามทั้งหลายนั้นเป็นตัวทุกข์'
พ้นจากรูปพ้นจากนามไป ก็จะไปรู้จักวิสังขาร
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
21 พฤษภาคม 2565
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น