18 เมษายน 2566

วิสังขาร

สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเรียกว่าสังขาร 
มีเหตุแล้วก็เกิดขึ้นมาเรียกว่าสังขาร 
สังขารมีทั้งรูปธรรม 
อย่างร่างกายเราก็เป็นสังขารอย่างหนึ่ง 
ความรู้สึกนึกคิดจิตใจก็เป็นสังขารอีกอย่างหนึ่ง 
เกิดแล้วก็ดับ ๆ มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ 
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไป 
สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ คือมันทนอยู่ตลอดไปไม่ได้ 
มันถูกบีบคั้นให้แตกสลายอยู่ตลอดเวลา 

มีสิ่งที่ไม่ใช่สังขาร วิสังขาร 
วิสังขารคือพระนิพพาน พระนิพพานไม่มีการเกิดขึ้น 
ฉะนั้นพระนิพพานไม่มีการดับไป ไม่ใช่สังขาร 
เราเรียนสังขารนี้ให้ดี พอเรียนสังขารได้ดีแล้ว 
วันหนึ่งเราจะเห็นวิสังขาร สิ่งที่เหนือการเกิดดับ 
ส่วนธาตุขันธ์อะไรนี่มันเป็นสังขาร 
อย่างไรก็เกิดดับ มีได้เสื่อมได้ 

ถ้าเราภาวนาจิตมันถึงวิสังขาร มันคล้าย ๆ 
ครูบาอาจารย์สมัยโบราณท่านเปรียบ 
เหมือนเราเคี่ยวกะทิ 
เคี่ยวจนกระทั่งมันเป็นน้ำมันขึ้นมา แยกชั้นออกมา 
น้ำมันก็ไม่กลับเข้าไปรวมกับน้ำกะทิที่เหลือแล้ว 
ฉะนั้นจิตที่มันเรียนรู้สังขารแจ่มแจ้ง 
มันจะถอดถอนตัวเองขึ้นเหนือสังขารเป็นวิสังขาร 
เมื่อจิตมันเข้าถึงวิสังขาร 
มันจะไม่กลับเข้าไปรวมกับสังขารอีก 
ส่วนสังขารก็แก่ไป เจ็บไป ตายไป 
เป็นธรรมชาติธรรมดา 

สิ่งเหล่านี้พวกเราต้องค่อย ๆ ภาวนาไป 
พากเพียรไป ตั้งใจให้เด็ดเดี่ยว ทุกวัน ๆ 
เตือนตัวเองชีวิตของเราสั้นนิดเดียว จะอยู่ได้อีกสักกี่ปีก็ไม่รู้ 
ก่อนจะตายต้องหาสิ่งที่ดีที่สุด ให้ติดเนื้อติดตัวเราไป 
ไม่เคยรักษาศีลก็รักษาเสีย ไม่เคยฝึกสมาธิก็ฝึกเสีย 
ไม่เคยทำวิปัสสนาก็ทำเสีย 
ค่อย ๆ พัฒนาตัวเองขึ้นไปเป็นลำดับ ๆ จนเกิดปัญญา 
ปัญญาขั้นต้นก็จะเห็นว่า 'สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ' 
ปัญญาขั้นกลางก็จะเห็น 'รูปทั้งหลายนั้นคือตัวทุกข์'
ปัญญาขั้นสูงก็จะเห็น 'นามทั้งหลายนั้นเป็นตัวทุกข์' 
พ้นจากรูปพ้นจากนามไป ก็จะไปรู้จักวิสังขาร

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
21 พฤษภาคม 2565

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...