22 มิถุนายน 2566

ไม่มีเวลานั่งสมาธิ

ไม่มีเวลานั่งสมาธิหรือไม่มีเวลาสวดมนต์
ให้ฝึกสติ ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
ให้มีสติรู้ตัวตลอดเวลา
นั่นแหละ คือการภาวนาอย่างยิ่งยวด

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ

**พระเจ้าอชาตศัตรูตายแล้วไปอยู่โลหะกุมภีนรก หลวงพ่อฤาษี**

 
 เรื่องที่ ๑๖๑ พระเจ้าอชาตศัตรูตายจากความเป็นคนไปอยู่โลหะกุมภีเป็นยมโลกียนรกขุมที่ ๑
 โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
 
 "..**พระเจ้าอชาตศัตรูมีความทรยศต่อพระราชบิดาคือพระเจ้าพิมพิสาร** เป็นกบฏคิดฆ่าพ่อด้วยอำนาจของพระเทวทัตยุยงส่งเสริม เจตนาเดิมของพระองค์ไม่มี ในจิตใจของท่านนั้นไม่เต็มใจจะทำ แต่ว่าโดนพระเทวทัตยุหนักๆ เข้าก็ทนไม่ไหว ในที่สุดก็ต้องตามใจเพราะถือว่าเป็นอาจารย์ จึงคิดประหัตประหารพระราชบิดา**ซึ่งเป็น พระโสดาบัน** โดยแย่งราชสมบัติและก็ทรมานพ่อ จับขังคุก ต่อมาก็ให้อดข้าว

แต่พระเจ้าพิมพิสารท่านเดินจงกรมจึงอยู่ด้วยธรรมปีติ แม้จะอดข้าวก็ไม่ตายผิวพรรณยังผ่องใส ในที่สุดก็ถูกเฉือนเท้าไม่ให้เดิน ท่านมีความเจ็บปวดมาก แต่จิตใจของพระองค์ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าจึงมีจิตใจชุ่มชื่น
 
 หลังจากการฆ่าพระราชบิดาตายแล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูก็เข้าหาพระ ทำบุญเป็นการใหญ่ ต่อมาได้ขอขมาต่อพระรัตนตรัยและเป็นองค์อุปถัมภ์พระศาสนาตั้งแต่ปฐมสังคายนาเป็นต้นมา

ความจริงโทษอันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า **"จะต้องตกอเวจีมหานรก แต่อาศัยบุญใหญ่อันนี้จึงช่วยให้พระเจ้าอชาตศัตรูไม่ต้องลงอเวจีมหานรก มาตกอยู่แค่โลหะกุมภีซึ่งเป็นยมโลกียนรกขุมที่ ๑**"

สำหรับนรกขุมนี้ไม่ได้บอกอายุไว้ ไม่เหมือนนรกขุมใหญ่บอกอายุไว้ แต่ก็นานเหลือเกินเพราะพอลงไป ๑ ขุม อย่างน้อยที่สุดพระพุทธเจ้าตรัสไป ๒-๓ องค์ ก็ยังไม่ได้โผล่ขึ้นมาเลย

**โลหะกุมภี สำหรับโทษปาณาติบาต** **ถ้าทำปาณาติบาตก็ต้องไปตกนรกขุมใหญ่ก่อนแล้วไปผ่านนรกบริวาร **เศษของกรรมยังไม่หมดต้องมาลง**โลหะกุมภี "โลหะ" แปลว่า "ของแข็ง" เช่น เหล็ก ทองแดง ทองเหลือง เป็นต้น
 **
 "กุมภี" แปลว่า "หม้อ"
 
 รวมแล้วแปลว่า "**หม้อโลหะใหญ่**" มีหม้อทองแดงใหญ่มหึมาใหญ่เท่าๆ กับปริมาณของสัตว์นรกที่จะลงนรกขุมนี้ ถ้ามีสัตว์นรกมากหม้อก็ใหญ่มาก

ถ้ามีสัตว์นรกน้อยหม้อก็ใหญ่น้อย ในหม้อทองแดงนี้มีนํ้าทองแดงเป็นนํ้าโลหะที่ถูกเคี่ยวมีความร้อนจัดและมีความรัดตัว บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่มีโทษปาณาติบาตเหลือเป็นเศษของกรรม นายนิรยบาลก็เอาลงหม้อทองแดงโดยเอาหอกเสียบแล้วก็โยนลงไปในหม้อทองแดงบ้าง เอาค้อนใหญ่ตีหัวให้คะมำลงไปในหม้อบ้าง ในหม้อทองแดงมีนํ้าโลหะร้อนเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา สัตว์นรกถูกความร้อนเผาผลาญอยู่อย่างนั้น ขึ้นมาปากหม้อแล้วก็จมลงไปก้นหม้อ เมื่อจมลงไปก้นหม้อแล้วก็ไหลขึ้นมาปากหม้อ วนกันอยู่แบบนั้นไม่มีเวลาหยุดจนกว่าจะหมดเศษกรรมเรื่องปาณาติบาตและก็ใช้เวลานานมาก
 
 **บางท่านบอกว่าสัตว์เกิดมาเป็นอาหารของคน สำหรับคนเลวเท่านั้นที่พูดแบบนี้**

สัตว์ทุกตัวรักชีวิตจะเห็นว่า เวลาที่เราจะเข้าไปจับหรือเวลาที่เราจะฆ่ามัน มันมีอาการดิ้นรนหนีเพื่ออิสรภาพไม่ต้องการให้ใครทำร้ายมัน **การฆ่าสัตว์ที่ยังมีชีวิตทุกประเภทจะต้องลงโลหะกุมภี**

เคยมีพวกหมอมาถามว่า "พวกพยาธิที่อยู่ในท้องก็ดี บรรดาเชื้อโรคทั้งหลายก็ดี ก็มีร่างกายมีชีวิตเหมือนกัน อย่างนี้ถ้าเราฆ่ามีโทษไหม" อันนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้บอก บอกแต่พวกเล็นพวกไรต่างๆ

**แต่ว่าการฆ่าต้องเต็มไปด้วยเจตนา ถ้าหากว่าเราเดินไปเหยียบตายโดยไม่เห็น ไม่มีเจตนาอย่างนี้ ท่านไม่จัดว่าเป็นกรรมต้องลงนรก**

เวลายุงกัดเรารำคาญเอามือไปลูบไปแตะคิดว่าจะให้ยุงหนีไป บังเอิญเป็นยุงก้นปล่องมันกินเลือดเราเข้าไปเต็มที่แล้วมันไปไม่ไหว ตัวมันอ่อน พอไปถูกเข้าตายโดยไม่มีเจตนาจะฆ่าให้ตาย อย่างนี้ไม่มีโทษต้องลงโลหะกุมภี
 
 ถ้าไม่ต้องการมายมโลกียนรกขุมที่ ๑ คือโลหะกุมภี ก็มีเมตตาปรานีเข้าไว้ หรือทรงพรหมวิหาร ๔ ทั้งหมด ก็จะไม่ปรากฏร่างของเราในอบายภูมิ.."
 
 ........................................

จากหนังสือตายแล้วไปไหน เรื่องที่ ๑๖๑ จากทั้งหมด ๑๗๙ เรื่อง
 #ตายแล้วไปไหน_หลวงพ่อฤาษี2 #หลวงพ่อฤาษี4

*น้ำพระทัยที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าตากสินมหาราช เหตุผลที่ทำให้พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกต้องขึ้นครองราชย์หลวงพ่อฤาษี**

*

**เรื่อง พระเจ้าตากสิน ไม่ได้ถูกประหารชีวิต หลวงพ่อฤาษี**

* หลวงพ่อฤาษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ..เล่าให้ฟัง

..." **พระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์เป็นคนรักชาติ เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งหลังยับเยินมาก พระองค์มีกำลัง ๕๐๐ คน ตีฟันฝ่าข้าศึกออกไป รวบรวมกำลังคนได้ไม่เกิน ๕ พันคน ก็กำลังใหญ่ ๆ ๑๐ จุดของกำนันจัน ( นายจันทร์หนวดเขี้ยว ) นั้นแหละ กลับมากู้กรุงศรีอยุธยา สามารถกู้คนไทยได้ทั้งชาติ**

~ นี่.. เราก็ต้องถือว่า เป็นบารมีของพระเจ้าแผ่นดิน ที่สามารถรวบรวมคนสำคัญไว้ได้ เช่น.. พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็ดี กรมพระราชวังบวรก็ดี นี่ ต้องถือว่าเป็นคู่บารมี เป็นคนที่มีบุญคุณต่อประเทศชาติมาก

~ เวลานั้น ตอนกรุงแตกมีคนขายชาติ แต่สมัยพระเจ้าตากสินไม่มีคนขายชาติ เพราะถ้ามีคนขายชาติละก็ ถูกกำจัดเสียหมดไม่เหลือ ดูคนคิดคดทรยศอย่างพระยาสรรค์ ก็ถูกประหารชีวิต

* การปกครองกันต้องทำกันแบบนี้จึงจะถูก ไม่ควรปล่อยให้ไอ้พวกขอมเก่า เข้ามาทำลายชาติ..

~ เวลานี้เรามักนิยมขอมเก่ากัน ทั้ง ๆ ที่มันทำลายชาติไทยไปตั้งหลายวาระ และมันก็อ้างว่าจะทำโน่นให้เจริญ จะทำนี่ให้เจริญ แต่มันบ่อนทำลายทุกอย่าง

~ เมื่อพระเจ้าตากสินขึ้นมาเป็นกษัตริย์ พระองค์ไม่ได้เป็นลูกกษัตริย์ ไม่มีราชสมบัติมาก่อน การรบทัพจับศึกมีไม่ได้หยุด

~ นึกดูก็แล้วกัน ท่านเป็นพ่อบ้าน เพียงแค่พ่อบ้านแม่เรือน ก็รู้อยู่ว่า การจับจ่ายใช้สอยมันมากมายเพียงใด ถ้าเป็นเรื่องของประเทศล่ะ จะจับจ่ายใช้สอยกันมากมายขนาดไหน.. เงินที่ใช้สอย เบี้ยหวัด เบี้ยบำนาญ เงินเดือนข้าราชการของท่าน ก็ไม่มี

* **ผลที่สุด ในฐานะที่พระองค์มีเชื้อสายเป็นจีนมาก่อน ท่านจึงต้องอาศัยจีน คือ.. ขอยืมเงินเจ้าสัวคนจีนเขามา เพราะเป็นหนี้เบี้ยหวัด เบี้ยบำนาญข้าราชการเขาอยู่มาก**

~ ฉะนั้น มาบั้นปลายของชีวิต ท่านจึงมาคิดว่า.. "ถ้าเราเป็นกษัตริย์ต่อไป เราก็ต้องใช้หนี้เขา เงินก็ไม่มีจะใช้หนี้เขา"

* **จึงได้เรียก สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก หรือพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เข้ามาพบในวัง วันหนึ่ง ให้ทรงเครื่องรบขัดดาบมาด้วย**

* เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ท่านก็แปลกใจ คิดว่า.. คงจะมีเรื่องร้าย ครั้นเข้ามาแล้วก็ปรากฏว่า.. พระเจ้าตากสินอยู่ ทรงอยู่องค์เดียวในห้องพระ ทรงขาวทั้งชุด นั่งชักลูกประคำ..

~ **พระพุทธยอดฟ้าเห็นแบบนั้น ก็ไม่กล้าเข้ามา เพราะขัดดาบมาด้วย พระเจ้าตากสินเห็นเข้า..**

**~ ก็ทรงเรียกว่า : "ด้วงเรอะ เข้ามาซิ ( ความจริง ท่านเป็นเพื่อนกัน ) เอาดาบเข้ามาด้วย"**

* **พระพุทธยอดฟ้าจะถอดดาบเก็บข้างนอก ก็จำต้องถือเข้ามา แล้ววางดาบไว้ห่าง ๆ หมอบคลานเข้าไปเฝ้า..**

**~ พระเจ้าตากสิน รับสั่งว่า : "หยิบดาบมาให้ใกล้"**

* **พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็เลยเอามือกระทุ้งดาบออกนอกประตูไป ในฐานะที่พระมหากษัตริย์ประทับอยู่พระองค์เดียว การถือดาบเข้าไปอย่างนั้นย่อมไม่เหมาะ และอยู่ในชุดรบ..**

~ พระเจ้าตากสินจึงถามว่า : "**ด้วง อยากจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินไหม**"

~ พระพุทธยอดฟ้าก็กราบทูลว่า :"**ไม่เคยคิด พระพุทธเจ้าข้า**"

~ พระเจ้าตากสิน จึงบอกว่า : "**ด้วง จะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน**"

* แล้วทรงเล่าเรื่องตามความเป็นจริงให้ทราบ..

~ แล้วบอกว่า : "อีกไม่กี่วัน เจ้าสัวเขาจะมาทวงเงินเขา ด้วงก็รู้อยู่แล้วนี่ว่า ฉันเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ยากจนที่สุด"

"**ฉันไม่มีทรัพย์สินที่ไหนมาเลย ต้องกู้เงินเจ้าสัวเขามาจับจ่ายใช้สอย เวลานี้ฉันก็เป็นหนี้เบี้ยหวัด เงินเดือน เงินปีของข้าราชการอยู่มาก ยังชำระไม่หมด.. การรบทัพจับศึกก็ไม่เสร็จ ทำอยู่ตลอดเวลา การจับจ่ายใช้สอยมันก็มาก"**

"**ถ้าฉันจะเอาเงินใช้หนี้เขา ก็ไม่พอ เราก็จะต้องกู้หนี้ยืมสินเขาใหม่อีก และเงินเก่าเราก็ไม่มีให้เขาพร้อมทั้งดอกเบี้ย ฉันลำบากมาก.. ถ้ากระไรก็ดี ด้วงจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน**"

"เวลานี้เขมรแข็งเมือง ให้ด้วงยกทัพไปตีเขมร เอาลูกชาย ๒ คนของฉันไปด้วย และเมื่อไปตีเขมรได้แล้ว ไม่ต้องเอาลูกชายฉันมา ให้ครองอยู่ที่นั้น"

"**ด้วงกลับมา ด้วงเป็นกษัตริย์ สำหรับเงินที่จะต้องใช้ให้แก่ข้าราชการ เบี้ยหวัด เงินปีต่าง ๆ ที่คั่งค้าง ฉันเตรียมไว้แล้ว และเงินอีกส่วนหนึ่งที่จะใช้เวลาที่ด้วงเป็นกษัตริย์ ฉันก็เตรียมไว้แล้ว รวมเป็น ๓ ส่วนด้วยกัน**"

"ซึ่งในระยะไม่ช้า เจ้าสัวเขาก็จะมาทวงเงินเขา ซึ่งตอนนี้แหละ ด้วงจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และฉันจะต้องพ้นจากตำแหน่งพระเจ้าแผ่นดิน"

"แต่ ด้วงทำงานคราวนี้ ต้องทำในรูปปฏิวัติ หรือ ทำในรูปขบถยึดอำนาจจากฉัน แต่การยึดอำนาจกันเฉย ๆ ใคร ๆ เขาจะคิดว่า.. ด้วงเป็นคนอกตัญญู เห่อเหิมมาก"

"**ฉันจะทำทีเหมือนว่า เป็นนักบวช และ ทำเป็นสติฟั่นเฟือนในที่สุด**"

"**กลับมาแล้ว ด้วงก็จับฉันประหารชีวิต แต่การประหารชีวิตฉันนั้น จะประหารจริงหรือหลอก ก็ให้เป็นวิธีการของด้วง ฉันพร้อมที่จะยอมตายเพื่อชาติ**"

* เห็นไหมลูกหลานที่รัก คนดีท่านทำอย่างนี้ ท่านไม่มานั่งเมามันเพื่อต้องการรัฐธรรมนูญ ต้องการรัฐสภา.. เวลาประกาศกับประชาชนก็ว่า.. ต้องการเป็นตัวแทนของประชาชนชาวไทย.. แต่เมื่อเลือกเข้าไปแล้วก็อยากจะเป็นรัฐมนตรี มุ่งความเป็นใหญ่..

* แต่นี่ พระเจ้าตากสินมหาราช ท่านไม่ต้องการอย่างนั้น เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เวลานั้น ได้ทราบความจริง และ สมเด็จพระเจ้าตากสินก็มีพระทัยมั่นคงต้องการให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เป็นพระเจ้าแผ่นดิน..

* ไม่อย่างนั้น ประเทศไทยเราจะทรงตัวอยู่ไม่ได้ เพราะว่า.. ท่านกู้เงินของจีน ถ้าไม่มีเงินให้เขา ก็อย่าลืมว่าประเทศไทยกับประเทศจีนน่ะ กำลังต่างกัน เราเองก็เพิ่งจะตั้งตัวได้ใหม่ ๆ เพียงแต่จีนเขาใช้กำลังใกล้ ๆ กับเรา เราก็สู้เขาไม่ได้.. ถ้าเขาหาว่า เราโกงเขา.. นี่เนื้อแท้ความจริงเป็นอย่างนี้..

* **แต่ทว่า.. ต่อมาภายหลัง พระยาสรรค์บุรี ทำงานเกินอำนาจที่สั่งไว้.. จับพระเจ้าตากสินเอาเสียจริง ๆ จับแบบเอาจริง..**

* แต่ตอนเข้าไปจับนั้น ท่านท้าวผกาพรหม บอกว่า : "ขุนดาบ ๑๐ พระยา ของพระเจ้าตากสิน นี่จะสู้ เพราะมีกำลังรักษาพระองค์อยู่พอสมควร พระยาสรรค์บุรีไปเอากำลังมาจากกรุงศรีอยุธยา"

* **เนื้อแท้จริง ๆ ถ้ารบกัน พระยาสรรค์ ก็หัวขาด.. แต่ทว่า พระเจ้าตากสินคิดว่า.. ถ้าเกิดสู้กันจริง ๆ งานที่คิดไว้ก็ไม่เป็นผล เพราะว่า.. ขุนดาบ ๑๐ พระยา นี่ ไม่รู้เรื่อง ถ้ารบก็ต้องรบถึงขั้นแตกหักกันจริง ๆ พระองค์จึงห้ามปราม "๑๐ พระยา" นั่น ปล่อยให้พระยาสรรค์จับ**

*** เรื่องการลงโทษพระสงฆ์ของพระเจ้าตากสิน.. เรื่องนี้ก็หลอกกัน.. เมื่อพระสงฆ์ทำผิดเรียกมาสอบสวน เวลาจะลงโทษ ก็เอานักโทษมาโกนหัว เอาผ้าเหลืองนุ่ง แล้วก็เฆี่ยนตี เขาก็หาว่า ท่านบ้าเฆี่ยนพระ**

* **แต่ความจริง พระไม่ได้ถูกเฆี่ยน พระองค์ทำให้คนอื่นเขาเห็นว่า บ้า.. นี่ สติฟั่นเฟือน การจับให้ออกจากพระมหากษัตริย์ ก็เป็นของธรรมดา**

* **เมื่อพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทราบเรื่อง พระยาสรรค์ทำเกินเหตุ จึงยกทัพกลับ จับพระยาสรรค์บุรีประหารชีวิตเสีย ได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็น.. "สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก**"

* **มีคำสั่ง ให้เอาพระเจ้าตากสินมหาราชมาประหารชีวิต โดยการใส่กระสอบ แล้วทุบด้วยท่อนจันทน์จนตาย.. แต่คนที่อยู่ในกระสอบไม่ใช่พระเจ้าตากสิน**..

* ครั้งแรก มีราชองครักษ์ของพระองค์ มีความจงรักภักดีมาก อาสาตายแทนพระเจ้าตากสิน แต่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ไม่เอา ให้เอานักโทษประหารชีวิตมาใส่กระสอบ ทุบด้วยท่อนจันทน์ตายแทน..

* ราชองครักษ์ นั่น ก็ถูกฆ่าด้วย ในฐานะที่รู้เรื่องเข้า เดี๋ยวปากจะมากไป..

~ **และแล้ว กลางคืนวันหนึ่ง ก็ลงเรือจากปากท่อ ไปยังนครศรีธรรมราช บวชเป็นพระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา..**

*** แถวนั้นเขาเรียกกันว่า.. "หลวงตาพรหมา" ปัจจุบันเรายังพบซากกุฏิร้าง อยู่เชิงเขา แถวนั้นเป็นป่าลึก สงัดมาก ท่านเจริญพระกรรมฐานอยู่ที่นั้นจนสิ้นชีวิต..**

* หลังจากนั้นไม่นาน สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็สั่งประหารชีวิต ลูกชายพระเจ้าตากสิน ๒ คน บอกว่า.. ตัดบัวแล้วจงอย่าไว้ใย..

* แต่ปรากฏว่า.. ลูกชายคนหนึ่ง ไปโผล่ที่นครศรีธรรมราช เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทำงานที่นั่น.. อีกคนหนึ่งค้าขายเรือสำเภากับต่างประเทศ..

~ เป็นอันว่า.. พระเจ้าตากสินมหาราช ก็ถูกประหารชีวิต ตามรับสั่งของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก..

* ตามความเป็นจริงท่าน ( ท่านท้าวผกาพรหม ) เล่าให้ฟังอย่างนี้..

" มิช้ามินาน เจ้าสัวเขาก็มาทวงเงินคืน พร้อมกับเอาถ้วยโถโอชามมาขายด้วย พอเรือสำเภาของเจ้าสัวเลี้ยวเข้ามาในเขตจันทบุรี ตราด ก็ถูกลมสลาตัน คือ.. ลมหอกลมดาบพัดกระหน่ำ จนเรือจมอยู่ที่นั่น "

* **เป็นอันว่า ทั้งสองพระองค์ต้องยอมเสียชื่อเสียง เสียศักดิ์ศรีทั้งสองฝ่าย.. ก็ต้องขอบคุณท่าน.. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ยอมเสียชื่อเสียง ให้คนเขาเข้าใจว่าเป็นบ้า และถูกออกจากกษัตริย์.. สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็ต้องยอมเสียชื่อในฐานะเป็นขบถ.. แต่ความจริง ทั้งสองท่านนี้ทำเพื่อไทยทั้งชาติ ให้ชาติไทยทรงอยู่..**

*** ลูกหลานที่รัก จงจำปฏิปทานี้ไว้.. ถ้ามีความจำเป็น เราต้องเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย แม้แต่ชีวิตก็ต้องยอม..."**

( จากหนังสือ *เรื่องจริงอิงนิทาน* พิเศษ โดย พระมหาวีระ ถาวโร .. หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ของวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี )

#รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์10 #หลวงพ่อฤาษี5

"ถวาย ตรีปิฎกอาจารย์ รูปที่ ๒ ของโลก"

"ถวาย ตรีปิฎกอาจารย์ รูปที่ ๒ ของโลก"
#ผู้รู้แตกฉานในพระไตรปิฎก เป็นรูปที่ ๒ ของโลก

ถวายตำแหน่ง "ตรีปิฎกอาจารย์" แด่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ป.อ.ปยุตโต ป.ธ.๙ วัดญาณเวศกวัน จังหวัดนครปฐม

ข่าวมงคลของพระสงฆ์ไทย

สถาบัน นวนาลันทา ประเทศอินเดีย ได้มีมติถวาย ตำแหน่ง "ตรีปิฎกอาจารย์" แด่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ป.อ.ปยุตโต

หมายถึง ผู้รู้แตกฉานในพระไตรปิฎก เป็นองค์ที่ ๒ ของโลก

ส่วนรูปแรก คือ ท่านพระถังซำจั๋ง หรือ พระภิกษุ เสวียนจั้ง (ประเทศจีน)

#สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ #ตรีปิฎกอาจารย์

เพจ พัดยศ สมณศักดิ์พระสงฆ์ไทย

ขอน้อมถวายมุทิตาสักการะในโอกาสอันเป็นมงคลนี้

มงคลข่าว : พระไพศาลประชาทร วิ.

20 มิถุนายน 2566

#ถ้าไม่มีร่างกายคำว่าทุกข์ไม่มี

💛#ถ้าไม่มีร่างกายคำว่าทุกข์ไม่มี💛

✴️๑ ปัญญาเข้ามาตัดโมหะคือความหลง ที่เราหลงว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา ความจริงมันไม่ใช่ ถ้าร่างกายเป็นเราจริง เป็นของเราจริง มันต้องไม่แก่ มันต้องไม่ป่วย ต้องไม่ตาย ต้องไม่พัง ใช่ไหม #แต่นี่ร่างกายมันเกิดขึ้นด้วยกำลังของตัณหา เพราะว่าตัณหานี่นะมันสร้างมันฝังทำใจให้ชั่ว มันจึงได้ติดในอำนาจของโลภะ ความโลภ ราคะ ความรัก โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง ทำให้เราเกิด ถ้าอารมณ์อย่างนี้ไม่มี เราก็ไม่เกิด ฉะนั้นในเมื่อราคะก็ดี โลภะก็ดี โทสะก็ดี มันเพลียลุกไม่ขึ้น การใช้วิปัสสนาญาณก็ง่าย

✴️๒.เราก็มามองดูว่า ไอ้ที่เราต้องมีอารมณ์รัก เพราะเราคิดว่าร่างกายเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี เวลานี้เราเห็นสภาพสกปรกของร่างกายของเราและของคนอื่น เห็นสภาพการพังของร่างกายเราและของบุคคลอื่น #ที่เรามีทุกข์ก็เพราะอาศัยมีร่างกายเป็นสำคัญ #ถ้าร่างกายอย่างนี้ยังทรงอยู่เพียงใดเราก็ต้องทุกข์เพียงนั้น #เพราะฉะนั้นร่างกายประเภทนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก #ถ้าชาตินี้เราตายร่างกายพังก็พังถึงที่สุด #สิ่งที่เราต้องการนั่นคือพระนิพพาน #เอาจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์

✴️๓.ตื่นขึ้นมาเช้า ท่านจะทำความดีอะไรก็ตาม ตื่นขึ้นมาแล้วปั๊บใจเราจะจับไว้เสมอว่า #มนุษย์โลกก็ดี_เทวโลกก็ดี_พรหมโลกก็ดีจะไม่มีสำหรับเรา #เราต้องการถ้าตายไปคราวนี้ต้องการนิพพานโดยเฉพาะด้วยความจริงใจนะ

✴️๔.#ทีนี้ถ้าเราหากว่าจะสงเคราะห์ใครต่อใครเราไม่หวังผลตอบแทนชาติปัจจุบัน เขามายืมสตางค์เราก็สงเคราะห์ไป เขาใช้ให้ก็ใช้ ไม่ใช้ก็ช่างมัน ทีนี้เราให้ของให้ทานใครไปแล้วเราไม่ต้องการ ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงเขาไม่มีไฟ..เขาไม่มีข้าว..เขาไม่มีน้ำปลา..ไม่มีกะปิ เขามาขอเรา เมื่อเรามี เราให้ได้เราให้ ถ้าหากว่ามีเฉพาะที่เราจะกินมันให้ไม่ได้ เราจำเป็นต้องบอกว่า ให้ไม่ได้ ใช่ไหม ไม่ใช่อะไรก็ให้ไปซะหมด ดูความจำเป็น #เมื่อให้ไปแล้วเราอย่าไปนึกว่าถ้าเราขาดเขาจะให้เราบ้าง ถ้าเราขาด เราไปถามกะปิมีไหม เราเห็นว่าเขามีเป็นตุ่ม ๆ เขาบอกว่าไม่มีหรอก มีเหมือนกันแต่จะเอาไว้ขาย #ก็อย่าไปโกรธเขา #เพราะการที่เราให้ไปมันเป็นการตัดโลภะความโลภ จิตมันสะอาดใช่ไหม ก็เป็นด้านวิธีตัด

💛หรืออารมณ์ที่จะต้องคิดอย่างนี้ว่า ราคะ ความสกปรกของร่างกาย โลภะ ความโลภ คือการตอบสนองจะไม่มีสำหรับเราในการให้ทาน #การทำทุกสิ่งทุกอย่างนี่เราทำเพื่อพระนิพพานใช่ไหม #เราไม่รักเราไปนิพพาน #เราไม่โกรธเราไปนิพพาน #เราไม่โลภเราจะไปนิพพาน #เราไม่หลงในร่างกายของเราเราไปนิพพาน 

💛ถ้าร่างกายเราไม่หลงเสียอย่างเดียว เราก็ไม่หลงร่างกายใครอีก ไอ้ตัวเรา เรารักมากคือตัวเรา #นี่คือการเจริญวิปัสสนาญาณ ถ้ามัวแกะแบบชาตินี้ทั้งชาติไม่ไปที่ไหน แต่ว่าวิธีปฏิบัติจริง ๆ เขารวบแบบนี้ ไอ้นี่ยังยาวไปนะ พูดให้ฟังนี่นะ เกรงว่าจะไม่เข้าใจ แต่เอารวบเวลาปฏิบัติจริง ๆ ตัดพั้บ นึกว่า #ไม่เอาแล้วร่างกายนี้ #ช่างมันตายก็ตายช่างมันกูไปนิพพาน ถ้าตั้งใจจริงน่ะ มันก็ไปได้

============================
📝ที่มาข้อธรรมคำสอนจากหนังสือ
📚ธรรมปฏิบัติ ๔๒ หน้าที่ ๖๑ -๖๓
🙏รวมคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(พระมหาวีระ ถาวโร) ป.ธ.๔🙏
วัดจันทาราม (ท่าซุง)อ.เมือง จ.อุทัยธานี

🖍️👸ผู้เขียนพิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทานโดย apinya

**ที่ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะจิตไปฝืนธรรมดา ไม่อยากให้เป็นไปตามธรรมดา**

**สมเด็จองค์ปฐม **ทรงตรัสสอนปกิณกะธรรมไว้ มีความสำคัญดังนี้

การเจ็บป่วยเป็นของธรรมชาติไม่มีใครฝืนมันได้ ธรรมะของตถาคตเจ้ามีแต่ธรรมดาทั้งหมด จิตจักพ้นทุกข์ได้ก็ต้องพิจารณาถึงตัวธรรมดาให้มาก เนื่องด้วย**ที่ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะจิตไปฝืนธรรมดา ไม่อยากให้เป็นไปตามธรรมดา** (ตัณหา ๓ ครองโลก หรือเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ใจ)

กฎของกรรมที่เกิดกับชีวิตของแต่ละคนทุกวันนี้ก็เช่นกัน เป็นธรรมหรือกรรมที่มาแต่เหตุทั้งสิ้น ซึ่งเป็นอริยสัจไม่ควรไปฝืน พยายามสอนจิตให้ไปรับธรรมหรือกรรม จิตก็จักไม่ทุกข์ไปกับกฎของกรรมเหล่านั้น (อย่าฝืนโลก อย่าฝืนธรรมหรือกรรม) การเกิด แก่ เจ็บป่วย ความปรารถนาไม่สมหวัง การพลัดพรากจากของรักของชอบใจล้วนเป็นทุกข์ แม้แต่ในที่สุดความตายเข้ามาถึงก็เป็นทุกข์ **ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะจิตไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา** ในปัญจขันธ์นี้ (ขันธ์ ๕) ไม่มีในเรา ไม่ใช่ของเรา เป็นอริยสัจ

**ผู้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า จักยอมรับนับถือสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นของจริง จิตผู้ไม่ฝืนความจริง จึงไม่ทุกข์ไป กับปัญจขันธ์ที่แปรปรวนไปตามสภาพนั้น ๆ** เนื่องด้วยท่านเห็นเป็นของธรรมดาเสียแล้ว **จิตเป็นสุขมีพระนิพพานเป็นที่ตั้งมั่นอยู่ในจิต ตายเมื่อไหร่ก็พ้นทุกข์เมื่อนั้น **ให้สังเกตจุดนี้เอาไว้ให้ดีๆ แล้วเพียรปฏิบัติตาม เพื่อจักได้พ้นทุกข์ ของปัญจขันธ์ เข้าถึงพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน

ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น** **เล่ม ๑๑ เดือนมีนาคม ๒๕๔๑

รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

#สมเด็จองค์ปฐม2** **#ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น2

19 มิถุนายน 2566

**ท่านรุกขเทวดาที่เสาตกนํ้ามันมาหาหลวงพ่อที่วัดชิโนรสเป็นเทวดาเขตจาตุมหาราช หลวงพ่อฤาษี**

**ท่านรุกขเทวดาที่เสาตกนํ้ามันมาหาหลวงพ่อที่วัดชิโนรสเป็นเทวดาเขตจาตุมหาราช หลวงพ่อฤาษี**
เธอก็บอกว่า "**เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน บอกเขาว่าไม่ต้องถอน ให้เจ้าของบ้านกับฉันเป็นเพื่อนกันดีกว่า ดีกว่าประกาศตนเป็นศัตรู**"

**เรื่องที่ ๑๐๖ ท่านรุกขเทวดาที่เสาตกนํ้ามันมาหาหลวงพ่อที่วัดชิโนรสเป็นเทวดาเขตจาตุมหาราช**

"..เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ อาตมาป่วยหนัก ไปรักษาตัวที่กรมแพทย์ทหารเรือที่กรุงเทพฯ หลังจากรักษาอยู่ปีเศษอาการดีขึ้นแล้ว ก็มาพักฟื้นที่**วัดชิโนรส อยู่ที่คลองมอญ** ขณะที่หลวงพ่อกำลังนั่งเขียนหัวข้อที่จะไปพูดที่ สถานีวิทยุกองพล ๑ กำหนดหัวข้อไป ๕ ข้อ ถ้าพูดหัวข้อเดียวยังไม่หมดเวลาก็ต่อหัวข้อที่สอง ถ้าหมดเวลาตอนไหนก็เลิก **ขณะกำลังเขียนอยู่ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ ๓๐ ปีเศษๆ รูปร่างหน้าตาทรวดทรงดีถือพานดอกไม้ธูปเทียนมา แต่ว่ามองดูสีหน้าแล้วรู้สึกว่าใจไม่สบายหน้าไม่ปกติ**

ถามว่า "หนูมีธุระอะไร"

หญิงคนนั้นก็บอกว่า "ที่บ้านฉันมีเสาตกนํ้ามันอยู่ต้นหนึ่ง ฉันไปหาหมอดูที่เป็นพระก็ดี ที่เป็นฆราวาสก็ดี มีหลายหมอพูดอย่างเดียวกันว่า **"ขอให้รื้อเสาต้นนั้นทิ้งไปเสีย แล้วก็หาเสามาเปลี่ยนใหม่"**

ก็คิดในใจว่าการรื้อเสาทิ้งไม่ใช่ของง่ายนัก อาจจะทำได้แต่ว่าเจ้าของบ้านจะเสีย ๒ อย่างคือ

**๑) เสียเสาเสียไม้ เสียค่าแรงงานค่ารื้อ**

**๒) ต้องซื้อของมาใหม่และก็เสียค่าแรงงานค่าทำใหม่**

อาตมาจึงบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ หนูเขียนข้อข้องใจมาสัก ๓ ข้อแล้วก็ใส่ไว้ในพานดอกไม้ธูปเทียน พรุ่งนี้ถ้ามีเรื่องอะไรพอจะทราบได้ ก็จะเขียนอธิบายให้ฟังตามความสามารถที่จะรู้ ถ้าไม่รู้ก็ไม่บอก"

เมื่อเธอเขียนแล้วก็ลากลับไป ก็นำพานดอกไม้ธูปเทียนมาวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ เมื่ออาตมากำลังจะจรดปากกาเขียนหัวข้อที่จะไปพูด ก็ปรากฏว่า โต๊ะเขียนหนังสือสั่นสะเทือนเสียงดังปังเหมือนกับของหนักหล่นลงมา เวลานั้นเป็นเวลากลางวันมองดู ก็เห็นหญิงสาวรูปร่างหน้าตาสวย แต่งตัวแพรวพราวเป็นระยับใส่ชฎาสวยมาก

พอมองหน้าเธอ เธอก็ไม่ยิ้มแต่พูดว่า **"ฉันทำผิดคิดร้ายอะไร ทำไมจึงจะต้องมาไล่ฉัน"**

ก็แปลกใจว่าผู้หญิงคนนี้เราไม่เคยเห็น และมานั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือ ผิดลักษณะของคนธรรมดา

จึงถามว่า **"คุณเป็นใคร มีธุระอะไร และเรื่องราวที่พูดมันเป็นอย่างไรกัน ใครไล่ใคร ฉันยังไม่ทันไล่"**

เธอก็ตอบว่า "ฉันเป็นนางไม้ ของบ้านที่เขานำดอกไม้ธูปเทียนมา ที่เขาบอกเรื่องเสาตกนํ้ามัน ไปดูหมอพระก็ดี หมอฆราวาสก็ดี ฉันก็ตามเขาไป ทุกรายบอกให้ถอนเสาทิ้งไปเสียและให้เปลี่ยนเสาใหม่ **ผู้หญิงคนนี้สามีเขาเป็นนายทหารเรือยศเรือเอก เวลานี้สามีของเขาไปรบที่เกาหลี ฉันก็ให้การคุ้มกันเรื่องอาวุธจะไม่ให้มีการต้องกายเขาเลย เขาจะไม่บาดเจ็บเพราะอาวุธและก็จะไม่เป็นโรคร้าย ฉันก็ช่วยเขาทุกอย่าง และที่บ้านนี้ฉันก็ไม่เคยแสดงอาการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เขากลัว**

ตามปกติก็ตั้งใจช่วยการหาลาภสักการะ ถ้าสิ่งใดไม่เกินวิสัยที่ฉันจะช่วยได้ฉันก็ช่วย แต่เวลาฉันพูดเขาก็ไม่ได้ยิน ฉันแสดงตัวให้ปรากฏเขาก็ไม่เห็น

**รวมความว่าการที่ฉันช่วยมันก็เป็นการปิดทองหลังพระ ในเมื่อฉันช่วยขนาดนี้ทำไมต้องมาไล่ฉัน"**

ถามว่า "เธอมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเสาต้นนี้ ทำไมเสาต้นนี้จึงตกนํ้ามัน และทำไมเสาต้นนี้จึงเป็นที่อาศัยของเธอ"

เธอก็ตอบว่า "เดิมทีเดียวเสาต้นนี้เป็นต้นไม้ในป่า ฉันเป็นรุกขเทวดามีวิมานแปะยอดไม้ อาศัยยอดไม้เป็นที่อาศัยตั้งวิมาน ถ้าต้นไม้ต้นนี้ล้มวิมานก็สลาย จะไปอาศัยต้นไม้ต้นใหม่ก็หายาก เพราะว่าต้นไม้ที่มีแก่นส่วนใหญ่ก็มีรุกขเทวดาที่เป็นผู้ชายบ้าง ผู้หญิงบ้าง อาศัยกันอยู่มากไม่ว่าง ในเมื่อไม้ต้นนั้นล้มมา ฉันก็ติดตามไม้ ไม้ไปทางไหนฉันก็ไปด้วย คำว่าไปด้วยไม่ได้หมายความว่าต้องขี่ท่อนไม้ คือกำลังใจรู้ต้องเดินดินมีความลำบาก วิมานก็ไม่มีต้องอยู่ที่โล่งแจ้ง

**ต่อมาเมื่อเขานำไม้ต้นนั้นมาทำเป็นเสา เมื่อไม้ตั้งขึ้นฉันก็มีสิทธิ์เอาวิมานเข้ามาแปะได้ จึงอาศัยไม้อันนี้ที่เป็นต้นเดิม ที่ไม่มีใครแย่งเพราะฉันเป็นเจ้าของเดิม วิมานฉันก็ทรงตัวอยู่ได้**แต่เวลานี้ปรากฏว่ามีนํ้ามันไหล **ขอให้ทราบว่าเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี องค์ไหนถ้ามีอานุภาพพอสมควรอาศัยอยู่ที่เสาต้นใดต้นหนึ่ง เสาต้นนั้นอาจจะมีนํ้ามันไหล**"

ถามว่า "ถ้าอย่างนั้นเธอจะให้ฉันบอกกับเจ้าของบ้านเขาอย่างไร"

เธอก็ถามว่า "ท่านจะให้เขาถอนไหม"

ตอบว่า "เรื่องถอนฉันไม่เห็นด้วยเพราะบ้านหลังนี้ปลูกมานานแล้ว เพิ่งจะมีการแสดงออกและเจ้าของบ้านไม่ได้บอกว่ามีการรบกวนอะไร ฉันกำลังคิดอยู่ว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องถอนเสา"

เธอก็บอกว่า "**เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน บอกเขาว่าไม่ต้องถอน ให้เจ้าของบ้านกับฉันเป็นเพื่อนกันดีกว่า ดีกว่าประกาศตนเป็นศัตรู**"

จึงถามเธอว่า "ถ้าต้องการเป็นเพื่อนกันให้ทำอย่างไร"

**วิธีการบูชาเสาตกนํ้ามัน**

เธอตอบว่า "**ให้เจ้าของบ้านเอานํ้าหอมมาทาที่เสาตรงจุดที่ตกนํ้ามันแล้วเอาทองคำเปลวปิดสักแผ่นหนึ่งก็พอ เอาผ้าสีกับพวงมาลัยคล้อง**

การคล้องเสาขอได้โปรดอย่าใช้ตะปูตอกเสาต้นนั้น เว้นไว้แต่ที่เขาทำฝา ทำพรึงต้องตีตะปูติดกับเสา นั่นเป็นเรื่องหนึ่งต่างหาก แต่ว่าเรื่องการบูชา **การตีตะปูขอจงอย่าให้มี ให้ใช้เป็นอย่างอื่น**"

ถามว่า "ตอกเสามันเป็นอย่างไร"

เธอตอบว่า "**ตอกเสาแล้วอานุภาพมันใช้ไม่ได้**"

บอกว่า "เขาทำได้แน่เพราะพวงมาลัยก็ดี ผ้าสามสีก็ดี ทองคำเปลว ๑ แผ่นก็ดี นํ้าหอมหน่อยหนึ่งก็ดี เป็นของไม่แพง"

ถามต่อว่า "**ถ้าเขาทำได้ เธอจะให้ลาภเขาได้หรือเปล่า**"

ตอบว่า "**ถ้าต้องการให้ลาภก็ต้องทำบุญให้ด้วย**"

ถามว่า "ทำบุญต้องการอะไร"

เธอตอบว่า "**ให้เขานิมนต์พระสัก ๕ องค์ไปฉันเพล อย่านิมนต์ไปฉันเช้า วันเสาร์หรือวันอาทิตย์ก็ได้เพราะเป็นวันหยุด**

ถ้าหากว่าฉันเช้าเจ้าของบ้านจะวุ่นวายเพราะเวลากระชั้น **เมื่อทำบุญเสร็จก็ขอให้อุทิศส่วนกุศลให้แก่ฉัน ฉันจะช่วยให้ลาภ**"

ถามว่า "เธอจะให้ลาภมากหรือลาภน้อย"

เธอตอบว่า "**บุญบารมีฉันน้อย ฉันให้ลาภมากๆ ไม่ได้ แต่ให้บ่อยๆ ได้**"

ถามว่า "ถ้าอย่างนั้นให้ทุกเดือนได้ไหม"

ตอบว่า "**ทุกเดือนหรือเกินเดือนละ ๑ ครั้งก็ได้ นั่นคือรางวัลเลขท้าย ๓ ตัว ข้างล่างนะ หรือว่าเลขท้าย ๒ ตัวอย่างนี้ได้"**

เป็นอันว่าอาตมาก็เขียนถ้อยคำตามที่พูดกับนางฟ้าองค์นั้นไว้ พอวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ ๔ โมงเย็น หญิงเจ้าของดอกไม้ธูปเทียนก็มา ก็ส่งจดหมายที่บันทึกไว้ให้แล้วก็บอกว่า

"เขาคุ้มครองสามีของเธอ ตัวเธอเองเขาก็ช่วยสงเคราะห์ทุกอย่างให้มีความสุข และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่เคยแสดงอะไรให้ปรากฏ"

เธอก็ตอบว่า "ใช่เจ้าค่ะ" เธอบอกพร้อมที่จะทำทุกอย่างแต่การเลี้ยงพระ ๕ องค์ ขอแถมเป็น ๙ องค์ ก็เลยบอกว่า "เขาบอกพระ ๕ องค์ หมายความว่าให้ทำบุญไม่น้อยกว่า ๕ องค์ แต่เกินไม่เป็นไร" เธอก็นิมนต์พระรวมทั้งอาตมาด้วยเป็น ๙ องค์ ไปฉันเพลในวันรุ่งขึ้นเพราะเป็นวันเสาร์

**เมื่อเลี้ยงพระเสร็จ ผลที่ได้รับก็คือเธอถูกลอตเตอรี่เลขท้าย ๓ ตัว ๙ ใบ เลขท้าย ๒ ตัว ๕ ใบ และมานิมนต์พระไปฉันใหม่อีก ๙ องค์**

ถามว่า "เลขที่ซื้อถูกใครบอก"

ตอบว่า "**ไม่มีใครบอก มีความรู้สึกว่าเมื่อออกมาจากที่ทำงานก็เห็นเลขนี้เข้า ก็อยากจะซื้อ ก็เลยซื้อเหมือนๆ กันเท่าที่มี ตั้งแต่โรงงานยาสูบเรื่อยมาถึงท่าพระจันทร์ ก็ได้มาเท่านี้ ก็ถูกทั้งหมด**

**เธอก็ทำบุญเลี้ยงพระใหม่ เอานํ้ามันจันทน์มาทาใหม่ ปิดทองมากแผ่นขึ้น มีผ้า ๓ สี และก็ซื้อผ้าไตรจีวรถวายพระ รู้สึกว่าการทำบุญหนักขึ้น งวดต่อไปเธอก็ถูกอีก**

**รวมความว่าอยู่ที่นั่น ๒ ปี ทุกครั้งหลังจากหวยออกก็ถูกนิมนต์ไปทุกครั้ง เพราะบ้านนี้ถูกทุกงวดแต่เป็นรางวัลเลขท้าย ๓ ตัวบ้าง ๒ ตัวบ้าง ก็เป็นการพอ เพราะเวลานั้นค่าของเงินสูง ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๑๐ สตางค์ ฉะนั้นการได้เงินเป็นพันก็ถือว่าไม่ใช่เงินเล็กน้อย**.."

คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน

#ตายแล้วไปไหน_หลวงพ่อฤาษี

#รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์7 #หลวงพ่อฤาษี4

16 มิถุนายน 2566

“สิทธิ” ต้องมากับ “หน้าที่” ฉันใด“เสรีภาพ” ต้องมากับ “ความรับผิดชอบ” ฉันนั้น

“สิทธิ” ต้องมากับ “หน้าที่” ฉันใด
“เสรีภาพ” ต้องมากับ “ความรับผิดชอบ” ฉันนั้น
.
“…. บางทีเราก็มัววุ่นวายกับเรื่องสิทธิและการที่จะมี “เสรีภาพ” กันมากมาย จนชักจะหลงเพลิดเพลินและลืมไปว่า นอกจากเราจะต้องได้ ต้องมี สิทธิและเสรีภาพอย่างนั้น อย่างนี้ รัฐจะต้องรับประกันให้เราได้เรามีอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว ตัวเราเองจะต้องทําอะไร เราจะต้องให้อะไรแก่รัฐ แก่ส่วนรวม แก่สังคม หรือแก่ประเทศชาติบ้าง และนี่ก็คือ เรื่องของ “หน้าที่”
.
…. “ สิทธิ ” นั้นคู่กันกับ “หน้าที่พลเมืองของประเทศ” ประชาธิปไตยนั้น เมื่อมีสิทธิก็มีหน้าที่ด้วย เมื่อได้สิทธิก็ต้องทําหน้าที่ด้วย
สิทธิเป็นเรื่องของการที่จะได้ ที่จะเอา ส่วนหน้าที่เป็นเรื่องของการที่จะให้ ที่จะสละออกไป
…. พลเมืองทุกคนมีหน้าที่ที่จะทําการงาน ศึกษาเล่าเรียน หรือ ประกอบสัมมาชีพของตนๆ มีหน้าที่ที่จะต้องทําต่อครอบครัว ต่อ ชุมชน ต่อสังคม ต่อประเทศชาติของตน มีหน้าที่ที่จะต้องไปร่วมประชุมพิจารณาดําเนินกิจการของส่วนรวม ต้องบํารุงรักษาสิ่ง สาธารณูปโภคและสาธารณสมบัติ ต้องบํารุงรักษาธรรมชาติแวดล้อม ต้องรักษาระเบียบวินัย ต้องเคารพกฎหมายและกฎเกณฑ์ กติกาของสังคม ต้องเสียภาษีอากร เป็นต้น
.
…. เมื่อประชาชนพลเมืองทําหน้าที่ให้แก่สังคมหรือรัฐ ตามสถานะของตนๆ สังคมหรือรัฐประชาธิปไตยที่ดี ก็มีสิ่งที่จะนํามา สนองแก่สิทธิของประชาชนพลเมือง
…. ถ้าประชาชนพลเมืองไม่ช่วยกันทําเหตุ แล้วสังคมหรือรัฐจะเอาผลอะไรมาสนองความต้องการของประชาชนพลเมืองได้
…. ดังนั้น ถ้าจะเรียกร้องหรืออ้างสิทธิ ก็อย่าลืมถามหรือสํารวจตัวเองว่าได้ทําหน้าที่ของตนอยู่ด้วยดีหรือไม่ คือถ้าจะเรียกร้องสิทธิ ก็จะต้องทําหน้าที่ของตนให้ดีด้วย
…. มองในทางย้อนกลับ ผู้ที่ทําหน้าที่ของตนถูกต้องเป็นอย่างดีนั้นแหละ จึงเป็นผู้ที่สมควรจะเรียกร้องหรืออ้างสิทธิ และสิทธิที่ อ้างหรือเรียกร้องนั้น จะต้องนําไปใช้อย่างถูกต้องด้วย
…. ผู้ที่รู้จักหน้าที่ พร้อมทั้งทําหน้าที่ของตนอยู่อย่างถูกต้อง นั่นแหละ คือผู้ที่จะนําสิทธิไปใช้อย่างถูกต้อง เพราะฉะนั้น สิทธิจะต้องมากับหน้าที่ และสิทธิเป็นสมบัติมีค่าอันน่าภูมิใจสําหรับผู้ที่ทําหน้าที่
…. พลเมืองในสังคมประชาธิปไตยควรสร้างจิตสํานึกในหน้าที่ ถึงขั้นที่ยึดถือว่า สิทธิที่จะได้ทุกอย่าง มีมาพร้อมกับหน้าที่ที่จะต้องทํา ถามตนเองว่าการที่เราจะได้จะมีสิทธินี้นั้น เราจะต้องทําอะไร หรือนึกถึงสิ่งที่ตนจะต้องทําต้องให้มากกว่านึกถึงสิ่งที่ตนจะได้จะเอา…
…. อนึ่ง คําว่าหน้าที่นั้น มักจะพ่วงมาหรือมาด้วยกันกับคําว่า “ความรับผิดชอบ” จนบางทีเราพูดควบไปด้วยกันว่า หน้าที่และ ความรับผิดชอบ หรือ หน้าที่รับผิดชอบ คือนอกจากทําหน้าที่แล้ว ก็จะต้องมีความรับผิดชอบด้วย
…. คําว่าสิทธิมาด้วยกันกับเสรีภาพ คําว่าหน้าที่มาด้วยกันกับความรับผิดชอบ สิทธิคู่กับหน้าที่ ฉันใด เสรีภาพก็คู่กับความรับผิด ชอบ ฉันนั้น และเมื่อเราพูดสองคําแรกควบกันว่า สิทธิเสรีภาพ เราก็พูดสองคําหลังควบกันว่า หน้าที่รับผิดชอบ
…. เพราะฉะนั้น สิทธิ ต้องมากับ หน้าที่ ฉันใด เสรีภาพ ก็ต้องมากับความรับผิดชอบ ฉันนั้น เมื่อเสรีภาพมาคู่กับความรับผิดชอบ ก็หมายความว่า เราจะต้องใช้เสรีภาพอย่างมีความรับผิดชอบ และต้องรับผิดชอบต่อการใช้เสรีภาพนั้นด้วย”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : ธรรมกถาแสดงในพิธีบําเพ็ญกุศลอุทิศแก่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศไทย เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๕ แสดงที่ วัดวชิรธรรมปทีป นครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๓๕ ภายหลังพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ “ประชาธิปไตย ไม่ยาก ถ้าอยากได้”

15 มิถุนายน 2566

ลำดับการปฏิบัติสมาธิ

ลำดับการปฏิบัติสมาธิ

       คำบริกรรม พุทโธ ตามลมหายใจ หรือ กรรมฐาน 40 เช่น เพ่งกสิณ ดิน น้ำ ลม ไฟ สีแดง เป็นเครื่องล่อของจิต โดยมีสติเป็นผู้คุมให้จิตอยู่กับ กรรมฐาน ที่เราตั้งมั่น 
ระดับที่ 1 ขณิกสมาธิ สติยังไม่แข็งแรง ทำให้จิตบางครั้งอยู่กับคำบริกรรมบ้าง ออกไปเที่ยวข้างนอกบ้าง คิดถึงอดีต อนาคตบ้าง ให้มีสติให้มาก รู้ตัวแล้วรีบกลับมาที่คำ บริกรรม

ระดับที่ 2 อุปจารสมาธิ สติเริ่มแข็งแรง จิตจดจ่อตั้งมั่นกับคำบริกรรม จิตไม่หนีไปเที่ยวนอกกาย อยู่กับดายเป็นหลัก จะเริ่มเกิดอาการ ขนลุก ขนพอง น้ำตาไหลเหมือนคนร้องไห้ ตัวเบาเหมือนลอยได้ ตัวขยายใหญ่ เมื่อเกิดอาการเหล่านี้อย่าสนใจ สักแต่ว่ารู้ ให้กลับมาที่คำบริกรรม จะก้าวข้ามจะเกิดอาการบรมสุข สุขแบบไม่มีสุขใดในโลกเทียบได้ เอาสุขทั้งชีวิตมารวมกันก็ไม่อาจเทียบได้เสี้ยวเดียวของสุขนี้ สุขของกษัตริย์ มหาจักรพรรดิก็เทียบได้กับสุขนี้ สุขแบบไม่ง่วง ไม่หิว ความเครียดหายไปหมด สุขจะอยู่ 3 วัน 3 คืนแล้วจางหายไป

ระดับที่ 3 อัปนาสมาธิ มี 8 ขั้น คือ
ปฐมฌาน สติแข็งแรงมาก สติตั้งมั่น ตัวรู้เด่นชัด จิตรวมเป็นหนึ่งมีพลัง ทำให้จิตอยู่กับคำบริกรรมต่อเนื่องไม่หนีจากกายไปไหน มีทั้ง วิตก วิจารณ์ ปิติสุข และเอกกัตตา

ทุติยฌาน กาย (ตัวคิด) จะทิ้งคำบริกรรมไปเอง สติตั้งมั่นเด่นชัด อยู่กับลมหายใจ หรือฐานที่ตั้งของจิต ขั้นนี้จะเห็นลมหายใจเด่นชัดมาก จะเหลือแต่ ปิติ สุข และเอกกัตตา

ตติยฌาน ลมหายใจจะค่อยละเอียดแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนเหมือนจะหายไป ตัวจะตั้งตรงเหมือนหินโดยอัตโนมัติ เมื่อลมหายใจเริ่มหาย อย่าตกใจ ให้มีสติอยู่กับฐานของจิตไม่ต้องกลัวตาย สักแต่ว่ารู้จะก้าวผ่านขั้นนี้ไป เหลือ สุขและเอกกัตตา

จตุตถฌาน ลมหายใจดับสนิท ไม่รับรู้ถึงลมหายใจและไม่รับรู้ความรู้สึกของกายอีกต่อไป 
สติ ตัวรู้จะเด่นชัด เบาสบาย สักแต่ว่ารู้ ตัวรู้แยกออกจากกาย 100% ความคิดและลมหายใจไม่สามารถเข้ามาแทรกได้ เหมือนจิตตัดขาดจากกายเหลือแต่เอกกัตตาและอุเบกขารมณ์
ให้อยู่เอกกัตตา คือ ตัวรู้เด่นชัดอยู่ที่ฐานของจิต ในสมาธิขั้นนี้เหมือนไม่มีเวลา เวลาจะผ่านไปเร็วมากๆ เหมือนไม่มีกาลเวลาเหลือแต่ สภาวะรู้ลอยอยู่ โล่งๆ บางคนเห็นเป็นดวงแก้วสว่างไสว หรือเห็นเรืองแสง แล้วแต่ แต่ละคนไม่มีถูกผิด

ประคองสภาวะรู้แล้วเพิกขอบเขต รู้อากาศไม่มีที่สิ้นสุด รู้สึกเวิ้งว้างหาขอบเขตไม่ได้ มันว่างไปหมดเหมือนจิตครอบทั้งจักรวาล จักรวาล คือ เรา เรา คือ จักรวาล เรียกว่า อากาสานัญจายตนฌาน เมื่อออกจากสมาธิจะรู้สึกโล่งเบาสบายเหมือนไม่มีกาย มีความสุขมากมายมหาศาลจนนอนไม่หลับ ไม่หิว ไม่ทุกข์มีแต่สุขไป 3 วัน 3 คืน

กำหนดสภาวะรู้เป็น วิญญานธาตุล้วนๆ แผ่ไปไม่มีขอบเขต เรียกว่า วิญญาญัญจายตนฌาน

กำหนดรู้ว่าไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรต้องอธิบาย ไม่มีอะไรในสภาวะนั้น เรียกว่า อากิญจัญญายตนฌาน

เลิกการกำหนดทั้งปวง ไม่กำหนดใดๆทั้งสิ้น ลมหายใจก็ไม่กำหนดรู้ ความคิดใดๆเกิดขึ้นก็ใช้สติกำหนดดับความคิดทั้งหมด จนเงียบไปเหมือนกับหายไป เมื่อจิตเป็นสมาธิจะเข้าไปสู่สภาวะเงียบ เหมือนหายไปในสภาวะนั้น มีแต่ความว่างไม่มีอะไรเลย เรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เมื่อออกจากสมาธิจะรู้สึกโล่งเบาสบายเหมือนไม่มีกาย มีความสุขมากมายมหาศาลจนนอนไม่หลับ ไม่หิว ไม่ทุกข์มีแต่สุขไป 3 วัน 3 คืน สัญญาความจำได้หมายรู้จะถูกทำลายแทบหมดสิ้น เช่นเคยขับรถเป็นเมื่อออกจากสมาธิระดับนี้จะลืมวิธีขับรถไปชั่วขณะ สมาธิระดับนี้เหมาะแก่การบำเพ็ญตนในป่า ไม่เหมาะกับการใช้ชีวิตฆราวาส

ที่กล่าวมาทั้งหมด หัวใจของสมาธิ คือ อานาปานสติสามารถพาเราไปถึง ฌาน 8 จนถึงพระนิพพานได้โดยนำกำลังสมาธิมาพิจารณาข้อธรรมให้เกิดปัญญา

เมื่อออกจากสมาธิ ฌาน 4-8 ลงมาสู่ระดับ อุปจารสมาธิ จิตจะมีกำลังและปัญญามาก ถ้านำมาพิจารณาปัญญาจะสามารถฆ่ากิเลสได้ เราสามารถใช้กำลังสมาธิสอนจิตให้ฉลาดได้

ปล.รูปจากหลวงพี่ท่านหนึ่งในภาคเหนือ

14 มิถุนายน 2566

ความต่างแห่งพระสรีระของพระพุทธเจ้า

ความต่างแห่งพระสรีระของพระพุทธเจ้า

พระสรีระสูง 80 ศอก มี พระวิปัสสี
พระสรีระสูง 60 ศอก มี พระเวสสภู
พระสรีระสูง 40 ศอก มี พระกกุสันธ
พระสรีระสูง 37 ศอก มี พระสิขี
พระสรีระสูง 30 ศอก มี พระโกนาคม
พระสรีระสูง 20 ศอก มี พระกัสสป
พระสรีระสูง 4 ศอก มี พระโคตม (องค์ปัจจุบัน)
หมายเหตุ เทียบกับศอกของมนุษย์ปัจจุบัน 1 ศอก = 50 เซนติเมตร

อายุต่างแห่งพระชนมายุของพระพุทธเจ้า จากมากไปน้อย
80,000 พรรษา มี พระวิปัสสี
70,000 พรรษา มี พระสิขี
60,000 พรรษา มี พระเวสสภู
40,000 พรรษา มี พระกกุสันธ
30,000 พรรษา มี พระโกนาคม
20,000 พรรษา มี พระกัสสป
80 พรรษา มี พระโคตม (องค์ปัจจุบัน)
ส่วนพระศรีอารยเมตไตรย์ที่จะบังเกิดในอนาคตเบื้องหน้ามี 80,000 พรรษา

1. พระกกุสันธพุทธเจ้า 
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัย เป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสังไขยแสนกัป
เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 40,000 พรรษา
พระสรีระสูง 40 ศอก หรือ 20 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 10 เดือน
พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ (160 กิโลเมตร)

2. พระโกนาคมพุทธเจ้า 
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อ สมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 30,000 พรรษา
พระสรีระสูง 30 ศอก หรือ 15 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 1 เดือน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์

3. พระกัสสปพุทธเจ้า 
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อ สมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 20,000 พรรษา
พระสรีระสูง 20 ศอก หรือ 10 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์

4. พระโคตมพุทธเจ้า (องค์ปัจจุบัน)
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 4 อสงไขยแสนกัป
เป็นปัญญาพุทธเจ้า อายุไขย 80 พรรษา
พระสรีระสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 6 ปี
พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วา เป็นปกติ

5. พระอริยเมตไตรย์พุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อ สมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 16 อสงไขยแสนกัป
เป็นวิริยะพุทธเจ้า อายุไขย 80,000 พรรษา
พระสรีระสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ยังกำหนดไม่ได้

12 มิถุนายน 2566

#เราเกิดมามากพอแล้ว

⚜️ #เราเกิดมามากพอแล้ว⚜️
✴️ #ก่อนจะมีความเข้าใจในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเข้าใจคำว่านิพพานอันนี้แสนยากมาก #คนที่จะเข้าใจคำว่านิพพานได้นี่ต้องเกิดมา #เกิดมาชั่วแสนชั่วนับกัปไม่ถ้วน แล้วต่อมาก็เริ่มดี เริ่มดีหมายความว่าเริ่มจิตเป็นกุศล รู้จักการให้ทาน รู้จักการรักษาศีล รู้จักการบำเพ็ญภาวนาบ้าง มาเรื่อยๆมาตั้งแต่ต้น มาจนกระทั่งถึงชาติสุดท้ายกว่าจะถึงนี่

 ✴️ #ถ้าเป็นสาวกภูมิ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 อสงไขย กับแสนกัป เกิดนะ ไอ้ที่ไม่มาเกิดในภพนี้เขาไม่คิด เป็นเทวดาหรือพรหมหรือสัตว์นรกเขาไม่คิด คิดเฉพาะมาเกิดอย่างน้อยที่สุดต้องบำเพ็ญบารมีมาแล้วอย่างน้อยที่สุด 1 อสงไขยกับแสนกัป อสงไขยนี่แปลว่านับไม่ถ้วน นับไปๆๆจนนับไม่ถ้วนแล้วก็แถมอีกแสนกัป

✴️ #คนที่จะเข้าใจคำว่านิพพานนี่ต้องบำเพ็ญบารมีมากกว่านี้ นั่นเป็นเพียงแค่หลักสูตร จริงๆแล้วต้องทำกันมามากกว่านี้ #การที่จะเข้าใจคำว่านิพพานจริงๆ ต้องมีบารมีเป็นปรมัตถบารมี

🖋️🧑‍✈️ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๘๒ (๒๕๓๐) หน้า ๘๔
⚜️พระราชพรหมยานเถระ⚜️
🙏หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง🙏

🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน.

เหตุใดจึงเปลี่ยนมานับถือพุทธ*

**หลวงปู่โง่น โสรโย จบ ดร. จากเยอรมัน พูดได้ 7 ภาษา [เดิมนับถือ]ศ.คริสต์ เหตุใดจึงเปลี่ยนมานับถือพุทธ**
🌸[#หลวงปู่โง่นท่านเล่าเอาไว้ว่า]

อาตมาไม่ได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก่อนเลย จนอยู่มาวันหนึ่ง ไปเจอะพระเข้าองค์หนึ่ง พระองค์นี้เป็นพระผู้ใหญ่ เป็นเพื่อนกับสำเร็จลุน เมืองเหนือประเทศลาว ท่านพูดภาษาฝรั่งเศสเก่ง ท่านมาปักกลดซอมซ่ออยู่ที่วัดบรมนิวาส พวกสาว ๆ เขาเลื่อมใส

แม่เล็ก ล่ำซำ ก็เป็นคนหนึ่งที่เลื่อมใสท่าน เดี๋ยวนี้เขาแก่แล้ว เขามา ชวนอาตมาว่า **“พี่ ๆ ไปกราบพระ ด้วยกันไหม ?”**

**อ้ายเราก็นับถือศาสนาคริสต์อยู่ ก็เลยเอาไม้กางเขนซ่อนไว้ในอก**

พระองค์นี้ชื่อ **หลวงพ่อวัง จิตฺตวโร**

พออาตมาเข้าไปถึง ท่านก็ชี้หน้าว่า

**“นี่ถือศาสนาคริสต์ใช่ไหม ?”**

**แล้วท่านก็บอกเลยว่า [ถือศาสนาคริสต์ก็ดี]เขามีเครื่องหมายบวก คนเราถ้ามองคนในแง่บวกแล้วใจจะสบาย**

**เออ...นี่ลูกมีคำถามอยู่ในกระเป๋าเสื้อของลูก ทำไมไม่ดึงเอาขึ้นมาถาม หลวงพ่อ ล่ะ**”

อ้ายเราก็กำลังจะควักออกมา อาตมาเขียนไว้อย่างนี้ โยม เขียนไว้ว่า

**1. ศาสนาพุทธทำไมจึงถือวันพระ ในวัน 8 ค่ำ 15 ค่ำ จะเอาวันอื่นไม่ได้หรือ ?**

**2. ศาสนาพุทธมีการล้างบาปหรือเปล่า ?**

**3. ศาสนาพุทธเป็นศาสนาจริง หรือเป็นปรัชญา ?**

ปัญหาเหล่านี้อาตมาไปถามพระ องค์ไหนก็โดนด่ากลับมา แต่หลวงพ่อองค์นี้ท่านอธิบายให้อาตมาฟังว่า

**“ศาสนาพุทธมิใช่ศาสนาอย่างแท้จริงตามหลักวิชาการแผนใหม่ ศาสนาที่แท้จริงจะต้องมีพระผู้เป็นเจ้า**

**และศาสนาพุทธก็มิใช่ปรัชญา ปรัชญาต้องมีเจ้าของ อย่างปรัชญาของท่านเพลโต้ ของท่านฟูโซ่ ของท่านกงจื๊อ อันนี้เป็นปรัชญา**

พระพุทธศาสนาไม่มีเจ้าของ พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นเจ้าของพระพุทธ ศาสนา โลกทั้งโลกเป็นเจ้าของ พระพุทธศาสนาเป็นของเราทุกคน **พระพุทธเจ้าท่านค้นพบของจริงที่มีอยู่ในคน ที่มีอยู่ในโลก แล้วนำมาสอนคนอีกต่อหนึ่ง ดังนั้นศาสนาพุทธจึงอยู่ในระหว่างกลาง ทั้งปรัชญาและศาสนา**

**พระพุทธเจ้าค้นพบทุกข์ ท่านค้นพบสมุทัย ท่านค้นพบนิโรธ ท่านค้นพบมรรค ซึ่งทุก ๆ คนมีด้วยกันหมด มันมีมาก่อนแล้ว ท่านค้นพบจึงมาสอนคนอื่น**

**ฉะนั้น ศาสนาพุทธจึงมิใช่ศาสนา และมิใช่ปรัชญา อยู่ในระหว่างกลาง ลูกเอ๋ย... จำไว้”**

พอฟังท่านอธิบายให้ฟัง มันถูกหัวใจของเราอย่างจังเลยโยม !

ส่วนที่ถามว่า ขึ้น 8 ค่ำ แรม 8 ค่ำ ขึ้น 15 ค่ำ แรม 15 ค่ำ ทำไมจึงถือเป็นวันธรรมสวนะ ท่านอธิบายว่า

“พระพุทธเจ้าของฉันท่านเป็นโลกวิทู เป็นผู้แจ้งโลก

วัน 8 ค่ำ ทั้งข้างขึ้น ข้างแรม พระอาทิตย์กับดวงจันทร์กำลังทำมุม สแควร์กัน ผัวเมียจะทะเลาะกันก็อยู่ ใน 7 ค่ำ 8 ค่ำนี้ อย่าไปทวงหนี้ทวงสินกัน ผัวเมียให้ยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน

ถ้าวันแรม 15 ค่ำ จะมีโจรผู้ร้ายชุกชุม การปล้นฆ่าทารุณจะเกิดขึ้น ไปดูสถิติของกรมตำรวจเขาก็ได้ เพราะเดือนมันมืด ใจคนมันมืดมน

ขึ้น 15 ค่ำ ดวงจันทร์มันแจ่มกระจ่าง อาชญากรมันจะก่อคดีในทางที่เกี่ยวกับความรักความใคร่มากกว่าปกติ การข่มขืน การปลุกปล้ำกระทำการชั่วมากกว่า เป็นกามกิเลส มันดลดวงจิตของคนอย่างนี้

ดวงจิตของคนจะมีการกวัดแกว่ง มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน แทนที่จะทำเช่นนี้ จึงสมควรเข้าวัดให้พระท่านอบรมสั่งสอน พระพุทธเจ้าท่านรู้จักกฎของโลก ท่านจึงได้กำหนดไว้

แทนที่จะทะเลาะกัน ก็ให้เข้าวัดเถิดลูก !

แทนที่จะขโมยของของเขา ก็ให้เข้าวัดเถิดลูก !

แทนที่จะรักกันด้วยความใคร่ ก็ให้เข้าวัด รักกันด้วยเมตตา”

**โยมเอ๋ย ! คำพูดของท่านเหมือน กับท่านเข้ามานั่งในหัวใจของอาตมา ด้วยเวลานั้นกำลังเรียนดาราศาสตร์อยู่ด้วย แหม ! ท่านเก่ง !**

**แล้วท่านยังบอกอีกว่า กลับไป ให้ไปอ่านคัมภีร์ศาสนาคริสต์ เล่มที่ 5 เมื่อเปิดอ่านแล้วจะโยนหนังสือทิ้ง !**

อาตมาก็นึกสงสัยว่า “เอ๊ะ ! นี่ ยังไงกัน หนังสืออยู่ในกระเป๋าของเรา ท่านก็รู้ กลับไปพออ่านเล่มที่ 5 พระ เจ้าสร้างโน่น พระเจ้าสร้างนี่ พระเจ้าสร้างโลก เป็นคัมภีร์เรื่องสร้างโลกของเรา ถ้าไม่มีพระอาทิตย์ จะมีกลางวันอย่างไร ถ้าไม่มีพระจันทร์ จะมีกลางคืนอย่างไร เอ๊ะ ! **มีพระเจ้าบ้า ! เราก็โยนทิ้ง ”**

หลวงพ่อโง่น เล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านประจักษ์ในความจริงเช่นนั้น ท่านก็เข้าไปนมัสการพระอาจารย์วัง ไปกราบเรียนขอบวชกับท่าน แต่พระอาจารย์ยังกลับบอกว่า

“**เอ็งยังบวชไม่ได้ เอ็งยังต้องไปใช้กรรม เพราะเอ็งไปโกหกผู้หญิงเขาไว้ 2 คน เมื่อชาติก่อน”**

หลวงพ่อโง่นท่านก็ตั้งใจไว้ว่า พบท่านอาจารย์วังภายหลังก็จะขอบวชอีก จะต้องกลับมาบวชกับท่านให้ได้ **แล้วจากนั้นหลวงพ่อโง่นก็ไปพบผู้หญิงคนหนึ่ง ผูกสมัครรักใคร่กันเป็นอันดี แต่กลับโดนต้ม โดนหลอกจนหมดตัว** ท่านบอกว่า

“**แล้วก็ไปเจอะคนที่สอง โดนต้มอีก เรียบร้อย ก็เลยเป็นอันบวชดีกว่ากู**”

Cr. ทองทิว สุวรรณทัต​ จากหนังสือโลกลี้ลับ

ฉบับที่ ๔๘ ปีที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๑

#รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์7

หลวงพ่อจง มีปณิธานดำรงอัตตะของชีวิตบรรพชิตของท่านด้วยอาการเคร่งต่อศีล

ตามรอยตำนาน หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก (ตอนที่๖) 
หลวงพ่อจง มีปณิธานดำรงอัตตะของชีวิตบรรพชิตของท่านด้วยอาการเคร่งต่อศีล
นอกจากพลังจิตของท่านเหี้ยมฮึกต่อ ทมะ คือ สามารถต่อการคุมจิตของตนไว้ใต้อำนาจ มิให้กระดิกกระโดดออกนอกทาง ที่เคร่งมากที่สุด คือ มั่นอยู่ใน พรหมวิหารสี่ และใช้มากหนักไปในทางเมตตา แต่กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็มีครบครัน นอกจากนี้ ท่านยึดมั่นในหลัก จาคะ สมัครใจเสียสละเพื่อผู้อื่นเท่าที่สามารถทำได้ตามที่กล่าวถึงมาตอนต้น ๆ แล้วประการสำคัญก็คือ เป็นผู้ดำรง สัจจะ และต้องการอบรมคนทุกคนให้เป็นผู้มีสัจจะ ไม่พูดปดมดเท็จ

ดังนั้น ทั้งที่ท่านโกรธใครยากที่สุด ทว่าหากเป็นในเรื่องการกล่าวคำเท็จ ท่านมักมีอารมณ์เผลอโกรธเหมือนกัน เป็นแต่สามารถระงับได้รวดเร็ว มิปล่อยให้ไฟโกรธครอบงำอารมณ์เป็นนายเหนือการบังคับพลังจิตของท่าน จนต้องตกเป็นทาสของมันให้กระทำการก่อเหตุเภทภัยขึ้น

หลวงพ่อจงมีเกียรติคุณเป็นที่นิยมกว้างขวางจริงจังในคุณแห่งวิทยาคม เมตตา เป็นอันดับแรก ต่อไปก็เป็นคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดมหานิยม และน้ำมนต์ของท่านขึ้นชื่อลือชาว่า สามารถสะเดาะเคราะห์ ความอับโชคได้ผลประสิทธิมาก ด้วยประการฉะนี้ วัดหน้าต่างนอกจึงปรากฏมีทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และประชาชนแทบทุกจังหวัดเดินทางไปมานมัสการขอรดน้ำมนต์จากท่านไม่ขาดสาย โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่มีงานฉลององค์พระประธานในโบสถ์ ปรากฏว่าได้มีประชาชนจากทั่วทุกทิศเป็นจำนวนร่วมแสนคน ไปร่วมพิธี ณ วัดหน้าต่างนอกตลอดทั้งเจ็ดวันเจ็ดคืน และได้ร่วมบริจาคเงินอย่างมากมาย ซึ่งต่อมา พระประธานในพระอุโบสถวัดหน้าต่างนอก ที่หลวงพ่อจงเป็นประธานสร้างนั้น ก็ได้รับพระราชทานพระนามจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถว่า "พระสัพพัญญู" เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 อันเป็นวันหลังจากที่หลวงพ่อจงได้ถูกคัดเลือกนิมนต์ไปร่วมกระทำพิธีถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าย่า ของสมเด็จพระบรมราชินี พร้อมด้วยพระเถรานุเถระ สำคัญและล้วนมีเกียรติคุณสูง

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชอัธยาศัยโปรดในความมีบุคลิกพิเศษ เต็มไปด้วยสง่าราศีของหลวงพ่อจงไม่น้อย และได้ทรงมีพระราชปฏิสันถารด้วยพระราชอัธยาศัยเป็นอันดีบ่อยครั้ง ในที่สุดทรงมีพระราชเสาวนีย์ขอรับเป็นองค์โยมอุปัฏฐานของวัดหน้าต่างนอก แต่ตราบกระทั่งหลวงพ่อจงมรณภาพ ไม่เคยทำเรื่องรบกวนพระราชหฤทัยเลย เคยมีผู้แนะให้ขอพระราชทานเงินสร้างเขื่อนกั้นน้ำและหอระฆัง กับปฏิสังขรณ์โบสถ์ของวัดหน้าต่างในซึ่งชำรุดมาก จนทำสังฆกิจมิได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคไม่สะดวกแก่การสัญจรทั้งของวัดหน้าต่างนอกและวัดหน้าต่างใน หลวงพ่อจงได้ปฏิเสธว่า ไม่ควรรบกวนพระราชอัธยาศัยในการนั้น เพราะท่านที่ทรงสำแดงพระเมตตารับเป็นองค์อุปัฏฐาก ก็นับว่าเป็นนิมิตมงคลแก่ท่านและวัดมากอยู่แล้ว เรื่องของวัด วัดก็ควรทำเอง เพราะเรื่องสร้างเขื่อนนี้ต้องค่อยทำค่อยไป ประชาชนทั่วไปก็ร่วมมืออยู่แล้ว คงทำสำเร็จจนได้ในวันหนึ่ง

หลวงพ่อจงเป็นผู้มีอัธยาศัยปกติไม่ชอบรบกวนจุกจิกต่อน้ำใจใคร ไม่เคยบิณฑบาตขอร้องอะไรต่ออะไรจากใคร โดยมากมักมีผู้ไปนมัสการท่าน แล้วมองตรวจหรือสอบถามเพื่อช่วยเหลือทำบุญแก่ท่านเอง เช่น รู้ว่าท่านขาดเหลืออะไร มีอันใด ทำให้ท่านมีความไม่สะดวกเป็นความอึดอัดต่างก็จัดหาถวาย แต่ถ้าหากจะถามท่านว่า ท่านจะต้องการสิ่งนี้สิ่งนั้นไหม ท่านจะปฏิเสธทันทีว่า ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ หรือ รอไปก่อนดีกว่า หรือ ไม่เป็นไรหรอก อาตมายังไม่ปรารถนา

บรรดาพระราชวงศ์ พ่อค้าเศรษฐี ข้าราชการทุกประเภทโดยทั่วไปส่วนมากที่เคารพสักการะศรัทธาต่อท่าน ต่างมักพากันไปมาหานมัสการและคอยสอดส่องอุปการะท่านเสมอ อาทิ พระองค์จ้าอนุสสรณ์มงคลการ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตต์มงคล พระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมภรณ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล น.อ.ประสงค์ สุชีวะ ฯลฯ

หลวงพ่อจงเป็นผู้มักน้อยมีสันโดษมาแต่เล็ก ดังนั้นเมื่อดำเนินตามแนวพุทธวิธีตามพระธรรมคำสอน ท่านจึงสามารถสำเร็จในฌานสมาบัติได้โดยมิยาก

ชีวิตวัยเด็ก นอกจากช่วยพ่อแม่เลี้ยงควาย ดูแลบ้านและน้องแล้ว หลวงพ่อจงมิเคยทำงานหนักเบาสิ่งใด เพราะมีลักษณะคล้ายเป็นคนพิการ ตาก็ฝ้าฟาง หูก็ตึง แต่เป็นการอัศจรรย์ นับแต่เข้าเป็นพระภิกษุแล้ว ความพิการต่าง ๆ หายไปเป็นปลิดทิ้ง อวัยวะทุกสิ่งแจ่มใส อายุ ๙๒ ปี ยังอ่านหนังสือได้โดยมิต้องใช้แว่น และยังสามารถสนเข็มได้ด้วยตนเอง ยกเว้นหูซึ่งมีประสาทชา ต้องพูดกับท่านดังหน่อย

หลวงพ่อจงเป็นผู้เคร่งครัดต่อการรักษาความสะอาด มีจิตใจเป็นผู้มีความละเอียดรอบคอบ บริเวณในวัดนอกวัด หากท่านอยู่ไม่ไปไหนจะต้องทำการปัดกวาดขัดเกลาด้วยตนเองเสมอ และไม่ชอบใช้ใครทำ หากใครจะช่วยทำก็ให้มาทำเองด้วยความสมัครใจของเขา ทั้ง ๆ ที่ท่านมีศิษย์ไม่ต่ำกว่าห้าคนอยู่ประจำเสมอ

ตั้งแต่วัดหน้าต่างนอกเคยมีงานพิธีใด ๆ มา มีผู้มาร่วมชุมนุมสมทบการกุศล ชมงานวัด ไม่เคยมีสักครั้งเดียวที่จะเกิดเรื่องทะเลาะวิวาท แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ได้มีทหารยศนายสิบผู้หนึ่ง เกิดอาการมึนเมาครองสติไม่อยู่ ได้อาละวาดไล่ตีผู้คนและชักปืนยิงวุ่นวาย มีผู้ไปนิมนต์หลวงพ่อจงขอให้ไปห้ามระงับเหตุ ท่านหัวร่อ พลางบอกว่า ไม่ต้องห้ามเดี๋ยวก็หยุดไปเอง หากอาละวาดจนหยุดไม่ได้ ก็เห็นจะต้องตาย

มันช่างเป็นความอัศจรรย์อะไรเช่นนั้น หลวงพ่อจงพูดขาดคำไปไม่ถึงสิบนาที มีคนวิ่งกระหืดกระหอบไปแจ้งท่านว่า นายสิบทหารผู้นั้นตายเสียแล้ว โดยอยู่อยู่ก็อวดศักดาเอาปืนจ่อขมับตนเอง อวดใครต่อใครว่าเป็นผู้ศักดาอาคมขลัง ปืนยิงไม่เข้า

และอีกครั้งหนึ่ง มีนายทหารชั้นร้อยโทผ่านศึกอินโดจีน เป็นคนพิการขาขาด ได้ไปขออาศัยอยู่ด้วย หลวงพ่อจงก็ไว้วางใจ มอบให้เป็นผู้เก็บรักษาเงินของวัด อยู่มาสองปีเศษ เงินของวัดก็สูญหายไปเรื่อย ๆ มากบ้างน้อยบ้าง แต่หลวงพ่อจงก็ไม่เคยเป็นห่วงเอาธุระซักไซ้ดูว่าอย่างไร สืบมาไม่นาน หลวงพ่อจงได้เงินมาหมื่นเศษก็มอบให้ไว้อีก โดยบอกว่าเงินนี่จะเอาไว้ทำโบสถ์ให้รักษาไว้ให้ดีหน่อย

ต่อมาถึงเวลาต้องการใช้เงิน คนผู้นั้น กลับตอบปฏิเสธว่าเงินไม่มีเสียแล้ว หลวงพ่อจงกล่าวซักว่า ...ก็ให้เก็บไว้บอกว่าจะเอาทำโบสถ์ ทำไมว่าเงินไม่มี พูดเป็นคนเสียสตินี่...

อีกสี่วันต่อมา บุรุษพิการขาขาดผู้นั้นได้กลายเป็นคนบ้า บ้าขนาดหนัก และมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงเจ็ดวันก็เกิดมีอาการคลุ้มคลั่งขนาดตรีทูตจนป่วยเป็นไข้อย่างแรงถึงเสียชีวิต

หลวงพ่อจงมีกิตติคุณอีกทางหนึ่งในการใช้น้ำมนต์ น้ำมันมนต์ของท่าน ท่านสร้างเองโดยหุงเดือดแล้วบริกรรมด้วยอาคมขลัง แล้วเอามือคนไปจนได้ที่ น้ำมันนี้มีสรรพคุณกินแก้ปวดท้อง หยอดยาแก้เจ็บ ตาแดง ตาต้อ ทานวดแก้เมื่อยขบ

ในชีวิตของท่าน ท่านต้องปฏิบัติกิจโดยพิถีพิถันและต้องไปร่วมพิธีใหญ่ ๆ ของทางราชการ และของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่อยู่อย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าในการปลุกเสกอาคมสร้างของขลังในชมรมบรรดาเกจิอาจารย์หรืองานหลวง เช่น พิธีพุทธาภิเษกเหรียญและรูป อดีตสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ พิธีพุทธาภิเษกพระเครื่อง 25 พุทธศตวรรษ ตลอดจนถึงพิธีพุทธาภิเษกครั้งหลังสุดในชีวิต 94 ปีของท่าน คือพิธีพุทธาภิเษกสร้างเหรียญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ปัจจุบันกับร่วมในพระราชพิธีฉลองพระชนมายุครบสามรอบ ณ วัดราชบพิธ นี่ย่อมเป็นเครื่องสำแดงว่า มิว่าในสังคมชั้นใดเอกชน หรือว่าวงราชการชั้นสูงสุดแค่ไหน หลวงพ่อจงถูกยอมรับนับถือเป็นยอดอริยสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิ คุณธรรมสูงสุดผู้หนึ่ง

ประการสำคัญ ในชีวิตท่าน หลวงพ่อจงมิเคยมีอารมณ์หลง อยากได้นั่นได้นี่เป็นสมบัติ นอกจากกระทำไปตามหน้าที่ เช่น สร้างกุฏิซึ่งเก่าคับแคบ มีน้อยให้มากขึ้นที่วัดหน้าต่างนอกตามอัตภาพ สร้างศาลาการเปรียญ สร้างโรงเรียนตามที่ทางราชการ อำเภอ จังหวัดนิมนต์พึ่งขอความร่วมมือจากบารมีของท่าน แต่อย่างไรก็ดี สิ่งของของวัดท่าน เช่น ตะเกียงเจ้าพายุ (สมัยนั้นยังไม่มีผู้ถวายเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแก่วัด) หากวัดอื่นยากจนกว่าไปขอใช้ ท่านก็ให้ไป ศาลาวัดบางหลังที่ควรเอาไว้ใช้ แต่มีผู้มาบอกว่าจะขอรื้อเอาไม้ไปทำโรงเรียน ช่วยเด็กไม่มีโรงเรียนจะนั่งเรียน ท่านก็อุทิศให้ไปอย่างยิ้มแย้มเต็มใจ ท่านได้พัดวิเศษอันสูงค่ายิ่ง เพราะเป็นของพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อมีผู้มาขอยืมไปใช้เพราะเห็นว่าสวยสุดสง่า แต่แล้วไม่เอาคืนให้ มีผู้อาสาไปเอาคืน ท่านก็เพียงครางหึหึในลำคอ พลางก็ห้ามว่า เมื่อคนอื่นเขาพอใจจะเป็นเจ้าของเอาไว้ครองเป็นสมบัติของเขายิ่งกว่าเรา เราอุทิศให้เขาไปเสียให้สมใจ ก็มิเห็นจะเป็นไรไป

พฤติการณ์กรณีวาจาสิทธิ์ ของหลวงพ่อจงมีผู้พูดถึงกันมาก และ ปรากฏมีผู้ศรัทธาเชื่อกันว่า ท่านมีวาจาดุจดังพระร่วงอะไรทำนองนั้น แต่ท่านก็ไม่เคยว่ากล่าวใครสักกี่ราย แม้แต่การให้พรท่านก็มักให้แต่ในแนวทางสงฆ์ มีการสวดมนต์ภาวนาประพรมน้ำมนต์ ไม่เคยกล่าวคำอวยพรให้ใครอย่างใดในแบบสังคม

ปัญญาและอุเบกขา

#คติธรรม 
#พระอาจารย์สุชาติ_อภิชาโต 

"ปัญญาและอุเบกขา"
ปัญญา ก็คือความรู้ตามความเป็นจริง รู้ว่าสิ่งต่างๆในโลกนี้ไม่เที่ยง มีเกิดมีดับมีขึ้นมีลง รู้ว่าสิ่งต่างๆที่เรามีอยู่ตอนนี้มัน ไม่ได้เป็นของเราหรอก เดี๋ยวสักวันหนึ่งเราก็ต้องจากมันไปทั้งหมด แม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่เป็นของเรา 

นี่คือปัญญา ให้รู้ความจริง รู้ว่าทุกอย่างที่เรามีอยู่นี้เป็นของชั่วคราวเป็นของที่ยืมเขามา วันหนึ่งก็จะต้องสูญเสียไป ต้องพลัดพรากจากกันไป ถ้าเรารู้เราก็จะไม่ยึดไม่ติดไม่หลงไปคิดว่าเป็นของเรา เราก็จะพร้อมที่จะจากมัน เมื่อถึงเวลาจากกันก็จากกันอย่างมีความสุข จากกันอย่างไม่มีความทุกข์ เพราะรู้ว่ามันไม่ได้เป็นของเรา เหมือนกับเราไปยืมของของคนอื่นเขามาใช้ พอเราใช้เสร็จเราก็คืนเขาไป ไม่เห็นจะเดือดร้อนไปทำไม แต่ถ้าเราไปคิดว่าเป็นของเรา พอไปยืมเขามาแล้วก็มาถือว่าเป็นของเรา เราก็จะไม่อยากคืนเขา พอต้องคืนเราก็ไม่คืน พอถูกบังคับให้คืนเราก็จะทุกข์ นี่ของต่างๆนี้เหมือนกับของที่เรายืมมา 

ร่างกายนี้ก็เป็นเหมือนของที่เรายืมมา ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ สามี ภรรยา บุตรธิดา พ่อแม่ปู่ย่า ตายาย เหมือนของที่เรายืมมาทั้งนั้น เดี๋ยวไม่ช้าก็เร็วเราก็จะต้องคืนเจ้าของไป เดี๋ยวปู่ย่าตายายก็ต้องไปก่อน คืนปู่ย่าตายายไปก่อนแล้ว เดี๋ยวก็คืนพ่อคืนแม่ ต่อไปก็มาคืนพี่ ต่อมาก็เมื่อคืนตัวเรา ลูกเราสามีเราเมียเรา ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองของเรา 

ถ้าเรามีปัญญาเราจะไม่ลืมความจริงอันนี้ แล้วเราจะเตรียมตัวตลอดเวลา แล้วเราจะใช้อุเบกขานี้รับกับเหตุการณ์ได้ถ้าเรามีปัญญา แต่ถ้าเราไม่มีอุเบกขาเราก็จะยังทำใจไม่ได้ เวลาเราต้องเสียสิ่งที่เรารักไปแล้วก็จะเสียใจ แต่ถ้าเรามีอุเบกขาและเรามีปัญญา อุเบกขาจะทำให้เราเฉย ปัญญาจะสอนว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา ของทุกอย่างที่เรามีอยู่นี้เราจะต้องเสียมันไป ฉะนั้น เรามาเตรียมตัวกันเตรียมตัวล่วงหน้าไว้ก่อน ซ้อมไว้ก่อน เช่นไปอยู่คนเดียวบ้าง อย่าอยู่ด้วยกันตลอดเวลา แยกกันอยู่ แยกอยู่กับทุกสิ่งทุกอย่าง ไปอยู่วัด เหมือนกับไปตายกัน ไปหัดตายกัน หรือไปหัดอยู่แบบไม่มีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง ไม่มีแม้แต่ร่างกาย

 เพราะไปอยู่วัดนี้ร่างกายก็ไม่ต้องใช้ จะอยู่วัดก็ใช้ใจใช้ธรรมะทำใจให้สงบ แล้วใจก็มีความสุข โดยที่ไม่ต้องใช้ร่างกาย ถ้าเราไปอยู่วัดไปอยู่แบบนักบวชได้เป็นพักๆ ต่อไปเราก็จะสามารถที่จะทำใจได้ ให้เป็นอุเบกขาได้ ให้ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างได้ ให้มีปัญญาคอยเตือนใจอยู่เสมอว่า ไม่มีอะไรเป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของชั่วคราว แล้วก็ไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ได้เรื่อยๆ บางทีก็เจริญ บางทีก็เสื่อม ห้ามมันไม่ได้ บังคับมันไม่ได้ แต่เราไม่ต้องไปทุกข์กับมันได้ ด้วยการยอมรับความจริง แล้วเราก็จะไม่มีความทุกข์อยู่ในใจ อีกต่อไป

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ "ธรรมที่ควรพากเพียร"

11 มิถุนายน 2566

“ อานุภาพพิเศษ ” ของ ... วิชชาธรรมกาย

 

ผู้ปฏิบัติธรรมจนได้ถึง “ธรรมกาย”และ ยัง “ทรง” อยู่เสมอนั้น ย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้ได้ “บวชภายใน”...ไม่ว่าจะเป็นหญิง หรือ ชาย
คือแปลว่า ใจนั้นบวชอยู่ และถ้าหากได้บรรพชาอุปสมบทอีกด้วย (ในกรณีที่เป็นชาย) ก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้บวชทั้งภายใน และ ภายนอก

สำหรับผู้ปฏิบัติภาวนาที่ได้ถึง “ธรรมกาย” แล้ว
ไม่ว่าจะได้บรรลุ มรรค ผลนิพพาน เป็น “พระอริยบุคคล” แล้วหรือไม่
หากได้เจริญภาวนา “พิสดารกาย”ดับ “เห็น จำ คิด รู้” ส่วนหยาบ...ไปสู่สุดละเอียด
จนจิตละเอียดมากถึง “วางอุปาทานในขันธ์ ๕” ของกายในภพสามได้ (แม้เพียงชั่วคราว)
และ ปล่อยความยินดีในฌานสมาบัติ

เมื่อปล่อยขาดพร้อมกันแล้ว
ธรรมกายหยาบจะตกสูญฐานที่ ๗ ลงไปยังศูนย์กลางกายฐานที่ ๖
แล้วธรรมกายที่สุดละเอียด พร้อมด้วยดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย
ซึ่งเบิกบานขึ้นมาจากธาตุธรรมที่บริสุทธิ์ ตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมนั้น
จะลอยขึ้นมายัง ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
แล้วตกสูญไปยัง ศูนย์กลางกายฐานที่ ๖
แล้วผ่านไปยังฐานที่ ๕ , ที่ ๔ , ที่ ๓ , ที่ ๒ และ ที่ ๑
พ้นจากอายตนะภพสาม ไปปรากฏอยู่ใน “อายตนะนิพพาน”ซึ่งมีผลให้ ........

๑.สามารถ รู้ เห็น ได้ยิน ... สภาวะ และ ความเป็นไป ใน “อายตนะนิพพาน” ได้

๒.ได้สัมผัสอารมณ์พระนิพพาน (ที่ว่า “หาอารมณ์มิได้” นั่นแหละ)
... ตามที่เป็นจริง (แม้เพียงชั่วขณะ)
และถ้าได้บรรลุมรรคผล เป็น “พระโสดาบันบุคคล” 
ก็ชื่อว่า เป็นผู้ “ตกกระแสนิพพาน”(เป็นประจำ) ไม่มีตกต่ำอีก

๓.ผู้ถึงธรรมกาย และ ได้เจริญภาวนาเข้าถึงธรรมกายที่ละเอียด ๆ ... จนสุดละเอียด
แล้วรวมใจของทุกกายให้อยู่ ณ ศูนย์กลางกายพระอรหัต...องค์ที่ละเอียดที่สุดนั้น
ย่อมสามารถใช้ “อายตนะภายใน”ส่องดูความเป็นไปใน “ภพสาม”(กามภพ รูปภพ อรูปภพ)
หรือ นรก , สวรรค์ ตลอดถึง “อายตนะโลกันต์” 
ให้ได้ทั้งรู้ ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน และแม้ได้กลิ่น ฯลฯ โดยชัดแจ้ง
..... ตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้

เมื่อเจริญฌานสมาบัติ จนจิตสงัดจากกิเลสนิวรณ์ แล้วน้อมเข้าสู่ ...
“ปุพเพนิวาสานุสติญาณ” (ญาณระลึกชาติของตนเอง และของผู้อื่นได้)
“จุตูปปาตญาณ” (ญาณหยั่งรู้ว่า สัตว์ทำกรรมอย่างนั้น ๆ จะได้รับผลกรรมอย่างไรต่อไปในอนาคต) 
ให้รู้เห็น ทุกขสัจจ์ สมุทัยสัจจ์ นิโรธสัจจ์ และ มรรคสัจจ์
และให้บรรลุ “อาสวักขยญาณ” 
(ญาณหยั่งรู้ การกระทำอาสวะกิเลสให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ เป็น พระอรหันต์ขีณาสพ ต่อไป)

๔.เจริญยิ่งด้วย บุญศักดิ์สิทธิ์ , บารมี , อุปบารมี , ปรมัตถบารมี , รัศมี , กำลังฤทธิ์ , อำนาจ , สิทธิ , สิทธิเฉียบขาด ..... ฯลฯ จึงทรง “ปาฏิหาริย์” และ “บุญฤทธิ์”... ที่มีอานุภาพสูงยิ่ง

๕. “รู้แจ้ง” และ เจริญยิ่งด้วย
วิชชาของภาคพระ (ธรรมฝ่ายบุญกุศล)
อวิชชาของภาคมาร (ธรรมฝ่ายบาปอกุศล)
และของ ภาคกลาง (อัพยากตาธรรม)
..... อย่างละเอียดลึกซึ้ง จากเหตุในเหตุ ไปถึงต้น ๆ เหตุ

๖.เป็นพื้นฐานของการเจริญวิชชาธรรมกายชั้นสูง ชื่อว่า “มรรคผลพิสดาร”หรือ “อาสวักขยญาณชั้นสูง” หรือ “วิชชาสะสางธาตุธรรม” เข้าถึง... “อายตนะนิพพานเป็น”เพื่อเพิ่มพูน บุญศักดิ์สิทธิ์ , บารมี , อุปบารมี , ปรมัตถบารมี , รัศมี , กำลังฤทธิ์ , อำนาจ , สิทธิ , สิทธิเฉียบขาด ..... ฯลฯ 
ซึ่งมีอานุภาพมาก ... ทั้งในส่วน “กำจัดเหตุแห่งทุกข์” และ “บำรุงสุข”ด้วย...มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และ นิพพานสมบัติ

ด้วย “อานุภาพธรรมกาย” ดังกล่าวนี้ 
จึงมีผลเป็นธรรมเครื่อง “บำบัดทุกข์”และ “บำรุงสุข” แก่สัตว์ทั้งหลาย
และนับเป็น “ธรรมาวุธ” อันคมกล้ายิ่งนัก

อันไม่ควรที่ “ผู้ไม่รู้” ... จะพึงวิพากษ์วิจารณ์โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะจะมีผลดุจเดียวกับ “ เด็กทารก ลูบใบมีดอันคมกริบเล่น ”หรือเข้าทำนอง “ เด็กกำถ่านไฟ ”

เมื่อ “ เจริญวิชชาธรรมกายชั้นสูง ” ... สุดละเอียดเข้าไป จึงพบความจริงข้อหนึ่งที่ว่า สัตว์โลกทั้งหลาย...มีธาตุธรรมที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “สายธาตุธรรมเดียวกัน” (สายขาว , สายกลาง , สายดำ)
เพราะมาจากธาตุธรรม (ต้นธาตุ ต้นธรรม) เดียวกัน

โดยเหตุนี้ เมื่อผู้ถึงธรรมกาย “เจริญภาวนาวิชชาชั้นสูง” ซึ่งเป็นการสะสางธาตุธรรมของตนเอง 
จึงมีผลถึงธาตุธรรมของสัตว์อื่น ... ในสายธาตุธรรมเดียวกันโดยอัตโนมัติ (มากน้อยตามส่วน)

หลวงพ่อวัดปากน้ำ (สด จนฺทสโร)จึงได้กล่าวเสมอว่า
“ธรรมกายนั้นแหละ คือ ที่พึ่งของสัตว์โลก”
และว่า “ธรรมกายคนหนึ่ง ช่วยคนได้ครึ่งเมือง”

ผู้ขัดขวาง หรือ เหยียบย่ำ วิชชาธรรมกายอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า ... ด้วยทิฏฐิชั่ว
จึงเท่ากับทำลายที่พึ่งของตนเอง มิให้เข้าถึงนิพพานอันแท้จริงได้ และย่อมประสบความทุกข์เดือดร้อน ประดุจ “ซัดธุลีทวนลม”หรือ “เด็กกำถ่านไฟ” ... ดังกล่าวแล้ว

ส่วน “ผู้มีปัญญา” และ “ใจบุญกุศล”
เข้าศึกษาและปฏิบัติเพื่อความ เข้าถึง ให้ได้รู้เห็น และ เป็น “ธรรมกาย”สูงสุดขึ้นไปถึงเป็น “พระนิพพาน”(คือ ธรรมกายที่บรรลุพระอรหัตผลแล้ว)
และ สนับสนุนค้ำจุนการเผยแพร่พระสัทธรรมนี้
ตามกำลังศรัทธา สติปัญญา ความสามารถ … ย่อมได้ที่พึ่งอันประเสริฐ 

ดังที่ผู้ที่ได้ เข้าถึง รู้เห็น และ เป็น..... ได้มีประสบการณ์ที่ดี ๆ มาแล้ว

*** คัดลอกบางตอนจาก
หนังสือ อานุภาพธรรมกาย
โดย มูลนิธิพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย
ใน โครงการธรรมปฏิบัติเพื่อประชาชน วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏

#จุดเด่นของการเจริญภาวนาตามแนววิชชาธรรมกาย

โดย : พระราชพรหมเถร (วีระ คณุตฺตโม)
รองเจ้าอาวาส และ พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

การเจริญภาวนาตามแนว “วิชชาธรรมกาย” นี้
เบื้องต้น (ในขั้นสมถกรรมฐาน) ก็มีอุบายผูกใจไว้กับ ...
“บริกรรมนิมิต" และ "บริกรรมภาวนา” คู่กัน
เพื่อช่วยประคอง “ใจ” อันประกอบด้วย
เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
หรือ ความเห็น ความจำ ความคิด และความรู้
ให้รวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน ที่เรียกว่า “เอกัคคตารมณ์” มีอารมณ์เป็นหนึ่งได้ง่าย

ซึ่งการให้ผู้เจริญภาวนา กำหนดใจให้ไปรวม “หยุด” อยู่ ณ ที่ "ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗" (เหนือระดับสะดือ ๒ นิ้วมือ) นั้น

ก็เพราะว่า ...
การรวมใจหยุดอยู่ที่ "ศูนย์กลางกาย" นั้น
ช่วยให้การ “รู้ เห็น” เป็นไปอย่างแม่นยำ และกว้างขวาง
ดีกว่าการเอาใจไปจรด ... อยู่ที่อื่น

ทั้งนี้ก็เพราะว่า ... การรู้เห็น
โดยวิธีรวม “ใจ” อันประกอบด้วย
ความเห็น ความจำ ความคิด และความรู้
ไว้ ณ ที่ "ศูนย์กลางกาย"
และที่ "ศูนย์กลางนิมิต" นั้น

ย่อมสามารถรู้เห็นนิมิต ... ในมิติที่สมบูรณ์ทั่ว และชัดเจนกว่าการรวมใจไปไว้ที่อื่นของกาย
หรือไปจรด ณ ที่ตำแหน่งอื่นของนิมิต

เมื่อขยายการรู้เห็น ... ออกไปกว้างขวางเพียงใด
หรือย่อความรู้เห็นนั้น ...
ให้เล็กลงสักพียงไหนก็ตาม
ย่อมขยาย หรือ ย่อการรู้เห็นนั้น ... ในมิติเดิมอยู่เสมอ

เพราะการเพ่งอยู่
ณ "ศูนย์กลางกายและนิมิต" นั้น
เมื่อขยาย หรือ ย่อการรู้เห็น
ก็ย่อมขยายออกไป หรือ ย่อเข้ามา
... ในอัตราส่วน หรือ มิติเดิมอยู่เสมอ
การรู้เห็นนิมิต ... จึงถูกต้องตรงตามที่เป็นจริงเสมอไป
ไม่เบี้ยว ไม่หลอก

จึงมั่นใจได้ว่า ... ถ้าเจริญภาวนาสมาธิ
โดยรวมใจให้ "หยุดในหยุด"
ลงไปที่ "กลาง" ของหยุดในหยุด
หรือที่เรียกว่า ... เข้ากลางของกลาง ๆ ๆ ๆ
ไปเรื่อยไม่ถอยหลังกลับ ได้อย่างนี้ละก็
ไม่มีทางที่จะเห็น นิมิตหลอก หรือ นิมิตลวง
... ที่น่าเกลียดน่ากลัว แต่ประการใดทั้งสิ้น

แต่ถ้าปฏิบัติภาวนาโดยเอาใจไป จรดไว้ที่อื่นแล้วอาตมาไม่รับรอง

เมื่อรวมใจหยุดนิ่งได้ถูกส่วน
ตรง ... ศูนย์กลางกายมนุษย์
ก็จะเห็น “ดวงธรรม” ที่ทำให้เป็นกายมนุษย์

เมื่อรวมใจหยุดในหยุด กลางของหยุดเรื่อยไป
ก็จะถึง “กายมนุษย์ละเอียด” หรือ “กายฝัน” ของตนเอง ซึ่งสวยละเอียดกว่ากายเนื้อ

แล้วก็จะถึง ...
กายทิพย์ , กายพรหม , กายอรูปพรหม
ซึ่งมีแต่สวย ละเอียด ประณีตยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก

จนถึงกายธรรม หรือที่เรียกว่า “ธรรมกาย”
ซึ่งมีลักษณะเหมือน ...
พระพุทธรูป "เกศดอกบัวตูม" ขาว ใส บริสุทธิ์
มีรัศมีปรากฏ เย็นตาเย็นใจยิ่งนัก

และเมื่อเจริญภาวนา มาถึงขั้นนี้แล้ว
ประสงค์จะตรวจดูสัตว์โลก ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน “ภพสาม” นี้
ก็สามารถจะ ... รู้เห็นได้ตามความเป็นจริง
โดยจงใจจะเห็น ... จึงจะเห็น
ไม่ใช่เป็นการรู้เห็นอย่างบังเอิญแต่อย่างใด

เพราะฉะนั้น ปัญหาที่ว่าจะเห็นนิมิตลวง หรือนิมิตหลอก ที่น่าเกลียดน่ากลัวนั้น จึงไม่มีอยู่ในการปฏิบัติกรรมฐานตามแนว “วิชชาธรรมกาย” นี้แต่อย่างใดทั้งสิ้น

นอกจากนั้น ถ้าปฏิบัติได้ตามคำแนะนำนี้
แม้แต่ “วิปัสสนูปกิเลส” ก็ไม่ต้องผ่านอีกด้วย

สำหรับรายที่ชอบกลัวผี
เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว ก็จงอย่ากลัวผีอีกต่อไป
เพราะการปฏิบัติภาวนาตามแนว "วิชชาธรรมกาย" นี้ จะได้รู้เห็นแต่ของจริง ที่ละเอียด ประณีต เย็นตา เย็นใจ ... ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

แต่ทว่าถ้าหากประสงค์จะดูสัตว์ในทุคติภพ เช่น เปรต อสุรกาย สัตว์นรก หรือพวกสัมภเวสีต่าง ๆ ก็จะสามารถรู้เห็นได้ตามต้องการ
และจะเห็นว่า ...
เปรตมันก็เป็นเหมือนเปรต
สัมภเวสีก็เป็นสัมภเวสี
อสุรกายก็เป็นอสุรกาย
สัตว์นรกก็เป็นสัตว์นรก
... ต่างคนต่างอยู่
เหมือนกับเราเห็นมนุษย์ หรือสัตว์กายเนื้อ ที่มีลักษณะต่าง ๆ กันนั่นเอง

อยากจะดู ... ให้รู้ให้เห็น
ก็สามารถรู้เห็นได้โดยจงใจ
ถ้าหากไม่อยากจะดู จะรู้ จะเห็น ... ก็ไม่ได้เห็น
จึงไม่ต้องไปวิตกกังวล หรือหวาดกลัวผีสางอะไรทั้งสิ้น

เมื่อรวมใจหยุดอยู่ ณ ศูนย์กลางกายพระ
คือ “พระธรรมกาย”
ใจก็จะยิ่งใกล้พระ หรือเป็นพระ ... เข้าไปทุกที
ทีนี้ก็ไม่มีผีสางอะไรมาหลอกได้

แม้แต่ คนทรงเจ้าเข้าผี ก็เถอะ
เพียงแต่มี “ผู้ถึงธรรมกาย” ไปยืนดูอยู่เท่านั้น
... ทรงไม่เข้าเสียแล้ว

หรือแม้แต่ คนที่มีวิชาอาคมขลังคงกระพันชาตรี
พอมี “ผู้ถึงธรรมกาย” อยู่ใกล้ ๆ
ก็จะหมดสิ้นความคงกระพันนั้นไปทันที

เพราะผี หรือ มารทั้งหลาย ... หลอกได้แต่คน
หลอก “พระธรรมกาย” ไม่ได้

นี่แหละคือ "จุดเด่น"
ของการเจริญภาวนาตามแนว “วิชชาธรรมกาย” นี้

ที่มา : หนังสือทางมรรค ผล นิพพาน
(ธรรมปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกาย)
วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

#จาคะตัวเดียวไปนิพพานได้ไหม

🙏ขอน้อมกราบบูชาคุณพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่งของลูกตลอดชีวิต กราบบูชาพระธรรมคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง และน้อมกราบบูชาพระคุณ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุก ๆ พระองค์ ด้วยความเคารพยิ่ง

        💜⚜️ #จาคะ⚜️💜

🙏พระเจ้าอยู่หัวท่านถามเมื่อหลายปีมาแล้ว เขียนจดหมายมาถามว่า #จาคะตัวเดียวไปนิพพานได้ไหม
✴️คำว่า "#จาคะ" #นี่คิดจะให้ยังไม่ได้ให้แต่ใจคิดว่าจะให้ #เห็นคนมีความทุกข์ #เห็นสัตว์มีความทุกข์ #ถ้าไม่เกินวิสัยของเรา_เราจะให้ ถ้ามันเกินวิสัยของเราก็ยังไม่ให้ ถ้าเขาต้องการมาก เรามีน้อย เราก็ให้น้อย เป็นการผ่อนหนักเป็นเบา อย่างนี้เรียกว่า "#จาคะ"

🙏แล้วท่านก็เขียนต่อมา คำว่า #จาคะ แปลว่า #เสียสละ ถ้ายังใช้ศัพท์คำว่า #เสียสละ ออกไป เหลือ "#สละ" ตัวเดียว ก็กิเลสเบาบางลง ก็ยังไปนิพพานไม่ได้ ตัดตัว "#ส" ออกเหลือ "#ละ" #ตัวเดียวจึงไปนิพพานได้

🙏ท่านถามมา ท่านก็แก้ของท่านเอง เราก็เลยตอบสบาย เห็นด้วย ถ้าหากท่านไม่เขียนมาเลย งงเหมือนกันละ ต้องตอบยาว ถ้าหากคนรู้แล้วตอบแบบนี้เข้าใจชัด ถ้าไม่รู้ อธิบายไม่เข้าใจ

🙏#ฉันนี่พระพุทธเจ้าให้ละ แต่เอาเด็กมาเกาะอีก ๓๐๐ กว่าคน เป็นไง "ละ" หรือ "เกาะ" ก็ไม่รู้ ปีนี้ฉันต้องเลี้ยงเด็ก ๓๐๐ กว่า และเด็กพวกนี้มันจน แกกำลังใจดี ทุกคนต้องได้ #มโนมยิทธิ_ได้ฌานถ้าศีลบริสุทธิ์ เขาเรียก #สาธุชนคนดี ถ้าได้ฌานสมบัติเขาเรียก #กัลยาณชนคนงาม ถ้าได้เป็นพระอริยเจ้า เขาเรียก #พระอริยะ

✴️การเลี้ยงเด็ก หวังอะไรในเด็ก หวังการตอบแทน หวังการสนองคุณ อย่างนี้ "เกาะ" #ถ้าทำเพื่อการสงเคราะห์ #อย่างนี้ปล่อยอย่างนี้ "#ละ" #เขาทำเพื่อละ

============================
📙ที่มาข้อธรรมคำสอนจากหนังสือ
📚พ่อสอนลูก เล่มสีทอง หน้าที่ ๓๐๒-๓๐๓
🙏คำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง) จ.อุทัยธานี

🖍️👸ผู้เขียนพิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทานโดย 
Apinya Wongthong 🙏
   💜๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๖💜

#เรื่องเหตุที่พระพุทธองค์มีอายุเพียง๘๐ปี


🤵ผู้ถาม : หลวงพ่อฯ ครับ..
เหตุใด พระพุทธเจ้าจึงมีอายุแค่ ๘๐ ปี ล่ะครับ..?

⚜️หลวงพ่อ : #สมัยพระพุทธเจ้า #ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ชาติหนึ่ง  #พระพุทธเจ้าทรงฆ่ายักษ์  #แล้วยักษ์แช่ง #ให้เป็นพระพุทธเจ้าอายุแค่๘๐ปี

🤵ผู้ถาม : ทำไมคำแช่ง จึงเป็นผล ครับ.?

⚜️หลวงพ่อ : ความจริงไม่ได้แช่งละมั้ง..

เขาคงรู้ว่า พระพุทธเจ้ามีอายุแค่ ๘๐ ปี ละมั้ง เขาไม่ได้แช่ง มันเป็นคำสาป.. 

 *สาป* นี่ มันเหนือกว่าแช่ง เขายังมีอำนาจ ใช่ไหม.. 

⚜️ ถ้าถามว่า : "คำสาป"  ทำไมมีอำนาจมาก  ฉันก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน.. แต่คำสาป เป็นไปตามนั้นจริง  ถ้าเขาสาปให้เราเป็นอะไร เราต้องเป็นตามนั้นแน่..

⚜️ คราวนี้ "แช่ง"  มันไม่เป็นหรอก เพราะ  "แช่ง"  มันเป็นอารมณ์กิเลส..

 แต่ "คำสาป"  ถามว่า.. มาจากไหน.. ฉันก็ไม่รู้ เหมือนกัน.

🔱รวมความว่า ยักษ์ตนนั้น เขาสาป.. เขาบอกว่า.. "ท่านอย่าฆ่าฉันนะ เวลานี้ ฉันมีอายุ ๘๐ ปี"   

⚜️ท่านเป็นพระโพธิสัตว์  #ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงเงื้อเท้าขึ้นมา #ยักษ์เขาเห็นกงจักรกลางอุ้งเท้า.. #ก็ทราบว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ #ที่ใกล้จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาน นี่ต้องใกล้นะ.

⚜️เขาบอกว่า : "#ท่านอย่าฆ่าฉันนะ เวลานี้ ฉันมีอายุ ๘๐ ปี  #ถ้าท่านฆ่าฉัน  #ท่านเป็นพระพุทธเจ้าจะมีอายุ๘๐ปีต้องนิพพาน"

⚜️ #แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านขันอาสา  #เพราะยักษ์ขึ้นมากินคนทุกปี  ท่านรับอาสาพระราชาไป  ก็จำเป็นต้องทำ 

⚜️ #เลยกระทืบหัวยักษ์ #คอหักไปเลย  ท่านถึงอายุ ๘๐ ปี ท่านก็นิพพาน  มันเนื่องกันหรือเปล่าไม่ทราบ พระสูตรว่ายังงั้น

🖋️📚ธัมมวิโมกข์ เล่มที่ ๓๙๘ ปีที่ ๓๕ เดือน พฤษภาคม ๒๕๕๗ หน้าที่ ๖๔ - ๖๕
 ⚜️พระราชพรหมยานเถระ⚜️
🙏หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง🙏

🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน

⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐

⚜️ #วันนี้วันพระ⚜️
 🙏#วันอัฏฐมีบูชา🙏
✴️ #วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ
ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำแห่งเดือนวิสาขะ (เดือน ๖)

⚜️เนื่องด้วยอัฏฐมีคือวันแรม ๘ ค่ำ แห่งเดือนวิสาขะ (เดือน ๖) เป็นวันที่ถือกันว่าตรงกับวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ เมื่อถึงวันนี้แล้ว พุทธศาสนิกชนบางส่วน ผู้มีความเคารพในพระพุทธองค์ มักนิยมประกอบพิธีบูชา ณ ปูชนียสถานนั้น ๆ วันนี้จึงเรียกว่า "วันอัฏฐมีบูชา"

✴️ #ประวัติความเป็นมา

        ⚜️เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ๘ วัน มัลลกษัตริย์แห่งนครกุสินารา พร้อมด้วยประชาชน และพระสงฆ์อันมีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน ได้พร้อมกันกระทำการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ณ มกุฏพันธนเจดีแห่งกรุงกุสินารา วันนั้นเป็นวันหนึ่งที่ชาวพุทธต้องมีความสังเวชสลดใจ และวิปโยคโศกเศร้าเป็นอย่างยิ่ง เพราะการสูญเสียแห่งพระพุทธสรีระ เมื่อวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ ซึ่งนิยมเรียกกันว่าวันอัฏฐมีนั้นเวียนมาบรรจบแต่ละปี พุทธศาสนิกชนบางส่วน โดยเฉพาะพระสงฆ์และอุบาสกอุบาสิกาแห่งวัดนั้น ๆ ได้พร้อมกันประกอบพิธีบูชาขึ้น เป็นการเฉพาะภายในวัด เช่นที่ปฏิบัติกันอยู่ในวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ เป็นต้น แต่จะปฏิบัติกันมาแต่เมื่อใด ไม่พบหลักฐาน ปัจจุบันนี้ก็ยังถือปฏิบัติกันอยู่ 

✴️ #ความสำคัญ 

โดยที่วันอัฏฐมีคือวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันที่มีเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา ถือเป็นวันที่ตรงกับวันที่ตรงกับวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระเป็นวันที่ชาวพุทธต้องวิปโยค และสูญเสียพระบรมสรีระแห่งองค์พระบรมศาสดา ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงยิ่ง และเป็นวันควรแสดงธรรมสังเวชและระลึกถึงพระพุทธคุณให้สำเร็จเป็นพุทธานุสสติภาวนามัยกุศล

 ✴️ #พิธีอัฏฐมีบูชา 

การประกอบพิธีอัฏฐมีบูชานั้น นิยมทำกันในตอนค่ำและปฏิบัติอย่างเดียวกันกับประกอบพิธีวิสาขบูชา ต่างแต่คำบูชาเท่านั้น 

✴️ #คำถวายดอกไม้ธูปเทียนในวันอัฏฐมีบูชา

ยะมัมหะ โข มะยัง, ภะคะวันตัง สะระณัง คะตา, โย โน ภะคะวา สัตถา, ยัสสะ จะ มะยัง, ภะคะวะโต ธัมมัง โรเจมะ, อะโหสิ โข โส ภะคะวา, มัชฌิเมสุ ชะนะปะเทสุ, อะริยะเกสุ มะนุสเสสุ อุปปันโน, ขัตติโย ชาติยา, โคตะโม โคตเตนะ, สักยะปุตโต สักยะกุลา ปัพพะชิโต, สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก, สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ, อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ, นิสสังสะยัง โข โส ภะคะวา, อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, วิชชาจะระณะสัมปันโน, สุคะโต โลกะวิทู, อนุตตะโร ปุริสทัมมะสาระถิ, สัตถา เทวะมะนุสสานัง, พุทโธ ภะคะวา สวากขาโต โข ปะนะ, เตนะ ภะคะวา ธัมโม, สันทิฏฐิโก, อะกาลิโก, เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก, ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ. สุปะฏิปันโน โข ปะนัสสะ, ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ, อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา, เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อาหุเนยโย, ปาหุเนยโย, ทักขิเนยโย อัญชลีกะระณีโย. อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ. อะยัง โข ปะนะ ถูโป(ปฏิมา) ตัง ภะคะวันตัง อุททิสสะ กโต (อุททิสสิ กตา) ยาวะเทวะ ทัสสะเนนะ, ตัง ภะคะวันตัง อะนุสสะริตวา, ปะสาทะสังเวคะปะฏิลาภายะ, มะยัง โข เอตะระหิ, อิมัง วิสาขะปุณณะมิโตปะรัง อัฏฐะมีกาลัง, ตัสสะ ภะคะวะโต สรีรัชฌาปะนะกาละสัมมะตัง ปัตวา, อิมัง ฐานัง สัมปัตตา, อิเม ทัณฑะทีปะธูปะ-, ปุปผาทิสักกาเร คะเหตวา, อัตตะโน กายัง สักการุปะธานัง กะริตวา, ตัสสะ ภะคะวะโต ยะถาภุจเจ คุเณ อะนุสสะรันตา, อิมัง ถูปัง(ปะฏิมาฆะรัง) ติกขัตตุง ปะทักขิณัง กะริสสามะ, ยะถาคะหิเตหิ สักกาเรหิ ปูชัง กุรุมานา. 

สาธุ โน ภันเต ภะคะวา, สุจิระปะรินิพพุโตปิ, ญาตัพเพหิ คุเณหิ, อะตีตารัมมะณะตายะ ปัญญายะมาโน, อิเม อัมเหหิ คะหิเต, สักกาเร ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ฑีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ

ประวัติโดยย่อของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์**

 ประวัติโดยย่อของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์**
1.. พระพุทธเจ้าตัณหังกร - ผู้กล้าหาญ
 
 2. พระพุทธเจ้าเมธังกร - ยศใหญ่
 
 3. พระพุทธเจ้าสรณังกร - ผู้เกื้อกูลแก่โลก
 
 4. พระพุทธเจ้าทีปังกร - ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง
 
 5. พระพุทธเจ้าโกณฑัญญะ – ผู้เป็นประมุขแห่งหมู่ชน

**1. องค์สมเด็จพระพุทธตัณหังกร - ผู้กล้าหาญ**
 
 ประสูติในตระกูล กษัตริย์
 พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้านันทราช
 พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุนันทราชาเทวี
 เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 10,000 ปี
 ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน
 พระวรกายสูง 18 ศอก
 ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 20,000 ปี
 
 
 **2. องค์สมเด็จพระพุทธเมธังกร – ผู้มียศใหญ่**
 
 ประสูติในตระกูล กษัตริย์
 พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า เทโว
 พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนาง ยะสุนทราชาเทวี
 เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 80,000 ปี
 ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 15 วัน
 พระวรกายสูง 18 ศอก
 ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี
 
 
 **3. องค์สมเด็จพระพุทธสรณังกร – ผู้เกื้อกูลแก่โลก**
 
 ประสูติในตระกูล กษัตริย์
 พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุมาเลราชา
 พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนาง ยสะเทวี
 เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 10,000 ปี
 ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 2 เดือน กับ 20 วัน
 พระวรกายสูง 18 ศอก
 ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 60,000 ปี 
 
 
 **4. องค์สมเด็จพระพุทธทีปังกร – ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง**
 
 สถานที่ประสูติ กรุงรัมมวดีมหานคร
 ประสูติเมื่อ วันเพ็ญ เดือน 8 อาสาฬหนักขัตฤกษ์
 ประสูติในตระกูล กษัตริย์
 พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า นรเทวราช(พระเจ้าสุเทพ)
 พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางเจ้า สุเมธา
 พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง ปทุมาราชเทวี
 พระราชโอรส พระนามว่า พระอสุภขันธกุมาร
 เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 10,000 ปี
 พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
 รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 9 ศอก
 ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นปิปผลิ
 ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน
 วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
 พระอัครสาวก ได้แก่ พระสุมังคลเถร และพระติสสเถร
 พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระสาคตเถร
 พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระนันทาเถรี และพระสุนันทาเถรี
 อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า ตปุสสะ และภัลลิกะ มหาอุบาสก
 อัครอุปัฎฐายิกา ชื่อว่า นางสิริมา และนางโสณา มหาอุบาสิกา
 มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 400,000 องค์
 พระวรกายสูง 80 ศอก
 พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 10 โยชน์
 ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี
 อายุพระศาสนา 100,000 ปี 
 
 
 **5. องค์สมเด็จพระพุทธพระโกณฑัญญะ – ผู้เป็นประมุขแห่งหมู่ชน**
 
 สถานที่ประสูติ กรุงรัมมวดีมหานคร
 ประสูติในตระกูล กษัตริย์
 พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุนันทราช
 พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนาง สุชาดาราชเทวี
 พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง รุจิราชเทวี
 พระราชโอรส พระนามว่า พระวิชิตเสนกุมาร
 เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุได้ 10,000 ปี
 พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่งเทียมม้าอาชาไนยคู่
 รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 58 ศอก
 ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นพญารัง
 ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน
 วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
 พระอัครสาวก ได้แก่ พระภัททเถร และพระสุภัททเถร
 พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระอนุรุทธเถร
 พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระติสสาเถรี และพระอุปัสสนาเถรี
 มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน แสนโกฏิ องค์
 พระวรกายสูง 18 ศอก
 พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
 ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 200,000 (แก้ว่าน่าจะเป็น100,000) ปี
 อายุพระศาสนา 100,000 ปี 
 
 ขอขอบคุณที่มา Apinya.com และเว็บพลังจิต

**ลูกขอน้อมกราบพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ด้วยเศียรเกล้า**

 #รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์7 #พระไตรปิฎก

#สมเด็จองค์ปฐม3** **#ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น3

10 มิถุนายน 2566

คิดโค่นล้มทำลายสถาบัน ฯ เป็นบาปกรรม เป็นโทษแก่ตน

"คิดโค่นล้มทำลายสถาบัน ฯ เป็นบาปกรรม เป็นโทษแก่ตน ต้องมีการสงเคราะห์ บำรุง ซึ่งกันและกัน แบ่งสรรปันส่วน มีความเห็นพร้อมเพรียงกัน มีทิฏฐิเสมอกัน มีความสามัคคีปรองดองกัน ไม่แตกแยก รักษาพัฒนาบำรุงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของตน อย่าไปคิดโค่นล้มทำลาย เป็นของไม่ดี ทำความชั่วเสียหายเป็นบาปกรรม เป็นโทษแก่ตน"
            ••••••••••••••••••••••••••••••••••
โอวาทธรรม : พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ
จาก "หนังสือตามรอยพระอริยเจ้า พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ" (รวบรวมและเรียบเรียง โดย ดำรงธรรม)

ตัวอย่างมุมมองของนักวิทยาศาสตร์..ต่อพระพุทธศาสนา

🌿🌎🌿 ตัวอย่างมุมมองของนักวิทยาศาสตร์..ต่อพระพุทธศาสนา
🔹" อุปสรรคแห่งการหลุดพ้นคือ 'อวิชชา' ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า 'ปิศาจที่ชั่วร้าย' เป็นอุปสรรคที่เกิดจากความโง่ของมนุษย์เอง "
• Nikola Tesla - บิดาแห่งกระแสไฟฟ้าสลับ

🔹" ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา หลักปรัชญาและกฏแห่งกรรม ทิ้งห่างศาสนาอื่นอย่างห่างไกล "
• Carl Jung - บิดาแห่งจิตวิทยาการวิเคราะห์

🔹" พุทธศาสนาเป็นเพียงศาสนาเดียวที่ปราศจากการเบียดเบียน การเข่นฆ่า หรือทารุณ จึงยิ่งใหญ่ที่สุด "
• Aldous Huxley - บิดาแห่งนักคิดยุคใหม่

🔹" หลักการทางศีลธรรมของพระพุทธเจ้าสมบูรณ์แบบที่สุด เท่าที่ชาวโลกเคยมีมา "
• Max Muller - บิดาแห่งประวัติศาสตร์ศาสนา

🔹" พุทธศาสนาสร้างความก้าวหน้าทางอารยธรรมที่แท้จริงให้แก่โลก และเหนือกว่าสิ่งใด ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ "
• H. G. Wells - บิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์

🔹" พุทธศาสนามีความยิ่งใหญ่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของอภิปรัชญาประยุกต์ "
• Alfred North Whitehead - บิดาแห่งอภิปรัชญา

🔹" พุทธศาสนามีวิธีการเข้าถึงความจริง ที่แตกต่างจากวิทยาศาสตร์ แต่เป็นวิธีที่ได้ผล "
• Jean Piaget - บิดาแห่งจิตวิทยาเด็ก

🔹" พระพุทธเจ้าได้ให้คำตอบเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายไว้แล้ว แต่ไม่อาจทำความเข้าใจได้ด้วยวิทยาศาสตร์ "
• J. Robert Oppenheimer - บิดาแห่งระเบิดปรณู

🔹" ถ้าเราต้องการจะเข้าใจเรื่องสติ-สัมปชัญญะของมนุษย์ เราต้องก้าวข้ามการหมกมุ่นอยู่กับเรื่องการทำงานของสมอง เพราะสติไม่ได้มาจากที่นั่น "
• Roger Penrose - นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลปี 2020

🔹" การค้นพบกลศาสตร์ควอนตัม และทฤษฎีสัมพันธภาพ ทำให้เกิดทางเลือกไปสู่จุดหมายได้ 2 ทาง ทางหนึ่งคือ เข้าหาพระพุทธเจ้า หรืออีกทางคือ เข้าหาระเบิด และขึ้นอยู่กับพวกเราเอง ว่าจะเลือกเดินทางไหน "
• Fritjof Carpa - ผู้เขียน เต๋าแห่งฟิสิกส์

🔹" ถ้าวิทยาศาสตร์เห็นว่าเรื่องของจิตไม่มีอยู่จริง กลศาสตร์ควอนตัมจะเข้ามาช่วยอธิบาย "
• Brian Josephson - นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลผู้ได้รับการยอมรับว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจเรื่องตัวนำยิ่งยวดและอุโมงควอนตัมมากที่สุดในโลก

🔹" เมื่อคนเราเสียชีวิตลง ความรู้สึก(เจตสิก52) สามารถข้ามไปเก็บไว้ที่มิติอื่นของจักรวาลได้(ในรูปของกรรม) " 
• Kip Stephen Thorne - นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลปี 2017 ผู้ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้หนึ่งที่เข้าใจทฤษฎีสัมพัทธภาพมากที่สุดในโลก

🔹" พุทธศาสนาเป็นการรวมกันของปรัชญากับวิทยาศาสตร์ พุทธอธิบายถึงเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ " 
" พุทธศาสนาจะเป็นศาสตร์ที่รับช่วงต่อ เพื่อค้นหาความจริง ในสิ่งที่วิทยาศาตร์ทำไม่ได้ "
• Bertrand Russell บิดาแห่งตรรกศาสตร์

🔹" ในทัศนะของข้าพเจ้า เป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ ที่จะต้องช่วยกันรักษาศาสนาแห่งจักรวาล(พุทธศาสนา)นี้ให้คงอยู่ "
• Albert Einstein อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ - ทฤษฎีสัมพันธภาพ, ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก, การเคลื่อนที่ของบราวน์, สมการสนาม, ทฤษฎีแรงเอกภาพ ฯลฯ - เจ้าของรางวัลโนเบลปี 1921 ผู้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

🔹" ถ้าเราอยากเข้าใจเรื่องอะตอมให้มากขึ้น เราจะต้องพยายามทำความเข้าใจเรื่อง 'ปัญญาทางญาณวิทยา' แบบที่นักปราชญ์อย่างพระพุทธเจ้าได้เผชิญมาแล้ว "
• Niels Bohr - เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ผู้ค้นพบโครงสร้างอะตอม

🔹" พระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งในบรรดาอัจฉริยะมนุษย์ทางศีลธรรมผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา "
• Albert Schweitzer - นักฟิสิกส์ นักมนุษยวิทยา นักปรัชญา นักศาสนศาสตร์ เจ้าของรางวัลโนเบลปี 1952

🔹" พุทธศาสนา..มีสภาวะที่เรียกว่า Cosmic Religious feeling อย่างเข้มข้น หรือแรงกล้ามาก "
" คุณค่าอันแท้จริงของการเป็นมนุษย์ สามารถพบได้ตามระดับที่เขาสามารถหลุดพ้นจากตัวตน(ego) "
" สำหรับผมแล้ว ความอ่อนแอของมนุษย์สร้างพระเจ้าขึ้นมา ส่วนคัมภีร์ไบเบิลนั้นเป็นหนังสือรวมเรื่องราวอันน่ามหัศจรรย์ แต่ก็เป็นเพียงตำนานซึ่งออกจะเหมือนนิทานหลอกเด็กมากกว่า แม้แต่ศาสนายิวก็เหมือนกับศาสนาอื่น ๆ ที่มีความเชื่อแนวผี เทวดา และโชคชะตาอันเหลวไหลไร้สาระ "
• Albert Einstein - นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

.
🍂 ที่มา :: หนังสือ ศาสนาแห่งจักรวาล
โดยทันตแพทย์สม สุจิรา

รู้ได้อย่างไรว่า “จิตเริ่มสงบเป็นสมาธิ”?

รู้ได้อย่างไรว่า “จิตเริ่มสงบเป็นสมาธิ”???
เมื่อทำอานาปานสติ คือ การรู้ลมหายใจเข้า-ออก หรือ ภาวนาพุทโธๆๆๆ หรือ รู้สึกตัวทั่วพร้อม หรือเพ่งกสิณ มีสติอยู่กับกรรมฐานที่ตนทำอยู่นั้น เมื่อจิตเริ่มสงบเป็นสมาธิ จะเริ่มมีอาการปรากฏที่กาย ดังต่อไปนี้
น้ำตาไหลเหมือนคนร้องไห้ 
ขนลุก ขนผอง 
รู้สึกเหมือนตัวขยาย ตัวใหญ่ขึ้น
รู้สึกเบาสบายเหมือนตัวลอยได้ รู้สึกซาบซ่านไปทั้งตัวทุกอณูขุมขนเหมือนสัมผัสลมเย็นหรือลงไปอาบในสระน้ำเย็น 
เห็นแสงสว่างสีขาว
อาการเหล่านี้เรียกว่า “ปีติ” แสดงว่าท่านมาถึง “อุปจารสมาธิ” แล้ว ซึ่งเป็นสมาธิเฉียด “ฌาน” หรือ “อัปนาสมาธิ” องค์ฌานประกอบด้วย “วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคตา” ตอนนี้ท่านได้ 3 ใน 5 แล้ว

เมื่อมีอาการ “ปีติ” อย่าไปสนใจหรือติดใน “ปีติ” ให้เอาสติกลับมาอยู่กับกรรมฐานที่ท่านทำอยู่ขณะนั้น จะก้าวข้าม “ปีติ” เกิดเป็น “สุข” และ “เอกัคตา” ตามลำดับ ซึ่งเป็นสมาธิที่ละเอียด ประณีตกว่ามาก เมื่อมีองค์ฌานครบ 5 องค์แล้ว แสดงว่าสมาธิของท่านเป็น “อัปนาสมาธิ” หรือ “ปฐมฌาน” แล้ว สมาธิระดับนี้แหละที่มีอานิสงส์มากเข้าถึงแค่เพียงช้างกระดิกหู มีอานิสงส์มากกว่าถือศีล 100 ปี ตักบาตรจนบาตรหินก้นทุละก็ไม่เท่า “จิตรวมเป็นสมาธิ”

ให้จิตพักในสมาธิระดับนี้จนเต็มอิ่มหรือยกระดับสู่ ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน และอรูปฌานตามลำดับ เมื่อจิตอยู่กับความสงบจิตเต็มอิ่ม 1 ชม. 3 ชม. 6 ชม. 24 ชม. 3 วัน 7 วัน จะถอนมาที่ “อุปจารสมาธิ” เองโดยไม่ต้องบังคับ เหมือนคนบริโภคอาหารอิ่มแล้ว ขณะนั้นจิตจะมีกำลังและปัญญาสว่างไสวมาก เวลาขณะนั้นเหมาะแก่การเจริญปัญญา คือ การทำวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อทำลายกิเลสจนหมดสิ้นไปในที่สุด……

หลวงปู่ทองดำ ศิษย์หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน

"กูนั่งอธิษฐานจิตปลุกเสก ร่วมกับหลวงปู่ทองดำ แค่ 5 นาที พลังจิตของท่าน ไปไกล กูตามท่านไม่ทันด๊อก" 
หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ วัดบ้านไร่ ท่านกล่าวกับศิษย์ในงาน พุทธาภิเษก ปี 2537

หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ กราบนมัสการพระนิมมานโกวิท (หลวงปู่ทองดำ) วัดท่าทอง พระมหาเกจิคณาจารย์เอก แห่งเมืองอุตรดิตถ์ ที่หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ กราบยกย่องในกฤษฎาคมขององค์ท่านอย่างสูงสุด

หลวงปู่ทองดำ พระเถรจารย์ผู้ปฏิบัติชอบรูปนี้อุทิศหยาดเหงื่อและแรงกายส่งเสริมพระพุทธศาสนาด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นมายาวนานจวบจนสิ้นอายุขัย

ในวัยเยาว์หลวงปู่ทองดำติดตามบิดามารดาล่องเรือค้าขายยาสูบระหว่างอุตรดิตถ์ พิจิตร และ นครสวรรค์ ระหว่างล่องเรือนั้นเองบิดาพาไปฝากเป็นเด็กวัดเรียนหนังสือกับ " หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน " อริยสงฆ์แห่งเมืองพิจิตรจนเก็บเกี่ยวความรู้เพิ่มเติมได้พอสมควรก็กลับมา ช่วยบิดามารดาค้าขายและทำไร่ ทำสวน จนอายุครบ 22 ปี ก็อุปสมบท ณ อุโบสถวัดวังหมู จ.อุตรดิตถ์ จากนั้นไปจำพรรษาที่วัดท่าทอง 1 พรรษา และย้ายไปจำพรรษาที่วัดท่าถนน 3 พรรษา ต่อมาตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าทองว่างลง ญาติโยมกราบอาราธนาให้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าทองในปี พ.ศ. 2468 จวบจนสิ้นอายุขัย สิริอายุ 107 ปี

หลวงปู่ทองดำสนใจใน วิชาโหราศาสตร์ พุทธคุณและคาถาอาคม โดยได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจาก " หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน " พร้อมทั้งได้ศึกษาวิชาอยู่ยงคงกระพันเพื่อป้องกันตัวและวิชาต่าง ๆ จนหมดสิ้น ระหว่างจำพรรษาที่วัดท่าถนนยังไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อทิมวัดกลาง อ.เมืองพิจิตร เกจิชื่อดังเกี่ยวกับตะกรุดโทน และหลวงพ่อทิมได้เมตตาถ่ายทอดวิชาและมอบตำราไสยเวทต่าง ๆ ให้ ซึ่งหลวงปู่ทองดำได้ใช้วิชาความรู้พัฒนาพุทธศาสนาเรื่อยมา

กิตติศัพท์ความเลื่องลือในปฏิปทาอันแรงกล้าและจริยวัตรอันงดงามของหลวงปู่ ทองดำขจรขจายไปไกลทุกสารทิศ เกจิรุ่นหลังหลายรูป ได้ให้ความเคารพนับถือในตัวหลวงปู่ เดินทางมากราบไหว้และสนทนาธรรมอยู่เนือง ๆ รวมทั้ง พระเทพวิทยาคมเถร (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) อริยสงฆ์แห่งแดนที่ราบสูง จ.นครราชสีมา ก็เคยมากราบไหว้สนทนาธรรมกับหลวงปู่ทองดำถึงวัดท่าทอง สร้างความฮือฮาให้กับพุทธศาสนิกชนที่ทราบข่าวเป็นยิ่งนัก

หลวงปู่ทองดำเป็นพระเถราจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กฤตยาคมท่านเป็นพระสุปัฎิปัณโณ ที่กราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ ผ่านการสะสมบำเพ็ญเพียรบารมี และปฎิบัติวิปัสสนาสมาธิมานานหลายทศวรรษแม้แต่ หลวงพ่อเกษม เขมโก นักบุญแห่งล้านนาไทย และ หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ ท่านยังออกปากกับชาวอุตรดิตถ์ ที่ไปกราบท่านว่า "หลวงพ่อทองดำที่วัดท่าทองน่ะ ท่านเก่งกว่าอาตมาอีก ทำไมไม่ไปหา" คำพูดนี้ไม่ใช่คำกล่าวอ้าง แต่ผู้ที่ไปได้ยินกันหลายคน และพากันกลับมาหาหลวงปู่ทองดำ โดยที่หลายคนนั้นไม่เคยรู้จักหลวงปู่มาก่อนเลย เพราะท่านฝึกฝน ปฎิบัติธรรมอยู่อย่างเงียบ ๆ ไม่แสดงความพิเศษให้ใครเห็นนอกจากลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดเท่านั้น 

หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ ถ้าท่านผ่านไปทางภาคเหนือ ท่านจะแวะกราบหลวงปู่ทองดำเสมอ เพราะหลวงปู่ทองดำท่านมีพรรษามากกว่าหลวงพ่อคูณถึง 20 กว่าปี และหลวงพ่อคูณท่านเคยร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสก พระกริ่งและพระเครื่อง ร่วมกัน เมื่อ พ.ศ. 2537 ท่านกล่าวกับคณะกรรมการว่า "กูนั่งอธิษฐานจิตปลุกเสก ร่วมกับหลวงปู่ทองดำ แค่ 5 นาที พลังจิตของท่าน ไปไกล กูตามท่านไม่ทันด๊อก"

09 มิถุนายน 2566

เราตถาคต ไม่สรรเสริญ ผู้ที่มีความรู้มาก...แต่ไม่มีศีล

เราตถาคต ไม่สรรเสริญ ผู้ที่มีความรู้มาก...แต่ไม่มีศีล
ผู้ที่มีความรู้น้อย...แต่ตั้งอยู่ในศีล
เราสรรเสริญ และนับถือผู้นั้น ว่าเป็นคนดี

#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ

ปราณ ออร่า และระบบกายทิพย์ ว่าด้วยจักระ คืออะไร

ปราณ ออร่า และระบบกายทิพย์ (๒)
ว่าด้วยจักระ คืออะไร
จักร หรือ จักระ เป็นคำเรียกของสิ่งใดๆ ที่มีลักษณะหมุนรอบตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นอาวุธอย่างกงจักรที่เป็นของเก่าแก่ หรือกระทั่งใบจักรสำหรับแท่นตัดไม้ สิ่งใดๆ ในธรรมชาติที่มีพลังงาน ธำรงอยู่ได้ด้วยตน มักมีลักษณะเป็นวงจรอยู่เอง เริ่มตั้งแต่อะตอมเล็กๆ วัฏจักรของน้ำ ไปจนถึงระบบสุริยะ หรือกระทั่งดาราจักรทางช้างเผือก
.
น่าแปลกยิ่งขึ้นไปอีก และดังกล่าวแล้วในบทความครั้งก่อนเรื่องปราณ ออร่า และกายทิพย์ ว่ามนุษย์ก็มีจักระ หรือแหล่งพลังงานที่หมุนวนอยู่ในแนวกระดูกสันหลังกันทุกคน มันเป็นส่วนหนึ่งของระบบกายทิพย์ ซึ่งจะมีเฉพาะผู้ฝึกตนจนถึงขั้นจึงจะสามารถสัมผัสรับรู้ได้ พวกมันเปรียบเสมือนหม้อแปลงที่คอยแลกเปลี่ยนระหว่างพลังงานภายในกับภายนอกร่างกายของเรา โดยแต่ละจักระจะมีหน้าที่รักษาสมดุลแก่ระบบของอวัยวะภายในที่เกี่ยวข้องไปพร้อมกัน
.
ตำรากุณฑาลินีโยคะกล่าวว่า ในกระดูกสันหลังของมนุษย์มีท่อพลังอยู่สามเส้น เส้นแรกที่อยู่ตรงกลางชื่อสุษุมนะ เป็นทางเดินหลักของพลังกุณฑาลินี ซึ่งเป็นพลังงานชีวิตประเภทหนึ่ง ระหว่างทางจะมีจักรอื่นๆ ตั้งอยู่เป็นระยะจนไปสุดที่จักรสหัสรารตรงกลางกระหม่อม 
.
ส่วนท่ออีกสองเส้นคือ อิทะจะทำหน้าที่ควบคุมจิตใจ และปิงคละควบคุมการทำงานของอวัยวะภายใน ทั้งสองเส้นนี้จะวิ่งโค้งวนขึ้นไปตามแนวท่อสุษุมนะ โดยในแต่ละจุดตัดของท่อทั้งสาม ก็คือตำแหน่งของจักรต่างๆ นั่นเอง
.
จักระทั้ง ๗
.
๑. จักรมูลฐาน ตั้งอยู่ที่รอยฝีเย็บ หรือตะเข็บระหว่างทวารหนักกับลูกอัณฑะ ส่วนเพศหญิงจะอยู่ที่ปากมดลูก สัญลักษณ์คือดอกบัวสี่กลีบ สีประจำจักระคือสีแดง เกี่ยวข้องกับต่อมลูกหมากและลูกอัณฑะของเพศชาย แต่ของเพศหญิงคือรังไข่ มีหน้าที่ควบคุมกิจกรรมเกี่ยวกับเพศและการเจริญเติบโต (พึงระลึกว่าจักรต่างๆ เกี่ยวพันกับต่อมไร้ท่อสำคัญในร่างกาย เรียกว่าเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างกายทิพย์กับกายเนื้อก็ว่าได้) ธาตุของจักรคือธาตุดิน และมีกุณฑาลินีหรือไฟศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ในลักษณะเหมือนงูที่ขดตัวนอนเป็นวง
.
๒. จักรสวาธิษฐาน ตั้งอยู่ที่กระดูกก้นกบ เกี่ยวข้องกับไตและต่อมหมวกไต สัญลักษณ์ของจักรคือดอกบัวหกกลีบ เจ้าเรือนของจักรนึ้คือธาตุน้ำ เป็นแหล่งสะสมความรู้สึกนึกคิดทั้งปวงตั้งแต่อดีตชาติ ซึ่งกดเก็บเอาไว้ในระดับใต้สำนึก คล้ายการสั่งสมของเสียก่อนขจัดออกจากร่าง สีของจักรคือสีส้ม
.
๓. จักรมณีปุระ ตั้งอยู่ในกระดูกสันหลังบริเวณสะดือ บางตำราอาจกล่าวว่าอยู่เหนือขึ้นไปสองนิ้วมือ บ้างก็ว่าอยู่ต่ำลงมาเล็กน้อย มีบทบาทสัมพันธ์กับกลุ่มเซลล์ประสาทโซลาร์เพล็กซัสในช่องท่อง เกี่ยวพันกับการย่อยอาหารและเป็นแหล่งสะสมปราณ ธาตุของจักรจึงเป็นธาตุไฟ มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัวสิบกลีบ สีประจำจักรคือสีเหลือง เกี่ยวพันกับตับอ่อนที่ผลิตอินซูลิน และต่อมหมวกไตในแง่ของฮอร์โมนอะดรินาลีน ที่กระตุ้นให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะพร้อม เพื่อเผชิญกับอันตราย
.
๔. จักรอนาหตะ มีที่ตั้งอยู่ตรงกระดูกสันหลังช่วงลิ้นปี่ มีธาตุลมเป็นเจ้าเรือน เกี่ยวข้องกับหัวใจและระบบหมุนเวียนโลหิต รวมถึงต่อมไทมัสซึ่งมีหน้าที่ในระบบภูมิคุ้มกัน (น้ำเหลืองและเม็ดเลือดขาวชนิด T - Cell) จักรนี้มีความเกี่ยวพันปีติ หรือความอิ่มซ่านไปในกาย และมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับความเมตตา การจะปลุกจักรนี้ได้จึงต้องมีความปรารถนาดีต่อผู้อื่นอยู่เสมอ สัญลักษณ์ของจักรคือดอกบัวสิบสองกลีบ สีของจักรคือสีเขียว และเกี่ยวข้องกับการหยั่งรู้ใจคน หรือเจโตปริยญาณในพุทธศาสนา
.
๕. จักรวิสุทธิ เป็นจักรแห่งอากาศธาตุ ตั้งอยู่บริเวณลำคอ ตรงกระดูกสันหลังข้อที่ขนานกับหัวไหล่ ทำหน้าที่ควบคุมระบบหายใจและอวัยวะที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผิวหนังในศาสตร์แพทย์จีน เพราะจัดเป็นอวัยวะที่สัมผัสกับอากาศอยู่ตลอดเวลา จักรนี้มีความสัมพันธ์กับต่อมไทรอยด์ สัญลักษณ์เป็นดอกบัวสิบหกกลีบ สีของจักรเป็นสีน้ำเงิน และมีคุณสมบัติในเรื่องหูทิพย์ หรือทิพยโสตของพระพุทธศาสนา แต่สำหรับศัพท์สมัยใหม่จะได้แก่โทรจิตหรือเทเลพาธี
.
๖. จักรอาชนะ รู้จักกันทั่วไปในชื่อตาที่สาม อยู่ตรงกลางหน้าผาก ระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง สีของอาชนะคือสีคราม มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัวสองกลีบใหญ่และแยกเป็นหนึ่งร้อยกลีบย่อย มีคุณสมบัติด้านตาทิพย์และปัญญาญาณ ธาตุแสง ทั้งยังกล่าวกันว่าช่วยให้แคล้วคลาดจากภัยพิบัติต่างๆ ซึ่งหากพิจารณาให้เข้าใจง่าย ก็ได้แก่เป็นฐานที่ตั้งของ สติและความรอบรู้นั่นเอง
.
๗. จักรสหัสราร ตั้งอยู่บริเวณกระหม่อม สีของจักรคือสีม่วง มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัวหนึ่งพันกลีบ เมื่อพัฒนาไปได้ในขั้นสูงจะทำให้รัศมีของจักร มีลักษณะคล้ายดอกบัวครอบคลุมอยู่รอบศีรษะ ดังที่มักปรากฏในภาพวาดบุคคลสำคัญทางศาสนา (คนโบราณผู้มีธุลีนัยน์ตาน้อย มีตาดี คือตาทิพย์ เขาเล็งเห็นได้ จึงกลายเป็นธรรมเนียมตกทอดมาทางภาพวาด โปรดอย่าได้ดูแคลน) จึงมีอีกชื่อว่าจักรมงกุฎ ทำหน้าที่ควบคุมจิตสำนึก สติ สัมปชัญญะ จิตใต้สำนึก ต่อมไร้ท่อในร่างกาย และระบบของกายทิพย์ทั้งหมด (เป็นศูนย์ควบคุมใหญ่ของจักระทั้งหกที่กล่าวมาแล้วอีกที) ทั้งยังเป็นกรวยรับพลังงานและความรู้จากห้วงสมุทรแห่งจักรวาลอันไพศาล
.
แต่สำหรับอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับจักรที่หกและเจ็ดนี้ ได้แก่ ต่อมไพเนียล ต่อมพิทูอิทารี และไฮโปทาลามัส ซึ่งล้วนตั้งอยู่ในสมอง โดยบางตำรากล่าวว่าจักรที่ ๖ ตั้งอยู่ที่ต่อมไพเนียล แต่ส่วนใหญ่จะบอกว่าเป็นจักรที่ ๗ มากกว่า 
.
ทว่า เมื่อผู้เขียนตรวจสอบกับข้อมูลของต่อมไร้ท่อ ต่อมไพเนียลนี้ดูจะเหมาะแก่จักรที่ ๖ เนื่องจากทำงานสัมพันธ์กับประสาทตา โดยจะรับรู้แสงสว่างเพื่อควบคุมวงจรการตื่นและหลับ ส่วนจักรที่เจ็ดน่าจะอยู่ที่ต่อมพิทูอิทารีและไฮโปทาลามัส ซึ่งทำงานสัมพันธ์กันและครอบคลุมต่อมไร้ท่ออื่นๆ ทั้งหมด
.
อย่างไรก็ดี หากจะกล่าวในเชิงของธาตุแล้ว จักรทั้ง ๗ จะมีการเรียงธาตุจากล่างขึ้นบน คือ...
 .
ดิน น้ำ ไฟ ลม เสียง แสง และศูนย์ โดยในจักรที่เจ็ดจะหมายได้ทั้ง ศูนย์กลาง ศูนย์รวม สุญญากาศ สุญญตา (ความว่าง / ห้วงจักรวาล) และสูรย์ที่แปลว่าสุริยะ 
.
ทั้งนี้ เพราะหากนำมาไล่เรียงกันด้วยสี ตามลำดับจากบนลงล่าง จะได้แก่...
.
ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และแดง
.
คุ้นๆ ไหมครับ
ใช่แล้ว มันคือสเปกตรัมนั่นเอง!
และนี่แหละคือโครงสร้างหลักๆ ของสิ่งที่เรียกว่า
ระบบกายทิพย์ ซึ่งมีจุดเชื่อมโยงกับกายหยาบ
ที่ต่อมไร้ท่อของพวกเรานี่เอง
.
หมายเหตุ :
.
อาจมีความสับสนว่า อากาศธาตุกับวาโยธาตุต่างกันอย่างไร เรื่องนี้อธิบายได้ด้วยหลักแพทย์แผนไทยและธาตุปรมัตถ์ของพุทธศาสนา กล่าวคือ วาโยธาตุ หรือธาตุลมนั้น ได้แก่แรงดันและการเคลื่อน ไม่ใช่ตัวก๊าซ ดังจะเห็นได้จากหลักพิจารณาธาตุลมในมหาสติปัฏฐานว่าคือสภาพที่ ตึง และ ไหว
.
หรือในหลักแพทย์ไทย อันรับทอดมาจากอายุรเวทของอินเดีย จะแบ่งลมออกเป็น ลมหายใจเข้า - ลมหายใจออก / ลมพัดขึ้นเบื้องบน - ลมพัดลงเบื้องล่าง (เช่น ระบบหมุนเวียนโลหิตขึ้นศีรษะและลงไปที่เท้า การเรอ การผายลม แรงดันอุจจาระ ปัสสาวะ) / ลมพัดทั่วร่างกาย (การเคลื่อนไหว และการแล่นไปของกระแสประสาท) / ลมพัดในช่องท้องนอกลำไส้ (แรงตึงรั้งของกล้ามเนื้อพยุงตัว) / ลมพัดในลำไส้และกระเพาะอาหาร (การเคลื่อนตัวของระบบย่อยอาหารเพื่อคลุกเคล้าและผลักไล่อาหารที่ย่อยแล้วเป็นทอดๆ)
.
ซึ่งต่างจากอากาศธาตุ ที่ในทางบาลีและการแพทย์อินเดีย (อายุรเวท) คำว่าอากาศจะหมายถึงช่องว่าง หรือพิ้นที่ให้ก๊าซและสสารต่างๆ มีที่อยู่ (Space) และเคลื่อนที่ไปได้ จึงจัดเป็นคนละธาตุ (โดยความหมายปฐมภูมิแล้ว คำว่าธาตุแปลว่าสิ่งที่ทรงตัวอยู่ได้ด้วยตนเอง มีสภาพเฉพาะของมันเช่นนั้นเอง) แต่ก็เกี่ยวเนื่องกัน โดยอาจแยกให้เข้าใจง่ายได้ว่า จักรที่ ๔ อนาหตะ เป็นธาตุลมในแง่ของแรงดันของระบบหมุนเวียนโลหิต แต่จักรที่ ๕ วิสุทธิ จะเกี่ยวพันกับก๊าซและระบบการหายใจเป็นหลัก 
.
แต่เพราะอากาศคือช่องว่างที่มีก๊าซ มันจึงเป็นตัวกลางของเสียงไปด้วยอีกทีหนึ่งครับ
.
Updated!
นักวิทยาศาสตร์มีการค้นพบว่า ข้างในต่อมไพเนียลในสมองเรา มีผลึกแคลเซียมเล็กจิ๋วเป็นส่วนประกอบอยู่ภายใน และนี่เองที่มันสัมพันธ์กับแสงและวงจรการตื่นหลับ เนื่องจากผลึกทั้งหลายจะมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า เพียโซอิเล็กทริกส์ อยู่ด้วย
.
กล่าวคือ เมื่อเราให้แรงกล เช่น การบีบ แรงเค้นแก่ผลึก ผลึกจะผลิตกระแสไฟฟ้าออกมา ซึ่งเป็นกลไกของปืนยิงประกายไฟเพื่อจุดเตาแก๊ส แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราผ่านไฟฟ้าเข้าไปในผลึก ผลึกจะสั่น ซึ่งนำมาประยุกต์ใช้กับการสร้างเสียงเรียกเข้าในโทรศัพท์
.
ดังนั้น การที่ต่อมไพเนียลของเรามีผลึกอยู่ภายใน จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเกิดกลไกควบคุมการตื่นหลับได้ เนื่องจากแสงก็คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และยิ่งทำให้มันสอดคล้องกับจักรที่ ๖ อาชนะ หรือตาที่สาม ซึ่งเกี่ยวพันกับแสงสว่างนั่นเองครับ
.
#repost #updated

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...