เธอก็บอกว่า "**เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน บอกเขาว่าไม่ต้องถอน ให้เจ้าของบ้านกับฉันเป็นเพื่อนกันดีกว่า ดีกว่าประกาศตนเป็นศัตรู**"
**เรื่องที่ ๑๐๖ ท่านรุกขเทวดาที่เสาตกนํ้ามันมาหาหลวงพ่อที่วัดชิโนรสเป็นเทวดาเขตจาตุมหาราช**
"..เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ อาตมาป่วยหนัก ไปรักษาตัวที่กรมแพทย์ทหารเรือที่กรุงเทพฯ หลังจากรักษาอยู่ปีเศษอาการดีขึ้นแล้ว ก็มาพักฟื้นที่**วัดชิโนรส อยู่ที่คลองมอญ** ขณะที่หลวงพ่อกำลังนั่งเขียนหัวข้อที่จะไปพูดที่ สถานีวิทยุกองพล ๑ กำหนดหัวข้อไป ๕ ข้อ ถ้าพูดหัวข้อเดียวยังไม่หมดเวลาก็ต่อหัวข้อที่สอง ถ้าหมดเวลาตอนไหนก็เลิก **ขณะกำลังเขียนอยู่ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ ๓๐ ปีเศษๆ รูปร่างหน้าตาทรวดทรงดีถือพานดอกไม้ธูปเทียนมา แต่ว่ามองดูสีหน้าแล้วรู้สึกว่าใจไม่สบายหน้าไม่ปกติ**
ถามว่า "หนูมีธุระอะไร"
หญิงคนนั้นก็บอกว่า "ที่บ้านฉันมีเสาตกนํ้ามันอยู่ต้นหนึ่ง ฉันไปหาหมอดูที่เป็นพระก็ดี ที่เป็นฆราวาสก็ดี มีหลายหมอพูดอย่างเดียวกันว่า **"ขอให้รื้อเสาต้นนั้นทิ้งไปเสีย แล้วก็หาเสามาเปลี่ยนใหม่"**
ก็คิดในใจว่าการรื้อเสาทิ้งไม่ใช่ของง่ายนัก อาจจะทำได้แต่ว่าเจ้าของบ้านจะเสีย ๒ อย่างคือ
**๑) เสียเสาเสียไม้ เสียค่าแรงงานค่ารื้อ**
**๒) ต้องซื้อของมาใหม่และก็เสียค่าแรงงานค่าทำใหม่**
อาตมาจึงบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ หนูเขียนข้อข้องใจมาสัก ๓ ข้อแล้วก็ใส่ไว้ในพานดอกไม้ธูปเทียน พรุ่งนี้ถ้ามีเรื่องอะไรพอจะทราบได้ ก็จะเขียนอธิบายให้ฟังตามความสามารถที่จะรู้ ถ้าไม่รู้ก็ไม่บอก"
เมื่อเธอเขียนแล้วก็ลากลับไป ก็นำพานดอกไม้ธูปเทียนมาวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ เมื่ออาตมากำลังจะจรดปากกาเขียนหัวข้อที่จะไปพูด ก็ปรากฏว่า โต๊ะเขียนหนังสือสั่นสะเทือนเสียงดังปังเหมือนกับของหนักหล่นลงมา เวลานั้นเป็นเวลากลางวันมองดู ก็เห็นหญิงสาวรูปร่างหน้าตาสวย แต่งตัวแพรวพราวเป็นระยับใส่ชฎาสวยมาก
พอมองหน้าเธอ เธอก็ไม่ยิ้มแต่พูดว่า **"ฉันทำผิดคิดร้ายอะไร ทำไมจึงจะต้องมาไล่ฉัน"**
ก็แปลกใจว่าผู้หญิงคนนี้เราไม่เคยเห็น และมานั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือ ผิดลักษณะของคนธรรมดา
จึงถามว่า **"คุณเป็นใคร มีธุระอะไร และเรื่องราวที่พูดมันเป็นอย่างไรกัน ใครไล่ใคร ฉันยังไม่ทันไล่"**
เธอก็ตอบว่า "ฉันเป็นนางไม้ ของบ้านที่เขานำดอกไม้ธูปเทียนมา ที่เขาบอกเรื่องเสาตกนํ้ามัน ไปดูหมอพระก็ดี หมอฆราวาสก็ดี ฉันก็ตามเขาไป ทุกรายบอกให้ถอนเสาทิ้งไปเสียและให้เปลี่ยนเสาใหม่ **ผู้หญิงคนนี้สามีเขาเป็นนายทหารเรือยศเรือเอก เวลานี้สามีของเขาไปรบที่เกาหลี ฉันก็ให้การคุ้มกันเรื่องอาวุธจะไม่ให้มีการต้องกายเขาเลย เขาจะไม่บาดเจ็บเพราะอาวุธและก็จะไม่เป็นโรคร้าย ฉันก็ช่วยเขาทุกอย่าง และที่บ้านนี้ฉันก็ไม่เคยแสดงอาการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เขากลัว**
ตามปกติก็ตั้งใจช่วยการหาลาภสักการะ ถ้าสิ่งใดไม่เกินวิสัยที่ฉันจะช่วยได้ฉันก็ช่วย แต่เวลาฉันพูดเขาก็ไม่ได้ยิน ฉันแสดงตัวให้ปรากฏเขาก็ไม่เห็น
**รวมความว่าการที่ฉันช่วยมันก็เป็นการปิดทองหลังพระ ในเมื่อฉันช่วยขนาดนี้ทำไมต้องมาไล่ฉัน"**
ถามว่า "เธอมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเสาต้นนี้ ทำไมเสาต้นนี้จึงตกนํ้ามัน และทำไมเสาต้นนี้จึงเป็นที่อาศัยของเธอ"
เธอก็ตอบว่า "เดิมทีเดียวเสาต้นนี้เป็นต้นไม้ในป่า ฉันเป็นรุกขเทวดามีวิมานแปะยอดไม้ อาศัยยอดไม้เป็นที่อาศัยตั้งวิมาน ถ้าต้นไม้ต้นนี้ล้มวิมานก็สลาย จะไปอาศัยต้นไม้ต้นใหม่ก็หายาก เพราะว่าต้นไม้ที่มีแก่นส่วนใหญ่ก็มีรุกขเทวดาที่เป็นผู้ชายบ้าง ผู้หญิงบ้าง อาศัยกันอยู่มากไม่ว่าง ในเมื่อไม้ต้นนั้นล้มมา ฉันก็ติดตามไม้ ไม้ไปทางไหนฉันก็ไปด้วย คำว่าไปด้วยไม่ได้หมายความว่าต้องขี่ท่อนไม้ คือกำลังใจรู้ต้องเดินดินมีความลำบาก วิมานก็ไม่มีต้องอยู่ที่โล่งแจ้ง
**ต่อมาเมื่อเขานำไม้ต้นนั้นมาทำเป็นเสา เมื่อไม้ตั้งขึ้นฉันก็มีสิทธิ์เอาวิมานเข้ามาแปะได้ จึงอาศัยไม้อันนี้ที่เป็นต้นเดิม ที่ไม่มีใครแย่งเพราะฉันเป็นเจ้าของเดิม วิมานฉันก็ทรงตัวอยู่ได้**แต่เวลานี้ปรากฏว่ามีนํ้ามันไหล **ขอให้ทราบว่าเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี องค์ไหนถ้ามีอานุภาพพอสมควรอาศัยอยู่ที่เสาต้นใดต้นหนึ่ง เสาต้นนั้นอาจจะมีนํ้ามันไหล**"
ถามว่า "ถ้าอย่างนั้นเธอจะให้ฉันบอกกับเจ้าของบ้านเขาอย่างไร"
เธอก็ถามว่า "ท่านจะให้เขาถอนไหม"
ตอบว่า "เรื่องถอนฉันไม่เห็นด้วยเพราะบ้านหลังนี้ปลูกมานานแล้ว เพิ่งจะมีการแสดงออกและเจ้าของบ้านไม่ได้บอกว่ามีการรบกวนอะไร ฉันกำลังคิดอยู่ว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องถอนเสา"
เธอก็บอกว่า "**เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน บอกเขาว่าไม่ต้องถอน ให้เจ้าของบ้านกับฉันเป็นเพื่อนกันดีกว่า ดีกว่าประกาศตนเป็นศัตรู**"
จึงถามเธอว่า "ถ้าต้องการเป็นเพื่อนกันให้ทำอย่างไร"
**วิธีการบูชาเสาตกนํ้ามัน**
เธอตอบว่า "**ให้เจ้าของบ้านเอานํ้าหอมมาทาที่เสาตรงจุดที่ตกนํ้ามันแล้วเอาทองคำเปลวปิดสักแผ่นหนึ่งก็พอ เอาผ้าสีกับพวงมาลัยคล้อง**
การคล้องเสาขอได้โปรดอย่าใช้ตะปูตอกเสาต้นนั้น เว้นไว้แต่ที่เขาทำฝา ทำพรึงต้องตีตะปูติดกับเสา นั่นเป็นเรื่องหนึ่งต่างหาก แต่ว่าเรื่องการบูชา **การตีตะปูขอจงอย่าให้มี ให้ใช้เป็นอย่างอื่น**"
ถามว่า "ตอกเสามันเป็นอย่างไร"
เธอตอบว่า "**ตอกเสาแล้วอานุภาพมันใช้ไม่ได้**"
บอกว่า "เขาทำได้แน่เพราะพวงมาลัยก็ดี ผ้าสามสีก็ดี ทองคำเปลว ๑ แผ่นก็ดี นํ้าหอมหน่อยหนึ่งก็ดี เป็นของไม่แพง"
ถามต่อว่า "**ถ้าเขาทำได้ เธอจะให้ลาภเขาได้หรือเปล่า**"
ตอบว่า "**ถ้าต้องการให้ลาภก็ต้องทำบุญให้ด้วย**"
ถามว่า "ทำบุญต้องการอะไร"
เธอตอบว่า "**ให้เขานิมนต์พระสัก ๕ องค์ไปฉันเพล อย่านิมนต์ไปฉันเช้า วันเสาร์หรือวันอาทิตย์ก็ได้เพราะเป็นวันหยุด**
ถ้าหากว่าฉันเช้าเจ้าของบ้านจะวุ่นวายเพราะเวลากระชั้น **เมื่อทำบุญเสร็จก็ขอให้อุทิศส่วนกุศลให้แก่ฉัน ฉันจะช่วยให้ลาภ**"
ถามว่า "เธอจะให้ลาภมากหรือลาภน้อย"
เธอตอบว่า "**บุญบารมีฉันน้อย ฉันให้ลาภมากๆ ไม่ได้ แต่ให้บ่อยๆ ได้**"
ถามว่า "ถ้าอย่างนั้นให้ทุกเดือนได้ไหม"
ตอบว่า "**ทุกเดือนหรือเกินเดือนละ ๑ ครั้งก็ได้ นั่นคือรางวัลเลขท้าย ๓ ตัว ข้างล่างนะ หรือว่าเลขท้าย ๒ ตัวอย่างนี้ได้"**
เป็นอันว่าอาตมาก็เขียนถ้อยคำตามที่พูดกับนางฟ้าองค์นั้นไว้ พอวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ ๔ โมงเย็น หญิงเจ้าของดอกไม้ธูปเทียนก็มา ก็ส่งจดหมายที่บันทึกไว้ให้แล้วก็บอกว่า
"เขาคุ้มครองสามีของเธอ ตัวเธอเองเขาก็ช่วยสงเคราะห์ทุกอย่างให้มีความสุข และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่เคยแสดงอะไรให้ปรากฏ"
เธอก็ตอบว่า "ใช่เจ้าค่ะ" เธอบอกพร้อมที่จะทำทุกอย่างแต่การเลี้ยงพระ ๕ องค์ ขอแถมเป็น ๙ องค์ ก็เลยบอกว่า "เขาบอกพระ ๕ องค์ หมายความว่าให้ทำบุญไม่น้อยกว่า ๕ องค์ แต่เกินไม่เป็นไร" เธอก็นิมนต์พระรวมทั้งอาตมาด้วยเป็น ๙ องค์ ไปฉันเพลในวันรุ่งขึ้นเพราะเป็นวันเสาร์
**เมื่อเลี้ยงพระเสร็จ ผลที่ได้รับก็คือเธอถูกลอตเตอรี่เลขท้าย ๓ ตัว ๙ ใบ เลขท้าย ๒ ตัว ๕ ใบ และมานิมนต์พระไปฉันใหม่อีก ๙ องค์**
ถามว่า "เลขที่ซื้อถูกใครบอก"
ตอบว่า "**ไม่มีใครบอก มีความรู้สึกว่าเมื่อออกมาจากที่ทำงานก็เห็นเลขนี้เข้า ก็อยากจะซื้อ ก็เลยซื้อเหมือนๆ กันเท่าที่มี ตั้งแต่โรงงานยาสูบเรื่อยมาถึงท่าพระจันทร์ ก็ได้มาเท่านี้ ก็ถูกทั้งหมด**
**เธอก็ทำบุญเลี้ยงพระใหม่ เอานํ้ามันจันทน์มาทาใหม่ ปิดทองมากแผ่นขึ้น มีผ้า ๓ สี และก็ซื้อผ้าไตรจีวรถวายพระ รู้สึกว่าการทำบุญหนักขึ้น งวดต่อไปเธอก็ถูกอีก**
**รวมความว่าอยู่ที่นั่น ๒ ปี ทุกครั้งหลังจากหวยออกก็ถูกนิมนต์ไปทุกครั้ง เพราะบ้านนี้ถูกทุกงวดแต่เป็นรางวัลเลขท้าย ๓ ตัวบ้าง ๒ ตัวบ้าง ก็เป็นการพอ เพราะเวลานั้นค่าของเงินสูง ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๑๐ สตางค์ ฉะนั้นการได้เงินเป็นพันก็ถือว่าไม่ใช่เงินเล็กน้อย**.."
คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน
#ตายแล้วไปไหน_หลวงพ่อฤาษี
#รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์7 #หลวงพ่อฤาษี4
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น