30 กันยายน 2564

#คาถาพระอรหันต์ ๘ ทิศตำราสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี)


คำนมัสการบูชาพระอรหันต์แปดทิศ  เรียกอีกอย่างว่า  พุทธมงคลคาถา นอกจากพระคาถาชินบัญชรอันลือชื่อของท่านแล้ว พุทธมังคลคาถาถือเป็นอีกหนึ่งบทคาถาของท่านสมเด็จพระพุฒาจารย์  ที่ถือว่ามีอิทธิฤทธิ์ด้านลาภผลและมงคลทั้งปวง  เพราะคำว่าพุทธมังคลคาถานี้ คือการนมัสการบูชาพระอรหันต์แปดทิศ ซึ่งล้วนแต่เป็นพระมหาเถระที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น

คาถาพระอรหันต์ 8ทิศ
สัมพุทโธ ทิปะทัง เสฏโฐ
นิสินโน เจวะ มัชฌิเม
โกณฑัญโญ ปุพพะภาเค จะ
อาคเณยเย จะ กัสสะโป
สารีปุตโต จะ ทักขิเณ
หะระติเย อุปาลิ จะ
ปัจฉิเมปิ จะ อานันโท
พายัพเพ จะ ควัมปะติ
โมคคัลลาโน จะ อุตตะเร
อีสาเนปิ จะ ราหุโล
อิเม โข มังคะลา พุทธา
สัพเพ อิธะ ปะติฏฐิตา
วันทิตา เต จะ อัมเหหิ
สักกาเรหิ จะ ปูชิตา
เอเตสัง อานุภาเวนะ
สัพพะโสตถี ภะวันตุโน
อิจเจวะมัจจันตะนะมัสสะเนยยัง
นะมัสสะมาโน ระตะนัตตะยังยัง
ปุญญาภิสันทัง วิปุลัง อะลัตถัง
ตัสสานุภาเวนะ หะตันตะราโย

คำแปล
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐกว่าสัตว์สองเท้า ทรงประทับนั่งอยู่ท่ามกลาง มี
ท่านอัญญาโกญฑัญญะ อยู่ทางทิศบูรพา (ตะวันออก)
ท่านพระมหากัสสปะ อยู่ทางทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้)
ท่านพระสารีบุตร อยู่ทางทิศทักษิณ (ใต้)
ท่านพระอุบาลี อยู่ทางทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้)
ท่านพระอานนท์ อยู่ทางทิศปัจฉิม (ตะวันตก)
ท่านพระภควัมปติ อยู่ทางทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ)
ท่านพระโมคคัลลานะ อยู่ทางทิศอุดร (เหนือ)
ท่านพระราหุล อยู่ทางทิศอิสาณ (ตะวันออกเฉียงเหนือ)

ด้วยสรรพมงคลอันพระอริยเจ้าทั้งหลายผู้ประดิษฐานอยู่ ณ ทิศทั้งหลายเหล่านี้ ที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำการกราบไหว้สักการบูชาซึ่งท่านผู้ประเสริฐทั้งหลาย เหล่านั้น ขอความสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมนมัสการซึ่งพระรัตนตรัย และด้วยการนมัสการพระอริยสาวกเจ้าทั้งหลายนี้

ข้าพเจ้าได้รับแล้วซึ่งความหลั่งไหลของบุญอย่างไพบูลย์ (บุญอันเกิดจากการระลึกถึงพระอรหันต์ทั้งแปดทิศ) ด้วยอานุภาพแห่งพระรัตนตรัยนั้น ขออันตรายทั้งหลายจงถึงความพินาศสิ้นไปเทอญ
........................................................................

ทิศบูรพา
พระ อรหันต์ประจำทิศ ได้แก่ พระอัญญาโกณทัญญะ ซึ่งเป็นพระสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนา และเป็นพระสงฆ์ผู้สำเร็จพระอรหันต์องค์แรก ถ้าท่านใดอยากเป็นผู้ชนะก่อนใคร โบราณถือว่าต้องบูชาพระจันทร์ก่อน เพื่อเสริมส่งให้มีเมตตามหานิยม ให้มีความสำเร็จก่อนผู้ใด ตามคติของพระพุทธศาสนา จัดให้พระพุทธรูปปางห้ามญาติ เป็นพระประจำวันจันทร์ (พระพุทธรูปยืน ปางห้ามญาติ ยกพระหัตถ์ขวาแบอยู่ระดับหน้าอก พระหัตถ์ซ้ายห้อยอยู่ข้างตัว หรือพระพุทธรูปยืนปางห้ามสมุทร ยกพระหัตถ์ทั้งสองแบอยู่ระดับอก) แล้วได้จัดให้พระปริตบทยันทุน เป็นคาถาสวดสำหรับวันจันทร์ โดยสวด 15 จบ เพื่อช่วยให้เกิดโชคลาภคุ้มภัยอันตรายได้ และจะมีความเจริญปราศจากโรคาพยาธิทั้งปวง และยังจัดให้คาถาพระอิติปิโส 8 ทิศ บทกระทู้ 7 แบก สำหรับสวดภาวนาประจำวันจันทร์ คือ คาถา " อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา "

ทิศอาคเนย์
พระอรหันต์ประจำทิศได้แก่ พระมหากัสสป เป็นพระสาวกที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่าเป็นเลิศกว่าพระอื่น ถือธุดงควัตร เป็นพระสงฆ์ที่มีร่างกายเสมอเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ มีร่างกายใหญ่โตมาก พระองค์จึงได้ประทานผ้าสังฆาฎิให้กับพระมหากัสสป ถ้าท่านใดอยากได้ความเป็นใหญ่ มีผู้คนยอมรับนับหน้าถือตาก็ควรบูชาพระอังคาร ซึ่งอยู่ประจำทิศอาคเนย์ตามคติทางพระพุทธศาสนา จัดให้พระพุทธรูปปางไสยยาสน์ (นอน) เป็นพระประจำวันอังคาร และพระปริตบทขัดกรณียเมตตาสูตร เป็นคาถาสวดสำหรับพระอังคาร โดยสวด 8 จบบูชา พระปางไสยาสน์ เพื่อช่วยให้เกิดโชคลาภ และคุ้มภัยอันตรายได้ และจะมีความสุขสวัสดีตลอดกาลนาน และยังจัดให้คาถาพระอิติปิโส 8 ทิศ บทเรียกฝนแสนห่า เป็นคาถาภาวนาประจำพระอังคาร คือคาถา " ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง "

ทิศทักษิณ
พระอรหันต์ประจำทิศ ได้แก่ พระสารีบุตร ซึ่งเป็นเอตทัคคะ ผู้เลิศทางปัญญา แม้นกำเม็ดทราย 1 กำมือ ก็สามารถนับได้ ถ้าผู้ใดอยากมีปัญญาเฉลียวฉลาด มีวาจาอ่อนหวานไพเราะ บริสุทธิ์ ก็ให้บูชาพระพุธ ซึ่งชุบมาจากคชสารตามคติทางพระพุทธศาสนา จัดให้พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร เป็นพระประจำวันพุธ (กลางวัน) และจัดให้สวดบทขัดพระปริตบทสัพพาสี เป็นคาถาสวดประจำสำหรับวันพุธ โดยสวด 17 จบ เพื่อบูชาพระปางอุ้มบาตร เพื่อช่วยให้เกิดโชคลาภคุ้มภัยอันตรายได้ และจะมีความสุขสวัสดียิ่งๆ ขึ้นไป และยังจัดให้คาถาพระอิติปิโส 8 ทิศ บทนารายณ์เกลื่อนสมุทร เป็นคาถาประจำพระพุธด้วย คือ " ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท "

ทิศหรดี
พระอรหันต์ประจำทิศ คือ พระอุบาลี ซึ่งเป็นเอตทัคคะในด้านการทรงพระวินัย เปรียบอยู่ในกฏระเบียบ ซึ่งถ้าผู้ใดต้องการให้บุตรหลานอยู่ในระเบียบวินัยไม่หลงมัวเมาในอบายมุข ก็ควรบูชาพระเสาร์ตามคติของพระพุทธศาสนา จัดให้พระพุทธรูปนั่งปางนาคปรก และจัดคาถายะโตหัง เป็นคาถาบทสวดสำหรับพระเสาร์ โดยสวด 10 จบ ตามกำลังวัน บูชาพระนาคปรกเพื่อจะได้ช่วยคุ้มกันอันตรายต่างๆ ช่วยให้เกิดโชคลาภ จะมีความสุขความเจริญ และเกิดความสวัสดี มีมงคลตลอดกาลนานและยังให้บทสวดพระคาถาอิติปิโส 8 ทิศ บทนารายณ์คลายจักร เป็นคาถาประจำพระเสาร์อีกด้วยคือ " โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ "

ทิศปัจจิม
พระ อรหันต์ประจำทิศ คือพระอานนท์ ซึ่งเป็นพุทธอุปัฐาก เลขาส่วนตัวของพระพุทธเจ้า ดูแลทุกอย่าง ตั้งแต่ก่อนตื่นนอนและหลังจำวัด แม้ว่าพระพุทธองค์ไปแสดงธรรมเทศนาที่ใด ถ้าพระอานนท์ไม่ได้ไป จะต้องกลับมาแสดงธรรมให้พระอานนท์ฟังโดยเฉพาะอีกครั้ง ผู้ใดอยากให้บุตรหลาน ฉลาด รอบรู้ หูตากว้างไกลก็ควรบูชาพระพฤหัส พระพฤหัสชุบมาจากฤาษี 19 ตน ซึ่งมีความฉลาด หลักแหลม ปัญญา ดี รอบรู้ตามคติของพระพุทธศาสนา จัดให้พระพุทธรูปปางสมาธิ เป็นพระพุทธรูปประจำวันพฤหัส และจัดให้สวดคาถา
บทขัดพระปริตบทปุเรนตัมโพ โดยสวด 19 จบ ตามกำลังวันบูชาพระปางสมาธิ เพื่อจะช่วยคุ้มอันตรายต่างๆ และช่วยให้เกิดโชคลาภด้วย มีความสุขความเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป และยังให้พระสวดพระคาถาอิติปิโส 8 ทิศ บทนารายณ์ขว้างจักรตรึงไตรภพ เป็นคาถาประจำวันพฤหัสบดีด้วยคือ " ภะ สัม มัม วิ สะ เท ภะ "

ทิศพายัพ
พระ อรหันต์ประจำทิศ คือ พระควัมปติ หรือพระสิวลี ซึ่งเป็นเอตทัคคะเลิศกว่าพระภิกษุทั้งหลายในเรื่องโชคลาภ ซึ่งตรงกับนพเคราะห์คือ พระราหูซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งขุมทรัพย์ทั้งหลายทั้งปวง มีอำนาจบารมีเป็นที่เกรงกลัว ผู้ใดอยากให้บุตรหลานมีโชคลาภ บารมีต้องบูชาพระราหู ให้คอยปกปักรักษาตามคติทางพระพุทธศาสนา ได้จัดให้พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ เป็นพระปางประจำราหู และกำหนดบทสวด บทกินนุ สัน ตะ ระมาโน วะ เป็นบทสวดประจำวันพุธกลางคืน ควรสวด 12 จบ ตามกำลังวัน เพื่อบูชาพระปางป่าเลไลยก์ เพื่อคุ้มภัยให้สิ่งร้ายกลายเป็นดีและจะมีความสุขสวัสดี และได้จัดพระคาถาอิติปิโส 8 ทิศ บทนารายณ์พลิกแผ่นดินเป็นคาถาประจำราหู คือ " คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ "

ทิศอุดร
ตรงกับพระอรหันต์ประจำ ทิศ คือ พระโมคคัลลา ซึ่งเป็นเอตทัคคะในเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ตรงกับนพเคราะห์คือพระศุกร์ ผู้ใดอยากให้มีกิจการการค้ารุ่งเรือง ซื้อง่ายขายคล่อง พูดเป็นเงินเป็นทอง มีความสุขสบายในครอบครัวก็ควรบูชาพระศุกร์ตามคติทางพระพุทธศาสนา ได้จัดให้พระพุทธรูปยืนปางทรงรำพึง พระหัตถ์ทั้งสองวางทับกันที่หน้าอก เป็นพระประจำวันศุกร์และได้จัดคาถาบทขัดธชัคคสูตร เป็นบทสวดประจำพระศุกร์ โดยสวด 21 จบ ตามกำลังวันเพื่อช่วยให้เกิดโชคลาภ คุ้มกันภัยอันตรายใดๆ จะมีความสุขสวัสดีตลอดกาลนาน และยังได้จัดพระคาถาอิติปิโส 8 ทิศ บทตวาดฟ้าป่าหิมพานต์เป็นคาถาประจำวันศุกร์ คือ " วา โธ โน อะ มะ มะ วา "

ทิศอีสาน
ตรง กับพระอรหันต์ คือ พระราหุล ซึ่งเป็นเอตทัคคะในเรื่องของการศึกษา ใคร่ต่อการศึกษาเรียนรู้ ตรงกับนพเคราะห์คือพระอาทิตย์ ซึ่งชุบมาจากราชสีห์ผู้ใดอยากให้บุตรหลานมีปัญญาเฉียบแหลม สติปัญญาเป็นเลิศ มีฤทธิ์ มียศ ชื่อเสียงก็ควรจะบูชาพระอาทิตย์ และจัดให้พระปริตบทโมรปริต เป็นคาถาสวดสำหรับพระอาทิตย์ ควรสวด 6 จบ ตามกำลังวัน เพื่อให้เกิดโชคลาภ คุ้มภัยอันตราย จะมีความเจริญรุ่งเรืองและความสุขสวัสดีตลอดกาล และยังได้จัดเอาคาถาพระอิติปิโส 8 ทิศ บทนารายณ์แปลงรูปเป็นคาถาภาวนาสำหรับพระอาทิตย์ด้วยคือ " อะ วิ สุ นุต สา นุ ติ "

ตรงกลาง
มีพระเกตุอยู่ท่ามกลางจักรวาล ตรงกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นประธานของ พระอรหันต์ทั้ง 8 ทิศ เมื่อบูชาพระเกตุเท่ากับเสริมเดช เดชานุภาพผู้ที่ไม่ทราบวันเดือนปีเกิดของตนเองควรบูชาพระเกตุ ซึ่งมีกำลังดี และจัดให้พระพุทธรูปปางมารวิชัย เป็นปางของพระเกตุ และให้สวดคาถาบท พุทโธ จ มัชฌิโม เสฏิโฐ เป็นคาถาประจำพระเกตุโดยสวด 9 จบ เพื่อคุ้มกันเสนียดจัญไร ให้แคล้วคลาดปลอดภัยและได้จัดพระคาถานวหรคุณเป็นคาถาภาวนาประจำพระเกตุ คือ " อะ ระ หัง สุ คะ โต ภะ คะ วา "

ซึ่งจะเห็นได้ว่าคาถาบูชาพระประจำต่างๆ นั้น ก็ถอดออกมาจากบทสวดพระพุทธคุณ 56 นั่นเอง กล่าวคือ

อิ ติ ปิ โส ภะ คะ วา อะ
ระ หัง สัม มา สัม พุท โธ วิ
ชา จะ ระ ณะ สัม ปัน โน สุ
คะ โต โล กะ วิ ทู อะ นุต
ตะ โร ปุ ริ สะ ทัม มะ สา
ระ ถิ สัต ถา เท วะ มะ นุ
สา นัง พุท โธ ภะ คะ วา ติ
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘

แถวตั้งที่ 1 บทคาถาอิติปิโส 8 ทิศ บทกระทู้ 7 แบก เป็นคาถาสวดพระจันทร์ 15 จบ
แถวตั้งที่ 2 บทคาถาอิติปิโส 8 ทิศ บทเรียกฝนแสนห่าเป็นคาถาสวดพระอังคาร 8 จบ
แถวตั้งที่ 3 บทคาถาอิติปิโส 8 ทิศ บทนารายณ์เกลื่อนสมุทรเป็นคาถาพระพุธ 17 จบ
แถวตั้งที่ 4 บทคาถาอิติปิโส 8 ทิศ บทนารายณ์คลายจักรเป็นคาถาสวดพระเสาร์ 10 จบ
แถวตั้งที่ 5 บทคาถาอิติปิโส 8 ทิศ บทนารายณ์ขว้างจักรตรึงไตรภพเป็นคาถาสวดพระพฤหัส 19 จบ
แถวตั้งที่ 6 บทคาถาอิติปิโส 8 ทิศ บทนารายณ์พลิกแผ่นดิน เป็นคาถาสวดพระราหู 12 จบ
แถวตั้งที่ 7 บทคาถาอิติปิโส 8 ทิศ บทตวาดฟ้าป่าหิมพานต์ เป็นคาถาสวดพระศุกร์ 21 จบ
แถวตั้งที่ 8 บทคาถาอิติปิโส 8 ทิศ บทนารายณ์แปลงรูป เป็นคาถาสวดพระอาทิตย์ 6 จบ

ทางสายกลาง

ชาวพุทธ กับวิชาว่าด้วยจิตสรีรวิภาคอันเป็นที่มาที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง
เป็นผู้ค้นพบมิใช่ครั้งแรกแต่เป็นคนแรกที่พบหนทางแห่งการดับทุกข์..
เมื่อพระองค์ทรงหันมาใช้ทางสายกลางในการบำเพ็ญเพียรใต้ร่มโพธิใหญ่ และ
ทรงได้ค้นพบ "สัมโพธิญาณ" และตรัสรู้ในคืนวันเพ็ญขึ้น 15 คํ่า เดือน 6 และทรง
ใช้เวลาอีก 49 วัน หรือ 7 สัปดาห์ เพื่อหาคำตอบในโครงสร้างของจิตสรีรศาสตร์

ในแต่ละ 7 วันคือ

1 การเวียนว่ายตายเกิดก็คือ การเกิดดับของจิตนั่นเอง แต่จิตก็ยังอยู่เพียงแต่ร่างกายทรุดโทรมเปื่อยเน่าเมื่อจิตวิญญาณละสังขารไปแล้ว เปรียบเสมือนเพียงอาภรณ์ประดับร่างกายเท่านั้น แต่จิตเดิมก็พร้อมที่จะมาเกิด - ดับ อีกเพื่อหาประสบการณ์เพิ่มเติมมิใช่มาใช้กรรม

2 กฎแห่งกรรมคือ ผลสะท้อนของกรรมเก่าที่ได้เคยกระทำไว้ในอดีตกาลจะสนองคืนในสองรูปแบบ คือส่งผลในภพภูมิที่เกิดใหม่เป็นคนมั่งมีหรือคนทุกข์ยาก
หรือส่งผลภายหลังการเกิดคือระหว่างดำรงชีวิต

3 สติปัฎฐาน 4 เป็นเทคนิคหรือวิถีทางของการเจริญสติ สมาธิ ปัญญา และเป็นการค้นพบขั้นสุดยอดทางพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "สติปัฎฐานนี้เป็นหนทางสายเอกที่จะสามารถเข้าสู่นิพพานได้โดยง่ายที่สุด"

4 อริยสัจ 4 คือความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ คือการมีอยู่ของทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และหนทางไปสู่การดับทุกข์ ความจริงเหล่านี้เรียกว่า อริยสัจ 4

5 ธาตุทั้ง 4 ในความหมายของชาวพุทธ คือสิ่งที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวมีธรรมชาติเป็นของตนเองทั้งรูปธรรม นามธรรม ธาตุทางนามธรรม ได้แก่ ดิน นํ้า ลม ไฟ

5 ขันธ์ 5 ประกอบด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ (ความจำได้) สังขารขันธ์
วิญญาณขันธ์ (ตัวรับรู้)

6 อาตยนะ 12 การติดต่อสัมพันธ์กับโลกและชีวิตผ่านช่องทางที่เรียกว่า อาตยนะ 12 แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ อาตยนะภายนอก 6 ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
และ อารมณ์ที่เกิดขึ้นที่จิตใจ 

อาตยนะภายใน 6 ได้แก่ ตาหู จมูก ลื้น กาย และใจ

7 เจตสิก ดวงจิตวิญญาณแต่ละดวงมีองค์ประกอบเรียกว่า "เจตสิก" คือเป็นองค์
ประกอบของอะตอมที่แตกต่างกัน จากจำนวนของ อิเลกตรอน โปรตอน และนิวตรอน สร้างคุณสมบัติของธาตุเคมีที่ก่อรูปเป็นร่างกายของมนุษย์เราขึ้นมา
และ เป็นวัฐจักรของตัวชีวิตเป็นตัวตนของลูกๆ 

ฉะนั้น การฝึกวิปัสสนาสมาธิเพื่อควบคุมการทำงานของจิตและ ลมหายใจที่เรียกว่า "สติปัฎฐาน 4" ก็จะเกิดการพัฒนาความตระหนักรู้ขึ้นทีละน้อยๆ เพื่อนำไปสู่ภาวะธาตุรู้อมตะ อันเป็นเจตจำนงเสรีของดวงจิตทุกดวง Free Wlll หรือ นิพพาน
หรือ การกลับสู่บ้านของเราสู่ Source ต้นกำเนิดรูปธรรมแห่งแสงสว่าง

และใน 3 - 4 วันนี้ เมื่อพ่อเข้าสู่ญาณสมาธิได้สัมผัสถึงคลื่นพลังงานที่กำลังหลั่งไหลถาโถมลงมาสู่โลกจำนวนมากมายมหาศาล ในจิตของพ่อได้รับสารให้พ่อได้ประกาศแก่มวลชาวแสงทั้งหลายว่า

โอกาสนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ให้ลูกๆ ของพ่อร่วมกันทำสมาธิรวมหมู่ กันให้มากๆ
ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ แล้วเมื่อคืนพ่อสัมผัสได้ถึง "องค์ปีรามิคสีทอง" เหลืองอร่ามตาที่กำลังส่งคลื่นพลังงานลงมาสู่โลก และในจิตของพ่อก็ได้สัมผัสถึงองค์ความรู้ของจักรวาล

ที่บรรจุอยู่ในปิรามิคสีทองแห่งนี้ หากใครเร่งเพียรเข้าสู่ญาณสมาธิก็จะประสบผลสำเร็จได้โดยง่าย โดยไม่จำกัด เพศ และ วัย ทั้งหญิงและ ชายสามารถที่จะเข้าสู่นิพพาน หรือวิมุติสุขได้โดยง่าย นับหมื่น นับแสนคนได้เลยในคราวเดียวกันนี้อย่างแท้จริงและ ง่ายดายที่สุด

พ่อจึงขอเชิญชวนลูกๆ ทุกคน ร่วมกันนั่งสมาธิรวมหมู่กันมากๆ ในสัปดาห์นี้เป็น
อย่างน้อยส่วนผู้ที่ไม่มีธุระอันใดก็ขอให้นั่งสมาธิรวมหมู่นี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีเวลาจำกัด เพื่อมุ่งเข้าสู่ "วิมุติสุข" กันทุกคน แล้วคืนนี้พ่อจะส่งคลิปการฝึกสมาธิ
สติปัฎฐาน 4 มาให้ลูกได้ฝึกเป็นแนวทางแล้วกัน..

ที่มา
Teucer Rom...

แสงสว่าง มองการไกล..

29 กันยายน 2564

#ผลของทานไปนิพพานได้

⚜️"#ผลของทานไปนิพพานได้"⚜️
✴️ ข้อนี้ญาติโยมฟังแล้วจำไว้ด้วยนะ เพราะมีพระจำนวนมากบอกผลของทานไม่สามารถจะไปนิพพานได้ แต่ว่าเรื่องนี้ยืนยันว่า "ผลของทานไปนิพพานได้"

✴️ #พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกขเว ภิกษุดูก่อนภิกษุทั้งหลาย #ในสมัยเมื่อติสสะฆ่านกขาย วันหนึ่งปรากฏว่ามีพระขีณาสพ #พระขีณาสพก็คือพระอรหันต์มาบิณฑบาตในเวลาเช้า นายพรานนกเห็นเข้าก็นิมนต์ท่านยืนอยู่ ก็รับบาตรมา #มีความรู้สึกว่าเขาทำบาปทุกวันไม่เคยทำบุญเลย  

✴️ #แต่เขาก็ไม่รู้ว่าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ก็สั่งคนในบ้านให้ทำกับข้าวให้รสอร่อยที่สุด ที่ชอบที่สุด #เอาเนื้อนกนั่นแหละทำมา #ทำเสร็จก็นำไปใส่บาตรพระจนเต็มเป็นที่พอใจของตนเอง #ท่านบอกว่าได้ผลบุญคือถวายทานกับพระขีณาสพนี่เอง คำว่าขีณาสพคือพระอรหันต์ #มาชาตินี้ชาติสุดท้ายเป็นปัจจัยให้บรรลุอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ  

✴️ #นี่ที่พระท่านบอกว่าให้ปรารภเรื่องทานเป็นสำคัญ เพราะว่าการทำบุญในพระพุทธศาสนามีทาน ศีล ภาวนา #จะได้ทราบกันว่าการให้ทานหรือทำทานนี่ #สามารถเป็นปัจจัยให้เข้าถึงนิพพานได้

🖋️📚ธัมมวิโมกข์ 2554),359, 29-30
⚜️พระราชพรหมยานเถระ⚜️
🙏หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง🙏

🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน

มิติที่ 5

โลกของเรา (พระแม่ไกอา) ได้เข้าสู่มิติที่ 5 เต็มตัวแล้ว แต่มนุษย์ที่อยู่ในมิติที่ 3 มนุษย์เราส่วนใหญ่จะมีความไม่เข้าใจ
ก็ยังคงอยู่ในสถานะเดิมมิติที่ 3 หากยังไม่เตรียมพร้อมที่จะ "ตื่นรู้" ก็ยังคงอยู่ในโลกสภาวะเก่าเช่นเดิม หากยังไม่เปิดใจยอมรับความจริงก็จะตกขบวนการเลื่อน
ระดับชั้นครั้งนี้ (Ascension).?..
ลูกๆ จะสังเกตุได้จากการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดกับโลกของเราในขณะนี้ เช่น
การเกิดนํ้าท่วมใหญ่ในที่ๆ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในทะเลทรายซาอุดิอารเบีย และ
อื่นๆ ในยุโรปเกือบทั้งแผ่นทวีป ในอเมริกา ออสเตรเลีย เกิดแผ่นดินไหวบ่อยๆ ภูเขาไฟระเบิดเพื่อลบล้างพลังงานลบที่กลบฝังมานานนับพันๆ ปีให้ปราศนาการไป

เพื่อเตรียมให้ผืนแผ่นดินเข้าสู่ "ยุคทอง"นั่นเอง..

ฉะนั้น มนุษย์ส่วนใหญ่จึงเกิดความไม่เข้าใจ เกี่ยวกับการเลื่อนระดับชั้นสู่มิติที่ 5 ของโลกในครั้งนี้ หรือมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง..

พ่อจึงอยากถามลูกๆ สัมผัสอะไรได้บ้างไหมเกี่ยวกับการเลื่อนระดับชั้นของโลกในครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกแต่เป็นครั้งที่ 2 แล้วนะ ครั้งแรกในยุคอารยธรรมแอตแลนติส ประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง มันเกิดจากการรับรู้ที่ไม่ถูกต้อง และให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี่มากจนเกินไปถึงขนาด "บูชาเป็นพระเจ้า" และต้องพบกับความวิบัติจนโลกต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่จนถึงปัจจุบันนี้

สิ่งสำคัญในการเลื่อนระดับชั้นของโลกในครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การ อัพเกรด เพื่อเปลี่ยนแปลงการรับรู้ทางจิตวิญญาณสู่ยุคถัดไป จึงมีคนจำนวนมากมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการรับรู้นี้ เช่น จะมีอยู่วันหนึ่งที่มนุษย์ต่างดาวจะลงมายังโลกมาช่วยคนที่ถูกเลือกไว้ แล้วคนที่เหลือก็จะถูกกำจัดด้วยภัยของสงคราม ภัยของธรรมชาติแล้วก็มีคำพยากรณ์มากมายทั้งนอสตราดามุส เกจิอาจารย์ต่างๆ รวมทั้งรหัสลับ
ของศาสนายูดาย ของพระคริสต์มากมายที่สื่อออกมายํ้าให้มนุษย์เกิดความกลัวเหล่านี้เป็นต้น

หรือบอกว่าจะมีการทิ้งกายเนื้อ แล้วมนุษย์จะมีสภาวะกึ่งมนุษย์กึ่งเทพ พ่อขอบอกเลยนะว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นเลย จริงอยู่จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบของโลกที่ลูกๆ มีชีวิตอยู่จริง แต่นั่นมันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างโดยที่คิดแต่จะหวังพึ่งผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือเทพต่างมิติ ลูกๆ ต้องพึ่งพาตัวเอง ยกระดับคลื่นมิติกายเนื้อของตนเองเป็นสรณะเท่านั้น

คือ การเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกในตัวตนของเราต่างหาก เปิดใจเปลี่ยนการรับรู้กล่าวคือการอัพเกรดความตระหนักรู้ในตัวตนของเรา พ่อใช้คำๆ นี้น่าจะเหมาะสมกว่า เมื่อลูกๆ อัพเกรดคลื่นความถี่จนมิติกายเนื้อยกระดับสูงขึ้นในมิติที่ 4/5 แล้ว
กฎต่างๆ ที่มีอยู่ในยุคพลังงานเก่าก็ไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป

คุณค่าการมีตัวตนของลูกๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงไปครั้งใหญ่ในช่วงระยะเวลาหลายหมื่นปี ร่างกายของเราอาจจะเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เพียงแต่เหตุการณ์ในครั้งนี้
มันจะดำเนินไปในช่วงเวลาสั้นๆ การใช้ตาเนื้อในการมองเห็นหรือการสัมผัสอาจ
จะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ค่อนข้างยากแต่..

"การเลื่อนระดับชั้นของโลก" มันกำลังคืบหน้าไปทีละขั้นตอนอย่างมั่นคง และลูกๆชาวแสงของพ่อส่วนใหญ่ ก็กำลังขยายการรับรู้สู่ ผู้อื่นอย่างมุ่งมั่น และตั้งใจเต็มที่ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น..ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และที่กำลังเกิดขึ้นอยู่..และที่จะเกิดต่อไป
คือ การปรากฎรูปทางกายภาพของความคิดที่อยู่ลึกที่สุดทางจิตใจ รวมถึงการ
เลือก แนวความคิด และการตัดสินใจต่างๆ ของตัวตนเรา

ฉะนั้นจงอย่าจิตตกในเรื่องการระบาดของเจ้าโควิด อย่าตกเป็นเหยื่อในแง่มุมของ
สื่อหลักต่างๆ และขอให้ลูกมั่นใจและเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลกในครั้งนี้ แต่ลูกควรหาคำอธิบายเพื่อเปลี่ยนแนวความคิดผู้อื่นที่ยังไม่เข้าใจ และเปลี่ยนสภาวะ
เงื่อนไขต่างๆ ให้เรากับเขาเข้าใจพร้อมกันไปด้วย

โปรดมองดูความมืดให้เต็มตา ทว่าลูกอย่าไปดูถูกเขา ถ้าเขาไม่เข้าใจเรา จงเป็น
แสงสว่างส่องความมืดมิดเพื่อแปรเปลี่ยนสภาพมัน ให้ความสว่างจากตัวเราส่อง
ทางแก่ผู้คนมากจนคนที่ไม่เข้าใจ คนที่จมอยู่ในความมืดยังได้รับแสงสว่างจากตัวเรา และท้ายที่สุดพวกเขาทุกคนก็จะได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาที่ตกเป็นทาสแรงงานมาชั่วกัปชั่วกัลป์อย่างไม่รู้ตัว

ขอให้ลูกๆ ชาวแสงทั้งหลายจงเป็นแสงสว่าง เพราะแสงสว่างของเหล่าชาวแแสงไม่เพียงแต่ส่องทางให้ตนเองแต่ยังจุดประกายความตระหนักรู้ให้แก่โลกที่น่าอยู่ของเราแห่งนี้อีกด้วย...

Teucer Rom..

แสงสว่าง มองการไกล..

ผลที่ได้จากมโนมยิทธิ

#มโนมยิทธิและประวัติของฉัน
🔹️ ตอนที่ ๖🔸️
ผลที่ได้จากมโนมยิทธิ(ต่อ) ๖/๒ 
👁รวมความว่าถ้าพบพระพุทธเจ้ามีพระศรีอาริย์ไปนิพพานแน่ แต่ว่าทางที่ดีขอให้ทุกคนตัดสินใจไปนิพพานชาตินี้ดีกว่า จะได้มีการรวบรัดขยันหมั่นเพียรปฏิบัติด้านความดี และในที่สุดเราจะไปได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ ตั้งใจจะไปนี่  ให้ตั้งใจไว้จริงๆ มันก็ต้องไปกันแน่ ไปชาตินี้ไม่ได้ ชาติหน้าก็ไปได้แน่ 

👁เหมือนกับคนอยากรวย มีความขยันหมั่นเพียร ประกอบไปด้วยสติปัญญาพอควร ถ้ามีอารมณ์ ๔ อย่างทรงตัวคือ 

🍀๑.ฉันทะ ความพอใจในผลของการปฏิบัติ 

🍀๒.วิริยะ  มีความเพียรต่อสู้อุปสรรคที่เข้ามาขัดขวาง เราก็ถืออุปสรรคเป็นของธรรมดา ในการปฏิบัติงานทั้งหมด 

🍀๓.จิตตะ  เอาใจจดจ่อสอดส่าย ไม่ทิ้งอารมณ์ในด้านของความดี ในข้อวัตรปฏิบัติ 

🍀๔.วิมังสา  ใช้ปัญญาใคร่ครวญ 

👁อารมณ์ ๔ อย่างนี่ทรงตัว ทำทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จหมด ทุกอย่างไม่เหลือจะเป็นฌานหรือญาณต่างๆ ทั้งหมดก็ดีไปหมด (นี่ต้องขออภัยนะ  อยู่ๆมันก็จะไอขึ้นมาเฉยๆ  นี่คือความไม่แน่นอนของร่างกายเป็นอย่างนี้ จงอย่าคิดว่าร่างกายของเรามันดี เห็นความเลวของร่างกายผมไหม และเสียงสอนมันก็จะใช้ไม่ได้ ความแก่เฒ่าเข้ามาครอบงำ) 

👁ต่อนี้ไปก็มาพูดกันถึงเรื่อง #อตีตังสญาณ คือ ญาณในอดีต 

👁ญาณในอดีตนี่ก็เหมือนกัน ทำอย่างไรมันก็ไม่ยาก รู้แล้ว ทางที่ดีนะครับให้ถามตรงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  หรือว่าท่านผู้ใดมีเทวดาองค์ใด  มีพระอริยเจ้าองค์ใด  ที่ท่านจะสงเคราะห์บอกให้ ให้ทานเฉพาะองค์นั้น  อย่าเปะปะเอะอะโวยวายถามใครก็ได้  อันนี้ไม่ได้แน่นอน  ต้องถามเฉพาะบุคคล 

👁และเวลาจะเข้าถามทำจิตสะอาด  วางเฉยเป็นกลาง ไม่ข้องแวะอารมณ์ใดทั้งหมด ใครดีใครชั่ววางทิ้งเสียก่อน ทำใจเป็นกลางแล้วก็ถามท่าน อย่างนี้จะดี สะดวกมาก เพราะว่าท่านที่จะรู้อะไรได้ทั้งหมดคือ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค พวกเรายังเป็นโรคอุปาทานอยู่ ดีไม่ดีความหลงใหลใฝ่ฝันในอุปาทานมันจะกินเรา 

👁ก็รวมความว่า  เราใช้กำลังใจยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า  พระธรรม  พระอริยสงฆ์ให้ขึ้นใจ และการทรงรูป  จับรูปพระพุทธรูปเป็นนิมิตอย่าทิ้ง ทำเป็นประจำทุกวัน ต่อไปเราไม่มีพระพุทธรูป เดินไปทางไหน  จับภาพส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วจำภาพนั้นไว้ เอานี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ทุกอย่างจะเพียบพร้อมบริบูรณ์ด้วยประการทั้งปวง นี่เรามาพูดกันถึง อตีตังสญาณ  ญาณในอดีต 

👁สำหรับญาณในอดีตก็หมายความว่า สิ่งล่วงมาแล้วเราต้องการพบ เราต้องเอา อนาคตังสญาณเข้าช่วยด้วย ถ้าเราตั้งใจจะรู้ #ทำใจสบาย คำว่า  ใจสบายตามที่พูดมาแล้วคือ รักษาสะเก็ด รักษากระพี้ รักษาเปลือกของความดีในพระพุทธศาสนาไว้ให้ได้ ใจจะเป็นสุข ใช้อารมณ์ได้ทุกวันตลอดทุกวินาทีที่เราต้องการจะรู้
.
.
.

🙏โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
✍ จากหนังสือมโนมยิทธิและประวัติของฉัน หน้า ๔๔-๔๕

28 กันยายน 2564

#ตายจากกบไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

✴️"..เมื่อคืนวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๓๑ อาตมาได้อ่านหนังสือพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ หน้า ๗๔ ไปพบเรื่องที่ถูกใจเรื่องหนึ่งคือเรื่อง "มัณฑุเทพบุตรวิมาน" แต่อาตมาขอให้นามว่า "#เทวดากบ" ตามบาลีท่านว่า 

🙏 พระพุทธเจ้าตรัสถามเทวดากบว่า "นั่นใครมีผิวพรรณสวยงามมาก รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์และยศสว่างทั่วจักรวาล ไหว้เท้าทั้งสองของตถาคตอยู่" 

😇 เทวดากบกราบทูลว่า "#เมื่อชาติก่อนข้าพระองค์เป็นกบ เที่ยวหาอาหารอยู่ในถํ้า #เมื่อข้าพระองค์ฟังธรรมของพระองค์อยู่ #คนเลี้ยงโคได้ฆ่าข้าพระองค์ #ข้าพระองค์ตายจากความเป็นกบไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวรรณะ ยศ ฤทธิ์ เช่นนี้เพราะมีจิตเลื่อมใส ฟังธรรมะของพระองค์เพียงครู่เดียว สำหรับท่านที่มีโอกาสฟังนานๆ มีหวังไปพระนิพพานสิ้นทุกข์ เป็นดินแดนสิ้นโศก สิ้นความเร่าร้อนพระเจ้าข้า"

✴️ #เป็นอันว่าเรื่องนี้ยืนยันว่า #สัตว์เดรัจฉานก็ทำบุญได้ ตามที่นักเทศน์ชอบเทศน์กันว่า เทวดา พรหม สัตว์ ทำบุญไม่ได้ #เป็นอันว่าท่านลืมอ่านพระไตรปิฎก

✴️ วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๓๑ หลังจากอาตมาฉันเพลแล้ว ก็เข้าที่พักนอนคอยเวลาเพื่อลงรับแขกตามปกติ จึงนึกถึงท่านเทวดากบ คิดว่าท่านเป็นกบ ท่านเป็นเทวดาได้ เราเป็นคนลำบากเกือบตายสู้กบไม่ได้ อยากจะทราบว่าท่านนิพพานแล้วหรือยัง ถ้ายังท่านมีวิมานและทิพยสมบัติเป็นอย่างไร 

✴️ #เมื่อนึกถึงท่านก็ปรากฏทั้งกายทั้งวิมาน ท่านทำให้เห็นชัดเท่าเห็นคนธรรมดา ท่านสวยแสงสว่างก็มากแต่ท่านไม่สวมชฎา วิมานก็สวย 
⚜️จึงถามท่านว่า "#ทำไมจึงไม่สวมชฎา" 

😇 ท่านบอกว่า "#ท่านมาหาพระ #ท่านไม่รีบกลับจึงไม่สวมชฎา" ขอให้ท่านสวมชฎา เมื่อชฎาปรากฏบนศีรษะ ไม่ได้หยิบสวมเหมือนคนปรากฏขึ้นเอง ดูสวยไปอีกแบบหนึ่ง แล้วชฎาก็สลายไป

⚜️ ถามท่านว่า "#เมื่อถูกคนเลี้ยงโคแทงแล้วตายทันทีหรือเปล่า" 

😇 ท่านบอกว่า "#ยังไม่ตาย #เขาเอาเหล็กแทงเอาเชือกร้อยแล้วลากไปกับพื้นดิน เพราะเขาหากบต่อไป มันเจ็บปวดที่สุด เมื่อถึงบ้านเขาวางตากแดดไว้ที่ชานบ้าน มันเจ็บปวดและร้อนแดดเพิ่มเข้าอีก ในที่สุดก็ตาย ทุกข์มากเหลือเกิน 

⚜️ ถามท่านว่า "#เมื่อมาเป็นเทวดาแล้ว #คิดอยากเกิดเป็นกบหรืออยากเกิดเป็นมนุษย์อีกไหม" 

😇 ท่านยิ้มแล้วตอบว่า "#ไม่อยากเกิดเป็นอะไรเลยครับ มนุษย์ก็ทุกข์ สัตว์ก็ทุกข์ แม้เทวดาผมก็ไม่อยากเป็นอีก อยากไปนิพพาน" 

⚜️ ถามท่านว่า "#ท่านฟังเทศน์สมัยพระพุทธเจ้า #เมื่อเป็นเทวดาแล้วได้ฟังต่ออีกไหม" 

😇 ท่านบอกว่า "ฟังอีกหลายครั้ง" 

⚜️ถามท่านว่า "เป็นพระโสดาบันหรือยัง" 

😇 ท่านบอกว่า "#เวลานี้ผมเป็นพระสกิทาคามีผลขอรับ" 

⚜️ คนถามหน้าแหงเลย เมื่อถามว่า "#เพราะกรรมอะไรจึงเกิดเป็นกบ"

✴️ ภาพที่ปรากฏก็คือ #ท่านเองเป็นชายสูงโปร่ง ผิวดำ เป็นลูกชาวนา #เมื่อไถนาเสร็จแล้วก็เที่ยวหากบ #ได้แล้วก็เอาเหล็กแหลมแทง #ร้อยเชือกลากกบไปเหมือนที่เขาทำกับท่าน 

😇 ท่านบอกว่าเศษบาปผมยังชำระไม่หมด ถ้าไปเกิดใหม่ต้องชำระหนี้อีกมาก จึงอยากจะไปพระนิพพานเลย

✴️ เมื่อคุยกับเทวดากบสักครู่หนึ่ง ท่านย่ากับท่านแม่ศรีก็มา ท่านทั้งสองรู้จักกับเทวดากบดี ท่านเทวดากบเคารพท่านย่าและท่านแม่ศรีมาก ท่านแม่ศรีบอกว่า "เทวดากบเคยเกิดเป็นลูกมาหลายชาติ" ท่านนึกกันออกรู้ได้เหมือนกันทั้งสองฝ่าย.."

ที่มา
🖋️📚หนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน

🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน

27 กันยายน 2564

การขับเคลื่อนยานอวกาศ

ยานอวกาศของเรา...สมาพันธ์แกแลกซี่แสงสว่างแห่งจักรวาล?.....
โอ - ตูกูราห์ โบฮูตูตาห์ มาวูลาห์ ดูดูวา มาเฮอ ดู โอกัด นูวร์ ลาฮาตูตราห์...

ตัวอักษรที่เห็นนี้จะต้องอ่านโดยจิต (หรือวิญญาณ) มันเป็นตัวอักษรที่เขียนด้วยแสงและ
จะเข้าใจมันได้ก็โดยการสัมผัสด้วยจิตนั่นแหละ มีใจความว่า "มนุษย์จะต้องพยายามเข้าใจ
ธรรมชาติ เพราะมนุษย์เองก็คือธรรมชาติ มนุษย์นั้นถูกก่อกำเนิดมาด้วยความรักจากผู้สร้างฯ เพราะความรักนี่แหละคือคำตอบของมนุษย์"

ตามข้อเท็จจริงแล้ว เรา สมาพันธ์แกแลกซี่แสงสว่างแห่งจักรวาล ได้มาตั้งศูนย์บัญชาการที่วงโคจรวงแหวนดาวเสาร์มาตั้งแต่ปี 2007 มาแล้ว เพื่อให้ความช่วยเหลือมนุษย์ในภารกิจต่างๆ โดย
เฉพาะภารกิจการเลื่อนระดับชั้นของโลกสู่มิติที่ 5 ยานบินเราจะลอยลำอยู่เหนือพวกเขา
และคอยชี้นำเหล่าอาสาฯ ที่ถูกเราคัดเลือกตัวมาทำภารกิจต่างๆ

เพื่อป้องกันมิให้เกิดภยันอันตรายใดๆ มากลํ้ากลายพวกเขาได้ และ จากกรณีหอสังเกตุการณ์ดวงอาทิตย์ของ นาซ่า ได้ตรวจพบพวกเราในวงโคจรดาวเสาร์และที่อื่นๆ ขอให้มนุษย์โปรด
อย่าได้ทุกข์ร้อนและวิตกกังวลต่อข่าวสารนี้อีกเลย

ประเด็นสุดท้ายที่เราจะสื่อสารมาถึงท่านเกี่ยวกับโครงสร้างทางกายภาพยานอวกาศของพวกเรา มันมีความแตกต่างจากยานบินของพวกคุณเป็นอย่างมาก เพราะว่ายานอวกาศของพวกเราถูกออกแบบมาด้วยเทคโนโลยี่ที่ลํ้าหน้ามากๆ พวกมันสามารถดูแลตัวมันเอง
ได้ตลอดการเดินทาง พวกมันมีความฉลาดและรอบรู้มากๆ จนพูดได้ว่าถูกสร้างขึ้นมาจาก
สสารที่สามารถคิดเองได้

และแก้ปัญหาขัดข้องต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างเดินทางได้ด้วยตัวของพวกมันเอง พวกมันเป็น "Artificial intelligence" อย่างหนึ่ง หรือ เหล็กปลอดสนิทอย่างยิ่งยวด ที่มนุษย์เรา
ยังไม่เคยรู้จักมันมีโครงสร้างเป็นสิ่งกึ่งมีชีวิต เมื่อเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุด ภายในจะถูกห่อหุ้มด้วยแรงดึงดูดที่สูงมาก เพื่อลดนําหนักถ่วง มันจึงมีโครงสร้างแบบนี้ 

เปรียบเหมือนเด็กทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา เมื่อเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงพวกเราจะหลอมรวม
เป็นหนึ่งเดียวกับยานบินการท่องอวกาศนั้นพวกเราจึงสามารถอยู่ได้โดยไม่รู้สึกถึงแรง
กดอากาศมหาศาลที่กดทับเราแต่อย่างใด

และภายในยานบินของเราปราศจากสายไฟฟ้าเพื่อเชื่อมต่อจักรยนต์ยานบินแม้แต่เส้นเดียว เพราะยานบินของเราควบคุมการทำงานด้วยจิตและตัวเราจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรยนต์ยานบินและมันสามารถแปรเปลี่ยนรูปร่างอะไรก็ได้และการพรางตัวตามความต้องการ

ตอนนี้พวกคุณกำลังอยู่ในกระบวนการเลื่อนระดับชั้นและกำลังเติบโตขึ้น เมื่อถึงเวลาพวกเราจะมอบเทคโนโลยี่ที่พวกเรากำลังใช้อยู่นี้ให้กับพวกคุณ และ มุมมองความรู้ต่างๆ ให้พวกคุณ แต่สิ่งสำคัญก็คือ การรวมจิตในระดับดาวเคราะห์ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

ข้ามความแตกต่างด้านจิตและเศรษฐกิจไปให้ได้ ความเป็นเอกลักษณ์ของชาวโลกจะต้อง
เจริญเติบโตขึ้นอย่างแน่นอนและถือจิตสำนึกในความเป็นครอบครัวชาวโลก และสร้างโครงสร้างใหม่ การกระทำแบบใหม่ให้เกิดขึ้นและจากจุดนั้น

ก็ค่อยๆ เริ่มก้าวไปสู่จุดครอบครัวจักรวาล #เราจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างหรือไม่นั่นขึ้นอยู่กับจิตสำนึกมวลรวมของพวกคุณเอง

กัปตัน..โซฮิม...ผู้บัญชาการสมาพันธ์แกแลกซี่แสงสว่างแห่งจักรวาล

ผู้นำสาส์น..แสงสว่าง มองการไกล

ป.ล. เมื่อคืนนี้พ่อได้รับสัญญาณให้รับสาส์นแล้วถูกฝังชิพรอบเอวเลยตื่นขึ้นมาแทบลุกไม่ขึ้น กว่าจะถ่ายทอดถ้อยคำทั้งหมดแทบรากเลือดเลยอาจจะมีตกหล่นบ้างก็ขออภัยด้วยนะ ไข้แทบขึ้นแน่ะ...

ศีล สมาธิ ปัญญา แก้ที่จิตใจ

ศีลนี้..อันธรรมดาของเรานั้นไม่สามารถรักษาได้ตลอดเวลา แต่คราใดที่โยมระลึกได้ว่าโยมนั้นกำลังทำอะไรอยู่ คิดดีอยู่ ประพฤติดีอยู่ ประพฤติชั่วหรือคิดชั่วก็ตาม ถ้าโยมรู้..ศีลโยมนั้นแลก็เกิดขึ้นตอนนั้นถ้าใจโยมสงบ ถ้าใจโยมไม่สงบแสดงว่าศีลโยมผิดปรกติหรือด่างพร้อยชำรุด..ต้องแก้ไข คือแก้ที่ใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ 

เพราะทางที่มันจะเข้ามาก็คือทางใจ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้ อายตนะภายนอกคือประตูทางเข้าแห่งมาร เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมจะ"ปิดอบาย"อย่างไร..ก็ต้องมีองค์ภาวนา ให้จิตมันตื่นรู้ว่าโยมทำอะไรอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ฉันถึงบอกว่านรกสวรรค์มันอยู่ตรงนั้น "ใจ"นั้นคือทางออกทางเข้าของมนุษย์โลก เทวโลก หรืออบายภูมิทั้ง ๔ อยู่ที่ใจดวงเดียว เพราะใจเป็นประธาน พระประธานท่านปิดอบายอยู่

ถ้าโยมไม่มีพุทโธเมื่อไหร่..สัตว์นรกในใจโยมจะบังเกิดขึ้นมา ทุกวันนี้มนุษย์นี้มีสัตว์นรกสิงอยู่ มีเปรต มีอสูรกาย มีสัตว์เดรัจฉาน และมีวิญญาณผีตายโหง เดี๋ยวมาว่าต่อว่าทำไมถึงมีแบบนี้ เปรตนี้คือความโลภอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด โยมมีมั้ยจ๊ะอารมณ์นี้ (ลูกศิษย์ : มีค่ะ) แสดงว่าโยมมีผีเปรตโขมดอยู่ ใช่มั้ยจ๊ะ สัตว์นรก..คือบางทีโยมก็มีโทสะ อยากจะฆ่าแกงใครที่เกลียดชัง มีมั้ยจ๊ะอารมณ์นี้ (ลูกศิษย์ :มีค่ะ) นี่ไงจ๊ะวิญญาณมันสิงอยู่ 

ถ้าโยมไม่เจริญจิตเมตตาภาวนาแล้ว ยังไงโยมก็กลับบ้านเก่าแน่นอน..คือนรกภูมิรออยู่แน่นอน นั้นนรกมันอยู่ที่ใจ ใจเป็นทางออกแห่งสัตว์นรก แต่ถ้ามันออกมา..นี่มันมีวิธีอีก ถ้ามันออกมาแล้ว เช่นโทสะโยมเกิดขึ้นแล้ว นั่นเรียกว่าข้างใต้นั้น..ดวงจิตของโยมไอ้โทสะดวงนี้คือดวงจิตของโยม แล้วมันเป็นบรรพบุรุษต้นชาติกำเนิดของโยม ให้โยมสงบจิต สงบกายวาจา แล้วอธิษฐานจิตให้อภัยซะ..ดวงจิตนี้จะไปเกิดทันที แล้วดวงจิตโยมก็จะเบาบางเรื่องโทสะ เพราะโยมมีเมตตาอยู่บ่อยๆ..นี่คือของแก้กัน หรือเรียกว่า"ยาถอนพิษ" เค้าก็จะได้ไปเกิด แล้วอารมณ์โยมก็จะน้อยลง อายุโยมก็จะยืนขึ้นๆ เลือดโยมก็จะดีขึ้นๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

อ้าว..พอมีความอยาก ความโลภอีก..ทีนี้เปรตมาแล้ว มาขอส่วนบุญในขณะนั้น อารมณ์ใดที่โยมมีความอยากหรือความโลภอยากได้สิ่งใด นั่นคือเปรตเค้ามาขอส่วนบุญ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ในขณะนั้นตัวเรามีเปรตอยู่ข้างหลัง เปรตนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน คือบิดามารดาของเราอีกเหมือนกันที่ยังไม่ได้ไปเกิด อ้าว..ทำยังไงเมื่อความโลภเกิดขึ้นมา ความโลภต้องแก้ด้วยอะไร เมื่อเราโลภนั้นเกิดด้วยอะไร (ลูกศิษย์ :ความหลง) ไอ้ความหลงนี้เกิดจากอะไร ให้โยมอธิษฐานจิตภาวนาไป ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยอันมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อธิษฐานบุญกุศลนั้นแผ่เมตตาจิตออกไป 

เมื่อมีความโลภแล้วให้เรานั้นมีสติกำหนดรู้ ละความอยากนั้นเสีย เพราะคราใดเมื่อโยมมีความโลภ ความหลง จิตโยมจะฟุ้งซ่านทันที จะปรุงแต่งให้มันเป็นนั่นเป็นนี่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ คือกำหนดรู้ซะก่อน อธิษฐานจิตแผ่เมตตาจิตออกไป ให้ดวงสรรพวิญญาณทั้งหลาย ไม่ว่าอยู่ภพภูมิใด ขอให้เค้าได้อาศัยอำนาจแห่งพระรัตนตรัยนี้ไปจุติ ไปเกิดในภพภูมิที่ดี อาศัยอำนาจแห่งพระรัตนตรัยนี้เป็นที่พึ่งเป็นสรณะด้วยเทอญ 

โยมจำไว้นะจ๊ะ ไม่ว่าอารมณ์ใดเกิดขึ้น..อย่าได้ไปขัดขืน..นั่นเป็นธรรม แต่ในวิกฤตทั้งหลายจะมีโอกาสของมันในตัว ให้มีสติอย่างเดียว ตัวสติตัวนี้จะทำให้ทุกอย่าง..ทำให้เกิดแสงปัญญา คือเห็นทางออกทุกอย่าง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่ว่าในขณะใดขณะนั้นโยมจะมีจะมีใครมาฆ่าแกงโยม ให้มีสติอย่างเดียว ทุกอย่างมันจะมีทางออก ขอให้โยมอย่ากลัว.. 

ที่มา
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๑
ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี) 
      ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)

26 กันยายน 2564

สมาธิ อยู่มี่ใจ

แต่ก่อน โอ๊ย เขาพากัน พาหลวงพ่อไป เป็นเด็ก ไปเที่ยว ฆ่าสัตว์ได้อย่างสบาย แต่เมื่อเวลาที่มันได้สมาธิขึ้นมาแล้วนี่ ทำไม่ได้ มันทำไม่ได้เอง เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า “อาทิกัลยาณัง” งามในเบื้องต้นคือศีล “มัชเฌกัลยาณัง” งามในท่ามกลางคือสมาธิ “ปะริโยสานะกัลยาณัง” งามในที่สุดคือปัญญา เพราะฉะนั้น เวลาที่มาที่วัดธรรมมงคลใหม่ ๆ นั้น เป็นป่าสะแก มีต้นฉำฉา มีไม้เป็นหนาม เดินไปก็ไม่ค่อยไหว รกรุงรัง เพราะว่า ญี่ปุ่นเข้ามาประเทศไทยก็มาตั้งค่าย ตรงนี้เป็นค่ายญี่ปุ่นเก่า ฝรั่งที่มาอยู่กับหลวงพ่อก็ชอบใจ ชอบใจยังไง มันได้เห็นกระโหลกศีรษะ มันเอาไปนอนด้วย เอาไม้ เอาไม้ปัก แล้วก็เอาหัวใส่ ทำเป็นเล่นเลย เขาอยากจะได้สมาธิสูง ๆ บอกฝรั่ง บอกว่า

สมาธิมันไม่ได้อยู่ที่นั่น มันอยู่ที่ใจ 

“เมื่อใจเราบริสุทธิ์แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาแสดงออกข้างนอก”

มันบริสุทธิ์แล้ว พูดภาษาใจเลย เวลาที่เพื่อนกัน แต่ก่อน หลวงพ่อเป็นนักดนตรี เวลาที่ยังเป็นเด็กอยู่ โยมให้เรียนดนตรีกัน หลวงพ่อเป็นซอด้วง นอกนั้นเขาเป็นเป่าปี่  เป็นขลุ่ยเป็นซออื่น ซอด้วงนี่จะเป็นหัวหน้า เรียกว่าเป็นหัวหน้าดนตรี เวลาที่เราไปเรียนดนตรีนี่ มันก็เพราะ สีซอ อย่างสีซอด้วงเนี่ยมันต้องขึ้นก่อน แล้วก็เพลิดเพลินไปตามเสียง แต่เวลาที่มาทำสมาธิแล้ว ไอ้ซอด้วงนั้นเอาไปแขวนกับเขากวาง 3 เดือนไม่เคยไปเจอมัน มันเปลี่ยนพฤติกรรมได้ คนที่เคยโมโหร้าย ก็เปลี่ยนพฤติกรรมได้ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า การทำสมาธิ เป็นการเดินมรรค เพื่อการพ้นทุกข์  เพื่อเป็นหนทางไปสู่ ที่เรียกว่า “เอกจฺโจ สคฺคํ คจฺฉติ” บางพวกก็จะไปสวรรค์ “เอกจฺโจ โมกฺขํ คจฺฉติ” บางพวกก็จะได้ไปพระนิพพาน อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นก็ขอให้ญาติโยมทั้งหลาย อย่าลืม นิดนึงก็ อย่าลืม เราต้องถือว่า การทำสมาธินี่ เหมือนกับสะสมทองคำ เราสะสมทองคำไว้เป็นตัน เราก็ไม่กลัวแล้ว อย่างนี้สะสม เมื่อทำสมาธิแต่ละครั้ง ก็ถือว่าเป็นการสะสม สะสมซึ่งบุญนำมาซึ่งความสุข ทำให้เราชื่นชมดีมาก แต่ก่อน ก่อนที่จะมาได้สมาธิ ไปกับเพื่อนก็เที่ยวเตร่ไปแบบไม่มีจุดหมายปลายทาง แต่พอเข้าวัด มาหัดทำสมาธิแล้วก็รู้สึกว่ามีค่า มีค่าสูงขึ้นอีกเยอะ ก็วันนี้ก็คงจะคุยได้พอสมควรแล้ว ก็นำไปแจกจ่ายว่า  การทำสมาธินี่เป็นบุญ ที่ติดตนตามตัวเราไปได้ทุกภพทุกชาติ

ธรรมะรุ่งสว่าง 30/09/61
https://www.youtube.com/watch?v=Z1gzW4VvYqw&t=1642s 

#สมเด็จพระญาณวชิโรดม #หลวงพ่อวิริยังค์ #mutdhothai #วัดธรรมมงคล #วัดศรีรัตนธรรมาราม #วัดป่าเลิศธรรมนิมิต #instadham #ธรรมะ #ธรรมทาน

#อย่ากลัวทุกข์พราะทุกข์เป็นของจริง

#อย่ากลัวทุกข์พราะทุกข์เป็นของจริง 
.. จากนั้นสมเด็จองค์ปฐม ได้ทรงเมตตามาตรัสสอนต่อดังนี้ 

๑. อย่ากลัวทุกข์ เพราะทุกข์นั้นเป็นของจริง อันเป็นของคู่กันมากับขันธ์ ๕ มีชาติปิทุกขาเป็นต้น 

๒. เมื่อประสบกับความทุกข์ ก็จงอย่ากล่าวโทษผู้อื่น กฎของกรรมเกิดได้ เพราะตัวของเราทำไว้เอง จงหมั่นทำจิตให้ยอมรับ ชดใช้กฎของกรรมนั้นไปโดยสงบ 

๓. มองด้วยตาปัญญา ให้เห็นโทษของกรรมมาจากสาเหตุอันใด มองแล้วจงยอมรับว่า เหตุมาจากการล่วงละเมิดปัญจเวรทั้ง ๕ หรือกรรมบถ ๑๐ ข้อใดข้อหนึ่ง อันมีเราเป็นผู้กระทำผิดด้วยความหลงมาแต่กาลก่อน 

๔. จิตมีความหลงผิด จึงใช้กาย-วาจา กระทำผิดๆ กาลนั้นจิตเรายังไม่มีปัญญา จึงเห็นผิดเป็นชอบ เพลานี้พวกเจ้าได้รับการอบรมทางปัญญามาพอสมควร อย่าใช้อารมณ์มิจฉาทิฏฐิมันเข้าไปครอบงำจิต ให้เกิดความโง่เขาปัญญาขึ้นอีก 

๕. พยายามพยุงกำลังของจิตเอาไว้ ด้วยอานาปานสติกรรมฐานให้ดีๆ ใช้วิปัสสนาภาวนาพิจารณาถึงกฎของความเป็นจริงอย่างถ่องแท้ ใช้ความพยายามดูอารมณ์ที่ฟอกจิตอยู่ให้เห็นว่า ขณะใดมีโมหะ โทสะ เข้าครอบงำอยู่บ้าง แล้วพยายามใช้กรรมฐานแก้จริต เข้าทำลายอารมณ์เศร้าหมองเหล่านั้น จนกว่าจิตผ่องใสขึ้นมาได้ ทำให้เป็นปกติ พยายามดูอารมณ์ของจิตอยู่ตลอดเวลา ให้นำไปใคร่ครวญพิจารณาและปฏิบัติด้วย จักให้ได้ผลดีก็ต้องไม่ทิ้งอิทธิบาท ๔
.
.
ที่มา
🙏โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
✍พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์สืบสงวน ผู้รวบรวม
✏จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น หน้า ๔๕-๔๖

ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์อยากจะทำอะไร

ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์อยากจะทำอะไร
- ฟังจบชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไป -
คำถามถึงเทวดา, พญานาค, พระภูมิเจ้าที่,​ สัตว์เดรัจฉาน,​ เปรต, สัตว์ในนรก และมนุษย์ คำถามเดียวกัน แต่ต่างคำตอบ ต่างภพภูมิ ต่างวาระ​ต่างบารมี ต่างความคิด​ ต่างการกระทำ ต่างจุดมุ่งหมาย
"ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์อยากจะทำอะไร"
#เทวดา ตอบว่า
"เราจะพิจารณาธรรม เพราะมนุษย์มีกายสังขาร ที่เหมาะกับการพิจารณาธรรมมาก ร่างกายของมนุษย์เป็นเครื่องมือที่ใช้พิจารณาธรรมได้ดีที่สุด น่าอิจฉาพวกมนุษย์จริงๆ"
#พญานาค ตอบว่า
"บวชสิ ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ เราจะบวช... เป็นพญานาคมีฤทธิ์มากก็จริง แต่บวชไม่ได้ พ้นทุกข์ไม่ได้ ไม่เหมือนมนุษย์ พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตให้นาคบวช แต่มนุษย์บวชได้ มนุษย์สร้างบุญใหญ่ไปสวรรค์ชั้นสูง ไปแดนนิพพานได้ แสนประเสริฐ"
#พระภูมิเจ้าที่ ตอบว่า
"ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง คราวนี้เราจะไปทำบุญใส่บาตรทุกวัน ไม่ต้องมานั่งรอคนอุทิศส่วนกุศลมาให้เราอีก ไปทำเองเลย เพิ่มบารมีได้เร็วทันใจดี"
#สัตว์เดรัจฉาน ตอบว่า
"ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ เราจะสงเคราะห์สัตว์ตัวอื่นๆ เป็นสัตว์นั้นทุกข์มาก พูดก็ไม่ได้ คิดอะไรฉลาดๆ​ ก็ไม่ได้​ เป็นมนุษย์มีสมองมีปัญญา เราจะใช้ปัญญาของมนุษย์ทำให้ตัวเองไม่ต้องมาเป็นสัตว์อีก"
#เปรต ตอบว่า
"เราไม่อยากมีหน้าตาน่าเกลียด ไม่อยากมีปากเท่ารูเข็ม มีรูปร่างสูงเหมือนต้นตาล​ ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ เราจะถือศีล จะได้ไม่ต้องมาเป็นเปรตผู้หิวโหย อดๆ อยากๆ ทนทุกข์ทรมานแบบนี้"
#สัตว์นรกในอเวจี ตอบว่า
"ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ เราจะทำความดี จะไม่ผิด​ศีล​ 5 อีก จะปฏิบัติธรรม เพราะนรกมันร้อนมันโหดร้าย อยู่แล้วมีแต่ความเจ็บปวด ทุรนทุราย ถ้าข้ามีโอกาสอีกครั้ง เราจะไม่ทำเลว เราไม่อยากทรมาน ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นสัตว์นรกอีก"
แต่... เมื่อถามคำถามเดียวกัน
มนุษย์ตอบว่า "อยากสมหวังรัก,​ อยากรวย,​ อยากมีตำแหน่งสูง,​ อยากมีอำนาจ แม้ต้องผิดศีล ทำร้ายใครก้อจะทำ"
อนิจจาใครหนอ... น่าสงสารที่สุด!
มนุษย์ผู้ที่อยากแต่ทรัพย์สมบัติภายนอกที่ยึดถือได้ชั่วคราว​ ทั้งที่มีโอกาสจะทำบุญกุศลมากกว่าเพื่อน ทำให้มีอริยทรัพย์คือ
ทรัพย์อันประเสริฐเป็นของติดตัวไปทุกภพภูมิ อยู่ภายในใจ มี ๗ สิ่งคือ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ ปัญญา
- ฟังอีกครั้งจะรู้ว่ามันดีมากๆ
#ถ้าหากญาติธรรมเห็นว่ามีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์
#ร่วมแชร์เผยแพร่ธรรมทานร่วมกันนะคับ

#ตัมพทาฐิกโจรมีอาชีพฆ่าคนเป็นพระโสดาบันได้(๑/๒)


  ✴️ เรื่องนี้มีมาในพระธรรมบท ท่านเรียกชื่อตามภาษาบาลีว่า #ตัมพทาฐิกโจร แปลว่า #โจรเคราแดง โจรเคราแดงคนนี้ปกติเป็นโจร ในที่สุดของความเป็นโจร คณะของเธอทั้ง ๕๐๐ คน ถูกเจ้าหน้าที่จับเป็นเอาไปทั้งหมด ในที่สุดเธก็ถูกตัดสินประหารชีวิตทั้งหมด 

  ✴️ เมื่อถึงเวลาประหารชีวิตเพชฌฆาตไม่กล้าฆ่า เพราะกำลังใจไม่เข้มแข็งพอที่จะฟันคอคนคราวเดียว ๕๐๐ คน เจ้าหน้าที่ผู้เป็นผู้บังคับบัญชาจึงถามหัวหน้าโจรว่า

"ท่านจะฆ่าลูกน้องทั้ง ๕๐๐ คนได้ไหม ถ้าฆ่าได้จะเว้นไม่ฆ่าเธอ และจะให้เป็นเพชฌฆาต"

หัวหน้าโจรไม่ยอมรับ เขาจึงประกาศว่า "ถ้าโจรคนใดในขณะนี้สามารถฆ่าพวกกันเองได้เขาจะให้ชีวิต และจะให้รับราชการเป็นเพชฌฆาต"

✴️ เขาถามมาตั้งแต่ต้นไม่มีใครรับ พอมาถึงคนสุดท้ายคือโจรเคราแดง เธอรับว่าสามารถฆ่าได้ เขาก็ให้เธอฆ่า เธอก็ฟันคอขาดทั้งหมด ในที่สุดเขาก็ให้เป็นเพชฌฆาตแทนคนเดิม หลังจากนั้นเธอก็มีอาชีพฆ่าคนเป็นปกติ จนกว่าจะแก่ ฟันคอคนทีเดียวไม่ขาด ทางราชการเห็นว่าเป็นการทรมานคนที่ถูกฆ่า จึงให้เกษียณอายุ

 ✴️  รวมคนที่เธอฆ่า ตามบาลีท่านกล่าวว่า #เธอฆ่ามาแล้วเกินหมื่นคน คนนี้ฆ่ามากกว่าองคุลีมารมาก เมื่อเกษียณอายุทางราชการให้บำเหน็จเธอมาก มีฐานะเท่าคหบดี ตอนนี้มีความสุข

  ✴️ วันหนึ่งเธอคิดอยากจะแต่งตัวสวย ๆเพราะเป็นเพชฌฆาตแต่งตัวสวยไม่ได้ เพราะจะต้องเปื้อนเลือดของผู้ที่ถูกฟันคอทุกวัน เธอคิดว่าในชีวิตของเราไม่เคยมีทรัพย์มากอย่างนี้ การแต่งกายก็ไม่เคยแต่งสวย ๆ เหมือนชาวบ้านเขา อยู่ในป่าก็ไม่มีอะไรจะแต่ง อยู่บ้านเป็นเพชฌฆาตก็แต่งไม่ได้ เพราะเครื่องแต่งกายเปื้อนเลือด ตอนนี้ปลดแล้วขอแต่งตัวสวยและกินข้าวมธุปายาส สักครั้งหนึ่งเถอะ 

  ✴️ จึงให้ลูกสาวไปซื้อผ้าสาฎกมา ๒ ผืน เมื่อลูกสาวซื้อมาแล้ว ก็นุ่งผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง แต่งกายเสร็จแล้วก็รู้สึกครื้มใจที่แต่งกายสวย เลยนึกอยากกินข้าวมธุปายาส ให้ลูก สาวไปซื้ออุปกรณ์การทำข้าวมธุปายาสมา เมื่อเธอซื้อมาแล้วและทำเสร็จก็ปูผ้ารองนั่งให้พ่อนั่ง แล้วเอาชามอย่างสวยใส่ข้าวมธุปายาสมาให้พ่อ ท่านพ่อเห็นข้าวมธุปายาสเข้าก็น้ำลายไหลปรี่ออกมาถึงริมฝีปาก เพราะอยากกินมานาน

⚜️ #พระสารีบุตรมาสงเคราะห์⚜️

  ✴️ กำลังที่เธอจะเปิบข้าวเข้าปาก นัยน์ตาได้ชำเลืองไปที่ประตูบ้าน เห็นพระองค์หนึ่งมายืนที่ประตูบ้าน ตอนนี้กุศลเดิมเข้าครองใจขณะที่เกิดมาตั้งแต่เด็กถึงแก่ก่อนเกษียณอายุ อกุศลที่ทำไว้ในชาติก่อนครองใจตลอดมา เมื่อเกษียณแล้วอกุศลก็ถอยห่างออกไปที่เกาะใจอยู่บ้างก็มีกำลังต่ำ

 ✴️  #พอแลเห็นพระสารีบุตร #กำลังใจที่เลื่อมใส #กุศลใหม่เข้าครองจิต #กุศลเก่าที่อยู่ใกล้ชิดคอยสงเคราะห์อยู่แล้วก็เข้าร่วมกับกุศลใหม่ทันที #ตอนนี้อกุศลที่มีกำลังอ่อน ทนไม่ไหวก็สลายตัวไป เหลือแต่กุศลเดิมกับกุศลใหม่ครองจิต#อารมณ์ที่เธอคิดก็มีแต่เรื่องบุญกุศล

 ✴️ ขอท่านสาธุชนพึงเข้าใจเรื่องบุญและบาปเก่าไว้ด้วยจะได้ช่วยให้กำลังใจมีความสุข บุญบารมีที่เรียกว่ากุศลของเธอในชาติก่อน ๆ เธอก็ทำไว้ไม่น้อย เข้าขั้นขนาดเกิดมาชาตินี้บำเพ็ญบารมี คือมีอารมณ์เป็นกุศลเล็กน้อย บารมีก็เต็มสามารถเป็นพระอริยเจ้าได้ ขอเล่าเรื่องต่อไป

✴️ #ฟังเทศน์จบเป็นพระโสดาบัน

เมื่อเธอเห็นพระสารีบุตรเข้า เธอก็เกิดศรัทธา คิดในใจว่า เราตั้งแต่เกิดมาไม่เคยสร้างความดีเลย เป็นเด็กก็ไม่เคยทำบุญพอเป็นหนุ่มก็เป็นโจรปล้นฆ่าชาวบ้าน พ้นจากความเป็นโจรก็เป็นเพชฌฆาต เราเลวมาก วันนี้พระท่านมาโปรดแล้ว #ข้าวนี่ถึงแม้ว่าเราจะอยากกินมาสักกี่ปีก็ตาม #วันนี้ขอไม่กินละ #วันหลังหากินใหม่ก็ได้ #วันนี้ขอทำบุญทั้งหมด

  ✴️ อารมณ์อย่างนี้ท่านเรียกว่า #ทำบุญสละชีวิต เพราะการที่ยอมอด หมายถึงการยอมตาย แม้จะมีปัจจัยให้เห็นว่าถึงแม้จะอดก็ไม่ตาย แต่ทางกุศลถือว่าทำบุญสละชีวิตอย่างนี้ตายไปแล้ว ถ้าไม่มีบุญอื่นมากกว่านี้ เขาก็สามารถเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ทันที เพราะมีบารมีพอแก่ชั้นดาวดึงส์ เธอจึงนิมนต์พระสารีบุตรเข้ามาในบ้านแล้วนิมนต์ท่านนั่งท่านนั่งในที่ตนนั่ง ตัวเองนั่งกับพื้น

 ⚜️  #พิธีกรรมถวายอาหาร ไม่รุ่มร่ามเหมือนทายกสมัยนี้ซึ่งมีพิธีมาก พูดหรือนำถวายเสียจนเบื่อ รายนี้เมื่อพระสารีบุตรนั่งแล้วก็ประเคนอาหารทันที พระสารีบุตร ก็แน่ไม่น้อย เมื่อเขาประเคนเข้ามา ท่านก็เริ่มฉันทันที อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าเป็นจริยาตะกละ เป็นการเจริญศรัทธา หรือสนับ สนุนกำลังใจที่ท่านเจ้าภาพเต็มใจถวาย พระก็เต็มใจรับ กำลังใจของผู้ถวายก็ชุ่มชื่น ดีใจที่พระเต็มใจฉันของของเรา แต่ทว่าท่านพระสารีบุตรท่านมาเพื่อสงเคราะห์ ไม่ใช่มาเพราะอดอยาก เพราะพระอย่างพระสารีบุตรเรื่องอาหารไม่น่าจะมีอะไรน่าวิตกว่าไม่มีจะฉัน สิ่งที่น่าวิตกก็คือจะทำ
อย่างไรจึงจะฉันอาหารที่ญาติโยมนำมาถวายได้ทั่วถึงแม้แต่เพียงเจ้าของละ ๑ คำก็ยังดี ฉะนั้นเรื่องที่ท่านมาเพราะอยากฉันอาหารชั้นดี หรือมาเพราะอดอยาก จึงเลิกคิดได้

ที่มา
🖋️📚หนังสือหนีนรก หน้า ๗๖-๘๐
⚜️พระราชพรหมยานเถระ⚜️
🙏หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง🙏

🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน

25 กันยายน 2564

ความสุขทางโลก ไม่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นความสุขที่ผสมด้วยความทุกข์ ๕๐: ๕๐

“ถ้าจะมาทางนี้มันต้องปฏิบัติอย่างจริงจัง”
ความสุขทางโลก ความสุขทางลาภยศสรรเสริญ ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายนี้ เป็นความสุขไม่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นความสุขที่ผสมด้วยความทุกข์ ๕๐: ๕๐ ดังนั้น ถ้าเราไม่ได้มาฟังเทศน์ฟังธรรม เราก็ยังจะต้องอยู่กับความทุกข์ไปเรื่อยๆ เพราะเราก็ยังจะต้องไปหาความสุขจากลาภยศสรรเสริญ หาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่อไป ถึงแม้ว่าจะได้ยินได้ฟังแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าหาความสุขที่แท้จริงได้ เพราะความสุขที่แท้จริงนี่ มันก็เป็นสิ่งที่ยากต่อการเข้าถึง

ดังนั้น บางทีมาฟังเทศน์ฟังธรรมแล้ว ถึงแม้รู้ว่าความสุขที่ได้จากลาภยศสรรเสริญ ที่ได้จากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ จะมีความทุกข์ตามมา ก็ยอมรับว่า อย่างน้อยตอนนี้เอาสุขก่อน ส่วนมันจะทุกข์มาทีหลังค่อยว่ากัน เพราะว่าอยู่โดยที่ไม่มีความสุขนี้มันอยู่ไม่ได้ อยู่โดยที่ไม่ได้เสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนี้ มันจะทำให้เกิดความซึมเศร้า เกิดความว้าเหว่ เกิดความเศร้าสร้อยหงอยเหงา เกิดความหงุดหงิด เกิดความรำคาญใจต่างๆ ขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าเป็นความสุขที่จะเป็นความทุกข์ต่อไป
         
แต่อย่างน้อยตอนนี้มีความสามารถ ที่จะหาส่วนที่เป็นสุขได้ ก็หาไปก่อน ส่วนเวลาที่จะไปเจอความทุกข์ ก็ขอไปตายดาบหน้าก็แล้วกัน เพราะว่าจะเข้าหาความสุขที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ก็ไม่มีกำลัง ไม่มีความสามารถ เพราะว่ายังไม่ได้ฝึกฝนอบรมจิตใจให้มีกำลัง ที่จะเข้าหาความสุขที่แท้จริงได้ แต่สำหรับคนบางคน อาจจะมีบุญเก่า อาจจะมีความสามารถที่จะทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนได้ สามารถรักษาศีลได้ สามารถไปอยู่วัดได้ สามารถไปบวชได้
        
คนพวกนี้ก็สามารถที่จะเข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้ แต่อย่างน้อยก่อนที่จะเข้าถึงได้ ก็ต้องได้ศึกษา ได้เรียนรู้ก่อน เมื่อเรียนรู้แล้ว ทีนี้ก็จะได้เลือกทางเอา ว่าจะเอาทางไหน จะเอาทางของทางลาภยศสรรเสริญ ทางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ หรือจะเอาทางของ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าพิจารณาโดยรอบคอบแล้วจะเห็นว่า ถ้าเลือกเอาลาภยศสรรเสริญ เอาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องเจอความทุกข์ หนีไม่พ้น จะต้องเจออย่างแน่ๆ เพียงแต่ว่าไม่รู้จะเจอตอนไหน เท่านั้นเอง
        
แต่ถ้าเลือกทางแห่ง ศีล สมาธิ ปัญญา ก็จะเจอแต่ความสุขไปตามลำดับ ตามกำลังของการปฏิบัติ แต่จะต้องใช้ความอดทน ใช้ความขยัน จะต้องใช้กำลังต่อสู้ ที่จะดึงจิตใจให้ออกจากการไปหาลาภยศสรรเสริญ ไปหารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ เพราะว่าใจมันติดอยู่กับลาภยศสรรเสริญ สุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย เหมือนกับคนที่ติดยาเสพติด เหมือนคนที่ติดบุหรี่ ติดสุรา ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็จะเลิกได้ ต้องใช้ความพยายาม ต้องใช้ความอดทน ถึงจะเลิกได้ ถึงจะได้ไปหาความสุขทาง ศีล สมาธิ ปัญญาได้ เช่น ศีล ๘ นี่ ถือกันไม่ค่อยได้กัน ก็เพราะว่าศีล ๘ จะห้ามไม่ให้เราหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย
        
มันก็เลยทำให้เราไม่อยากจะรักษาศีล ๘ กัน ศีล ๕ นี่ก็ยากพอสมควรแล้ว แต่พอให้รักษาศีล ๘ นี่ มันยิ่งยากใหญ่ เพราะว่ามันเหมือนกับตัดการหาความสุขที่เราเคยหากัน เคยหาความสุขจากการดูการฟัง จากการดื่มการรับประทาน พอให้ตัดไม่ให้หา มันก็เลยไม่รู้จะทำยังไง มันไม่มีความสุข แต่ถ้าคิดว่าต้องมาพยายามปฏิบัติ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติให้ได้ ถ้าเรามีความตั้งใจที่แน่วแน่ และมีความเพียรพยายาม มีความอดทน ในช่วงที่ต้องถือศีล ก็เพียรพยายามปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
        
ถ้าจะมาทางนี้ มันจะต้องปฏิบัติอย่างจริงจัง ปฏิบัติแบบเหมือนกับไปทำงานเลย เป็นอาชีพเลย ถ้าปฏิบัติแบบเป็นมือสมัครเล่นอย่างนี้ มันจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ ได้ก็ไม่มาก จะไม่ก้าวหน้า ถ้าอยากจะได้ผลแบบเต็ม ๑๐๐ อย่างนี้ จำเป็นที่จะต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับการปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างเต็มที่ อย่างที่นักบวชทั้งหลายเขาทำกัน เขาลาออกจากงาน เคยมีอาชีพอะไร เขาก็ไม่ทำแล้ว มาทำอาชีพของนักบวช นักบวชก็มีอาชีพ รักษาศีล แล้วก็มีอาชีพนั่งสมาธิ มีอาชีพเจริญปัญญา
        
นี่คืออาชีพของนักบวช หน้าที่ของนักบวช ถ้าทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับการกระทำเหล่านี้ เดี๋ยวไม่ช้าก็เร็ว ความสงบก็จะปรากฏขึ้นมา ความสุข ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็จะปรากฏขึ้นมา ในช่วงแรกๆ ก็จะปรากฏขึ้นมาเป็นแวบๆ เป็นพักๆ แต่ถ้ามีการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง อย่างสม่ำเสมอ และมีการปฏิบัติถึงขั้นปัญญา ความสุข ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นี่ก็จะอยู่อย่างต่อเนื่อง อยู่คู่กับใจไปตลอด ให้ความสุขความสบายใจไปตลอด ไม่มีวันสิ้นสุด

ที่มา
สนทนาธรรมบนเขา 
วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑

#พระจุลนายก พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี

24 กันยายน 2564

โชคดีที่สุด...แล้ว...บนโลกและจักรวาลนี้...

โชคดีที่สุด...
ง่ายดายที่สุด...
ยอดเยี่ยมที่สุด...

ชีวิตฉันพบเจอแต่สิ่งดีๆ
ชีวิตฉันพบเจอแต่คนดีๆ
ชีวิตฉันพบเจอแต่เรื่องดีๆ
ชีวิตฉันพบเจอแต่โอกาศดีๆ

ชีวิตฉันพบเจอแต่เรื่องง่ายๆ
ชีวิตฉันพบเจอแต่ความสำเร็จ
ชีวิตฉันพบเจอแต่ความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์
ชีวิตฉันพบเจอแต่ความสุขสบายทุกทิศทาง
ชีวิตฉันพบเจอแต่ความมั่งคั่งร่ำรวยตลอดเวลา

ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ
ขอบคุณความโชคดี
ขอบคุณความสำเร็จ
ขอบคุณโอกาศที่งดงาม
ขอบคุณทุกการเกื้อกูล
ขอบความทุกการเติมเต็ม
ขอบคุณชีวิต
ขอบคุณทุกๆสรรพสิ่ง
ขอบคุณความรัก
ขอบคุณความดี
ขอบคุณความเมตตา
ขอบคุณครูบาอาจารย์
ขอบคุณคุรุจารย์
ขอบคุณจักรวาล
ขอบคุณโลก
ขอบคุณตัวฉันเอง
ขอบคุณลมหายใจบริสุทธิ์
ขอบคุณร่างกายที่ยอดเยี่ยม
ขอบคุณธรรมชาติอันอุดม
ขอบคุณสายน้ำแห่งการหล่อเลี้ยง
ขอบคุณความปราถนาที่งดงาม
ขอบคุณหัวใจที่มุ่งมั่น
ขอบคุณคนทุกคนที่เข้ามาในชีวิต
ขอบคุณ ๆ ๆ

ฉันคือจิตวิญญาณบริสุทธิ์
ฉันคือแสงสว่างแห่งโลกและจักรวาล
ฉันคือความอุดมสมบูรณ์พูนสุข
ฉันคืออภิมหาเศรษฐีผู้มีใจเอื้อเฟื้อแบ่งปัน
ฉันคือคนสำคัญของโลก
ฉันคือตำนานแห่งจิตวิวัฒน์
ฉันคือความสำเร็จ ๆ ๆ

#มนุษย์ต่างดาว

🤵ผู้ถาม : ผมเชื่อว่า นรก สวรรค์ มีจริง ทีนี้อยากทราบว่าโลกอื่นเขามีนรก สวรรค์อย่างโลกเราไหมครับ ?

⚜️หลวงพ่อ : มีเยอะเลยคุณ

🤵ผู้ถาม : แล้วเราไปติดต่อได้ไหมครับ ?

⚜️หลวงพ่อ : ไปติดต่อไม่ได้ แต่ไปเที่ยวได้

🤵ผู้ถาม : อย่างกับมนุษย์ต่างดาวหรือครับ ?

⚜️หลวงพ่อ : ใช่..#แต่ฉันไม่เรียกว่ามนุษย์ต่างดาว  #ฉันเรียกว่ามนุษย์ต่างโลก

🤵ผู้ถาม : แล้วมีการติดต่อกันอย่างไรครับ ?

⚜️หลวงพ่อ : ไม่ได้ติดต่อ  ไปเที่ยว  ติดต่อกันแล้วพูดกันไม่รู้เรื่อง ฉันไม่รู้ภาษาเขานี่  ฉันเคยไป 

✴️ #อย่างกับดาวพระศุกร์นี่มีสิ่งมีชีวิตแล้วก็ดาวกุรุ  #ไอ้ดาวกุรุนี่คุณมองไม่เห็น #โลกกุรุมีความศิวิไลซ์กว่าเรามาก  #มีความสวยสดกว่า #มีความสุขยิ่งกว่า

✴️ ส่วน #สูตู กับ #จามร นี่  #เขาก็มีความเจริญทางวิทยาศาสตร์ดีกว่าโลกเราเยอะ  อยู่ทางทิศตะวันตกโลกหนึ่ง ตะวันออกโลกหนึ่ง #จานบินของเขามีเกลื่อนเลยคุณ #จะบินมาโลกเราได้ใช้เวลา10ชั่วโมง โลกตะวันออกจะมาได้ประมาณ 17 ชั่วโมง 

✴️ ถ้าเราไปเที่ยวสวรรค์ได้ นรกได้ โลกนี้ก็ไปเที่ยวได้ อยู่ใกล้นิดเดียวนี่คุณ #ดาวดึงส์นี่มันไกลกว่ากันหลายแสนเท่า #แค่ชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้นเอง #อยากไปไหม ?

🤵ผู้ถาม : อยากครับ หน้าตาพวกเขาเป็นยังไงครับ ?

⚜️หลวงพ่อ : หน้าก็เหมือนหน้า ตาก็เหมือนตา ตาเหมือนยายไม่ได้นะ ใช่ไหม ตากับยายรูปร่างเหมือนกันเมื่อไหร่ล่ะคุณ ถูกไหม?

✴️ #ฉันว่าเขาสวยนะคุณ #อย่างพวกกุรุนี่เขาสวยกว่าพวกเรานะ #คือว่าความเป็นคนเหมือนเราทุกอย่าง 

✴️ #ที่เขาวาดตามภาพการ์ตูนน่ะ 
#ไม่จริงหรอก #เขาดีเขาสวย

✴️ แต่ว่าทางด้านตะวันออกหน้าตาเหมือนแขก เฮี้ยนๆ ชอบกล ดุๆ แต่ว่าด้านตะวันตกหน้าตาเขาดีมาก 
✴️ #โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวกุรุนี่เป็นคนน่ารักมากเขามีจิตใจดี #มีความสุขกว่าเรามากนะ

ที่มา
🖋️📚ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 204 มีนาคม 2541 หน้า 88-89
⚜️พระราชพรหมยานเถระ⚜️
🙏หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง🙏

🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน

วิชาเดินธาตุจากคัมภีร์เดินธาตุ

🔸วิชาเดินธาตุจากคัมภีร์เดินธาตุอันลี้ลับแห่งสมัยอดีตกาล 
เริ่มตั้งแต่...การบูชาพระ    คำนมัสการพระรัตนตรัย   คำนมัสการพระพุทธเจ้า   คำขอขมาพระรัตนตรัย  คำพรรณาพระบรมธาตุ  บทไตรสรณคมน์  อาราธนา ศีล 5   คำนมัสการพระพุทธคุณ   พระธรรมคุณ  พระสังฆคุณ  บทบูชาบิดามารดาและครูบาอาจารย์   บทชุมนุมเทวดา   ธรรมจักรกัปวัตนสูตร   ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก  ชินบัญชร  พาหุงมหากา   บารมี 30 ทัศ  อุณหิสวิชัยคาถา   แผ่เมตตาให้ตนเองและสรรพสัตว์  
                     วิชาเดินธาตุ  ซึ่งมีทั้งวิชาเดินธาตุแบบขั้นต้น แบบขั้นกลางและแบบขั้นสูง ซึ่งมีความยากง่ายแตกต่างกันไป...เมื่อฝึกวิชาเดินธาตุแล้วจะออกจากวิชาเดินธาตุเพื่อผ่อนคลายพลัง  เพราะวิชาเดินธาตุนั้นเป็นวิชาที่มีพลังมหาศาล  เมื่อฝึกไปได้ถึงระดับหนึ่งแล้วจะรู้สึกว่าเหมือนมีกระแสไฟฟ้าสถิตทั่วร่าง  ดังนั้นจึงต้องมีการนั่งสมาธิแบบธรรมดาทั่วไป คือ ท่องพุทโธ หรือ ยุบหนอพองหนอ  เพื่อผ่อนคลายพลังอันมหาศาลในกายและใจของผู้ฝึก  จากนั้นจึงท่องบทอัญเชิญเทวดากลับ  

                 วิชาเดินธาตุแบบฉุกเฉิน ใช้ในยามคับขัน เมื่อนึกอะไรไม่ออกให้ให้ท่อง  นะโมพุทธายะ  จิเจรูนิ  
                 วิชาเดินธาตุขั้นต้นนั้นจะใช้   หัวใจของธาตุทั้ง  ๔  ไฟ  ดิน  ลม  น้ำ บังเกิดสรรพสิ่งในจักรวาล
                 ธาตุทั้ง4 ไฟ ดิน ลม น้ำ  ตามหลักแล้วธาตุที่อยู่ตรงข้ามกันจะเกื้อหนุนกัน เช่น ดินกับน้ำ ไฟกับลม   นะ โม พุท ธา ยะ  นี้เปรียบเสมือนธาตุใหญ่ เป็นรากเหง้าของธาตุทั้ง4 
  นะ คือ พระกุกกุสันโธ คือ ธาตุน้ำ หล่อเลี้ยงร่างกายและดวงจิต กำลังธาตุ 12
  โม คือ พระโกนาคม คือ ธาตุดิน ให้กำลังวังชา กำลังธาตุ 21
  พุท คือ พระกัสสป คือ ธาตุไฟ ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย กำลัง ธาตุ 6
  ธา คือ พระสมณโคดม คือ ธาตุลม หล่อเลี้ยงชีวิต ดูดพลังปราณมาหล่อเลี้ยงดวงจิต กำลังธาตุ 7
  ยะ คือ พระศรีอริยเมตตรัย คือ อากาศธาตุ เป็นที่ตั้งของวิญญาณ กำลังธาตุ 10 

               เมื่อรวมกำลังธาตุ นะโมพุทธายะ จะได้ 56 คือกำลังพุทธคุณ ส่งผลให้เกิดกำลังธรรมคุณ 38 และกำลังสังฆคุณ 14 รวมกำลัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณได้ 108 เชื่อว่าหากกระทำการใดเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เช่น ปลุกเสกลงเลขยันต์ให้ครบ 108 ครั้งจะมีความศักดิ์สิทธิ์มากได้ผลตามใจปรารถนา 

เมื่อถอดจากพระเจ้า 5 พระองค์ นะโมพุทธายะ จึงบังเกิดเป็นธาตุทั้ง 4 คือ
นะ(ธาตุน้ำ) 
มะ (ธาตุดิน) 
พะ(ธาตุไฟ)
 ธะ (ธาตุลม) 
 นะ มะ พะ ธะ ธาตุทั้ง4นี้ เป็นธาตุหล่อเลี้ยงร่างกาย สังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นตัวธาตุ ที่ถอดจากแม่ธาตุใหญ่ คือ นะ โม พุท ธา ยะ 

ถอดลงไปอีกบังเกิด ธาตุพระกรณี(ธาตุพี่เลี้ยง)คือ 
จะ(ธาตุน้ำ) 
ภะ(ธาตุดิน) 
กะ(ธาตุไฟ) 
สะ(ธาตุลม)
จะ ภะ กะ สะ  คือธาตุพี่เลี้ยงให้กับ  นะ มะ พะ ธะ ที่ท่านจัดเป็นกองธาตุทั้ง4กอง คือเมื่อจะตั้งธาตุทั้ง4กองนี้ ต้องมีธาตุพระพุทธเจ้าคือธาตุพระกรณีตั้ง กำกับลงไปด้วย คือ จะ ภะ กะ สะ เพื่อเป็นพี่เลี้ยงคุมธาตุลงไปอีกทีหนึ่ง 

เมื่อตั้งธาตุได้บริบูรณ์แล้ว จากนั้นก็มีการหนุนธาตุ การหนุนธาตุนั้นท่านให้หนุนด้วยแก้ว4ดวง คือ นะ มะ อะ อุ  
นะ คือแก้วมณีโชติ (ธาตุน้ำ)
มะ คือแก้วไพฑูรย์ (ธาตุดิน)
อะ คือแก้ววิเชียร (ธาตุไฟ)
อุ คือแก้วปัทมราช (ธาตุลม)

                เมื่อรวมพระเจ้า 5 พระองค์ ธาตุทั้ง 4 ธาตุพระกรณีและดวงแก้วทั้ง 4 เข้าด้วยกันจึงจะสมบูรณ์ครบถ้วน ทำให้เกิดเป็นอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ตามหลักวิชาแปรโลกธาตุ คือการปลุกเสกของกายสิทธิ์ให้มีอิทธิฤทธิ์เทียบเท่ากับเหล็กไหลชั้น 1 คือมีสีเปลี่ยนไปจากเดิมจนกลายเป็นสีเขียวปีกแมลงทับ หรือยืดหดกินน้ำผึ้งได้เองเมื่อใช้คาถากำกับหรือใช้อำนาจกำลังของตบะฌานประจุลงไป ณ ธาตุนั้น ๆ

                หลักการใช้ธาตุอย่างกว้าง ๆ คือ ธาตุน้ำเด่นทางเสน่ห์และเมตตา ธาตุดินเด่นทางอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ คงกระพันชาตรี ธาตุไฟใช้ทำลายสิ่งชั่วร้ายและหลอมรวมวัตถุ ธาตุลมใช้ทางล่องหนหายตัว สะกด เมื่อได้ในพื้นฐานแล้วยังต้องรู้จัก การเดินธาตุ หนุนธาตุ อัดธาตุ ซ้อนธาตุ แยกธาตุ สลับธาตุ ย้อนธาตุและพลิกแพลงธาตุต่าง ๆ ซึ่งยังแบ่งแยกออกตามระดับความยากง่ายอีกด้วย คล้ายกับการเรียนหนังสือ เริ่มจากชั้นประถม มัธยม ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เพราะถ้าขั้นประถมก็อาจใช้พระคาถาว่า นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะมะมะนะ นะอะอะนะ นะอุอุนะ

วิชาเดินธาตุขั้นกลาง 
ปฐวีธาตุ หรือ ธาตุดิน 
มะ กะ ทะ นะ พะ กะ สะ จะ
มิ ตะ ติ อุ อะ มะ นะ
จิ ตะ ติ จะ พะ กะ สะ
มุ ตะ ติ มะ นะ อะ อุ
อาโปธาตุ หัรือ ธาตุน้ำ
นะ มะ ทะ จะภะ กะ สะ
ริ ตะ ติ นะ อะ อิ อุ
ริ ตะ ติ สะ มะ นิ ทุ
ริ ตะ ตะ วิ กะ วิ ตะ ติ
วาโยธาตุ หรือ ธาตุลม
พะ ทะ นะ มะ พะ สะ จะ พะ
ริ ตะ ติ ทะ พะ มะ นะ
มิ ตะ ติ อุ อะ มะ นะ
วิ ตะ ติ พะ สะ กะ สะ
เตโชธาตุ หรือ ธาตุไฟ
ทะ นะ มะ พะ สะ จะ พะ วะ
มิ ตะ ติ พะ จะ สะ กะ
มุ ตะ ติ นะ มะ อะ อุ
จุ ตะ ติ กะ ระ มะ กะ

นอกจากคาถาธาตุตัวเต็มนี้แล้ว สามารถถอดเอาไปใช้เฉพาะเรื่อง
ทำให้ร่างกายให้โตว่า
มะ นะ อุ อะ นะ มะ อะ อุ
ทำให้มีข้าวของเครื่องใช้มากว่า
อะ อุ มะ นะ นะ มะ อุ อุ
ทำให้วิ่งเดินเร็วว่า
อุ อะ มะ นะ นะ มะ อะ อุ
ทำให้หายตัวไม่มีใครเห็น
อะ อุ นะ มะ มะ นะ อะ อุ
ทำให้ฝนตก
นะ มะ อะ อุ มะ นะ อุ อะ 

การปลุกเสกวัตถุมงคลด้วยวิชาเดินธาตุ
วัตถุมลคลประจำตัวเรา เช่น พระเครื่อง ตะกรุด ผ้ายันต์ต่างๆเหล่านี้ เมื่อกระทำการอาราธนาเสร็จแล้ว ก็ควรจะปลุกเสกด้วยวิชาแม่ธาตุเพื่อเพิ่มพลังจิตในด้านนั้นๆยิ่งขึ้น
การปลุกเสกนั้นมี 2 ประเภทคือ 
1.ปลุกเสกโดย เกจิอาจารย์ในการลงพลังจิตแก่วัตถุมลคล
2.การปลุกเสกโดยเจ้าของวัตถุมงคล อาราธนาก่อนจะติดตัวไปป้องกันภัยอันตราย คือ ปลุกให้ท่านตื่นก่อนที่จะ คล้องคอนั่นเอง 

วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง เสน่ห์
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ 
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
นะ จะ นะ จะ
เพิ่มเสน่ห์ในตัวให้คนรักใคร่ เจรจาการงาน จะได้ผลเพราะมีเมตตา

วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง ทำให้ภูตผีเกรงกลัวและสะเดาะเคราะห์
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ 
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
มะ ภะ มะ ภะ
นำติดตัวไป ทำให้ภูติผีไม่กล้ารบกวน แม้จะทำการสิ่งใดจะได้ผล

วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง อยู่ยงคงกระพันชาตรี 
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ 
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
พะ กะ พะ กะ
ป้องกันอันตรายที่จะมาแผ้วพาน หากเกิดต่อสู้กันกับโจรผู้ร้าย ทำให้แคล้วคลาด เลือดไม่ตกยางไม่ออก

วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง การกำบัง สะกดจิต หรือ นะจังงัง
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ 
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
ธะ สะ ธะ สะ
ทำให้ศัตรูไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่กล้าทำร้าย เหมือนถูก นะจังงัง 

โลกเราและร่างกายเราก็ อาศัยธาตุทั้ง 4 นี้ หากบรรจุแม่ธาตุทั้ง 4 นี้ไปด้วย จะเกิดพลังในด้านต่างๆสมความปราถณา ข้อสำคัญอยู่ที่ตัวเรา ต้องเป็นคนดี มีความประพฤติดี มีสัจจะวาจา ไม่มุ่งร้ายหมายชีวิตผู้อื่น ไม่มีความโลภ ไม่ใช้วิชาไปในทางมิชอบ ไม่ด่าบิดามารดาของผู้อื่นและของตนเอง...
วิชา หัวใจธาตุทั้ง 4
หัวใจดิน  ปะถะวิยัง
หัวใจน้ำ อาปานุติ
หัวใจลม วายุละภะ
หัวใจไฟ  เตชะสติ

#อัจฉริยมนุษย์

✴️ คนส่วนมากนี่มักจะถามว่า #ทำไมพระพุทธเจ้านี่เวลาประสูติแล้วก็เดินได้เลย มันจะเหลือเกินไปแล้วครับ?

✴️ ไม่เหลือ..ยังน้อยไปนะ ทำโดยย่อ ๆ นะนั่น (หัวเราะ) เกรงใจชาวบ้าน ไม่งั้นเดินทั่วโลกเลยนะ ถ้าเวลาฉันเป็นพระพุทธเจ้าคอยดูนะฉันจะเดินรอบโลกเลย คอยดูเหอะ ฉันไม่ได้เป็นหรอก (หัวเราะ) ใครเขาจะไปนั่งจ้องดูอยู่นะ แต่ฉันก็ไม่มีโอกาสจะได้เป็นนะ

✴️ #แต่อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้านี่เป็นอัจฉริยมนุษย์ใช่ไหม #พระพุทธเจ้านี่ท่านเกิดมาแล้วก็พูดได้ทันที ขณะที่คลอดออกมาจากท้องแม่นี่มี 3 ชาติ ชาติหลัง ชาติที่เป็นพระเวสสันดร แล้วก็มีอีกชาติหนึ่งฉันก็จำไม่ได้แล้ว

✴️ คำว่า "อัจฉริยมนุษย์" #ถ้าไม่งั้นจะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร #ถ้าเหมือนกับเรา ถ้าเหมือนมีความสามารถเท่าเรา เราก็เป็นพระพุทธเจ้าได้หมดโดยไม่ต้องมีสาวกกันหรอกใช่ไหม 

✴️ คำว่า "#อัจฉริยะ" นี่แปลว่า #มหัศจรรย์ #ก็ต้องบำเพ็ญบารมีมาเต็ม4อสงไขยกับแสนกัป ทีนี้ไอ้ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ต้องแตกต่างกันเป็นธรรมดา #การบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณก็ต้องอาศัยการบรรลุด้วยตนเอง #ไม่ได้มีครูสอนใช่ไหม

✴️ ไอ้เราวิชาความรู้ที่ครูเขาสอนเรารู้หมด พระพุทธเจ้านี่รู้ไม่หมด ไม่จริงลองถามอะไรก็ดีตอบได้เรื่อย ๆ ของเราถามคำสองคำแล้วเรารู้หมดนี่ (หัวเราะ) เนอะ...#ถามอะไรถามไปถามมาไม่มีอะไรจะตอบก็แสดงว่าหมดใช่ไหม #อย่างนี้เขาเรียกรู้หมด 

✴️ #พระพุทธเจ้ารู้ไม่หมด #ใครจะถามอะไรก็ตอบได้ทุกอย่าง แสดงว่าท่านรู้ไม่หมดนี่ถึงบอกแพ้เราตรงนี้ แพ้ที่เรารู้หมดท่านรู้ไม่หมด (หัวเราะ)ใช่ไหม

ที่มา
🖋️📚หนังสือธัมมวิโมกข์ (2547),285,55-56
⚜️พระราชพรหมยานเถระ⚜️
🙏หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง🙏

🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน

วิชาเดินธาตุจากคัมภีร์เดินธาตุ

🔸วิชาเดินธาตุจากคัมภีร์เดินธาตุอันลี้ลับแห่งสมัยอดีตกาล 
เริ่มตั้งแต่...การบูชาพระ    คำนมัสการพระรัตนตรัย   คำนมัสการพระพุทธเจ้า   คำขอขมาพระรัตนตรัย  คำพรรณาพระบรมธาตุ  บทไตรสรณคมน์  อาราธนา ศีล 5   คำนมัสการพระพุทธคุณ   พระธรรมคุณ  พระสังฆคุณ  บทบูชาบิดามารดาและครูบาอาจารย์   บทชุมนุมเทวดา   ธรรมจักรกัปวัตนสูตร   ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก  ชินบัญชร  พาหุงมหากา   บารมี 30 ทัศ  อุณหิสวิชัยคาถา   แผ่เมตตาให้ตนเองและสรรพสัตว์  
                     วิชาเดินธาตุ  ซึ่งมีทั้งวิชาเดินธาตุแบบขั้นต้น แบบขั้นกลางและแบบขั้นสูง ซึ่งมีความยากง่ายแตกต่างกันไป...เมื่อฝึกวิชาเดินธาตุแล้วจะออกจากวิชาเดินธาตุเพื่อผ่อนคลายพลัง  เพราะวิชาเดินธาตุนั้นเป็นวิชาที่มีพลังมหาศาล  เมื่อฝึกไปได้ถึงระดับหนึ่งแล้วจะรู้สึกว่าเหมือนมีกระแสไฟฟ้าสถิตทั่วร่าง  ดังนั้นจึงต้องมีการนั่งสมาธิแบบธรรมดาทั่วไป คือ ท่องพุทโธ หรือ ยุบหนอพองหนอ  เพื่อผ่อนคลายพลังอันมหาศาลในกายและใจของผู้ฝึก  จากนั้นจึงท่องบทอัญเชิญเทวดากลับ  

                 วิชาเดินธาตุแบบฉุกเฉิน ใช้ในยามคับขัน เมื่อนึกอะไรไม่ออกให้ให้ท่อง  นะโมพุทธายะ  จิเจรูนิ  
                 วิชาเดินธาตุขั้นต้นนั้นจะใช้   หัวใจของธาตุทั้ง  ๔  ไฟ  ดิน  ลม  น้ำ บังเกิดสรรพสิ่งในจักรวาล
                 ธาตุทั้ง4 ไฟ ดิน ลม น้ำ  ตามหลักแล้วธาตุที่อยู่ตรงข้ามกันจะเกื้อหนุนกัน เช่น ดินกับน้ำ ไฟกับลม   นะ โม พุท ธา ยะ  นี้เปรียบเสมือนธาตุใหญ่ เป็นรากเหง้าของธาตุทั้ง4 
  นะ คือ พระกุกกุสันโธ คือ ธาตุน้ำ หล่อเลี้ยงร่างกายและดวงจิต กำลังธาตุ 12
  โม คือ พระโกนาคม คือ ธาตุดิน ให้กำลังวังชา กำลังธาตุ 21
  พุท คือ พระกัสสป คือ ธาตุไฟ ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย กำลัง ธาตุ 6
  ธา คือ พระสมณโคดม คือ ธาตุลม หล่อเลี้ยงชีวิต ดูดพลังปราณมาหล่อเลี้ยงดวงจิต กำลังธาตุ 7
  ยะ คือ พระศรีอริยเมตตรัย คือ อากาศธาตุ เป็นที่ตั้งของวิญญาณ กำลังธาตุ 10 

               เมื่อรวมกำลังธาตุ นะโมพุทธายะ จะได้ 56 คือกำลังพุทธคุณ ส่งผลให้เกิดกำลังธรรมคุณ 38 และกำลังสังฆคุณ 14 รวมกำลัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณได้ 108 เชื่อว่าหากกระทำการใดเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เช่น ปลุกเสกลงเลขยันต์ให้ครบ 108 ครั้งจะมีความศักดิ์สิทธิ์มากได้ผลตามใจปรารถนา 

เมื่อถอดจากพระเจ้า 5 พระองค์ นะโมพุทธายะ จึงบังเกิดเป็นธาตุทั้ง 4 คือ
นะ(ธาตุน้ำ) 
มะ (ธาตุดิน) 
พะ(ธาตุไฟ)
 ธะ (ธาตุลม) 
 นะ มะ พะ ธะ ธาตุทั้ง4นี้ เป็นธาตุหล่อเลี้ยงร่างกาย สังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นตัวธาตุ ที่ถอดจากแม่ธาตุใหญ่ คือ นะ โม พุท ธา ยะ 

ถอดลงไปอีกบังเกิด ธาตุพระกรณี(ธาตุพี่เลี้ยง)คือ 
จะ(ธาตุน้ำ) 
ภะ(ธาตุดิน) 
กะ(ธาตุไฟ) 
สะ(ธาตุลม)
จะ ภะ กะ สะ  คือธาตุพี่เลี้ยงให้กับ  นะ มะ พะ ธะ ที่ท่านจัดเป็นกองธาตุทั้ง4กอง คือเมื่อจะตั้งธาตุทั้ง4กองนี้ ต้องมีธาตุพระพุทธเจ้าคือธาตุพระกรณีตั้ง กำกับลงไปด้วย คือ จะ ภะ กะ สะ เพื่อเป็นพี่เลี้ยงคุมธาตุลงไปอีกทีหนึ่ง 

เมื่อตั้งธาตุได้บริบูรณ์แล้ว จากนั้นก็มีการหนุนธาตุ การหนุนธาตุนั้นท่านให้หนุนด้วยแก้ว4ดวง คือ นะ มะ อะ อุ  
นะ คือแก้วมณีโชติ (ธาตุน้ำ)
มะ คือแก้วไพฑูรย์ (ธาตุดิน)
อะ คือแก้ววิเชียร (ธาตุไฟ)
อุ คือแก้วปัทมราช (ธาตุลม)

                เมื่อรวมพระเจ้า 5 พระองค์ ธาตุทั้ง 4 ธาตุพระกรณีและดวงแก้วทั้ง 4 เข้าด้วยกันจึงจะสมบูรณ์ครบถ้วน ทำให้เกิดเป็นอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ตามหลักวิชาแปรโลกธาตุ คือการปลุกเสกของกายสิทธิ์ให้มีอิทธิฤทธิ์เทียบเท่ากับเหล็กไหลชั้น 1 คือมีสีเปลี่ยนไปจากเดิมจนกลายเป็นสีเขียวปีกแมลงทับ หรือยืดหดกินน้ำผึ้งได้เองเมื่อใช้คาถากำกับหรือใช้อำนาจกำลังของตบะฌานประจุลงไป ณ ธาตุนั้น ๆ

                หลักการใช้ธาตุอย่างกว้าง ๆ คือ ธาตุน้ำเด่นทางเสน่ห์และเมตตา ธาตุดินเด่นทางอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ คงกระพันชาตรี ธาตุไฟใช้ทำลายสิ่งชั่วร้ายและหลอมรวมวัตถุ ธาตุลมใช้ทางล่องหนหายตัว สะกด เมื่อได้ในพื้นฐานแล้วยังต้องรู้จัก การเดินธาตุ หนุนธาตุ อัดธาตุ ซ้อนธาตุ แยกธาตุ สลับธาตุ ย้อนธาตุและพลิกแพลงธาตุต่าง ๆ ซึ่งยังแบ่งแยกออกตามระดับความยากง่ายอีกด้วย คล้ายกับการเรียนหนังสือ เริ่มจากชั้นประถม มัธยม ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เพราะถ้าขั้นประถมก็อาจใช้พระคาถาว่า นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะมะมะนะ นะอะอะนะ นะอุอุนะ

วิชาเดินธาตุขั้นกลาง 
ปฐวีธาตุ หรือ ธาตุดิน 
มะ กะ ทะ นะ พะ กะ สะ จะ
มิ ตะ ติ อุ อะ มะ นะ
จิ ตะ ติ จะ พะ กะ สะ
มุ ตะ ติ มะ นะ อะ อุ
อาโปธาตุ หัรือ ธาตุน้ำ
นะ มะ ทะ จะภะ กะ สะ
ริ ตะ ติ นะ อะ อิ อุ
ริ ตะ ติ สะ มะ นิ ทุ
ริ ตะ ตะ วิ กะ วิ ตะ ติ
วาโยธาตุ หรือ ธาตุลม
พะ ทะ นะ มะ พะ สะ จะ พะ
ริ ตะ ติ ทะ พะ มะ นะ
มิ ตะ ติ อุ อะ มะ นะ
วิ ตะ ติ พะ สะ กะ สะ
เตโชธาตุ หรือ ธาตุไฟ
ทะ นะ มะ พะ สะ จะ พะ วะ
มิ ตะ ติ พะ จะ สะ กะ
มุ ตะ ติ นะ มะ อะ อุ
จุ ตะ ติ กะ ระ มะ กะ

นอกจากคาถาธาตุตัวเต็มนี้แล้ว สามารถถอดเอาไปใช้เฉพาะเรื่อง
ทำให้ร่างกายให้โตว่า
มะ นะ อุ อะ นะ มะ อะ อุ
ทำให้มีข้าวของเครื่องใช้มากว่า
อะ อุ มะ นะ นะ มะ อุ อุ
ทำให้วิ่งเดินเร็วว่า
อุ อะ มะ นะ นะ มะ อะ อุ
ทำให้หายตัวไม่มีใครเห็น
อะ อุ นะ มะ มะ นะ อะ อุ
ทำให้ฝนตก
นะ มะ อะ อุ มะ นะ อุ อะ 

การปลุกเสกวัตถุมงคลด้วยวิชาเดินธาตุ
วัตถุมลคลประจำตัวเรา เช่น พระเครื่อง ตะกรุด ผ้ายันต์ต่างๆเหล่านี้ เมื่อกระทำการอาราธนาเสร็จแล้ว ก็ควรจะปลุกเสกด้วยวิชาแม่ธาตุเพื่อเพิ่มพลังจิตในด้านนั้นๆยิ่งขึ้น
การปลุกเสกนั้นมี 2 ประเภทคือ 
1.ปลุกเสกโดย เกจิอาจารย์ในการลงพลังจิตแก่วัตถุมลคล
2.การปลุกเสกโดยเจ้าของวัตถุมงคล อาราธนาก่อนจะติดตัวไปป้องกันภัยอันตราย คือ ปลุกให้ท่านตื่นก่อนที่จะ คล้องคอนั่นเอง 

วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง เสน่ห์
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ 
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
นะ จะ นะ จะ
เพิ่มเสน่ห์ในตัวให้คนรักใคร่ เจรจาการงาน จะได้ผลเพราะมีเมตตา

วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง ทำให้ภูตผีเกรงกลัวและสะเดาะเคราะห์
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ 
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
มะ ภะ มะ ภะ
นำติดตัวไป ทำให้ภูติผีไม่กล้ารบกวน แม้จะทำการสิ่งใดจะได้ผล

วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง อยู่ยงคงกระพันชาตรี 
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ 
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
พะ กะ พะ กะ
ป้องกันอันตรายที่จะมาแผ้วพาน หากเกิดต่อสู้กันกับโจรผู้ร้าย ทำให้แคล้วคลาด เลือดไม่ตกยางไม่ออก

วัตถุมงคลที่มีฤทธิ์ในทาง การกำบัง สะกดจิต หรือ นะจังงัง
เมื่ออารธนาเสร็จแล้ว ก่อนจะติดตัวให้เพิ่มพลังแม่ธาตุเข้าไปด้วย ขึ้นต้นว่า
นะ โม พุท ธา ยะ 
นะ มะ พะ ธะ
นะ มะ อะ อุ
ธะ สะ ธะ สะ
ทำให้ศัตรูไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่กล้าทำร้าย เหมือนถูก นะจังงัง 

โลกเราและร่างกายเราก็ อาศัยธาตุทั้ง 4 นี้ หากบรรจุแม่ธาตุทั้ง 4 นี้ไปด้วย จะเกิดพลังในด้านต่างๆสมความปราถณา ข้อสำคัญอยู่ที่ตัวเรา ต้องเป็นคนดี มีความประพฤติดี มีสัจจะวาจา ไม่มุ่งร้ายหมายชีวิตผู้อื่น ไม่มีความโลภ ไม่ใช้วิชาไปในทางมิชอบ ไม่ด่าบิดามารดาของผู้อื่นและของตนเอง...
วิชา หัวใจธาตุทั้ง 4
หัวใจดิน  ปะถะวิยัง
หัวใจน้ำ อาปานุติ
หัวใจลม วายุละภะ
หัวใจไฟ  เตชะสติ

๒๔ กันยายน ๒๕๖๔ วันมหิดล

วันคล้ายวันสวรรคต สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก 

น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันล้นพ้นหาที่สุดมิได้

สมเด็จพระบรมราชชนกทรงห่วงใยนักเรียนของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง ไม่เฉพาะแต่การเรียนเท่านั้น แม้ในด้านส่วนตัว การอยู่การกิน ได้เสด็จตรวจหอพักโดยไม่ทรงบอกกล่าว ล่วงหน้า สิ่งที่ทรงพร่ำสอนแก่นักศึกษาแพทย์ทั้งหลายคือ

“อาชีพแพทย์นั้นมีเกียรติ แพทย์ที่ดีจะไม่ร่ำรวย แต่ไม่อดตาย ถ้าใครอยากร่ำรวย ก็ควรประกอบอาชีพอื่น”

22 กันยายน 2564

วิญญาณหลวงพ่อปานปราบศิษย์ชอบกินเหล้า

โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

....จะนำเรื่องที่แปลกแต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
มาเล่าสู่กันฟัง ไม่ใช่เรื่องเทวดา แต่เป็นเรื่องของคน
ที่ชอบแอบทำบาป จะขอเล่าให้ฟังสักนิดหนึ่งว่า
แอบเทวดานี่แอบไม่ได้ หลบไม่พ้น คนทำอะไรที่ไหน
เทวดาก็รู้ ไม่ต้องแอบดูก็มองเห็น
บุคคลคนนี้คือตาตี๋ ลูกศิษย์หลวงพ่อปาน

ตาตี๋นี่อยู่หมู่2 คลองแพงพวย อ.ดำเนินสะดวก ราชบุรี
สมัยที่หลวงพ่อปานมีชีวิตอยู่ ตาตี๋มีความเคารพท่านมาก
เหล้ายาปลาปิ้งไม่กิน เพราะว่าลูกศิษย์หลวงพ่อปานทุกคน
สมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ เขาเคารพท่านจริงๆ เขาไม่กินเหล้า
แต่ทว่าพอหลวงพ่อปานมรณะภาพแล้ว ที่ไหนได้ตาตี๋
เป็นขวดเหล้าไปเลย กินเหล้าไม่เลิก ลูกเมียจะว่าก็ไม่ฟัง

วันหนึ่งปรากฏว่า ตอนเช้า เมียเรียกตาตี๋ให้กินข้าว
ตาตี๋ก็น่ั่งเฉย ไม่พูดไม่จา ก็แกไม่ได้ป่วยไข้ไม่สบายอะไรนี่
เมื่อไม่พูดหนักๆ เข้าเมียเขาสงสัย จึงเข้าไปจับตัวดู
ตาตี๋สบัดพรืด แล้วพูดขึ้นว่า
"เฮ้ย มึงอย่ามาจับตัวกูนะ" เมียก็แปลกใจ ถามว่า
"เอ้า พี่ตี๋ ทำไมจับไม่ได้รึ" ตาตี๋ก็เลยบอกว่า
"กูไม่ใช่ไอ้ตี๋" เมียแกจึงถามวา "แล้วเป็นใครล่ะ"
"กูชื่อปานว่ะ"
พอเขารู้ว่าหลวงพ่อปานมาเข้าตาตี๋ เขาก็กราบ
เพราะเชื่อว่าตาตี๋แกไม่ใช่คนโลเล จึงพากันกราบ
แสดงความเคารพแล้วถามว่า
"หลวงพ่อมาทำไม" ท่านก็เลยบอกว่า
"ไอ้ตี๋นี่ กูสั่งไว้แล้วนะว่ากูจะสงเคราะห์มัน
ไม่ให้มันกินเหล้า ไม่ให้มันลักขะโมย
ไม่ให้มันหาปลา แต่พอกูตายแล้ว
ไอ้ตี๋มันเอาทุกอย่าง นี่มันไม่เคารพกู"
ท่านนิ่งไปสักครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
" เอาละ เป็นอันว่า 7 วัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
เอ็งไม่ต้องเรียกไอ้ตี๋กินข้าว ข้าไม่ให้มันกิน
ทั้งข้าว ทั้งน้ำแหละ"
นี่เป็นวิธีทรมานลูกศิษย์ที่ทำผิดของหลวงพ่อปาน
เป็นอันว่าตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา บรรดาคนในบ้าน
ก็เห็นตาตี๋นั่งสมาธิวันยังค่ำ หลับตาพริ้ม
นอนก็ไม่นอน นั่งขัดสมาธิตลอดเวลา
จัดที่ให้ก็ไม่ลุก อาการแบบนั้นเป็นอาการ
ที่หลวงพ่อปานทรมานลูกศิษย์

พอถึง 7 วันท่านก็คลายออก ก่อนท่านจะออกก็บอกว่า
"เอ็งจะเอาข้าวมาให้ไอ้ตี๋กินละก็ ต้องต้มข้าวต้มให้เละ
เสียก่อนนะ กับข้าวก็ให้มันอ่อนๆ ไม่งั้นร่างกายมันย่อยไม่ไหว"
เมื่อท่านออก ตาตี๋ก็กินข้าว แล้วนอนหลับได้ตื่นหนึ่ง
พวกลูกเมียจึงมาเล่าให้ฟังว่า
"หลวงพ่อปานมาเข้า ท่านทรมานไม่่ให้กินข้าว
เพราะโทษที่ไปกินเหล้า ท่านสั่งไว้ว่า
ให้พี่ตี๋สมาทานศีล ไม่ให้กินเหล้าตลอดชีวิต
ไม่ให้หาปลาตลอดชีวิต แล้วก็ไม่ให้ลักขโมยตลอดชีวิต"
ตาตี๋แกโดนเข้าแบบนี้ ก็ต้องยอมเชื่อ คราวนี้
ปลาก็ไม่หา เหล้าก็ไม่กิน การลักขโมยไม่ต้องห่วง
เพราะตาตี๋ไม่เคยทำ

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตาตี๋ก็สมาทานศีล 5 เป็นประจำ
และทำงานตามปกติ แต่ว่าเรื่องผักเรื่องปลาพวกลูกๆ
ยังหาอยู่ ต่อมาวันหนึ่ง แกมาเห็นลูกที่จะไปหาผักหาปลา
มันจะสานตะกล้า ตะข้อง มันก็สานไม่เป็น แกก็เลยนึกว่า
"เอาละไม่เป็นไร หลวงพ่อปานห้ามหาปลานี่ แต่ทว่าเรา
จะสานตะข้องให้ลูกมันไปใส่ปลา เราไม่ได้ฆ่าปลา 
มันไม่บาปหรอก"

แกก็เลยไปนั่งจักตอกหลังบ้านตามี แกนึกในใจว่า
ถ้ามาจักตอกที่บ้านเพื่อทำตะกร้า ก็เกรงว่าหลวงพ่อปาน
จะเห็นแกก็เลยแอบไปจักตอกในป่า พอจักตอกไปได้
สัก 2 เส้นเท่านั้นเอง ตาตี๋ทิ้งมีดทิ้งไม้วิ่งห้อกลับบ้าน
ตอนนี้ไม่ใช่ตาตี๋วิ่ง กลายเป็นหลวงพ่อปานวิ่ง
มาถึงบ้านก็นั่งลงไป ท่านพูดว่า "ไอ้ตี๋เอาอีกแล้ว 
ไอ้ตี๋ทำอีกแล้ว นี่กูสั่งไม่ให้มันหาปลา
แต่มันแอบไปจักตอก จะสานตะกร้าในป่า
มันนึกว่ากูไม่เห็นรึ" แล้วท่านก็สั่งกำชับอีกว่า
"นับแต่นี้ต่อไปอีก 5 วัน ไอ้ตี๋ไม่ต้องกินข้าวกินน้ำ"
เสร็จ ตาตี๋เสร็จ นี่โทษที่แอบผีนะ

เป็นอันว่าตาตี๋ก็เลยเลิก ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ตะข้อง ตะกร้า ตาตี๋ก็ไม่ทำ ไม่สร้าง
ตั้งใจสมาทานศีลตลอดชีวิตจนกระทั่งตาย
นี่ หลวงพ่อปานท่านทรมานลูกศิษย์ของท่านให้เอาดีจนได้
ที่นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ก็เพื่อจะให้รู้ว่า
"การที่เราจะทำความดี ความชั่ว ที่ไหนก็ตาม
อย่าไปหนีตาเทวดาเขานะ หนีไม่พ้นหรอก"

20 กันยายน 2564

#จานบินและมนุษย์ต่างดาว


       ✴️ เมื่อคืนนี้ มีใครถามว่าจานบินมีจริงหรือเปล่าน่ะตอนตี ๔ เลยฝันว่าขึ้นไปข้างบน ตั้งใจจะไปหาโยม

✴️ #พอดีสมเด็จองค์ปัจจุบันท่านเสด็จไปถึงท่านก็ถามว่า #สงสัยเรื่องจานบินหรือ

✴️ #ทูลตอบท่านว่า สงสัย แต่ไม่กล้าถามเกรงจะเป็นเรื่องเหลวไหล
ท่านก็บอกว่า เรื่องอย่างนี้เป็นความรู้ถามได้ ไม่เหลวไหล

✴️ #แล้วท่านอธิบายว่า 
จานบินที่มาเมื่อเร็วๆ นี้ มาจาก ๒ แห่ง

✴️ #แห่งหนึ่งเป็นดาวเล็กๆ เลยดาวพระศุกร์ไปทางซ้ายเล็กน้อยเรียกว่า จามรทวีป อยู่ในจักรวาลเดียวกับเรา

✴️ #เป็นจานบินขนาดสูงไม่เกิน ๔ เมตร สีเขียวๆใช้เวลามาบ้านเรา ๘ ชั่วโมง

✴️แล้วสมเด็จก็พาไปที่นั่น ไปนั่งอยู่นอกเมืองให้เขาเห็นในรูปคนธรรมดา

✴️ #แถวนั้นมีเพชร มีแก้วเกลื่อนกลาดเป็นของไม่มีค่าเอามาประดับตามโต๊ะ เก้าอี้ก็มี

✴️  #ท่านบอกว่า ประเดี๋ยวจะมีผู้หญิงเดินมา ก็มีมาจริงๆ

✴️ #คนของจามรทวีปมีผิวขาว เนื้อเต็ม สวยผู้หญิงแต่งกางเกงรัดเหนือเข่า เสื้อแขนสั้นรัดแขนเป็นสีเขียวๆ มีลายทางดิ่ง

🔱#คนเมืองนี้ไม่มีอาวุธสำหรับประหัตประหาร #มีวิทยาการก้าวหน้ามาก

✴️#ที่เขามาโลกเราเพราะอยากเที่ยวไปทุกแห่งในจักรวาลแต่ที่ไปอเมริกาเพราะเห็นว่าปล่อยจรวดบ่อยๆ #คิดว่าจะติดต่อด้วยได้

✴️ #ที่เขาจับคนไปบ้างนั้นก็เพื่อตรวจดูอารมณ์ #ด้วยเครื่องตรวจอารมณ์ตรวจแล้วก็บอกว่ามีความโลภอยู่มากระยะทางของเขาอยู่ห่างเราเป็นแสนๆโยชน์
ผู้หญิงที่เดินมานั้น เขามองเห็นเรา เขาก็ยิ้มแต่ไม่ได้พูดว่าอะไร

✴️ #สำหรับที่ตัวดาวพระศุกร์เองนั้นมีอยู่หลายบริเวณตอนหนึ่งเป็นเขาหัวโล้น ร้อนจัดมากอีกตอนหนึ่งหนาว มีหิมะ ไม่มีคนอยู่แต่มีสัตว์ขนยาวกว่าชะนีอาศัยอยู่มาก ในแดนอบอุ่นที่มีต้นไม้

✴️ #ส่วนอีกแห่งหนึ่ง #อยู่ทางทิศพระอาทิตย์ขึ้นเยื้องไปทางซ้ายเล็กน้อย เรียกว่า #สูตู คนในโลกนั้นมีผิวคล้ำ

✴️ #ยานของเขามีขนาดสูงไม่เกิน ๑๐ เมตรมีสีเหลืองๆ ใช้เวลาเดินทางมาโลกเรา ๑๗ ชั่วโมง

✴️ #ในจานบินดูแล้วไม่เห็นมีอะไรนี่ มีลูกอะไรกลมๆ ใสๆเป็นแหล่งกำลังงานอยู่อย่างเดียว…..

ที่มา
🖋️📚คัดลอกจาก​ หนังสือเรื่องจริงอิงนิทานเล่ม ๓ หน้า ๕๖)
⚜️พระราชพรหมยานเถระ⚜️
🙏หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง🙏

🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน

19 กันยายน 2564

"แม้นตายเราก็ไม่ทิ้งธรรม"

เอาธรรมะมาเล่าสู่กันฟังคับ....
 มีภิกษุ ๓๐รูปปรารถนาจะหลุดพ้นจากทุกข์ จึงเรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วไปจำพรรษาอยู่ในวัดป่า โดยตั้งกติกากันว่า “เราควรทำสมณธรรมตลอดทั้งคืน ไม่ควรประมาทในทั้งสามยาม ไม่ควรที่จะมาคลุกคลีพูดคุยกัน เพราะจะทำให้ใจฟุ้งซ่าน” หลังจากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปบำเพ็ญเพียร
   ภิกษุเหล่านั้นพากันทำสมณธรรมตลอดทั้งคืน ตอนใกล้รุ่ง ก็โงกหลับไป มีเสือตัวหนึ่งมาจับภิกษุไปกิน ทีละรูปๆ ไม่มีรูปไหนร้องออกมา เพราะมีจิตที่มุ่งตรงต่อการปฏิบัติธรรม ไม่หวั่นไหว และเกรงจะไปรบกวนเพื่อนภิกษุด้วยกัน
  ในที่สุดภิกษุกลุ่มนั้น ถูกเสือกินไปถึง ๑๕รูป ครั้นพอถึงวันอุโบสถ ภิกษุที่เหลือต่างถามว่า “พวกเราหายไปไหนตั้งครึ่งหนึ่ง” เมื่อสอบถามกันรู้เรื่องแล้ว จึงตกลงกันว่าให้ตะโกนบอกกันถ้าเสือมา
   วันหนึ่ง เสือได้มาจับภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง ภิกษุหนุ่มจึงร้องว่า "เสือมาแล้ว" ภิกษุทั้งหลายพากันถือไม้เท้าและคบเพลิงติดตาม หวังว่าจะให้มันปล่อยภิกษุรูปนั้น แต่เสือวิ่งหนีขึ้นไปยังเขาขาด พวกภิกษุตามไปไม่ได้ เสือเริ่มกินภิกษุรูปนั้นตั้งแต่นิ้วเท้าขึ้นมา
  เมื่อไปช่วยไม่ได้ เพื่อนภิกษุที่เหลือต่างได้แต่ปลอบใจว่า "สัตบุรุษ ขอให้ท่านรักษาใจไว้ให้ดี บัดนี้ พวกเราช่วยเหลือท่านไม่ได้ หากท่านรักษาใจไม่ให้หวั่นไหว ท่านจะไม่ว่างเปล่าจากคุณวิเศษแน่นอน"
 แม้ภิกษุหนุ่มนั้น จะอยู่ในปากเสือ ก็ข่มเวทนาไว้ รักษาใจให้สงบหยุดนิ่ง พลางเจริญวิปัสสนา ตอนเสือกินถึงข้อเท้า ท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน กินไปถึงหัวเข่า บรรลุเป็นพระสกทาคามี กินไปถึงท้อง บรรลุเป็นพระอนาคามี ครั้นกินไปยังไม่ถึงหัวใจ ท่านได้บรรลุพระอรหัต ถึงพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา จึงเปล่งอุทานว่า "เรามีศีล ถึงพร้อมด้วยวัตร มีปัญญา มีใจมั่นคงดีแล้ว อาศัยความประมาทครู่หนึ่ง ทั้งที่มีใจไม่คิดร้ายกับเสือ มันจับเราไว้ในกรงเล็บ พาไปไว้บนก้อนหิน แล้วกินเราถึงกระดูกและเอ็นก็ตาม เราตั้งใจจักทำกิเลสให้สิ้นไป จึงได้สัมผัสวิมุตติอันยอดเยี่ยม"

ถ้าบวชเป็นแม่ชีแล้ว เป็น อรหันต์ จะอยู่ได้กี่วัน?

#แม่ชีเป็นพระอรหันต์
🔹️ผู้ถาม : "ทีนี้ถ้าบวชเป็นแม่ชีแล้ว สำหรับเป็น อรหันต์ จะอยู่ได้กี่วันครับ..?" 

🔸️หลวงพ่อ : "ถ้าเป็นอรหันต์นะ..ไม่เกินพรุ่งนี้ตาย คือว่าชี หรือฆราวาส ก็มีสภาพเท่ากันละ เขาไม่ถือว่าเป็นภิกษุณี คำว่าชีรักษาศีล ๕ บ้าง รักษาศีล ๘ บ้าง ฆราวาสเขาก็รักษาได้ คือว่ามีเวลาปลีกตัวออกจากบ้านไปนุ่งขาวเท่านั้นเอง และสภาวะทุกอย่างก็เหมือนฆราวาส ฉะนั้นจะทรงความเป็นอรหันต์อยู่ไม่ได้ เป็นอรหันต์ก็ต้องนิพพาน" 

🔹️ผู้ถาม : "อ๋อ...ก็เหมือนฆราวาส" 

🔸️หลวงพ่อ : "ก็เท่ากันนั่นแหละทำไมจะต้องวิตกกังวล คนที่เป็นอรหันต์จริงๆท่านไม่อยากอยู่ต่อไปแม้แต่ ๑ วินาทีนะ ให้มันเป็นจริงๆเถอะ เพราะว่าอยู่นั้นไม่มีอะไรดีเลย อยู่ก็ขันธ์ ๕ มันรบกวนอยู่ตลอดเวลา...ใช่ไหม 

📌....ทีนี้ถ้าหากได้อรหันต์แล้ว นิพพานทันทีทันใด ความสุขก็สมบูรณ์แบบ ถ้าอยู่อย่างนี้ต้องใช้สังขารุเปกขาญาณระงับตลอดเวลา ไปนิพพานแล้วไม่ต้องระงับ ไม่ต้องระวังอย่างนั้นดีกว่ากัน 

📌.... สำหรับพระนี่กรรมหนัก พระกับเณรมีกรรมหนัก ถ้าเป็นอรหันต์แล้วยังตายไม่ได้นะซิ ต้องทรมานสังขารไปอีก ดีนักเมื่อไหร่ล่ะ" 

🔹️ผู้ถาม : "ถ้าพระไปนิพพานเลยจะได้ไหมครับ..?" 

🔸️หลวงพ่อ : "ไม่ได้ พระนี่ไม่ได้ ถ้านึกนิพพานเลยได้พระสารีบุตรท่านก็อยู่ไม่นาน เพราะว่าพระสารีบุตรท่านพูดเองว่า... 

"เราอยู่ด้วยความอึดอัด เราอยู่ด้วยความรำคาญ แต่ว่าสังขารเราไม่พัง เราจะอยู่เต็มความสามารถ จนกว่ามันจะพังของมันเอง" 

📌 เห็นไหม.... ในเมื่อวาระยังมาไม่ถึง พระอรหันต์ไม่ฆ่าตัวตายแน่นอน แต่ว่าจิตท่านเป็นสุขจริง แต่ขันธ์ ๕ มันไม่สุข อย่าลืมนะ...พระอรหันต์ก็หิวข้าวเป็น ปวดท้องขี้เป็น ปวดท้องเยี่ยวเป็น ป่วยเป็น เป็นทุกอย่าง มันเป็นปกติของมัน แต่ว่าที่อารมณ์ท่านเป็นสุขได้ เพราะจิตท่านยังทรงอยู่ในสังขารุเปกขาญาณ ตัวนี้ที่ทำให้พระอรหันต์เป็นสุข ใจท่านเป็นสุขแต่ขันธ์ ๕ มันไม่สุข" 

🔹️ผู้ถาม : "มีความรำคาญไหมครับ พระอรหันต์ตอนป่วย..?" 

🔸️หลวงพ่อ : "ก็ไม่ป่วยท่านยังรำคาญเลย ถ้าป่วยทำไมจะไม่รำคาญ แต่ว่าใจท่านไม่ดิ้นรน ถือว่าภาวะของขันธ์ ๕ มันต้องเป็นอย่างนั้นใช่ไหม.... มันจะต้องเป็นอย่างนั้นเราก็รู้แล้ว ถ้าเราไปเสียได้มันก็จะดี การคิดทำลายขันธ์ ๕ ไม่มีสำหรับพระอรหันต์ 

📌....ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ถ้าความสามารถเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขแก่ชาวโลกได้ก็ทำเต็มความสามารถ...เท่านั้นเอง ถือว่าสร้างความดีทิ้งทวน แต่ผลความดีจะเพิ่มขึ้นอีกน่ะ...ไม่มีหรอก ความดีมันก็มีที่สุดแค่พระอรหันต์" 

🔹️ผู้ถาม : "เอ...ทำไมไม่เพิ่มครับ..?" 

🔸️หลวงพ่อ : "น้ำมันล้นตุ่มจ้ะ...ถ้ามันเต็มตุ่มใส่เท่าไหร่มันก็แค่ปากตุ่มเท่านั้นแหละ....ใช่ไหม ที่ทำไปเพื่อเป็นการสงเคราะห์เท่านั้นเอง แต่ก็หวังดีนะ พวกนี้ถ้าสงเคราะห์ได้ ใจท่านก็เป็นสุขนะ ดีใจที่เห็นคนอื่นเขาดี ความพอใจมีเท่านี้ล่ะ 

📌....สมมุติได้อรหันต์เดี๋ยวนี้ไปนิพพานเลย เขาจะดีใจมาก เพราะอะไร...เพราะมองดูแล้วไม่มีอะไรเป็นสุข การเกิดเป็นคนหาความสุขจริงๆ สัก ๑ วินาทีมันก็ไม่มีใช่ไหม....ไม่ปวดมันก็เมื่อย ไม่เมื่อยมันก็หิว ไม่หิวมันก็อยาก" 

🔹️ผู้ถาม : "มีแต่เรื่องตลอดเวลาเลยครับ" 

🔸️หลวงพ่อ : "ใช่...หาอารมณ์ว่างไม่ได้"
.
.
.ที่มา
🙏โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
✍คัดจากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๘๕-๘๗

พระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์

พระองค์คือ ราชาแห่งพระมหาโพธิสัตว์ทั้งหมด จริงๆพระองค์สามารถที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้นานมากๆๆแล้ว .... #แต่พระองค์ทรงไม่

เพราะมีมหาปณิธานคือ 
"หากนรกยังไม่ว่างจากสัตว์ที่รับทุกข์ จะไม่ขอตรัสรู้พระโพธิญาณ"

นั่นคือ พระองค์ต้องช่วยให้นรกภูมิว่างเสียก่อน พระองค์จึงจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า.....

===========================

**พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ เอกอัครมหาปณิธาน(大願地藏菩薩)
**(Ksitigarbha Bodhisattva : Buddha of Aspiration)

***พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์
(大願地藏王菩薩)
เป็นหนึ่งในพระโพธิสัตว์ 4 พระองค์ ซึ่งเป็นที่นับถืออย่างยิ่งในศาสนาพุทธมหายานและวัชรยาน ร่วมกับ 
พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์
(大悲觀世音菩薩) 
พระสมันตภัทรโพธิสัตว์
(大行普賢菩薩) 
และพระมัญชุศรีโพธิสัตว์
(大智文殊菩薩 ) 
ทั้งสี่พระองค์นี้เราเรียกว่า
"จตุรมหาโพธิสัตว์"
(四大菩薩)
        พระนามเต็มของพระองค์ในภาษาจีนคือ "ต้าหยวนตี้จ้างผู่ซ่า" (จีนตัวเต็ม: 大願地藏菩薩พินอิน: Dàyuàn Dìzàng Púsà)
        นามของพระโพธิสัตว์องค์นี้อาจแปลได้ว่า "ขุมทรัพย์แห่งแผ่นดิน" 
("Earth Treasury"),
"คลังแห่งแผ่นดิน"
("Earth Store"), 
"บ่อเกิดแห่งแผ่นดิน"
( "Earth Matrix"), 
หรือ 
"ครรภ์แห่งแผ่นดิน" 
("Earth Womb")
(คลังแห่งกุศลความดีงาม)
"ราชาโพธิสัตว์กษิติครรภ
("ตี้จ้าง"地藏) 
ผู้มีปณิธานอันยิ่งใหญ่"
(大願) 
คำว่า 
"ต้าหยวนตี้จ้างผู่ซ่า" 
นี้เป็นชื่อตามสำเนียงจีนกลาง 
ญี่ปุ่นเรียกว่า 
"ไดกังจิโซโบะซะสึ" 
จีนแต้จิ๋วออกเสียงว่า
"ตี่จั่งอ๊วง"

...นามดังกล่าวนี้อ้างอิงถึงปณิธานของพระองค์ซึ่งปรากฏอยู่ในพระสูตรมหายานต่างๆ ระบุว่าจะทรงรับภาระในการสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งปวงที่ในอยู่ในกามภูมิทั้งหกในโลก อันได้แก่ นรกภูมิ, เปรตภูมิ, อสุรภูมิ, เดรัจฉานภูมิ, มนุสสภูมิ และเทวภูมิ (หมายความถึงสวรรค์ฉกามาพจรทั้ง 6 ชั้น) ตลอดยุคระหว่างศาสนาของพระโคตมพุทธเจ้าและพระศรีอริยเมตไตรย ด้วยบทบาทที่สำคัญดังกล่าว ศาลาหรือวิหารซึ่งอุทิศแด่พระโพธิสัตว์พระองค์นี้จึงมักปรากฏอยู่ในพุทธมหายานฝ่ายตะวันออก

เรื่องราวของพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ปรากฏครั้งแรกในพระสูตรมหายานชื่อ "กษิติครรภโพธิสัตวมูลปณิธานสูตร" (จีนตัวเต็ม: 地藏菩薩本願經 แต้จิ๋วเรียกว่า "ตี่จั่งอ๊วงพู่สักปึ้งหง่วงเก็ง") หนึ่งในพระสูตรมหายานอันเป็นที่นิยมนับถือมากที่สุด พระสูตรนี้กล่าวว่าพระโคตมพุทธเจ้า(พระศากยมุนีพุทธเจ้า)(本師釋迦牟尼佛)ครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ทรงตรัสเล่าก่อนจะจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตของพระองค์มาสู่ครรภ์ของพระนางสิริมหามายา แต่นักปราชญ์ส่วนมากเชื่อว่าถูกรวบรวมขึ้นในประเทศจีน เนื้อความของพระสูตรกล่าวถึงการบำเพ็ญกตัญญุตาธรรมของพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นมนุษย์ ซึ่งนำไปสู่การตั้งมหาปณิธานเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งมวล

... เพราะพระองค์ท่านมีมหาปณิธานว่า"ตราบใดที่นรกยังไม่ดับสูญสิ้นไป ข้าพเจ้าไม่ขอเข้าสู่พระนิพพาน"(地狱不空,誓不成佛,众生渡尽,方证菩提)

***พระองค์ท่านเดิมเป็นเจ้าชายแห่งแว่นแคว้นที่ในปัจจุบัน คือ #ประเทศเกาหลี(韓國)..ซึ่งมีพระประวัติกล่าวถึงเจ้าชายคิมเคียวกุ๊ก บางทีออกเสียงว่า"คิมเกียวกัก"(ภาษาเกาหลี) (金喬覺)(ในภาษาจีนกลาง คือ เจ้าชาย #จินเจียวเจี๋ย 金喬覺) หรือออกเสียงในสำเนียงจีนแต้จิ๋วว่า เจ้าชาย กิมเกียวกั๊ก) หนีการสืบราชสมบัติตามขัตติยะประเพณีมาออกบวชเป็นพระภิกษุ เดินทางมาพร้อมด้วยสุนัขคู่ใจ..จาริกจนมาถึงภูเขาจิ่วหัวซาน(九華山) มณฑลอานฮุย(安徽省)ประเทศจีน...พระมหาสมณะคิมเคียวกุ๊ก(金喬覺=จินเจียวเจี๋ย) ได้กระทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากทั้งในด้านการเผยแพร่พระพุทธธรรมคำสอน และในด้านการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามและสร้างสาธารณประโยชน์ เป็นที่เคารพศรัทธาแก่พุทธบริษัทและมหาชนเป็นอย่างมาก

เมื่อพระองค์ท่านมีสิริอายุได้99พรรษา(อยู่ที่อันฮุยรวม75 พรรษา)ก็ทำสมาธิแล้วละสังขาร มรณภาพด้วยอิริยาบถนั่งสมาธินั้นไปอีก 20 ปี พุทธบริษัทและชาวบ้านทั่วไปเห็นว่าพระศพท่านไม่เน่าเปื่อย ประกอบกับพระคุณความดีและมหาปณิธานของท่าน จึงแน่ชัดว่าท่านนั้นเป็นพระอริยเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์มาโปรดสัตว์ จึงพากันสร้างพระเจดีย์ครอบกายสังขารท่านไว้ แล้วถือศุภนิมิตรอันอัศจรรย์นี้ เลื่อมใสว่าภูเขาจิ่วหัวซาน(九華山)ที่ท่านมาจำพรรษาและบำเพ็ญธรรมจนละสังขารนี้เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ และได้รับความศรัทธาและยกย่องว่าเป็น1ใน 4 ภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์(จตุรมหาคีรี(四大名山))ของพระมหาโพธิสัตว์ทั้งสี่พระองค์จนถึงปัจจุบัน(ภูเขาจิ๋วหัวซานนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีที่นับถือพุทธนิยมมาสักการะกันอย่างเนืองแน่น)

.. โดยปกติพระพระรูปท่านมักสร้างหรือวาดเป็นพระภิกษุ ครองจีวร พระหัตถ์ขวาถือไม้เท้าคฑาธุดงค์(锡杖 ไม้คฑาเซียะเจี๋ยง)(หนึ่งในอัฏฐบริขารของพระภิกษุฝ่ายมหายาน และเป็นสัญลักษณ์ของการออกเดินทางโปรดสัตว์ การจาริกแสวงบุญ) พระหัตถ์ซ้ายถือดวงแก้วมณี สัญลักษณ์แห่งปัญญาและเป็นการสื่อว่า พระองค์ท่านเป็นดั่งดวงประทีปที่สุกสว่างท่ามกลางความมืด คือหมายถึงนรกภูมิ(รวมไปถึง เปรตภูมิ อสุรกายภูมิ)เพราะมหาปณิธานของท่าน คือ โปรดสัตว์ในนรกภูมิให้หมด จนกว่านรกจะไร้ดวงวิญญาณบาป ท่านจึงจะเข้าสู่พระนิพพาน บางทีพระรูปท่านก็จะใส่มงกุฏพระพุทธเจ้า 5 พระองค์(五佛冠) หรือที่เรียกว่า #เบญจพุทธโพธิมาลา หรือบางทีก็ไม่ใส่ ก็จะเป็นรูปพระภิกษุศรีษะโล้นตามปกติทั่วไป

..ในเรื่องคติการสร้างพระปฏิมากรของท่านให้สรวมเบญจพุทธโพธิมาลา หรือ ไวโรจนมาลา(毘盧遮那帽)นี่เป็นคติเพิ่มเติมในภายหลัง ซึ่งเป็นบริขารที่พระภิกษุฝ่ายวัชรยานสรวมใส่เมื่อกระทำพิธีโปรดสัตว์นรก(瑜伽燄口施食) ซึ่งพระมหาสมณะคิมเคียวกุ๊กท่านอยู่ในช่วง พ.ศ.1196 แต่ทิเบตได้รับพระพุทธศาสนาในปี พ.ศ.1184 โดยองค์หญิงเหวินเฉิง (文成公主)(บุ่งเซ้ง)พระราชธิดาในพระจักรพรรดิถังเกาจง(唐高宗)ทรงนำพระพุทธศาสนาไปเผยแพร่ด้วย คงยังไม่มีอิทธิพลอะไรย้อนมาถึงจีน แต่เนื่องจากปณิธาณของพระองค์ท่านมีความเกี่ยวข้องกับสรรพสัตว์ในอบายภูมิ(เปรตภูมิ นรกภูมิ อสุรกายภูมิ เดรัจฉานภูมิ)ช่างศิลป์จึงมักปั้นถวายให้พระองค์ท่านสวมหมวกนี้ เพื่อสื่อถึงพระคุณสมบัติของพระองค์ท่าน

*****#บุพพชาติแห่งพระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์****
พระกษิติครรภโพธิสัตว์ทรงถือกำเนิดเป็นบุตรีในสกุลพราหมณ์ครอบครัวหนึ่ง บิดาชื่อ "ชีรชิณณพราหมณ์" มารดาชื่อ "ยัฏฐีลีพราหมณี" บิดาได้ถึงแก่กรรมก่อนมารดา จึงทำให้อาศัยอยู่กับมารดาตลอดมา พระองค์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพราหมณี เป็นผู้มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป เป็นคนใจดีมีเมตตา อยู่ในศีลในธรรม ส่วนมารดานั้นกลับประพฤติตรงข้ามกับบุตรี ไม่นับถือพระรัตนตรัย ไม่เชื่อเรื่องกรรม ดูหมิ่นพระธรรมวินัย ไม่เชื่อเรื่องสวรรค์หรือนรก แม้ว่าพราหมณีบุตรีจะชักชวนหรือโน้มน้าวจิตใจอย่างไร เพราะนางยัฏฐีลีพราหมณีมีมิจฉาทิฏฐิรุนแรง ต่อมา นางยัฏฐีลีพราหมณี ได้ถึงแก่กรรมลง ผลกรรมที่นางทำไว้ทำให้นางไปตกนรก
ฝ่ายนางพราหมณีบุตรี
เมื่อมารดาของนางสิ้นชีพไปแล้ว นางก็แน่ใจว่าต้องไปสู่ทุคติเป็นแน่ นางจึงขายทรัพย์สินและที่ดินมากมายเพื่อนำเงินนั้นไปทำบุญแก่วัดวาอารามต่างเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและบริจาคเป็นสาธารณกุศลอีกมาก ทั้งนางยังสมาทานศีลและตั้งมั่นในพระรัตนตรัยถือศีลห้า งดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์และของคาว เจริญภาวนา-ทำสมาธิแผ่เมตตาอย่างแน่วแน่ ไม่ย่อท้อ ทั้งบูชาพระพุทธปฏิมาด้วยดวงประทีปและของหอม(สุคนธบูชา)อยู่เป็นนิจ ด้วยหวังผลบุญอานิสงค์จะได้ไปถึงแก่ดวงวิญญาณของมารดาที่ไปรับผลกรรมในนรกภูมิ
เนื่องจากการปฏิบัติธรรมอย่างเสมอต้นเสมอปลายเรื่อยมา ทำให้วันหนึ่งนางพราหมณีบุตรีได้ยินเสียงทิพย์กระซิบบอกนางว่า

"ดูกร พราหมณี จงหยุดเศร้าโศกเถิด ตถาคตจะชี้ทางให้"

นางพราหมณี เกิดความยินดีอย่างมาก ก้มลงกราบและอธิษฐานว่า

"ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระเมตตา โปรดบอกที่อยู่ของมารดาของข้าพระองค์ด้วยเถิด เนื่องจากข้าพระองค์ได้ตั้งจิตไว้ว่า จะขอพบมารดาเพื่อทราบความเป็นอยู่ของท่านว่ามีสุขทุกข์อย่างไรบ้าง แม้จะต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็ยินดี หากจะช่วยเหลิอมารดาของข้าพระองค์ให้มีความสุขได้"

แต่หลังจากนั้น เนื่องจากไม่มีเสียงตอบรับใดๆ อีกเลย นางจึงบังเกิดความเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้จนเป็นลมไป พอนางฟื้นขึ้นมา นางก็ได้ยินเสียงทิพย์เข้ามาที่หูว่า

"ดูกร พราหมณี จงหยุดเศร้าโศกเถิด บุญกุศลที่เจ้าทำทั้งการสักการะบูชาพระพุทธเจ้า และการบริจาคทานนั้น บุญกุศลแรงนัก จงหมั่นปฏิบัติบำเพ็ญต่อไป จะบังเกิดผลแก่มารดาดังความปรารถนา"
ทำให้นางดีใจและปิติสุขอย่างมาก และอธิษฐานขอให้นางได้พบมารดาดังที่หวังไว้

ต่อมานางพราหมณีบุตรีได้นั่งเจริญวิป้สสนากรรมฐานอย่างแน่วแน่ บุญกุศลได้ดลบันดาลให้วิญญาณของนางออกจากร่างไปสู่ยังมหาสมุทรแห่งหนึ่ง ซึ่งน่ากลัวมาก น้ำทะเลที่นั่นเป็นน้ำเดือด และมีอสูรกายตัวใหญ่น่ากลัวกำลังไล่จับดวงวิญญาณทั้งหลายที่ลอยคออยู่ในน้ำจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เพื่อฉีกกินเป็นอาหาร น่ากลัวมากจนนางไม่กล้าหันไปมองด้วยความกลัวและสงสารสรรพสัตว์เหล่านั้น

ในระหว่างนั้นเอง ได้มีเทพอสูร นามว่า "บ่อตั๊ก"(อสูรอนุราช) และบริวาร ได้เดินตรงเข้ามาหานางและพนมมือไหว้ และกล่าวว่า

"สาธุ พระโพธิสัตว์ผู้เจริญ ท่านมาถึงแดนนรกนี้ ด้วยเหตุใด"
นางพราหมณีบุตรีจึงตอบว่า

"ข้าพเจ้ามีความประสงค์อยากทราบความเป็นอยู่ของมารดา ชื่อ ยัฏฐีลีพราหมณี ซึ่งได้ถึงแก่กรรมเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ทราบว่าตอนนี้วิญญาณของนางไปอยู่ที่แห่งใด ข้าพเจ้าเป็นห่วงมารดามาก ขอโปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้าได้พบมารดาด้วยเถิด"

เทพอสูรเมื่อได้ฟัง จึงกล่าวตอบว่า

"ข้าแต่พระโพธิสัตว์ผู้เจริญ มารดาของท่านนามว่า ยัฏฐีลีพราหมณี ได้เคยตกลงมาในดินแดนนรกภูมินี้ แต่เนื่องจากนางได้รับบุญกุศลอันประเสริฐและยิ่งใหญ่จากการที่ท่านได้บำเพ็ญกุศลมาให้ มารดาของท่านได้ไปพ้นจากแดนนรกไปสู่สุคติแล้ว" เมื่อกล่าวแล้วก็พนมมือไหว้แล้วลาจากไป

เมื่อนางได้ทราบดังนั้น นางจึงมีความยินดีและหมดห่วงในตัวมารดา #แต่นางกลับเกิดความสงสารบรรดาสรรพสัตว์ที่ตกนรกและได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสเหล่านั้น จึงเกิดความเมตตาอันแรงกล้าที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ในนรกเหล่านั้น
นางพราหมณีบุตรี จึงอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูป ขอถือศีลภาวนา บำเพ็ญบารมี เพื่อโปรดสรรพสัตว์ในนรกภูมิ และอบายภูมิทั้งปวง แม้ในอนาคตกาล ก็ขอแน่วแน่ให้มีจิตตั้งมั่นในพุทธภูมิ อย่าได้เบื่อหน่ายต่อการบำเพ็ญบารมีทั้งปวง

ด้วยเหตุที่ทรงตั้งปณิธานบำเพ็ญบารมีเช่นนี้ จึงทำให้นางพราหมณีบุตรี เมื่อหมดอายุขัยก็ได้กลับชาติมาเกิดเป็นบุรุษ และบำเพ็ญเพียรสร้างสมบารมี จนได้เป็นพระโพธิสัตว์ พระนามว่า #พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ อันมีความหมายว่า ครรภ์แห่งแผ่นดิน คลังแห่งแผ่นดิน(#คลังแห่งกุศลความดีงาม)

ในประเทศญี่ปุ่นมีการถวายความสำคัญแด่พระองค์เพิ่มขึ้นเป็นพิเศษกว่าประเทศที่เป็นพุทธอื่นๆ คือ #ถือกันว่าท่านเป็นผู้คุ้มครองดวงวิญญาณเด็กที่เสียชีวิตโดยสาเหตุต่างๆ #หรือเสียชีวิตจากการทำแท้ง ในวัดพุทธที่ประเทศญี่ปุ่นในหลายๆวัดเขามีการสร้าง การแกะสลักพระปฏิมาของท่านจำนวนหลายๆองค์ในวัดเดียวก็มี บางทีมีท่าอุ้มเด็กไว้ในอ้อมกอดท่านด้วย บางทีก็มีคนเอาเอี๊ยมสีแดงไปผูกถวายท่านเพื่อให้กุศลถึงเด็กๆที่เสียชีวิตไปแล้วก็มี คุณแม่บางคนที่สูญเสียลูกและมีกำลังทรัพย์หน่อย เขาก็จะสร้างพระ จิโช โบซัทสึ(พระกษิติครรภ์ฯ)ไปถวายวัด พร้อมบรรจุเถ้ากระดูกของเด็กไว้ที่ฐานพระเพื่อให้พระองค์ท่านช่วยเมตตานำพาดวงวิญาณเด็กไปสู่สุคติภูมิ...

ในประเทศไทย ซึ่งมีการนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน รวมไปถึงประเทศอื่นๆด้วยนั้น เราเห็นพระรูปท่านในพระอุโบสถ ซึ่งท่านจะอยู่ทางขวามือของพระประธาน หรือบางทีสร้างเป็นวิหารแยกออกไปต่างหากก็มี แต่จะอยู่ทางขวามมือของพระประธานเสมอ(ในขณะที่ทางซ้ายมือของพระประธานจะเป็น พระอวโลกิเตศวรฯ หรือ พระกวนอิม) กับเราจะเห็นพระรูปท่านในพิธี กงเต็ก(功德儀式)(ทักขิณานุปาทาน) หรือ พิธีชวาลมุขเปรตพลี-ตันตระมหาโยคะกรรม(ทิ้งกระจาดโปรยทาน) ซึ่งล้วนแต่เป็นพิธีที่เกี่ยวข้องกับคนตายและดวงวิญญาณทั้งสิ้น..

จนเดี๋ยวนี้มีคำกล่าว(ที่ไม่ค่อยตรงกับคติเดิมแท้ในการนับถือพระโพธิสัตว์) คือกล่าวว่า...พระกวนอิมโปรดคนเป็น พระตี่จั๊งโปรดคนตาย...#ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะวิสัยแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งปวงนั้น ไม่เลือกโปรดสัตว์...พระองค์ท่านโปรดได้ทั้งคนเป็น คนตาย ทั้ง เทพ มาร พรหม มนุษย์ อมนุษย์ เดรัจฉาน คนยากดีมีจน เชื้อชาติใดๆท่านก็ทรงโปรดให้พ้นทุกข์ได้เช่นกัน..เพียงแต่พระองค์ท่านเด่นชัดโดยลักษณะของปณิธานที่ท่านมีความเมตตากรุณาต่อดวงวิญญาณในนรกภูมิเท่านั้นเอง คนเป็นก็สามารถบูชาและขอพรพระองค์ท่านได้เช่นกัน...แม้แต่พระอวโลกิเตศวรฯ(พระกวนอิม)ท่านก็มีนิรมาณกายปางต่างๆที่ไปโปรดสัตว์ในนรกภูมิหรืออบายภูมิ เช่นกัน นี่ยังไม่รวมไปถึงความเชื่อผิดๆที่ว่า ห้ามตั้งบูชาพระรูปพระกษิติครรภโพธิสัตว์ไว้ที่บ้าน เพราะดวงวิญญาณภูติผีจะตามท่านมาด้วย...ซึ่งแน่นอนว่า ไร้สาระ..=v=''

...ในพระอุโบสถอย่างพุทธนิกายมหายาน มีการสร้างวิหารถวายแด่พระองค์ โดยมีพระอุโบสถของพระพุทธองค์อยู่ตรงกลาง วิหารด้านขวามือของอุโบสถคือวิหารพระกษิติครรภ์ วิหารซ้ายมือของอุโบสถคือวิหารพระอวโลกิเตศวร อีกทั้งการบูชาพระองค์ท่านแบบไตรภาคี(3ประสาน娑婆三聖)คือ พระศากยมุนีพุทธเจ้า พระอวโลกิเตศวรฯ พระกษิติครรภ์ฯก็ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางเช่นกัน

....ในบางที่บอกว่าท่านเป็นองค์เดียวกันกับ"พระมาลัย"ของพุทธเถรวาท ซึ่งก็ไม่ใช่ความจริง เพราะเรื่อง"พระมาลัย"เป็นของที่แต่งขึ้น เป็นเรื่องที่พระภิกษุชาวสิงหลแต่งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๙๐๐ เศษ กล่าวถึงพระอรหันต์องค์หนึ่งซึ่งมากด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา กมลจิตสงบจากกิเลสที่มีนามว่าพระมาลัยเทวเถระ และยังมีอีกหลายตำรากล่าวต่างกันไป แต่คงเพราะท่านทั้ง2มีความเกี่ยวข้องกับการโปรดสรรพสัตว์ในอบายภูมิเหมือนกันคนจึงเอามารวมกัน

คุณธรรมของพระโพธิสัตว์ทุกองค์ที่ถือเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่มนุษย์อย่างเราๆได้ เช่น ความกรุณา ความเสียสละ ความเพียร ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม เราอาจทำได้ไม่มากอย่างท่าน แต่หากแม้น้อมนำมาใส่ตน แม้จะเพียงเล็กน้อยก็นับว่าเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง

ที่มา
ขอบคุณที่มาจาก internet

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...