19 กันยายน 2564

พระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์

พระองค์คือ ราชาแห่งพระมหาโพธิสัตว์ทั้งหมด จริงๆพระองค์สามารถที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้นานมากๆๆแล้ว .... #แต่พระองค์ทรงไม่

เพราะมีมหาปณิธานคือ 
"หากนรกยังไม่ว่างจากสัตว์ที่รับทุกข์ จะไม่ขอตรัสรู้พระโพธิญาณ"

นั่นคือ พระองค์ต้องช่วยให้นรกภูมิว่างเสียก่อน พระองค์จึงจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า.....

===========================

**พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ เอกอัครมหาปณิธาน(大願地藏菩薩)
**(Ksitigarbha Bodhisattva : Buddha of Aspiration)

***พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์
(大願地藏王菩薩)
เป็นหนึ่งในพระโพธิสัตว์ 4 พระองค์ ซึ่งเป็นที่นับถืออย่างยิ่งในศาสนาพุทธมหายานและวัชรยาน ร่วมกับ 
พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์
(大悲觀世音菩薩) 
พระสมันตภัทรโพธิสัตว์
(大行普賢菩薩) 
และพระมัญชุศรีโพธิสัตว์
(大智文殊菩薩 ) 
ทั้งสี่พระองค์นี้เราเรียกว่า
"จตุรมหาโพธิสัตว์"
(四大菩薩)
        พระนามเต็มของพระองค์ในภาษาจีนคือ "ต้าหยวนตี้จ้างผู่ซ่า" (จีนตัวเต็ม: 大願地藏菩薩พินอิน: Dàyuàn Dìzàng Púsà)
        นามของพระโพธิสัตว์องค์นี้อาจแปลได้ว่า "ขุมทรัพย์แห่งแผ่นดิน" 
("Earth Treasury"),
"คลังแห่งแผ่นดิน"
("Earth Store"), 
"บ่อเกิดแห่งแผ่นดิน"
( "Earth Matrix"), 
หรือ 
"ครรภ์แห่งแผ่นดิน" 
("Earth Womb")
(คลังแห่งกุศลความดีงาม)
"ราชาโพธิสัตว์กษิติครรภ
("ตี้จ้าง"地藏) 
ผู้มีปณิธานอันยิ่งใหญ่"
(大願) 
คำว่า 
"ต้าหยวนตี้จ้างผู่ซ่า" 
นี้เป็นชื่อตามสำเนียงจีนกลาง 
ญี่ปุ่นเรียกว่า 
"ไดกังจิโซโบะซะสึ" 
จีนแต้จิ๋วออกเสียงว่า
"ตี่จั่งอ๊วง"

...นามดังกล่าวนี้อ้างอิงถึงปณิธานของพระองค์ซึ่งปรากฏอยู่ในพระสูตรมหายานต่างๆ ระบุว่าจะทรงรับภาระในการสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งปวงที่ในอยู่ในกามภูมิทั้งหกในโลก อันได้แก่ นรกภูมิ, เปรตภูมิ, อสุรภูมิ, เดรัจฉานภูมิ, มนุสสภูมิ และเทวภูมิ (หมายความถึงสวรรค์ฉกามาพจรทั้ง 6 ชั้น) ตลอดยุคระหว่างศาสนาของพระโคตมพุทธเจ้าและพระศรีอริยเมตไตรย ด้วยบทบาทที่สำคัญดังกล่าว ศาลาหรือวิหารซึ่งอุทิศแด่พระโพธิสัตว์พระองค์นี้จึงมักปรากฏอยู่ในพุทธมหายานฝ่ายตะวันออก

เรื่องราวของพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ปรากฏครั้งแรกในพระสูตรมหายานชื่อ "กษิติครรภโพธิสัตวมูลปณิธานสูตร" (จีนตัวเต็ม: 地藏菩薩本願經 แต้จิ๋วเรียกว่า "ตี่จั่งอ๊วงพู่สักปึ้งหง่วงเก็ง") หนึ่งในพระสูตรมหายานอันเป็นที่นิยมนับถือมากที่สุด พระสูตรนี้กล่าวว่าพระโคตมพุทธเจ้า(พระศากยมุนีพุทธเจ้า)(本師釋迦牟尼佛)ครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ทรงตรัสเล่าก่อนจะจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตของพระองค์มาสู่ครรภ์ของพระนางสิริมหามายา แต่นักปราชญ์ส่วนมากเชื่อว่าถูกรวบรวมขึ้นในประเทศจีน เนื้อความของพระสูตรกล่าวถึงการบำเพ็ญกตัญญุตาธรรมของพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นมนุษย์ ซึ่งนำไปสู่การตั้งมหาปณิธานเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งมวล

... เพราะพระองค์ท่านมีมหาปณิธานว่า"ตราบใดที่นรกยังไม่ดับสูญสิ้นไป ข้าพเจ้าไม่ขอเข้าสู่พระนิพพาน"(地狱不空,誓不成佛,众生渡尽,方证菩提)

***พระองค์ท่านเดิมเป็นเจ้าชายแห่งแว่นแคว้นที่ในปัจจุบัน คือ #ประเทศเกาหลี(韓國)..ซึ่งมีพระประวัติกล่าวถึงเจ้าชายคิมเคียวกุ๊ก บางทีออกเสียงว่า"คิมเกียวกัก"(ภาษาเกาหลี) (金喬覺)(ในภาษาจีนกลาง คือ เจ้าชาย #จินเจียวเจี๋ย 金喬覺) หรือออกเสียงในสำเนียงจีนแต้จิ๋วว่า เจ้าชาย กิมเกียวกั๊ก) หนีการสืบราชสมบัติตามขัตติยะประเพณีมาออกบวชเป็นพระภิกษุ เดินทางมาพร้อมด้วยสุนัขคู่ใจ..จาริกจนมาถึงภูเขาจิ่วหัวซาน(九華山) มณฑลอานฮุย(安徽省)ประเทศจีน...พระมหาสมณะคิมเคียวกุ๊ก(金喬覺=จินเจียวเจี๋ย) ได้กระทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากทั้งในด้านการเผยแพร่พระพุทธธรรมคำสอน และในด้านการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามและสร้างสาธารณประโยชน์ เป็นที่เคารพศรัทธาแก่พุทธบริษัทและมหาชนเป็นอย่างมาก

เมื่อพระองค์ท่านมีสิริอายุได้99พรรษา(อยู่ที่อันฮุยรวม75 พรรษา)ก็ทำสมาธิแล้วละสังขาร มรณภาพด้วยอิริยาบถนั่งสมาธินั้นไปอีก 20 ปี พุทธบริษัทและชาวบ้านทั่วไปเห็นว่าพระศพท่านไม่เน่าเปื่อย ประกอบกับพระคุณความดีและมหาปณิธานของท่าน จึงแน่ชัดว่าท่านนั้นเป็นพระอริยเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์มาโปรดสัตว์ จึงพากันสร้างพระเจดีย์ครอบกายสังขารท่านไว้ แล้วถือศุภนิมิตรอันอัศจรรย์นี้ เลื่อมใสว่าภูเขาจิ่วหัวซาน(九華山)ที่ท่านมาจำพรรษาและบำเพ็ญธรรมจนละสังขารนี้เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ และได้รับความศรัทธาและยกย่องว่าเป็น1ใน 4 ภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์(จตุรมหาคีรี(四大名山))ของพระมหาโพธิสัตว์ทั้งสี่พระองค์จนถึงปัจจุบัน(ภูเขาจิ๋วหัวซานนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีที่นับถือพุทธนิยมมาสักการะกันอย่างเนืองแน่น)

.. โดยปกติพระพระรูปท่านมักสร้างหรือวาดเป็นพระภิกษุ ครองจีวร พระหัตถ์ขวาถือไม้เท้าคฑาธุดงค์(锡杖 ไม้คฑาเซียะเจี๋ยง)(หนึ่งในอัฏฐบริขารของพระภิกษุฝ่ายมหายาน และเป็นสัญลักษณ์ของการออกเดินทางโปรดสัตว์ การจาริกแสวงบุญ) พระหัตถ์ซ้ายถือดวงแก้วมณี สัญลักษณ์แห่งปัญญาและเป็นการสื่อว่า พระองค์ท่านเป็นดั่งดวงประทีปที่สุกสว่างท่ามกลางความมืด คือหมายถึงนรกภูมิ(รวมไปถึง เปรตภูมิ อสุรกายภูมิ)เพราะมหาปณิธานของท่าน คือ โปรดสัตว์ในนรกภูมิให้หมด จนกว่านรกจะไร้ดวงวิญญาณบาป ท่านจึงจะเข้าสู่พระนิพพาน บางทีพระรูปท่านก็จะใส่มงกุฏพระพุทธเจ้า 5 พระองค์(五佛冠) หรือที่เรียกว่า #เบญจพุทธโพธิมาลา หรือบางทีก็ไม่ใส่ ก็จะเป็นรูปพระภิกษุศรีษะโล้นตามปกติทั่วไป

..ในเรื่องคติการสร้างพระปฏิมากรของท่านให้สรวมเบญจพุทธโพธิมาลา หรือ ไวโรจนมาลา(毘盧遮那帽)นี่เป็นคติเพิ่มเติมในภายหลัง ซึ่งเป็นบริขารที่พระภิกษุฝ่ายวัชรยานสรวมใส่เมื่อกระทำพิธีโปรดสัตว์นรก(瑜伽燄口施食) ซึ่งพระมหาสมณะคิมเคียวกุ๊กท่านอยู่ในช่วง พ.ศ.1196 แต่ทิเบตได้รับพระพุทธศาสนาในปี พ.ศ.1184 โดยองค์หญิงเหวินเฉิง (文成公主)(บุ่งเซ้ง)พระราชธิดาในพระจักรพรรดิถังเกาจง(唐高宗)ทรงนำพระพุทธศาสนาไปเผยแพร่ด้วย คงยังไม่มีอิทธิพลอะไรย้อนมาถึงจีน แต่เนื่องจากปณิธาณของพระองค์ท่านมีความเกี่ยวข้องกับสรรพสัตว์ในอบายภูมิ(เปรตภูมิ นรกภูมิ อสุรกายภูมิ เดรัจฉานภูมิ)ช่างศิลป์จึงมักปั้นถวายให้พระองค์ท่านสวมหมวกนี้ เพื่อสื่อถึงพระคุณสมบัติของพระองค์ท่าน

*****#บุพพชาติแห่งพระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์****
พระกษิติครรภโพธิสัตว์ทรงถือกำเนิดเป็นบุตรีในสกุลพราหมณ์ครอบครัวหนึ่ง บิดาชื่อ "ชีรชิณณพราหมณ์" มารดาชื่อ "ยัฏฐีลีพราหมณี" บิดาได้ถึงแก่กรรมก่อนมารดา จึงทำให้อาศัยอยู่กับมารดาตลอดมา พระองค์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพราหมณี เป็นผู้มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป เป็นคนใจดีมีเมตตา อยู่ในศีลในธรรม ส่วนมารดานั้นกลับประพฤติตรงข้ามกับบุตรี ไม่นับถือพระรัตนตรัย ไม่เชื่อเรื่องกรรม ดูหมิ่นพระธรรมวินัย ไม่เชื่อเรื่องสวรรค์หรือนรก แม้ว่าพราหมณีบุตรีจะชักชวนหรือโน้มน้าวจิตใจอย่างไร เพราะนางยัฏฐีลีพราหมณีมีมิจฉาทิฏฐิรุนแรง ต่อมา นางยัฏฐีลีพราหมณี ได้ถึงแก่กรรมลง ผลกรรมที่นางทำไว้ทำให้นางไปตกนรก
ฝ่ายนางพราหมณีบุตรี
เมื่อมารดาของนางสิ้นชีพไปแล้ว นางก็แน่ใจว่าต้องไปสู่ทุคติเป็นแน่ นางจึงขายทรัพย์สินและที่ดินมากมายเพื่อนำเงินนั้นไปทำบุญแก่วัดวาอารามต่างเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและบริจาคเป็นสาธารณกุศลอีกมาก ทั้งนางยังสมาทานศีลและตั้งมั่นในพระรัตนตรัยถือศีลห้า งดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์และของคาว เจริญภาวนา-ทำสมาธิแผ่เมตตาอย่างแน่วแน่ ไม่ย่อท้อ ทั้งบูชาพระพุทธปฏิมาด้วยดวงประทีปและของหอม(สุคนธบูชา)อยู่เป็นนิจ ด้วยหวังผลบุญอานิสงค์จะได้ไปถึงแก่ดวงวิญญาณของมารดาที่ไปรับผลกรรมในนรกภูมิ
เนื่องจากการปฏิบัติธรรมอย่างเสมอต้นเสมอปลายเรื่อยมา ทำให้วันหนึ่งนางพราหมณีบุตรีได้ยินเสียงทิพย์กระซิบบอกนางว่า

"ดูกร พราหมณี จงหยุดเศร้าโศกเถิด ตถาคตจะชี้ทางให้"

นางพราหมณี เกิดความยินดีอย่างมาก ก้มลงกราบและอธิษฐานว่า

"ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระเมตตา โปรดบอกที่อยู่ของมารดาของข้าพระองค์ด้วยเถิด เนื่องจากข้าพระองค์ได้ตั้งจิตไว้ว่า จะขอพบมารดาเพื่อทราบความเป็นอยู่ของท่านว่ามีสุขทุกข์อย่างไรบ้าง แม้จะต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็ยินดี หากจะช่วยเหลิอมารดาของข้าพระองค์ให้มีความสุขได้"

แต่หลังจากนั้น เนื่องจากไม่มีเสียงตอบรับใดๆ อีกเลย นางจึงบังเกิดความเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้จนเป็นลมไป พอนางฟื้นขึ้นมา นางก็ได้ยินเสียงทิพย์เข้ามาที่หูว่า

"ดูกร พราหมณี จงหยุดเศร้าโศกเถิด บุญกุศลที่เจ้าทำทั้งการสักการะบูชาพระพุทธเจ้า และการบริจาคทานนั้น บุญกุศลแรงนัก จงหมั่นปฏิบัติบำเพ็ญต่อไป จะบังเกิดผลแก่มารดาดังความปรารถนา"
ทำให้นางดีใจและปิติสุขอย่างมาก และอธิษฐานขอให้นางได้พบมารดาดังที่หวังไว้

ต่อมานางพราหมณีบุตรีได้นั่งเจริญวิป้สสนากรรมฐานอย่างแน่วแน่ บุญกุศลได้ดลบันดาลให้วิญญาณของนางออกจากร่างไปสู่ยังมหาสมุทรแห่งหนึ่ง ซึ่งน่ากลัวมาก น้ำทะเลที่นั่นเป็นน้ำเดือด และมีอสูรกายตัวใหญ่น่ากลัวกำลังไล่จับดวงวิญญาณทั้งหลายที่ลอยคออยู่ในน้ำจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เพื่อฉีกกินเป็นอาหาร น่ากลัวมากจนนางไม่กล้าหันไปมองด้วยความกลัวและสงสารสรรพสัตว์เหล่านั้น

ในระหว่างนั้นเอง ได้มีเทพอสูร นามว่า "บ่อตั๊ก"(อสูรอนุราช) และบริวาร ได้เดินตรงเข้ามาหานางและพนมมือไหว้ และกล่าวว่า

"สาธุ พระโพธิสัตว์ผู้เจริญ ท่านมาถึงแดนนรกนี้ ด้วยเหตุใด"
นางพราหมณีบุตรีจึงตอบว่า

"ข้าพเจ้ามีความประสงค์อยากทราบความเป็นอยู่ของมารดา ชื่อ ยัฏฐีลีพราหมณี ซึ่งได้ถึงแก่กรรมเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ทราบว่าตอนนี้วิญญาณของนางไปอยู่ที่แห่งใด ข้าพเจ้าเป็นห่วงมารดามาก ขอโปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้าได้พบมารดาด้วยเถิด"

เทพอสูรเมื่อได้ฟัง จึงกล่าวตอบว่า

"ข้าแต่พระโพธิสัตว์ผู้เจริญ มารดาของท่านนามว่า ยัฏฐีลีพราหมณี ได้เคยตกลงมาในดินแดนนรกภูมินี้ แต่เนื่องจากนางได้รับบุญกุศลอันประเสริฐและยิ่งใหญ่จากการที่ท่านได้บำเพ็ญกุศลมาให้ มารดาของท่านได้ไปพ้นจากแดนนรกไปสู่สุคติแล้ว" เมื่อกล่าวแล้วก็พนมมือไหว้แล้วลาจากไป

เมื่อนางได้ทราบดังนั้น นางจึงมีความยินดีและหมดห่วงในตัวมารดา #แต่นางกลับเกิดความสงสารบรรดาสรรพสัตว์ที่ตกนรกและได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสเหล่านั้น จึงเกิดความเมตตาอันแรงกล้าที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ในนรกเหล่านั้น
นางพราหมณีบุตรี จึงอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูป ขอถือศีลภาวนา บำเพ็ญบารมี เพื่อโปรดสรรพสัตว์ในนรกภูมิ และอบายภูมิทั้งปวง แม้ในอนาคตกาล ก็ขอแน่วแน่ให้มีจิตตั้งมั่นในพุทธภูมิ อย่าได้เบื่อหน่ายต่อการบำเพ็ญบารมีทั้งปวง

ด้วยเหตุที่ทรงตั้งปณิธานบำเพ็ญบารมีเช่นนี้ จึงทำให้นางพราหมณีบุตรี เมื่อหมดอายุขัยก็ได้กลับชาติมาเกิดเป็นบุรุษ และบำเพ็ญเพียรสร้างสมบารมี จนได้เป็นพระโพธิสัตว์ พระนามว่า #พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ อันมีความหมายว่า ครรภ์แห่งแผ่นดิน คลังแห่งแผ่นดิน(#คลังแห่งกุศลความดีงาม)

ในประเทศญี่ปุ่นมีการถวายความสำคัญแด่พระองค์เพิ่มขึ้นเป็นพิเศษกว่าประเทศที่เป็นพุทธอื่นๆ คือ #ถือกันว่าท่านเป็นผู้คุ้มครองดวงวิญญาณเด็กที่เสียชีวิตโดยสาเหตุต่างๆ #หรือเสียชีวิตจากการทำแท้ง ในวัดพุทธที่ประเทศญี่ปุ่นในหลายๆวัดเขามีการสร้าง การแกะสลักพระปฏิมาของท่านจำนวนหลายๆองค์ในวัดเดียวก็มี บางทีมีท่าอุ้มเด็กไว้ในอ้อมกอดท่านด้วย บางทีก็มีคนเอาเอี๊ยมสีแดงไปผูกถวายท่านเพื่อให้กุศลถึงเด็กๆที่เสียชีวิตไปแล้วก็มี คุณแม่บางคนที่สูญเสียลูกและมีกำลังทรัพย์หน่อย เขาก็จะสร้างพระ จิโช โบซัทสึ(พระกษิติครรภ์ฯ)ไปถวายวัด พร้อมบรรจุเถ้ากระดูกของเด็กไว้ที่ฐานพระเพื่อให้พระองค์ท่านช่วยเมตตานำพาดวงวิญาณเด็กไปสู่สุคติภูมิ...

ในประเทศไทย ซึ่งมีการนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน รวมไปถึงประเทศอื่นๆด้วยนั้น เราเห็นพระรูปท่านในพระอุโบสถ ซึ่งท่านจะอยู่ทางขวามือของพระประธาน หรือบางทีสร้างเป็นวิหารแยกออกไปต่างหากก็มี แต่จะอยู่ทางขวามมือของพระประธานเสมอ(ในขณะที่ทางซ้ายมือของพระประธานจะเป็น พระอวโลกิเตศวรฯ หรือ พระกวนอิม) กับเราจะเห็นพระรูปท่านในพิธี กงเต็ก(功德儀式)(ทักขิณานุปาทาน) หรือ พิธีชวาลมุขเปรตพลี-ตันตระมหาโยคะกรรม(ทิ้งกระจาดโปรยทาน) ซึ่งล้วนแต่เป็นพิธีที่เกี่ยวข้องกับคนตายและดวงวิญญาณทั้งสิ้น..

จนเดี๋ยวนี้มีคำกล่าว(ที่ไม่ค่อยตรงกับคติเดิมแท้ในการนับถือพระโพธิสัตว์) คือกล่าวว่า...พระกวนอิมโปรดคนเป็น พระตี่จั๊งโปรดคนตาย...#ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะวิสัยแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งปวงนั้น ไม่เลือกโปรดสัตว์...พระองค์ท่านโปรดได้ทั้งคนเป็น คนตาย ทั้ง เทพ มาร พรหม มนุษย์ อมนุษย์ เดรัจฉาน คนยากดีมีจน เชื้อชาติใดๆท่านก็ทรงโปรดให้พ้นทุกข์ได้เช่นกัน..เพียงแต่พระองค์ท่านเด่นชัดโดยลักษณะของปณิธานที่ท่านมีความเมตตากรุณาต่อดวงวิญญาณในนรกภูมิเท่านั้นเอง คนเป็นก็สามารถบูชาและขอพรพระองค์ท่านได้เช่นกัน...แม้แต่พระอวโลกิเตศวรฯ(พระกวนอิม)ท่านก็มีนิรมาณกายปางต่างๆที่ไปโปรดสัตว์ในนรกภูมิหรืออบายภูมิ เช่นกัน นี่ยังไม่รวมไปถึงความเชื่อผิดๆที่ว่า ห้ามตั้งบูชาพระรูปพระกษิติครรภโพธิสัตว์ไว้ที่บ้าน เพราะดวงวิญญาณภูติผีจะตามท่านมาด้วย...ซึ่งแน่นอนว่า ไร้สาระ..=v=''

...ในพระอุโบสถอย่างพุทธนิกายมหายาน มีการสร้างวิหารถวายแด่พระองค์ โดยมีพระอุโบสถของพระพุทธองค์อยู่ตรงกลาง วิหารด้านขวามือของอุโบสถคือวิหารพระกษิติครรภ์ วิหารซ้ายมือของอุโบสถคือวิหารพระอวโลกิเตศวร อีกทั้งการบูชาพระองค์ท่านแบบไตรภาคี(3ประสาน娑婆三聖)คือ พระศากยมุนีพุทธเจ้า พระอวโลกิเตศวรฯ พระกษิติครรภ์ฯก็ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางเช่นกัน

....ในบางที่บอกว่าท่านเป็นองค์เดียวกันกับ"พระมาลัย"ของพุทธเถรวาท ซึ่งก็ไม่ใช่ความจริง เพราะเรื่อง"พระมาลัย"เป็นของที่แต่งขึ้น เป็นเรื่องที่พระภิกษุชาวสิงหลแต่งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๙๐๐ เศษ กล่าวถึงพระอรหันต์องค์หนึ่งซึ่งมากด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา กมลจิตสงบจากกิเลสที่มีนามว่าพระมาลัยเทวเถระ และยังมีอีกหลายตำรากล่าวต่างกันไป แต่คงเพราะท่านทั้ง2มีความเกี่ยวข้องกับการโปรดสรรพสัตว์ในอบายภูมิเหมือนกันคนจึงเอามารวมกัน

คุณธรรมของพระโพธิสัตว์ทุกองค์ที่ถือเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่มนุษย์อย่างเราๆได้ เช่น ความกรุณา ความเสียสละ ความเพียร ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม เราอาจทำได้ไม่มากอย่างท่าน แต่หากแม้น้อมนำมาใส่ตน แม้จะเพียงเล็กน้อยก็นับว่าเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง

ที่มา
ขอบคุณที่มาจาก internet

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...