“ถ้าจะมาทางนี้มันต้องปฏิบัติอย่างจริงจัง”
ความสุขทางโลก ความสุขทางลาภยศสรรเสริญ ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายนี้ เป็นความสุขไม่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นความสุขที่ผสมด้วยความทุกข์ ๕๐: ๕๐ ดังนั้น ถ้าเราไม่ได้มาฟังเทศน์ฟังธรรม เราก็ยังจะต้องอยู่กับความทุกข์ไปเรื่อยๆ เพราะเราก็ยังจะต้องไปหาความสุขจากลาภยศสรรเสริญ หาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่อไป ถึงแม้ว่าจะได้ยินได้ฟังแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าหาความสุขที่แท้จริงได้ เพราะความสุขที่แท้จริงนี่ มันก็เป็นสิ่งที่ยากต่อการเข้าถึง
ดังนั้น บางทีมาฟังเทศน์ฟังธรรมแล้ว ถึงแม้รู้ว่าความสุขที่ได้จากลาภยศสรรเสริญ ที่ได้จากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ จะมีความทุกข์ตามมา ก็ยอมรับว่า อย่างน้อยตอนนี้เอาสุขก่อน ส่วนมันจะทุกข์มาทีหลังค่อยว่ากัน เพราะว่าอยู่โดยที่ไม่มีความสุขนี้มันอยู่ไม่ได้ อยู่โดยที่ไม่ได้เสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนี้ มันจะทำให้เกิดความซึมเศร้า เกิดความว้าเหว่ เกิดความเศร้าสร้อยหงอยเหงา เกิดความหงุดหงิด เกิดความรำคาญใจต่างๆ ขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าเป็นความสุขที่จะเป็นความทุกข์ต่อไป
แต่อย่างน้อยตอนนี้มีความสามารถ ที่จะหาส่วนที่เป็นสุขได้ ก็หาไปก่อน ส่วนเวลาที่จะไปเจอความทุกข์ ก็ขอไปตายดาบหน้าก็แล้วกัน เพราะว่าจะเข้าหาความสุขที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ก็ไม่มีกำลัง ไม่มีความสามารถ เพราะว่ายังไม่ได้ฝึกฝนอบรมจิตใจให้มีกำลัง ที่จะเข้าหาความสุขที่แท้จริงได้ แต่สำหรับคนบางคน อาจจะมีบุญเก่า อาจจะมีความสามารถที่จะทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนได้ สามารถรักษาศีลได้ สามารถไปอยู่วัดได้ สามารถไปบวชได้
คนพวกนี้ก็สามารถที่จะเข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้ แต่อย่างน้อยก่อนที่จะเข้าถึงได้ ก็ต้องได้ศึกษา ได้เรียนรู้ก่อน เมื่อเรียนรู้แล้ว ทีนี้ก็จะได้เลือกทางเอา ว่าจะเอาทางไหน จะเอาทางของทางลาภยศสรรเสริญ ทางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ หรือจะเอาทางของ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าพิจารณาโดยรอบคอบแล้วจะเห็นว่า ถ้าเลือกเอาลาภยศสรรเสริญ เอาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องเจอความทุกข์ หนีไม่พ้น จะต้องเจออย่างแน่ๆ เพียงแต่ว่าไม่รู้จะเจอตอนไหน เท่านั้นเอง
แต่ถ้าเลือกทางแห่ง ศีล สมาธิ ปัญญา ก็จะเจอแต่ความสุขไปตามลำดับ ตามกำลังของการปฏิบัติ แต่จะต้องใช้ความอดทน ใช้ความขยัน จะต้องใช้กำลังต่อสู้ ที่จะดึงจิตใจให้ออกจากการไปหาลาภยศสรรเสริญ ไปหารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ เพราะว่าใจมันติดอยู่กับลาภยศสรรเสริญ สุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย เหมือนกับคนที่ติดยาเสพติด เหมือนคนที่ติดบุหรี่ ติดสุรา ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็จะเลิกได้ ต้องใช้ความพยายาม ต้องใช้ความอดทน ถึงจะเลิกได้ ถึงจะได้ไปหาความสุขทาง ศีล สมาธิ ปัญญาได้ เช่น ศีล ๘ นี่ ถือกันไม่ค่อยได้กัน ก็เพราะว่าศีล ๘ จะห้ามไม่ให้เราหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย
มันก็เลยทำให้เราไม่อยากจะรักษาศีล ๘ กัน ศีล ๕ นี่ก็ยากพอสมควรแล้ว แต่พอให้รักษาศีล ๘ นี่ มันยิ่งยากใหญ่ เพราะว่ามันเหมือนกับตัดการหาความสุขที่เราเคยหากัน เคยหาความสุขจากการดูการฟัง จากการดื่มการรับประทาน พอให้ตัดไม่ให้หา มันก็เลยไม่รู้จะทำยังไง มันไม่มีความสุข แต่ถ้าคิดว่าต้องมาพยายามปฏิบัติ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติให้ได้ ถ้าเรามีความตั้งใจที่แน่วแน่ และมีความเพียรพยายาม มีความอดทน ในช่วงที่ต้องถือศีล ก็เพียรพยายามปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
ถ้าจะมาทางนี้ มันจะต้องปฏิบัติอย่างจริงจัง ปฏิบัติแบบเหมือนกับไปทำงานเลย เป็นอาชีพเลย ถ้าปฏิบัติแบบเป็นมือสมัครเล่นอย่างนี้ มันจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ ได้ก็ไม่มาก จะไม่ก้าวหน้า ถ้าอยากจะได้ผลแบบเต็ม ๑๐๐ อย่างนี้ จำเป็นที่จะต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับการปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างเต็มที่ อย่างที่นักบวชทั้งหลายเขาทำกัน เขาลาออกจากงาน เคยมีอาชีพอะไร เขาก็ไม่ทำแล้ว มาทำอาชีพของนักบวช นักบวชก็มีอาชีพ รักษาศีล แล้วก็มีอาชีพนั่งสมาธิ มีอาชีพเจริญปัญญา
นี่คืออาชีพของนักบวช หน้าที่ของนักบวช ถ้าทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับการกระทำเหล่านี้ เดี๋ยวไม่ช้าก็เร็ว ความสงบก็จะปรากฏขึ้นมา ความสุข ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็จะปรากฏขึ้นมา ในช่วงแรกๆ ก็จะปรากฏขึ้นมาเป็นแวบๆ เป็นพักๆ แต่ถ้ามีการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง อย่างสม่ำเสมอ และมีการปฏิบัติถึงขั้นปัญญา ความสุข ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นี่ก็จะอยู่อย่างต่อเนื่อง อยู่คู่กับใจไปตลอด ให้ความสุขความสบายใจไปตลอด ไม่มีวันสิ้นสุด
ที่มา
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑
#พระจุลนายก พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น