14 มิถุนายน 2565

บุญแห่งกรรมฐานสามารถช่วยพ่อแม่พ้นนรกได้

บุญแห่งกรรมฐานนี้เราสามารถช่วยสัตว์นรกได้ แต่ถ้าสัตว์นรกดวงจิตวิญญาณใดที่เค้ายังตกนรกใช้กรรมอยู่ บุญอาจจะไปไม่ถึง แล้วต้องทำอย่างไร ขอให้เราอธิษฐานบุญฝากบุญกุศลนี้ให้กับพญายมราชเจ้าท่าน ให้เค้าได้รับบุญกุศล ฝากไปถึงดวงจิตวิญญาณทั้งหลายที่ยังได้รับโทษทัณฑ์ ที่เค้ามีบุพกรรมมีบุญต่อเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถึงบิดามารดาของเรา ให้อธิษฐานไป 
ยิ่งเป็นวันพระวันเจ้าแล้วยิ่งดียิ่งมีอานิสงส์ เค้าเรียกว่ามันปลอด เมื่อวันพระวันเจ้าหรือวันปลอด..ปลอดอย่างไร นรกเค้าจะหยุดทำงาน มันก็เป็นการเยี่ยมหาญาติมิตรได้โดยตรง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแลบิดามารดาตาทวดของเรายังได้ชดใช้กรรมอยู่ เรานั้นเป็นทายาท นั้นบุญกุศลอันใดที่เราจะตอบแทนผู้มีคุณเราควรเจริญไปให้มากๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

บิดามารดาที่เค้าอยู่หรือล่วงลับไปแล้ว ถ้าเค้าไม่ได้เคยเจริญกรรมฐานจะพ้นนรกไปไม่ได้หรอกจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แม้แต่เราเองก็ตาม ถ้าไม่ได้เจริญกรรมฐานก็จะหาว่าพ้นนรกได้ไม่ ต่อเมื่อเราได้รู้กรรมฐานแล้วนี่แลที่จะช่วยสัตว์นรกได้ แล้วก็ช่วยเลื่อนภพเลื่อนภูมิตัวของเราเองได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

ดังนั้นแล้วถ้าเรายังไม่เจริญ ยังไม่สุข บิดามารดาผู้ให้กำเนิดของเราเค้าก็ยังไม่สุขหรอกจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้ายังร้อนอยู่ เพราะไฟเรายังไม่ดับ ที่ไม่ดับเพราะอะไร เพราะเรายังมีกรรมเป็นทายาทอยู่ เรายังไปรับเชื้อมาอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันยังดับไม่ได้หรอกจ้ะ เมื่อยังดับไม่ได้ต้องทำอย่างไร เราก็ต้องมาละมาตัดซะ เมื่อดับมันเย็นได้ เมื่อเย็นได้เราก็แผ่เมตตาจิตออกไป เพื่อเอาความเย็นของบุญกุศลนี้แลเพื่อไปชโลมให้การทุกข์ทรมานของสัตว์นรกนั้นได้เบาบาง 

แล้วโยมจะรู้ได้หรือไม่ว่าสัตว์นรกของโยม..ว่าคนนี้ไม่ใช่ญาติเรา คนนี้ดวงจิตนี้ไม่ได้มีบุพกรรมกับเรา ล้วนแล้วสรรพสัตว์ในโลกทุกจิตวิญญาณไม่ว่ามีช่องว่างไม่เว้นที่เราจะรู้ไม่รู้ก็ตามที..ล้วนแล้วเคยเกิดมามีบุพกรรมร่วมกันทั้งสิ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ 

ดังนั้นโยมสามารถแผ่เมตตาจิตให้ทั่วจักรวาลพิภพได้ทั้งหมดเลย แม้โยมที่จะมาเกิดในโลกนี้ แม้ยังไม่เคยเจอหน้า แม้เคยเจอหน้าแล้วก็ดีจะด้วยวาระบุพกรรมอันใดก็ตาม เป็นมิตร เป็นศัตรูอะไรก็ตาม ล้วนแล้วเคยเกิดมาเป็นญาติพี่น้อง เป็นบิดามารดา เป็นคู่สามีภรรยา เป็นลูกเป็นหลานหมดแล้วทั้งสิ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

เค้าถึงว่ามีศีลเพื่อเป็นการเป็นเกราะป้องกัน เพราะเกิดมาพอก็มีลูกมีหลาน เกิดระลึกชาติได้ว่าลูกคนนี้เคยเป็นสามีภรรยากัน เกิดความกำหนัดเกิดกิเลสตัณหา อันว่ามีศีลมาเพื่ออะไร พระพุทธองค์ท่านได้เล็งเห็นแล้วว่า สัตว์นรกนั้นเมื่อขาดจากศีลแล้วความละอายหรือการจะมีหิริโอตัปปะนั้นมันเกิดขึ้นได้ยาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

ดังนั้นขอให้โยมจงเจริญเมตตาจิตเจริญพรหมจรรย์ให้เข้าถึง เพื่อเป็นที่ๆจะไปช่วยเหลือปลดปล่อยดวงสรรพวิญญาณทั้งหลาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมสวดมนต์เจริญเมตตา ณ ที่ใด แผ่เมตตา ณ ที่ใด ที่ตรงนั้นมันก็ดับความเร่าร้อนได้ เมื่อดับความเร่าร้อนได้ เทวดาก็จะมีมากที่นั่น เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเมื่อสดับฟังมนต์ไปมากๆแล้ว เค้าก็จะเลื่อนภพเลื่อนภูมิได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต

ติดตามข้อมูลข่าวสารกิจกรรมของมูลนิธิได้ทาง https://www.facebook.com/mprs.foundation
ติดตาม คลิปธรรมะได้ทาง YouTube channel : ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

12 มิถุนายน 2565

เรื่อง.* แดนมนุษย์ อยู่ที่ ดาวราหู หรือ ดาวหลุมดำ *

* หลวงพ่อฤาษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ..เล่าให้ฟัง

..." แดนใด ถ้าปฏิบัติในกรรมบท ๑๐ ได้ครบถ้วน แดนนั้นเขาเรียกกันว่า.. "แดนมนุษย์".

~ ถ้าแดนใด ปฏิบัติกรรมบท ๑๐ ไม่ครบถ้วนก็ถือว่า.. "แดนคน" 

* ทีนี้ ถ้าถามว่า.. แดนมนุษย์จริง ๆ อยู่ที่ไหน.. บอกให้ก็ได้แต่ใครจะไปได้..

* ที่เขาเรียกกันว่า.. "ดาวราหู" ที่ฝรั่งเรียกว่า.. "ดาวหลุมดำ" นั่นแหละ  

* ไอ้ดาวดวงนี้ ข้างหลังดวงดาวขึ้นไป มันเป็นพิภพ ก็เป็นดินแดนอย่างของเรา มีบ้านมีโรงเรือน มีภูเขา มีแม่น้ำ มีมหาสมุทร มีทุกอย่างอย่างของเราหมด..

* แต่ว่า ดินแดนแห่งนั้น อันดับแรก.. เขามีพรหมวิหาร ๔ เป็นพื้นฐาน และมีกรรมบท ๑๐ เป็นข้อวัตรปฏิบัติ..

* แดนนั้นทั้งหมด ไม่มีคนจน คำว่า.. ยากจนเข็ญใจไม่มี.. คนสวยทั้งหมด.. เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความสุข..

~ นี่ พูดถึงมนุษย์ก็เลยพูดให้ฟัง ความจริงมันมีเยอะกว่านี้ เป็นดินแดนที่ไม่ละเมิดกรรมบท ๑๐ ก็สบายใจ..

~ แล้ว การทะเลาะกันไม่มี การฆ่ากัน แย่งกันไม่มี.. การรบราฆ่าฟันไม่มี ของหายไม่มี.. การแย่งความรักกันก็ไม่มี ทุกคนพูดตามความเป็นจริง พูดไพเราะ พูดเพื่อความสามัคคี เพียงเท่านี้ก็แล้วกัน..  

~ ถ้าถามว่า : พิภพนี้ อยู่ที่ไหน..  

~ ก็ขอตอบว่า : อยู่ในจักรวาลของมนุษย์ ไม่ใช่สวรรค์..."

( จากหนังสือ *ธัมมวิโมกข์* พ.ศ. ๒๕๖๐ ฉบับที่ ๔๔๐ หน้าที่ ๕๒-๕๓ ของวัดท่าซุงจ.อุทัยธานี )

สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ ไว้ดังนี้

ถ้าหากพวกเจ้าเข้าใจธรรมที่ตถาคตตรัสมาทั้งหมดนี้ได้ดีแล้ว ก็จักเห็นได้ว่า การกวาดวัด การช่วยทำความสะอาดเก็บขยะ การช่วยบำรุงรักษาซ่อมแซมวัตถุต่าง ๆ ในวัด โดยเอากายทำงานทางโลก แต่จิตอยู่กับพระธรรม คือ เอางานที่ตนทำนั้นมาพิจารณาให้เป็นพระกรรมฐาน ได้ทั้งสมถะและวิปัสสนาในคราวเดียวกัน ทำทุกอย่างโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น ทำทุกอย่างก็เพื่อพระนิพพานจุดเดียว เป็นผู้ไม่ประมาทในความตาย คิดเสมอว่าเราจักทำให้ดีที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย เพราะความตายเป็นของเที่ยง แต่ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง มีมรณา ควบอุปสมานุสสติ ไว้เป็นปกติ และมี กายคตานุสสติ ควบอสุภะ ไปในตัว โดยไม่ลืมการกำหนดรู้ลมหายใจ (อานาปา) เพื่อ ให้จิตสงบเป็นสุขอยู่เสมอผลที่เราได้รับจากกรรมหรือการกระทำของเราเป็นการตัดได้ทั้งความโลภ - ความโกรธ - ความหลงไปในตัว เป็นการทำให้เกิดปัญญาตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานได้ในที่สุด ก็คือ การให้ธรรมทานกับจิตตนเอง ซึ่งชนะทานทั้งปวง จัดเป็นบุญสูงสุดในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นอภัยทานด้วย คือ อภัยให้กับความชั่วของผู้อื่น เพื่อที่จักชนะความชั่วของตัวเราเองนั่นเอง ขอให้พวกเจ้าหมั่นทบทวนจุดนี้ให้ดี ๆ

จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๘ รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน คัดลอกโดย ด.ญ.ปุณยนุช ขจรนิธิพร (ลูกหลาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน สนับสนุนเครื่องคอมฯ ในการโพสต์ธรรมทานนี้ค่ะ)

08 มิถุนายน 2565

ตายจากทายกวัดไปรอที่สำนักท่านพระยายามแล้วไปเกิดเป็นเทวดาชั้นยามา

⚜️

     ณ สำนักท่านพระยายม(ท่านลุง) ไม่ชอบใจเลยแถวยาวเหยียดนั่นไปนรกหมด(หลวงพ่อฤาษีกล่าว) ต่อมามีชายคนนึงรูปร่างใหญ่ผิวคล้ำอายุ 70 ปี ชื่อ นายกิ่ง ได้ยินประกาศเธอเป็นทายกวัดเป็นคนเคร่งครัดในระเบียบคนศรัทธามาก แต่ทว่าเบื้องหลังชอบบังคับพระให้อยู่ในอำนาจ ชอบเอาของสงฆ์เข้าบ้านมีมากมาย เมื่อเสียงประกาศจบ ท่านลุงถามว่าเธอทำอย่างนั้นจริงหรือ นายกิ่งตอบว่าจริงดังนั้นทุกประการ ท่านลุงบอกว่าเธอทำกรรมหนักมากเอาของสงฆ์มาใช้ถึง 31 ปี โทษนี้ลงอเวจีมหานรกและนรกอีกหลายขุม นายกิ่งก้มหน้าน้ำตาไหล

    ส่วนที่เป็นกุศล นายกิ่ง รักษาศีล 5 บริสุทธิ์ทุกสิขาบทมีเรื่องเดียวที่เสียคือบังคับพระให้อยู่ในอำนาจ และนำของสงฆ์ไปเป็นครั้วคราว และ ชอบสวดมนต์บูชาพระด้วยความตั้งใจเคารพเป็นปรกติ ชอบใส่บาตรเป็นประจำ เคยถวายสังฆทาน มีผ้าไตร จีวร ของใช้ อาหารแห้ง ถวายพระพุทธรูป 1 ครั้ง บทสวดที่ชอบสวดที่สุดคือ ธรรมจักร ท่านลุงถามว่าที่เขาพูดนั่นจริงหรือ นายกิ่งตอบว่าจริงทุกประการ 
 
      ท่านลุงบอกว่าทำบุญอย่างนี้น่าจะไปสวรรค์โดยตรงไม่น่ามาที่นี่ ท่านถามว่าก่อนที่เขาจะนำเธอมาไม่ได้นึกถึงบุญเลยหรือ นายกิ่งตอบว่าตอนป่วยใหม่ๆ นึกถึงตอนสวดมนต์และถวายสังฆทาน แต่พอใกล้ตายมีเสียงเหมือนใครเอาของหนักมาขว้างที่ฝาบ้านดังปัง ตกใจลืมบุญหมดใจว้าวุ่น พร้อมอาการแน่นจุกเสียด เกิดอารมมืด แล้วเขาก็มารับขอให้ตามมา

     ท่านลุงบอกเออดี ยังนึกถึงบุญกุศลได้เอ็งไปรับผลความดีก่อน เรื่องอเวจีเอาไว้ภายหลัง อานิสงฆ์สวดมนต์ทำให้เป็นเทวดาชั้นยามา สังฆทานเป็นเหตุให้มีวิมานและเครื่องประดับทิพย์ การถวายพระพุทธรูปทำให้เป็นเทวดาที่มีอานุภาพมาก เป็นเทวดาเพียรสร้างความดี อย่าพลัดลงมาอีกนะ ชั้นช่วยได้แค่นี้ ท่านลุงกล่าว 

📔พิมพ์จากหนังสือตายแล้วไม่สูญ ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 51 หน้าที่ 135-136 
⚜️คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง)จ.อุทัยธานี 🙏🙏
📍เพจ:คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน🙏🙏  

🖊พิมพ์ธรรมทาน วิมลฉัตร สุวรัตนานนท์ 🥰🥰

ปัญหาการฝึกมโนมยิทธิแบบพิเศษ

💫ปัญหาของผู้ไม่เคยฝึกมาก่อน💫

หลวงพ่อ : "คำว่า มโนมยิทธิ แปลว่า มีฤทธิ์ทางใจ มโนมยิทธินี่เป็นการเตรียมอภิญญา จะเรียกวิชชาสามตรงก็เข้มเกินไป จะเรียกอภิญญาก็ยังอ่อนอยู่ เป็นการเตรียมอภิญญา เตรียมเพื่อรับอภิญญาหก
    วิชชาสามจริงๆ ไปไม่ได้แต่เห็นได้ นั่งอยู่ตรงนี้ สามารถเห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นพระอริยะ สามารถคุยกันได้ นั่งอยู่ตรงนี้ สามารถคุยกับเปรตได้ คุยกับอสูรกายได้ คุยกับพวกสัตว์นรกได้ แต่ก็นั่งตรงนี้เอง
    ทีนี้สำหรับมโนมยิทธินี่ก็เป็นอภิญญาทางใจส่วนหนึ่ง ต้องถือว่าเป็นกึ่งหนึ่งของอภิญญา เพราะว่าสามารถเอาจิตไป เอากายในไป ทว่าถ้าเป็นอภิญญาจริงๆ เขายกตัวไปเลย จะไปสวรรค์ ไปพรหมเขาเอาตัวไปเลย นั่นต้องใช้กำลังเข้มแข็งกว่า สูงกว่า แต่ว่ากันโดยผลก็มีผลเสมอกัน เพราะไปเห็นมาได้เหมือนกัน"

ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ ถ้าอย่างดิฉันต้องการฝึกบ้าง ต้องใช้เวลากี่วันคะ...?"

หลวงพ่อ : "ก็สุดแล้วแต่คุณจะทำได้ ถ้าคนทำได้เร็วไม่ถึงวันก็ได้ อันนี้จริงๆ นะ ถ้าทำได้เร็วใช้กำลังใจถูกต้อง โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้หญิงนี่ได้เร็วมาก เพราะพวกผู้หญิงนี่ไม่ค่อยสงสัย เพราะตัวสงสัยเป็นตัวนิวรณ์ ส่วนใหญ่จริงๆ พวกผู้หญิงนี่มักจะเป็นได้วันแรก นี่พูดถึงส่วนใหญ่นะ แต่พลาดมาวันที่ ๒ ที่ ๓ ก็มี ใช้เวลาไม่มากหรอกเราไม่ต้องนับเดือน ไม่ต้องนับปีกัน
    ถ้าคุณจะฝึก คุณต้องไปซ้อมกำลังใจเสียก่อน ถ้าซ้อมกำลังใจให้ทรงตัวมาวันแรกก็ได้ มันอยู่ที่ความเข้าใจ คือ ไม่ต้องทำอะไรมาก ทรงอารมณ์ไว้เฉยๆ หายใจเข้านึกว่า นะ มะ หายใจออกนึกว่า พะ ธะ ไม่ต้องทำให้มันเครียดหรอก ให้มันชินเท่านั้นเอง
    คำว่า ชิน หมายความว่า ถ้าให้เราภาวนาอย่างนี้เมื่อไรเราภาวนาได้ ไม่ต้องไปนั่งเครียดทั้งวันทั้งคืน ซ้อมให้ทรงตัวนะ"

ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ อย่างเรามีศรัทธา จะฝึกมโนมยิทธิ เรามีความจำเป็นไหมคะ ที่เราจะต้องรู้รายละเอียดในความหมายของคำภาวนา นะ มะ พะ ธะ"

หลวงพ่อ : "ก็ไม่ต้องไปละ อยู่ที่เดิมน่ะ ถ้าฉลาดแบบนั้นไปไหนไม่ได้ เขาให้ภาวนาเพื่อเป็นกำลังของสมาธิเท่านั้น เขาไม่ต้องใช้ปัญญา ปัญญาเขาใช้ส่วนอื่น ถ้าขืนฉลาดแบบนั้นก็อยู่ที่เดิม
    การเจริญพระกรรมฐาน เขาต้องไปตามจุด ต้องเฉพาะกิจ ที่เขาจะสอนให้แจกแจงนั่นต้องปฏิบัติในธาตุ ๔ เขาเรียกว่า จตุธาตุววัตถาน ๔ แต่อันนี้ไม่ใช่ เขาต้องการภาวนาเพื่อเป็นกำลังของจิต เพื่อให้จิตเป็นทิพย์ ชื่อเหมือนกันแต่ใช้กิจต่างกัน
    อย่างทัพพีเขาใช้คนหม้อข้าว เป็นทัพพีสำหรับหุงข้าว ถ้าเขาไม่มีช้อน เอามาตักข้าวเข้าปาก นี่มันกลายเป็นช้อนไป ใช่ไหม.....
    นี่ก็เหมือนกัน ต้องใช้เฉพาะกิจของเขา ถ้าเรื่อยเปื่อยไปก็พัง รับรองได้เลยถ้าเรื่อยเปื่อยไป นอกรีตนอกรอย อีกแสนชาติก็ไม่ได้ ต้องฉลาดพอดี ไม่ใช่ฉลาดเกินพอดี กิจอันนี้เขาทำเพื่ออะไร
    ถ้าเราจะแจงเป็นธาตุ ๔ ก็ไม่ใช่ลักษณะนี้ นั่นต้องหวนเข้าไปหาสุกขวิปัสสโก ไม่ใช่ฉฬภิญโญ หมวดแต่ละหมวดของกรรมฐานปฏิบัติไม่เหมือนกัน"

ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ บางคนเขาภาวนาว่า "พุทโธ" แต่ว่าทำไมเขาไปได้คะ...?"

หลวงพ่อ : "ถ้าเขาไปได้แล้วอะไรก็ได้ ให้มันสตาร์ทติดเสียก่อน ถ้าไปได้แล้วจริงๆ ไม่ต้องภาวนา นึกปั๊บมันถึงเลยกำลังเขาพอ เข้าใจไหม...
    คือว่า คำภาวนาที่เราใช้กันหนัก เพราะเรายังไม่คล่อง แบบเขียนหนังสือน่ะ อ่านหนังสือวันแรก สองวัน สามวัน เขียนตัว ก.ไม่ได้ ถ้าเขียนคล่องแล้ว นึกเมื่อไรเขียนได้เลย ใครเขาพูดก็เขียนได้เลยเหมือนกัน ถ้าคล่องจริงๆ ไม่ต้องภาวนา พอนึกปั๊บมันถึงทันที"

ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ บทสตาร์ทนี่ ต้อง "นะ มะ พะ ธะ" อย่างเดียวหรือคะ "สัมมา อรหัง" ได้ไหมคะ...?

หลวงพ่อ : "เอาแล้ว หาเรื่องตกร่องอีกแล้ว มันมีหลายสิบบท ไม่ใช่บทเดียว แต่ว่าบทนี้เท่านั้น ขณะที่ไปอยู่จึงจะคุยกับคนข้างๆ ได้ นอกนั้นเขาไปเงียบ จบจุดแล้วจึงมาเล่าสู่กันฟัง
    ฉันคิดว่า ถ้าไปกันเงียบ ชาวบ้านเขาจะหาว่าโกหก ฉันจะตัดตัวนี้ คือปัจจุบันเห็นแล้วคุยได้เลย ถามทางโน้นก็บอกทางนี้ได้ทันที เขาต้องการอย่างนี้
    ฉันยังจำคำแนะนำของหลวงพ่อปานได้ เมื่อก่อนฉันจะบวช ฉันบวชนี่ฉันไม่ได้บวชตามประเพณีกับเขา บวชเพื่อพิสูจน์พระศาสนา พระศาสนาว่า สวรรค์มีจริง นรกมีจริง ฉันจะไปเที่ยว 
    หลวงพ่อปานท่านบอก ความต้องการของแกน้อยไป ข้าต้องการมากกว่านั้น แต่ว่าแกบวชแล้วแกต้องรับคำสอนอย่างคนโง่นะ 
    "อย่างคนโง่" ก็หมายความว่า ท่านบอกตรงนี้ จุดไหนก็ไปแค่นั้นแหละ เดี๋ยวก็ถึง อันนี้ถูกต้อง เพราะท่านรู้จักทาง ท่านก็นำตรง ถ้าเราฉลาดเกินไป ก็เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาอีก
    ฉันอยู่กับหลวงพ่อปานเดือนเดียว ฉันได้หมด เพราะฉันยอมโง่ อย่างลูกสาวของฉันนี่มันฉลาดมากเกินไป อย่างนี้เขาเรียกว่า "ฉลาดหมาไม่กิน" ใช่หรือเปล่า...?"

ผู้ถาม : "ใช่ค่ะ"

หลวงพ่อ : "ถ้าหมากิน เอ็งหมดไปนานแล้ว"
    (หลวงพ่อพูดให้กำลังใจว่า) 
หลวงพ่อ : "ค่อยๆ ทำไปนะ ไม่ต้องใช้เวลาให้มาก ไม่ต้องไปใช้เวลาที่สงัดนั่งเล่นทำอะไรเล่นก็ตาม นึกอะไรได้ก็ภาวนา หายใจเข้า นึก "นะ มะ" หายใจออก นึกว่า "พะ ธะ" สองสามครั้งก็ได้ ถ้ามันฝืนขึ้นมาก็เลิกกัน ต้องการให้อารมณ์ชินอย่างเดียว เวลาเขาฝึกจะได้ไม่แย่งกัน ให้แยกกันเสียให้เด็ดขาด
    ยามปกติเราต้องการความสุข เราภาวนา "พุทโธ" ของเราไป แต่บางขณะเช่นเวลานี้ ฉันจะเอา "นะ มะ พะ ธะ" ไม่ยอมให้ "พุทโธ" มาแย่ง ไม่กี่วันหรอกอย่างมากก็ ๒-๓ วัน
    ถ้าลองจนชินดีแล้ว เราต้องการภาวนา "นะ มะ พะ ธะ" ก็ให้อยู่แค่ "นะ มะ พะ ธะ" พุทโธให้แยกไป
    ถ้าเราต้องการภาวนา "พุทโธ" ก็พุทโธไปตามปกติ อันนี้ก็ใช้ได้
    ค่อยๆ ทำไปนะ อยู่ที่ความเข้าใจตัวเดียว ใครจะคุมหรือไม่คุม ไม่สำคัญ ต้องภาวนาถูกต้องตามแบบเขา ไม่งั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่วางแบบไว้ซิ ถ้าภาวนาอย่างไรก็ได้ พระพุทธเจ้าจะวางแบบไว้ทำไม สอนเสียอย่างเดียวก็พอใช่ไหม..."
    "พุทโธ" น่ะ เป็นสายของสุกขวิปัสสโกเขา สายสุกขวิปัสสโกไปไหนไม่ได้ ได้แต่ตัดกิเลส สายเตวิชโชก็มีคำภาวนาตั้งหลายสิบแบบ 
    แต่ถ้า "นะ มะ พะ ธะ" เป็นการเตรียมเพื่ออภิญญาจึงไปได้ กรรมฐานไม่ใช่ว่าทำอย่างเดียว แบบจริงๆ มี ๔๐ แบบ ถ้าเราจะใช้อะไรก็ใช้แบบที่ถูกต้อง ไม่งั้นไปไม่ได้"

ผู้ถาม : "สมมติว่าหนูฝึก "พุทโธ" หลวงพ่อจะฉุดหนูไปได้ไหมคะ...?"

หลวงพ่อ : "ได้ ฉุดลงใต้ถุนไป ไม่มีทางจะฉุดได้ยังไง พระพุทธเจ้าท่านยังไม่ฉุดใคร หลวงพ่อจะไปฉุดเอ็งเข้า ดีไม่ดีเขาจะมาตีเอาตาย โทษหนักเสียด้วย โทษถึงประหารชีวิต
    เรื่องอื่นยังพอทำเนา บรรเทาโทษได้ แต่ว่าเรื่องนี้ประหารชีวิตกันเลยนะ หนอยแน่...ไม่ได้หรอกไอ้หนู ต้องฝึกเอง แล้วทำไมภาวนา "นะ มะ พะ ธะ" ไม่ได้...?"

ผู้ถาม : "รู้สึกว่ามันเหนื่อยค่ะ"

หลวงพ่อ : "แล้วทีด่าชาวบ้านทำไมทำได้ล่ะ..."

ผู้ถาม : "หนูไม่เคยด่าใครค่ะ ครั้งเดียวไม่เคยค่ะ..."

หลวงพ่อ : "น่ากลัวไปล่อหลายเที่ยว"

ผู้ถาม : (หัวเราะ)

หลวงพ่อ : "ไอ้นี่ต้องคิดซิว่า "พุทโธ" เหมือนกับนั่งอยู่กับบ้าน ถ้าเราจะไป ไปอเมริกา เดินไปมันก็ไม่ไหว ก็ต้องขึ้นเครื่องบินไป แบบ "นะ มะ พะ ธะ" เขาฝึกเพื่อหาเครื่องบินไป
    การฝึกในพระพุทธศาสนา เขามีตั้ง ๔ ประเภท ถ้าแบบใหญ่จริงๆ มี ๔๐ แบบ แบบย่อยอีกนับพัน อย่าง "นะ มะ พะ ธะ" เป็นส่วนหนึ่งของอภิญญา แต่ยังไม่เข้าถึงอภิญญาจริง ต้องถือว่าเตรียมเพื่ออภิญญา นี่เขามีจำกัดนะ
    แต่ว่าการปฏิบัติแบบนี้เขาก็มีหลายสิบแบบนะ ถ้าเป็นแบบเก่า คนข้างๆ ถามไม่ได้ ฉันก็ไม่อยากสอนใคร ฝึกแบบนี้ถ้าไปได้ คนข้างๆ สามารถถามได้ตลอดเวลา ไปถึงไหนๆ เล่าได้ตลอดเวลา ถ้านอกจากนี้ไปก็นั่งเงียบแต่ผู้เดียว เลิกแล้วกลับมาจึงเล่าสู่กันฟัง
    อย่างนี้ฉันว่าของเก่านั้นของดี แต่ว่าพวกที่เขามีความสงสัยก็จะคิดว่าพวกนี้มาโกหก จึงไปหาแบบนี้มา แบบนี้ก็ไม่ได้สร้างเอง เป็นของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน คนข้างๆ สามารถถามได้ เวลานี้ถึงไหน แล้วจะบอกได้ตลอดเวลา หาอย่างนี้มา ๒๓ ปี กว่าจะพบตำรานี้ ไม่ใช่ค้นคว้าเองนะ ทราบอยู่ว่าของพระพุทธเจ้าท่านมี
    แต่ตำราที่เราจะฝึกเราไม่พบ กว่าจะพบก็สิ้นเวลาบวชไป ๒๓ ปี แต่ว่าวิธีอื่นน่ะทำได้ ถ้าเพื่อส่วนตัวนี่ทำได้ตั้งแต่พรรษาต้น แต่ว่าเราจะรู้เราก็ต้องรู้คนเดียว เลิกมาแล้วจึงมาเล่าสู่กันฟัง ทีนี้สำหรับคนรับฟังก็จะหาว่าโกหก
    อย่างสมมติว่า พ่อเขาตาย แม่เขาตาย เขาถามว่าพ่อแม่เขาอยู่ที่ไหน ตามผีนี่ตามง่ายกว่าตามคน ต้องการจะพบใครมันพบทันที ถ้าเราจะเอาให้แน่นอนเมื่อพบแล้วก็ให้เขาแสดงตัว
    เวลาเป็นมนุษย์รูปร่างเป็นอย่างไร แสดงให้ดูซิ เวลาป่วยยังไง ผอมหรืออ้วน อาการป่วยที่คนพอจะรู้ได้ขอให้บอก พวกที่เขาถามเขารู้ว่าเคยป่วยแบบไหน เขาอาจจะไม่รู้ทั้งหมดรู้จุดใดจุดหนึ่งนะ เขาจะบอกให้ฟัง
    ถ้าถามถึงโรค มีอยู่หลายรายเขาบอกว่าที่หมอหรือพยาบาลบอกว่าตายด้วยโรคนั้นๆ มันไม่จริง เขาตายอีกโรคหนึ่ง แต่พยาบาลเขาเข้าใจว่าโรคนั้น
    นี่เราต้องถามอาการที่คนอื่นจะรู้ เขาทำท่าให้ดูเสร็จเรียบร้อยแล้วก็บอกคนข้างๆ ว่า พบแล้วเวลาที่มีชีวิตอยู่ รูปร่างเป็นอย่างนี้ใช่ไหม... และอาการที่จะตายจริงๆ มีลักษณะแบบนี้ใช่ไหม... คนนี้สมัยที่มีชีวิตอยู่เป็นคนใจดี หรือชอบหัวเราะ หน้าบึ้งขึงจออะไรก็ตาม ถามเขา เขาบอกตามความเป็นจริงหมด"
    (คงเข้าใจแล้วนะสำหรับท่านที่ยังมีความสงสัยในคำภาวนาและการฝึกแบบนี้ แต่ก็คงจะสงสัยอย่างอื่นอีก จึงขอนำปัญหาและคำตอบให้คลายสงสัยเสีย)

ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ ถ้าหากฝึกมโนมยิทธิขึ้นไปข้างบนได้แล้ว จะหลงวกวนอยู่บนนั้นไหมคะ...?"

หลวงพ่อ : "แหม...อีหนูเอ๊ย อยากให้หลงจริงๆ ถ้ามันไปติดอยู่วิมานใดวิมานหนึ่ง แหม...ดีจริงๆ"

ผู้ถาม : (หัวเราะ) "ไม่หลงใช่ไหมคะ...?"

หลวงพ่อ : "ไม่หลงหรอก"

ผู้ถาม : " แล้วที่ครูฝึกเขาแนะนำว่าไปที่วิมาน วิมานอยู่ที่ไหนคะ...?"

หลวงพ่อ : ถ้าเราไปถึงพระนิพพานได้ วิมานบนพระนิพพานก็ต้องมี เมื่อไปถึงนิพพานได้เขาจะบอก ๒ จุด เพราะว่าครูเขาไม่มีเวลาสอนมาก ถ้าเราขึ้นไปบนสวรรค์ ดูวิมานของเรามีไหม... ถ้าไม่มีก็ไปดูวิมานของเราที่พรหมมีไหม... ถ้าไม่มีก็เหลือแห่งเดียวที่นิพพาน แสดงว่าชาตินี้ตายแล้วไปนิพพานแน่
    ถ้าหากว่าวิมานที่สวรรค์ยังมีอยู่ หรือยังมีอยู่ที่พรหมและที่นิพพานมีอยู่ แสดงว่าจิตเราจับวิปัสสนาญาณได้เล็กน้อยแต่มันหมอง มันไม่แจ่มใส แต่วิมานเราอยู่จุดที่แน่นอนอันนี้แจ่มใส
    ถ้าวิปัสสนาญาณเราดีพอ จิตเราเข้าถึงโคตรภูญาณ วิมานข้างล่างนี่จะหายหมด มันจะเหลือหลังเดียวข้างบน ถ้าเหลือหลังเดียวข้างบน ตายแล้วมันไม่มีที่อยู่ ต้องไปอยู่หลังนั้นแหล่ะ
    ถ้าพอถึงนิพพานแล้วยังถามว่าไปไหนอีก ถ้าอารมณ์ใจยังพอใจในการเที่ยวก็แสดงว่ากิเลสยังหนาอยู่ ถ้าเที่ยวไปๆ ไม่ช้ามันจะเบื่อเที่ยว จิตมันจะรักอารมณ์อยู่จุดหนึ่ง คือขึ้นไปนิพพาน มันก็ไม่อยากขึ้น มันอยากจะตัดขันธ์ ๕ สบายๆ อารมณ์จิตเป็นสุข
    แต่ว่าก็มีเกณฑ์บังคับว่า นิพพานต้องไปทุกวัน เพื่อให้จิตมันจับเป็นเอกัคคตารมณ์ แปลว่าจิตมันเป็นหนึ่งเดียว ต้องการอย่างเดียวคือนิพพาน ให้มีความผูกพัน
    แล้วไปนิพพานไปที่ไหน...?
    นิพพานมี ๒ จุดที่เราจะไปก็คือ ที่ประทับของพระพุทธเจ้าและก็วิมานของเรา ถ้าเราไม่เห็นพระพุทธเจ้า เรานึกถึงท่านท่านจะมาทันที คือว่าจิตอย่าปล่อยพระพุทธเจ้า ให้จิตมันเกาะไว้เป็นอารมณ์ ทีนี้ตายแล้วก็มาที่นี่แหละ
    เรื่องของชีวิตมันจะตายเมื่อไรก็ช่าง คือว่าอย่าไปคิดว่ามันจะอยู่อีก ๒ ปี ตื่นขึ้นมาเราคิดว่าเราอาจจะตายวันนี้ มันถึงจะถูก อันนี้เป็น มรณานุสสติกรรมฐาน ใช่ไหม... ถ้าวันนี้มันจะตาย มันจะไปไหน ตื่นขึ้นมาปั๊บเราคิดว่าเราจะตายวันนี้ จิตพุ่งปรู๊ดขึ้นนิพพานเลย ขึ้นไปแล้วสัก ๒-๓ นาที ก็ช่าง ให้อารมณ์มันสดชื่น พิจารณาขันธ์ ๕ เท่านั้นแหล่ะ
    ถ้าจิตตอนเช้าเราจับเป็นอารมณ์ไว้ แล้วกลางวันเราก็ไม่ได้นึกถึงนิพพาน มัวนั่งพูดกับเพื่อนบ้าง ทะเลาะกับเพื่อนบ้าง ขัดคอกับเพื่อนบ้าง หลบหน้าเจ้าหนี้บ้าง ตามเรื่องตามวาระ บังเอิญตายวันนั้นมันก็ไปนิพพาน เพราะตอนเช้าเราตั้งอารมณ์ไว้แล้วใช่ไหม...
    คืออารมณ์ตอนเช้า เวลาที่จิตมันสบายตั้งจุดไว้เลย ตั้งอารมณ์ไว้ก็อย่าตั้งเฉยๆ ไปเลย ไปนั่งอยู่ข้างหน้าพระพุทธเจ้าให้จิตมันชื่นใจ เวลานั่งข้างหน้าพระพุทธเจ้ามันสบายใจ ใช่ไหม... ท่านสวย ท่านสว่าง ดูแล้วไม่อิ่มไม่เบื่อ อารมณ์มันก็มีความสุข คิดว่าที่นี่เป็นที่ที่เราจะมาในเมื่อขันธ์ ๕ มันพัง ให้ทำแบบนี้นะ"

ผู้ถาม : แล้วอย่างสมมติว่า คนที่เขาฝึกได้แล้ว เขาไปได้ เขาก็เห็นวิมานของเขา แสดงว่าเขามีวิมานอยู่ ถ้าหากเราอยู่อย่างนี้ เราทำแต่ความดี เราจะมีวิมานไหมคะ...?"

หลวงพ่อ : "เราก็มีบ้านอยู่"

ผู้ถาม : "หนูอยากมีวิมานค่ะ"

หลวงพ่อ : "ไปสร้างกุฏิสักหลังซิ"

ผู้ถาม " มีจริงๆ หรือคะ?"

หลวงพ่อ : "วิมานน่ะ เขามีด้วยกันทุกคน ถ้าทำความดี แต่ว่าเราจะสามารถไปเห็นวิมานของเราหรือไม่ อย่างการก่อสร้างวิหารทาน สร้างโบสถ์ สร้างกุฏิ สร้างส้วม สร้างศาลาอะไรก็ตามเถอะ เราเอาเงินไปร่วมกับเขาด้วยความตั้งใจจริง วิมานจะปรากฏเลย เราจะรู้หรือไม่รู้อยู่ที่การฝึกจิต อย่างที่เขาฝึก นะ มะ พะ ธะ กัน"
(เอาละ สำหรับปัญหาผู้ยังไม่เคยฝึกมีเท่านี้)

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
ตอบปัญหาธรรม (ฉบับพิเศษ เล่ม ๒)
หน้า ๗-๑๖

🖊 ปัณณ์ธรรม

ตราพระราชลัญจกร ในสมัย ร.1 - ร.9

ตราพระราชลัญจกร ในสมัย ร.1 - ร.9
..พระราชลัญจกร คือ พระตราสำหรับพระเจ้าแผ่นดินที่ใช้ประทับในเอกสารต่าง ๆ  
 
เครดิตภาพ มูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม

07 มิถุนายน 2565

มหัศจรรย์แห่งความเงียบ

รู้ไว้ใช่ว่า...ใส่บ่าแบกหาม
“มหัศจรรย์แห่งความเงียบ”   
      ตราบใดที่สมองยังคิดฟุ้งซ่าน ไม่มีทางที่จะเข้าถึงความมหัศจรรย์แห่งจิต ดังที่หลวงปู่ดุลย์ เคยสอนไว้ว่า "คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงได้รู้” สภาวะที่เรียกว่าสุญญตาจึงสำคัญมากต่อการบรรลุ

     วิธีหยุดคิดมีสองวิธีคือ ทำสมาธิจนถึงฌาน 4 และฝึกวิปัสสนาจนรู้เท่าทันความคิด ทั้งสองวิธีทำให้สมองติดต่อกับจักรวาลได้เหมือนกัน เพียงแต่ถ้าใช้สมาธิไปกดความคิด จะมีกำลังสติน้อย เมื่อเข้าถึงข้อมูลอันมหาศาลของจักรวาล แต่ขาดพลังปัญญา จะไม่สามารถทำความเข้าใจได้

       ความเงียบภายในใจ เป็นเรื่องสำคัญมากในการติดต่อกับจิตจักรวาล ท่าน ติช นัท ฮันห์ เคยสอนไว้ว่า “การฝึกสตินั้นง่ายมาก เธอทำจิตให้สงบ หยุดเสียงรบกวนในใจเพื่อจะได้รับฟังเสียงอันมหัศจรรย์แห่งชีวิต แล้วเธอ จะสามารถเริ่มต้นใช้ชีวิตอย่างแท้จริงและลุ่มลึก”

        พระอาจารย์สุเมโธภิกขุ ได้อธิบายถึงเสียงแห่งความเงียบไว้มีความว่า “เมื่อท่านสงบลงแล้ว ท่านจะได้ยินเสียงในจิตของท่าน เมื่อท่านเริ่มได้ยินเสียงแห่งความเงียบ แสดงว่ามีความว่างและมีความสงบในจิต”

        ท่านเล่าจื๊อ ปราชญ์แห่งลัทธิเต๋าได้เคยกล่าวไว้ว่า “ความเงียบทำให้เราคืนสู่ต้นกำเนิด เป็นเสมือนยุทธวิธีที่เหนือกว่าความพยายามอื่นๆ ความสงบนี้เองจะนำพามนุษย์เราไปสู่การหยั่งรู้ด้วยปัญญาอีกขั้นหนึ่ง”

         ดร.ไซนา นิโคลา (.Zeina Nicola ) แห่งศูนย์วิจัยเสริมสร้างสมองเดรสเดน ประเทศเยอรมนี พบว่า ในกลุ่มทดลองที่อยู่กับความเงียบเป็นเวลาเจ็ดวัน มีการสร้างเซลล์สมองใหม่ๆขึ้นมาจำนวนมาก เธอสันนิษฐานว่า ยิ่งเงียบสมองยิ่งต้องการได้ยิน จึงสร้างเซลล์ประสาทเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมองส่วนฮิบโปแคมปัส ซึ่งทำหน้าที่ในด้านความจำและการเรียนรู้

          สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อความเงียบของจิตมากที่สุด ไม่ใช่เสียง แต่เป็นอารมณ์ การตัดอารมณ์ต่างๆทำได้ยากมาก ซึ่งนอกจากอารมณ์ตัวแม่อย่าง รัก โลภ โกรธ หลง แล้ว ยังมีอารมณ์ที่เรียกว่านิวรณ์ห้า อันได้แก่ กามฉันทะ พยาบาท ความเกียจคร้าน ความฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัย 

          ธรรมชาติสร้างสมองซีกขวาให้สามารถติดต่อกับจิตใต้สำนึกและจิตเหนือสำนึกได้ แต่ธรรมชาติก็สร้างสิ่งที่ใช้สกัดการเข้าถึงมาด้วย สิ่งนั้นก็คือทำให้สมองซีกขวาเต็มไปด้วย “อารมณ์” ดังนั้นการจะเข้าถึงจิตใต้สำนึก ควรรู้จักวิธีการกำจัดอารมณ์ทุกชนิดออกจากใจ 

         มนุษย์เรามีความรู้สึกตัวกู ของกู สูงมากที่สุดในจักรวาล ถ้าตัดความรู้สึกแห่งอัตตาได้ อารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง ก็จะลดลง ความรู้สึกตัวกู ทำให้เกิด ผัสสะ เวทนา ตัณหา เมื่อเห็นสิ่งใด ก็อยากได้เป็นของตัว เมื่อได้ตามปรารถนาแล้วเอาจิตเข้าไปยึดเหนี่ยว ก็จะเกิดเป็นอารมณ์รัก ความสุขจากอารมณ์รัก ทำให้อยากได้เพิ่มอีก กลายเป็นอารมณ์โลภ แต่เมื่อใดสิ่งที่มี สูญเสียหรือถูกแย่งชิงไป ก็จะเกิดอารมณ์โกรธ หรือถ้าไม่ถูกแย่งชิง ก็ดื่มด่ำกับอารมณ์รัก จนกลายเป็นอารมณ์หลง เพราะฉะนั้นความรู้สึก ตัวกู ของกู คือต้นเหตุของอารมณ์ทั้งหมด 

     งานวิจัยของ ด็อกเตอร์แอนดรูว์ นิวเบิร์ก (Andrew Newberg) แห่งมหาวิทยาลัยโทมัส เจฟเฟอร์สัน พบว่า การฝึกสมาธิทำให้สมองส่วนตัวตนหยุดทำงานลง

     พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ สอนไว้ว่า “จิตนี้เลื่อมเป็นประภัสสร แจ้งสว่างมาแต่เดิม แต่อุปกิเลสเครื่องเศร้าหมองมาปกคลุมหุ้มห่อ จึงทำให้จิตมิส่องสว่างได้” ซึ่งอุปกิเลสนี้ ก็คืออารมณ์นั่นเอง อันได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ โลภะ ผสมรวมกันในอัตราส่วนต่างๆ ทำให้เกิดอารมณ์แยกย่อยขึ้นมาเป็น ตระหนี่ พยาบาท โกรธ อิจฉา ประมาท น้อยใจ ฯลฯ ซึ่งแต่ละคนมีปกคลุมหุ้มห่อจิตเต็มไปหมด การทำสมาธิโดยไม่กรองอารมณ์จึงไม่มีทางเข้าถึงจิตที่เลื่อมเป็นประภัสสรได้...เครดิต นพ.สม สุจีรา

อานิสงส์ของการรักษาศีลแก่ชาวปาฏลิคาม

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอานิสงส์ของการรักษาศีลแก่ชาวปาฏลิคามใน มหาปรินิพพานสูตร1) ว่ามี 5 ประการ คือ
     1. ย่อมได้โภคทรัพย์สมบัติมากมาย

     2. กิตติศัพท์อันดีงามย่อมขจรขจายไป

     3. มีความองอาจเมื่อไปสู่ชุมชนใดๆ

     4. ไม่เป็นผู้หลงตาย (ไม่ตายอย่างไร้สติ)

     5. เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ ย่อมมีสุคติเป็นที่ไป

     1. ย่อมได้โภคทรัพย์สมบัติมากมาย หมายความว่า ศีล ย่อมทำให้ผู้รักษาได้โภคทรัพย์ประการ หนึ่ง และใช้ได้อย่างเต็มที่อีกประการหนึ่ง

     ศีลทำให้เกิดโภคทรัพย์ได้อย่างไร เราจะสังเกตเห็นได้โดยทั่วไป จากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาล และเอกชน ล้วนต้องการบุคลากรที่มีคุณธรรมทั้งสิ้น ดังนั้นในการสมัครเข้าทำงานหรือแต่งตั้งบุคลากร ประจำตำแหน่งต่างๆ ผู้มีศีลสมบูรณ์ย่อมได้รับการพิจารณาก่อน เพราะเหตุแห่งศีลในตัวเขา ทำให้เป็นบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือไว้วางใจ อันเนื่องจากความประพฤติ และการแสดงออกอันดีงาม สม่ำเสมอ จนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของผู้พบเห็นหรือผู้ร่วมงาน

     บิดามารดาที่มีโภคทรัพย์สมบัติ เมื่อถึงคราวที่จะมอบทรัพย์ให้แก่บุตรหลาน ย่อมต้องพิจารณา เลือกสรร ผู้ที่ประพฤติตัวดี มีศีล มีธรรม เพื่อความมั่นใจว่าผู้นั้นจะสามารถรักษาทรัพย์สมบัติที่มอบให้ได้ และสามารถใช้ทรัพย์นั้นไปเพื่อทำประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะถ้าบิดามารดาเป็นชาวพุทธ ย่อม ปรารถนาให้บุตรหลานนำทรัพย์นั้นไปสร้างบุญกุศล เพื่ออุทิศบุญกุศลนั้นแก่ตนในโลกหน้า

     ศีลทำให้ใช้ทรัพย์ได้เต็มที่คืออย่างไร ทรัพย์ที่เราได้มาด้วยความทุจริต ย่อมก่อให้เกิดความไม่สบายใจ ทุกครั้งที่ได้ใช้ หรือเมื่อได้นึกถึง คนโบราณมักกล่าวว่า สิ่งของที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรมเปรียบเสมือนมีผีสิง ทั้งนี้เพราะเจ้าของจะหวาดผวาทุกครั้งที่ได้เห็นทรัพย์สินที่ตนได้มาโดยทุจริต ส่วนผู้ที่ได้ทรัพย์มาด้วยความสุจริต ย่อมภาคภูมิใจในทรัพย์ที่ตนหามาได้ เมื่อจะใช้ทรัพย์ ย่อมใช้โดยปราศจากความหวาดระแวง

     2. กิตติศัพท์อันดีงามย่อมขจรขจายไป หมายความว่า บุคคลรอบข้างย่อมเห็นความประพฤติ อันดีงามของคนมีศีล คนมีศีลจึงเป็นที่รัก ที่พอใจของบุคคลรอบข้าง เขาเหล่านั้นกล่าวถึง ย่อมกล่าวแต่สิ่ง ดีงาม และความประทับใจที่ได้รับ ความดีนี้เองย่อมเป็นที่แพร่หลายออกไป ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

“ กลิ่นกฤษณาและกลิ่นจันทน์ ยังหอมน้อยกว่า กลิ่นหอมของผู้มีศีล ซึ่งหอมฟุ้งขจรไกล
ถึงปวงเทพไทเทวา และมนุษย์ทั้งหลาย�”2)

      3. มีความองอาจเมื่อไปสู่ชุมชนใดๆ หมายความว่า ผู้มีศีลย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ มีความภาคภูมิใจ ในความดีของตน มีใจเป็นปกติ ไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะมีใครรู้กรรมชั่วของตน เพราะรักษาศีลมาเป็นอย่างดี คนมีศีลใครๆ ก็ชอบ จะเข้าไปสู่ที่ชุมชนใดก็ตาม ย่อมมีความอาจหาญเข้าไป

     4. ไม่เป็นผู้หลงตาย หมายความว่า คนมีศีลย่อมมีสติสมบูรณ์ อันเนื่องมาจากการได้ฝึกสติอยู่เสมอๆ เพราะเมื่อจะกระทำสิ่งใดก็ตาม ต้องคอยระมัดระวังไม่ให้ผิดศีล ครั้นเมื่อถึงคราวที่หมดบุญ หมดอายุขัย ก่อนที่จะลาจากโลกนี้ไป ย่อมมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์เพราะได้ฝึกมาอย่างดีแล้ว ทั้งยังเห็นการกระทำอัน ดีงามจากการรักษาศีลของตน ย่อมปลื้มปีติใจ

      5. เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ ย่อมมีสุคติเป็นที่ไป หมายความว่า เมื่อถึงคราวที่ต้องลาจากโลกนี้ไป หลับตาลงครั้งใดก็จะเห็นคตินิมิต (ภาพที่เป็นเครื่องหมายของภพภูมิที่จะต้องไปเกิดใหม่) และกรรมที่ ดีงามของตน ทำให้จิตผ่องใส ย่อมไปสู่โลกหน้าในภพภูมิอันเป็นสุข คือ สุคติภูมิ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ใน สีลวีมังสชาดก3) ว่า �ศีลของตนที่บริสุทธิ์ดีแล้ว ย่อมนำความสุขในภพหน้ามาให้ได้�

     นอกจากอานิสงส์หลัก 5 ข้อ ที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ยังมีรายละเอียดของอานิสงส์การรักษาศีล ในแต่ละข้อ ดังนี้

อานิสงส์ของการรักษาศีล 5 
อานิสงส์ของศีลข้อที่ 1 เว้นจากการฆ่าสัตว์
1. เป็นผู้มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน
2. มีร่างกายสูงใหญ่สมส่วน
3. มีความแคล่วคล่องว่องไว
4. มีฝ่าเท้าเต็ม
5. มีความแช่มช้อย
6. มีความอ่อนโยน
7. มีความสะอาด
8. มีความแกล้วกล้า
9. มีกำลังมาก
10. มีวาจาสละสลวย
11. เป็นที่รักของชาวโลก
12. พวกพ้องบริวารไม่แตกแยกกัน
13. ไม่เป็นคนขี้กลัว
14. ไม่ถูกทำลาย
15. ไม่ตายเพราะถูกผู้อื่นทำร้าย
16. มีพวกพ้องบริวารมาก
17. มีรูปงาม (มีผิวพรรณงาม)
18. มีทรวดทรงงาม
19. มีโรคน้อย
20. ไม่เป็นคนเศร้าโศก
21. ไม่พลัดพรากจากคนและของรัก
22. มีอายุยืน

อานิสงส์ของศีลข้อที่ 2 เว้นจากการลักทรัพย์
1. มีความมั่งคั่ง
2. มีทรัพย์และข้าวเปลือกมาก
3. มีโภคะมากมาย
4. โภคะที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น
5. โภคะที่เกิดขึ้นแล้วก็มั่นคงถาวร
6. ได้โภคะที่ตนปรารถนารวดเร็วทันใจ
7. โภคะไม่สลายไปด้วยภัยต่างๆ
8. ได้ทรัพย์ที่คนทั่วไปไม่มี
9. เป็นคนเยี่ยมยอดของโลก
10. ไม่รู้จักความไม่มีทรัพย์
11. มีความเป็นอยู่สุขสบาย

อานิสงส์ของศีลข้อที่ 3 เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
1. ไม่มีศัตรู คู่อาฆาต
2. เป็นที่รักของคนทั้งหลาย
3. ได้ลาภสิ่งของ เช่น ข้าว น้ำ เป็นต้น
4. หลับเป็นสุข
5. ตื่นเป็นสุข
6. พ้นจากภัยในอบายภูมิ
7. ไม่เกิดเป็นหญิง หรือเป็นกะเทย
8. ไม่มักโกรธ
9. เป็นคนเปิดเผย
10. ไม่เป็นคนผิดหวัง หรือเสียใจ
11. ไม่ต้องหลบหน้า
12. ทั้งสตรีและบุรุษต่างเป็นที่รัก
13. มีร่างกายสมบูรณ์
14. สมบูรณ์ด้วยลักษณะ
15. ไม่ต้องหวาดระแวง
16. มีความขวนขวายน้อย (ไม่มีเรื่องรบกวน)
17. มีความเป็นอยู่สุขสบาย
18. เป็นคนไม่มีภัย
19. ไม่พลัดพรากจากคนและของรัก

อานิสงส์ของศีลข้อที่ 4 เว้นจากการพูดมุสา
1. มีอินทรีย์ผ่องใส
2. เป็นคนพูดจาไพเราะ ศักดิ์สิทธิ์
3. มีฟันขาวสะอาดเรียบเสมอกัน
4. ไม่อ้วนเกินไป
5. ไม่ผอมเกินไป
6. ไม่เตี้ยเกินไป
7. ไม่สูงเกินไป
8. มีสัมผัสเป็นสุข
9. มีกลิ่นปากหอมเหมือนกลิ่นดอกอุบล
10. มีบริวารชนเป็นผู้ว่าง่าย
11. มีคำพูดที่คนเชื่อถือ
12. มีลิ้นบางสีแดงเหมือนกลีบดอกอุบล
13. จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน
14. มีความมั่นคง ไม่หวั่นไหว

อานิสงส์ของศีลข้อที่ 5 เว้นจากการดื่มสุราเมรัย
1. มีปฏิภาณในการงานที่ควรทำ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
2. มีสติมั่นคงอยู่เสมอ
3. ไม่เป็นบ้า
4. เป็นคนมีความรู้
5. ไม่เป็นคนเกียจคร้าน
6. ไม่โง่เง่า
7. ไม่เป็นคนหนวกและใบ้
8. ไม่เป็นคนขี้เมา
9. เป็นคนไม่ประมาท
10. ไม่ขี้หลงขี้ลืม
11. ไม่เป็นคนขี้กลัว
12. ไม่เป็นคนแข่งดี
13. ไม่เป็นคนขี้ริษยา
14. เป็นคนพูดคำสัตย์
15. ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อ
16. เป็นคนกตัญญู
17. เป็นคนกตเวที
18. ไม่เป็นคนตระหนี่
19. เป็นคนเสียสละ
20. เป็นคนมีศีล
21. เป็นคนเที่ยงตรง
22. ไม่เป็นคนมักโกรธ
23. เป็นคนจิตใจมีหิริ
24. เป็นคนมีโอตตัปปะ
25. เป็นคนมีความเห็นเที่ยงตรง
26. เป็นคนมีปัญญามาก
27. เป็นคนมีปัญญาแตกฉาน
28. เป็นบัณฑิต
29. เป็นผู้ฉลาดรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และไม่เป็นประโยชน์
 
#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ

เรื่อง สิ่งที่ได้มายากที่สุดในชีวิต ๔ อย่าง

เรื่อง สิ่งที่ได้มายากที่สุดในชีวิต ๔ อย่าง
ในชีวิตของเรา มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราดั้นด้นไขว่คว้า
ลาภ ยศ สรรเสริญ เงินทอง ข้าวของเครื่องใช้สอยมากมาย
ต้องลำบากลำบน เสียแรง เสียงกำลังกาย กำลังทรัพย์ เพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา แต่เมื่อได้มาแล้ว เราได้เคยลองถามตัวเองบ้างหรือไม่ว่าสิ่งเหล่านี้ สร้างความสุขแท้จริงให้กับเรา หรือเพียงชั่วคราวเท่านั้น

ในทางพระพุทธศาสนาได้พูดถึงสิ่งที่ได้มายากยิ่ง 
ในชีวิต ๔ อย่าง คือ

1. การอุบัติขึ้นมาของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์แต่ละพระองค์ กว่าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ต้องสร้างบารมีกันยาวนานหลายอสงไขยกัปทีเดียว ท่านสร้างบารมีทุกรูปแบบ แม้บางชาติจะพลัดไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน แต่ท่านก็ยังคงสร้างบารมี เพื่อมุ่งหวังพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จึงเป็นการยากอย่างนี้ ท่ามกลางความทุกข์ ความมืดบอดของสัตว์โลก มหาบุรุษผู้หนึ่งได้ถือกำเนิด ตรัสรู้ธรรมที่ช่วยนำพาสัตว์โลกออกจากการเวียนว่ายตายเกิด ออกจากกองทุกข์ได้ และในปัจจุบันนี้ พระสัทธรรมนั้นก็ยังคงอยู่ให้เราได้ศึกษา และปฏิบัติตาม

2. การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์ในโลกนี้มีอยู่จำนวนมาก เป็นพันล้านคน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์เดียรัจฉานแล้ว เทียบกันไม่ติดเลย น้อยกว่ามาก ยังไม่ต้องพูดสัตว์ในภพภูมิต่าง ๆ สัตว์นรกที่ยังคงต้องทนทุกข์ทรมานจากบาปกรรมที่ตนได้สร้างไว้ การได้เกิดเป็นมนุษย์ ถือว่าเป็นสิ่งที่ยากเหลือเกิน

3. การดำรงชีวิตของมนุษย์ เมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว การดำรงชีวิตอยู่ก็เป็นของที่ยาก เพราะภัยและอันตรายที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติ อุบัติเหตุ ล้วนใช้ชีวิตอยู่บนความไม่แน่นอนด้วยกันทั้งนั้น และการประคองชีวิตให้อยู่บนเส้นทางแห่งความดี ก็ทำได้ยากยิ่ง

4. การได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า เมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์ และสามารถดำรงชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็ใช่ว่าทุกคน จะเกิดในร่มเงาของพระพุทธศาสนา และใช่ว่าทุกคนจะได้ฟังธรรมะ คำสอนที่ช่วยให้พ้นทุกข์ได้

ในชีวิตเราตอนนี้ ได้รับสิ่งที่หาได้ยากยิ่งเหล่านี้แล้วหรือไม่?
ความสุข เป็นสิ่งที่เราทุกคนต่างก็ปรารถนาด้วยกันทั้งนั้น 
เพียงแต่ความสุขใดเล่า ที่จะทำให้เราไม่ต้องกลับมาทุกข์
กลับมาเวียนว่ายตายเกิด เกิด ตาย วนไปวนมาเช่นนี้อีก
เกิดมาแล้วก็ต้องพบเจอกับความพลัดพราก ความเจ็บป่วย แก่ และตายอยู่แบบนี้ หากชีวิตยังไม่ได้พบพานกับสิ่งทั้ง ๔ นี้ เมื่อได้รู้อย่างนี้แล้ว ก็จงรีบเร่งขวนขวาย หมั่นให้ทาน รักษาศีล ภาวนา อบรมจิตใจด้วยธรรมะของพระพุทธเจ้า
หากได้รับแล้ว ก็จงประคองตนให้อยู่ในความดี และรักษาสิ่งที่หาได้ยากยิ่งนี้ต่อไป จนกว่าจะพ้นทุกข์ด้วยกันทุกคน

#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ

06 มิถุนายน 2565

หลวงพ่อจง สอน หลวงพ่อเมี้ยน ให้หวย

หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา ท่านเชี่ยวชาญวิชาการประสานกระดูกและการรักษาโรคภัยต่าง ๆ แต่ท่านมีความเลื่อมใสในวิชากัมมัฏฐานตามแนวทางของหลวงพ่อจง

เรื่องการใบ้หวยหรือการล่วงรู้เหตุการณ์ภายหน้าของหลวงพ่อจงนั้นล้ำเลิศนัก เพราะท่านได้เห็นแจ้งมากับตาถึงสามครั้งสามหน หลวงพ่อเมี้ยนจึงเดินทางไปที่วัดหน้าต่างนอกอีกครั้งหนึ่ง หลวงพ่อจงท่านก็ถามขึ้นเหมือนดั่งรู้ความในใจของหลวงพ่อเมี้ยนว่า

"อยากจะลองเรียนดูหรือ"
"ขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบรับ
"รอเย็น ๆ นะ" เพราะขณะนั้นมีผู้คนอีกมากมายที่รอพบท่านอยู่
เมื่อหลวงพ่อจงว่างจากการรับแขก ในตอนพลบค่ำ หลวงพ่อเมี้ยนจึงได้เข้าพบ หลวงพ่อจงได้พาหลวงพ่อเมี้ยนเข้าไปในกุฏิใหญ่ แล้วให้หลวงพ่อเมี้ยนนั่งลงตรงหน้าโครงกระดูกตาเอี่ยม ณ ที่นั้นเองหลวงพ่อจงก็เริ่มสอนให้หลวงพ่อเมี้ยนเรียนวิชาให้หวยหรือการล่วงรู้เหตุการณ์เบื้องหน้า

หลวงพ่อจงเริ่มสอนด้วยการให้หลวงพ่อเมี้ยนนั่งสมาธินำจิตเข้าอสุภกัมมัฏฐาน เพ่งจิตเข้าสู่โครงกระดูกตาเอี่ยมแล้วภาวนา "อะระหัง" ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อหลวงพ่อเมี้ยนนั่งกัมมัฏฐานได้สักครู่หนึ่งหลวงพ่อจงก็ถามว่า

"ติดตาไหม"
"ไม่ติดขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ
"งั้นลองใหม่" หลวงพ่อจงพูดต่อไป เมื่อหลวงพ่อเมี้ยนเข้ากัมมัฏฐานสักครู่หนึ่ง หลวงพ่อจงก็ถามอีกว่า
"ติดตาหรือยัง"
"ยังขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ
"งั้นตามมานี่" หลวงพ่อจงบอกให้หลวงพ่อเมี้ยนลุกออกมาจากหน้าโครงกระดูกตาเอี่ยม เดินตาม่านเข้าไปยังหน้าพระพุทธรูปซึ่งตั้งประดิษฐานอยู่ในกุฏิใหญ่ แล้วก็ให้หลวงพ่อเมี้ยนนั่งเข้ากัมมัฏฐานที่หน้าพระพุทธรูปนั้น เมื่อหลวงพ่อเมี้ยนเข้ากัมมัฏฐานได้สักครู่หนึ่ง หลวงพ่อจงก็ถามว่า

"คราวนี้ติดตาไหม"
"ติดตาแล้วขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ
"งั้นเริ่มต้นใหม่นะ" หลวงพ่อจงบอกต่อไป
"เมื่อติดตาแล้วก็ทำจิตให้สูงขึ้น เหมือนกับเราขึ้นไปอยู่บนยอดไม้ ย่อมมองเห็นโคนต้นไม้นั่นแหละ"

นับตั้งแต่ที่หลวงพ่อจงพูดว่า "ทำจิตให้สูงขึ้น เหมือนกับที่เราขึ้นไปอยู่บนยอดไม้ย่อมมองเห็นโคนต้นไม้นั้น
" หลวงพ่อเมี้ยนก็เริ่มฝึกปฏิบัติต่อไป จนกระทั่งนิมิตเห็นตัวเลขลอยขึ้นทีละตัว ๆ จนกระทั่งครบหกตัว แล้วตัวเลขทั้งหกนั้นจากเดิมที่เป็นสีขาวก็จะกลับกลายเป็นสีทองสุกสกาว ในขณะนั้นเองหลวงพ่อจงก็ถามว่า

"เห็นแล้วใช่ไหม"
"เห็นแล้วขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ
"นั่นแหละเป็นของที่เราเห็นได้ แต่มันเป็นกิเลส เป็นลาภจร ไม่ควรนำไปบอกใคร"
สอนเพื่อเป็นอนุสติ

"ขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนรับคำ
พอรุ่งเช้า หลวงพ่อเมี้ยนก็เข้าไปลาหลวงพ่อจงแต่เช้าตรู่ เมื่อตอนที่ลานั้นหลวงพ่อจงก็สั่งกำชับอีกว่า "พูดไม่รู้ รู้ไม่พูด"
หลวงพ่อจง นั้นท่านมีอุบายในการทดสอบจิตใจคนแยบยลนัก

ขอขอบพระคุณ คุณสมศักดิ์ พงษ์พูนลาภ(เสียชีวิตแล้ว)
ผู้บันทึกประวัติหลวงพ่อจง ให้ชนรุ่นหลังได้มีโอกาสรับรู้ถึงคุณงามความดีของท่านไว้ ณที่นี้ด้วย

นอกจากนี้หลวงพ่อเมี้ยน ยังเก่งด้านรักษาโรคมาก เพราะเรียนวิชามาจากหลวงพ่อปาน จนชาวบ้านต่างขนานนามว่า "พระหมอแห่งทุ่งบางบาล"

และยกย่องท่านให้เป็น 1 ใน "3 เสือแห่งกรุงศรี"ยุคนั้น ร่วมกับศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันกับ หลวงพ่อจง คือ หลวงปู่ทิม และ หลวงพ่อมี

#ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ตัวตนของเราเป็นอนัตตา


-----------------
เราจะยึดกรรมฐานไหนมาให้ใจของเราเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว คือสมาธิกรรมฐานไหน 
ก็ได้พูดให้ฟังว่า กำหนดลมหายใจเข้าหายใจออกเป็นหลัก อันนี้คือเป็นเบื้องต้นของสมาธิ
 
ส่วนปัญญานี้กว้างขวาง 
พิจารณาปัญญาเราพิจารณาแนวไหน 
แนวรูป แนวเวทนา แนวสัญญา แนวสังขาร แนววิญญาณ มันมีหลายแนว เมื่อพิจารณาถึงด้านปัญญาแล้วมีหลายแนว
 
#แนวรูป
ก็เห็นพิจารณาให้ร่างกายเป็นอสุภะปฏิกูล อันนี้ก็คือพิจารณาให้เกิดปัญญาให้รู้แจ้งเห็นจริงในแนวรูป
 
#แนวเวทนา 
เวทนาทางใจ เวทนาทางกาย 
เราก็พิจารณาให้รู้เห็นคือเวทนา ทางกายและทางใจ ทางกายคืออะไร ทางกายก็นี่แหละ เรานั่งเข้ามา ปวดแข้ง ปวดขา ปวดเหน็บ ปวดเมื่อย ร้อน หิวกระหายอย่างนี้เป็นต้น อันนี้กาย ส่วนใจนั้นคืออะไร สิ่งที่มากระทบทางใจ เราเป็นทุกข์ ทุกข์ใจที่คนฆ่าตัวเองตายมันมีมากหลากหลาย เพราะเหตุไร เพราะทุกข์ทางใจ นี่ก็เวทนาเหมือนกัน เวทนาทางใจ นี่แหละเวทนามันเกิดทางกายและทางใจ
 
#สัญญา 
คือความจำได้หมายรู้ สัญญานั้นก็เป็นอนิจจังเหมือนกัน บางทีก็จำได้ดี บางทีก็เสื่อมจากความจำ สังขารคือความปรุงแต่ง สังขารก็มี ๒ สังขารร่างกายส่วนหนึ่ง
 
#สังขาร
คือแนวความคิด ความปรุงความแต่งนั้นส่วนหนึ่ง
 
#วิญญาณ
คือความรับรู้ รับรู้เรื่องราวต่างๆ อันนี้ก็คือเรื่องวิญญาณ รู้แล้วก็ รู้เรื่องนั้น รู้เรื่องนี้ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เหมือนกัน
 
นี่แหละ อันนี้ก็คือการพิจารณาทางนามธรรม ทางด้านจิตใจ หรือนามธรรม รูปธรรมคือร่างกาย นามธรรมคือแนวความคิดที่มองไม่เห็น แต่มีความรู้สึกอยู่ ถ้าพิจารณาทางด้านปัญญามีมากหลากหลายที่เราจะพิจารณา ใจของเราไปติดไปข้องเรื่องอะไร ในรูป หรือในเวทนา หรือในสัญญา หรือในสังขาร หรือเรื่องวิญญาณ นี่แหละ อันนี้ก็ต้องพยายามตามคิดค้น ใช้สติใช้ปัญญา
 
สรุปแล้วก็คือ 
ให้ม้วนลงที่เดียว คือว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ตัวตนของเรา เป็นอนัตตา เมื่อเราพิจารณาถี่ถ้วนแล้ว อันไหนก็ไม่เที่ยง อันไหนก็เป็นทุกข์ มันจะเป็นตัวตนของเราได้อย่างไร เป็นอนัตตา นี่แหละ หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ของพวกเรา แนะนำ สั่งสอน ก็ลงในลักษณะอย่างนี้

#หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “อุปนิสัยในชาติที่แล้ว”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗

ศีล ๕ ไม่บริสุทธิ์ เจริญกรรมฐานไปก็ไม่มีผล

ถ้ามีศีล ๕ ไม่บริสุทธิ์ เจริญกรรมฐานไปก็ไม่มีผล ถ้าถามว่าทำไม ก็เพราะว่า ยังลงนรกอยู่ เจริญสมาธิเท่าไรมันก็ไม่พ้นนรก เพราะศีล ๕ นี่ปิดทางนรก ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่ง ตัวที่ขาดนี่ มันจะเข้ามาขวางเวลาที่เราจะตาย เป็นกรรมที่เป็นอกุศล

ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

อย่าฝืนกาย สมาธิจะไม่ทรงตัว

   วิธีจับภาพพระพุทธเจ้ากับความใส อันนี้ขอแนะนำไว้หน่อยหนึ่งคือว่า อย่าหลงกายเกินไป จงอย่าบังคับกายว่าต้องนั่งแบบนั้น ต้องนั่งแบบนี้ ห้ามนอน ห้ามยืน ห้ามเดิน อันนี้ไม่ถูก เรื่องทางกายนี่ ต้องคิดว่าเรายังไม่ใช่พระอรหันต์ แต่ความจริงพระอรหันต์ท่านก็ต้องการความสุขของร่างกายเหมือนกัน อย่าฝืนกาย ถ้าฝืนมันจะปวดเมื่อยขึ้นมาแล้วสมาธิจะไม่ทรงตัว
.
   ถ้าเราทำอยู่ทึ่กุฏิของเราเอง หรือว่าทำที่บ้านของเราละก็ นั่งตามสบาย นอนตามสบาย จะนั่งก็ได้ จะนอนก็ได้ จะยืน จะเดินก็ได้ การนั่งจะนั่งในลักษณะไหนก็ได้ แต่โปรดอย่าเหยียดเท้าไปทางพระพุทธรูปก็แล้วกัน จะนั่งเก้าอี้ก็ได้ นั่งห้อยขา เอนกายก็ได้ อันนี้ไม่เลือก วิธีปฏิบัติจงอย่าให้เครียด ถ้าเครียด ผลจะเสีย
.
  หลังจากนั้นเอาตาดูพระพุทธรูป จำทั้งองค์ ไม่ต้องจำมาตั้งแต่เศียร หน้าผาก คอบ้าง อันนี้ไม่ต้องทำตามที่เขาอธิบายกัน เคยได้ยินว่าให้จับส่วนบนมานิดหนึ่งก่อน ดูเกศจับเกศได้เลยลงมาถึงหน้าผาก อันนี้ไม่จำเป็น องค์ท่านไม่กว้างเกินวงตาเรา แสงสว่างของวงตาของเรากว้างกว่าพระพุทธรูป ฉะนั้นจับทีเดียวเต็มองค์เลย ลืมตาดูให้ชัด ตั้งใจจำภาพแล้วก็หลับตา พร้อมกันนั้นก็ใช้คำภาวนา
.
   คำภาวนาว่าอย่างไรเป็นเรื่องของท่าน เพราะในที่นี้พูดกลาง ๆ จะภาวนาว่า พุทโธ สัมมาอรหัง หรืออิติสุคโต อะไรได้ทั้งหมด หรือจะภาวนา นะโมพุทธายะ นะมะพะธะ รู้ลมหายใจเข้าออกไปด้วย รู้คำภาวนาไปด้วยในตัวเสร็จ และจิตก็จำภาพ เมื่อจับภาพได้ นึกถึงภาพให้มีความสว่างตามสมควร ต่อมาถ้ารู้สึกว่าภาพเลือนไปจากใจก็ลืมตาดูใหม่ จำได้แล้วก็หลับตานึกถึงภาพพร้อมกับภาวนากับรู้ลมหายใจเข้าออก
.
  ถ้าหลับ ๆ ลืม ๆ เข้าใจว่าทำได้แน่แล้ว ก็เข้าที่พัก เข้าที่นอนก็ได้ นอนแบบสบาย จิตใจน้อมนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและนึกถึงภาพที่เราจำได้จนกว่าเราจะหลับไป ที่ใช้คำว่าจนกว่าจะหลับไปนี่มีประโยชน์ แต่บังเอิญถ้าเกิดอารมณ์กลุ้ม มีอารมณ์ฟุ้งซ่านมากเกินไป ทำไป ๆ ไม่นานนัก จับภาพได้ไม่ทรงตัว จิตมันฟุ้งซ่านจนคุมไม่อยู่ อย่าฝืน เลิกเสียเลย ถือว่าระยะนั้นเอาเท่านั้น

📖ที่มา : หนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๓ (หน้าที่ ๗๓)
⚜️หลวงพ่อ​พระราช​พรหม​ยาน​วัด​จัน​ทา​ราม​(ท่า​ซุง)​ ต.น้ำซึม​ อ.เมือง​ จ.อุทัยธานี
📍เพจ:คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

🖊️พิมพ์ธรรมทาน นภา​ อิน

นิโรธ 5

#นิโรธ_ควรทำให้แจ้ง | การดับของกิเลสนั้น มีทั้งชั่วคราวและถาวร
.
นิโรธ 5 (ความดับกิเลส, ภาวะไร้กิเลสและไม่มีทุกข์เกิดขึ้น)
.
       1. วิกขัมภนนิโรธ (ดับด้วยข่มไว้ คือ การดับกิเลสของท่านผู้บำเพ็ญฌาน ถึงปฐมฌาน ย่อมข่มนิวรณ์ไว้ได้ ตลอดเวลาที่อยู่ในฌานนั้น)
.
       2. ตทังคนิโรธ (ดับด้วยองค์นั้นๆ คือ ดับกิเลสด้วยธรรมที่เป็นคู่ปรับหรือธรรมที่ตรงข้าม เช่น ดับสักกายทิฏฐิด้วยความรู้ที่กำหนดแยกนามรูปออกได้ เป็นการดับชั่วคราวในกรณีนั้นๆ)
.
       3. สมุจเฉทนิโรธ (ดับด้วยตัดขาด คือ ดับกิเลสเสร็จสิ้นเด็ดขาด ด้วยโลกุตตรมรรค ในขณะแห่งมรรคนั้น ชื่อสมุจเฉทนิโรธ)
.
       4. ปฏิปัสสัทธินิโรธ (ดับด้วยสงบระงับ คือ อาศัยโลกุตตรมรรคดับกิเลสเด็ดขาดไปแล้ว บรรลุโลกุตตรผล กิเลสเป็นอันสงบระงับไปหมดแล้ว ไม่ต้องขวนขวายเพื่อดับอีก ในขณะแห่งผลนั้นชื่อ ปฏิปัสสัทธินิโรธ)
.
       5. นิสสรณนิโรธ (ดับด้วยสลัดออกได้ หรือดับด้วยปลอดโปร่งไป คือ ดับกิเลสเสร็จสิ้นแล้ว ดำรงอยู่ในภาวะที่กิเลสดับแล้วนั้นยั่งยืนตลอดไป ภาวะนั้นชื่อนิสสรณนิโรธ ได้แก่อมตธาตุ คือ นิพพาน)
.
.
.
____________
ขอขอบคุณ :-
ข้อธรรม : พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
Photo : pinterest

เหตุแห่งความเสื่อมของสมาธิ

เหตุแห่งความเสื่อมของสมาธินั้นคือ ความประมาท ไม่ฝึกฝนให้ต่อเนื่องกัน หรือบางทีเราอาจจะทำผิดศีลธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆก็ตาม ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สมาธิก็ย่อมเสื่อมได้ เพราะเรื่องของสมาธิเป็นเรื่องของโลก เรื่องของโลกียวิสัย มีเสื่อมแล้วก็มีเจริญ เช่นอย่างผู้ที่บำเพ็ญสมาธิ ได้สำเร็จฌานสมาบัติ ถ้าประมาทขาดการสำรวม ไปเกิดความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ในขณะนั้นก็สามารถทำให้ฌานเสื่อมได้เหมือนกัน
.
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

ผู้ที่จะพ้นจากทุกข์คือพระนิพพาน

#ผู้ที่จะพ้นจากทุกข์คือพระนิพพาน
โลกุตรภูมิ คือ ภูมิหรือชั้นที่พ้นจากภพ 3 คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ หมายถึง ระดับจิตของพระอริยบุคคลที่พ้นจากกิเลสโดยเด็ดขาดตามลำดับและรวมถึงอมตมหานิพพานด้วย
1. #ภูมิของพระโสดาบัน เป็นภูมิลำดับแรกในโลกุตรภูมิ เป็นภูมิที่พ้นจากภพ 3 ของผู้ถึงกระแสพระนิพพาน เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น ผู้ที่เป็นพระโสดาบัน มีคุณวิเศษสามารถละสังโยชน์ได้ 3 อย่าง คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส จะกลับมาเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ

2. #ภูมิของพระสกิทาคามี เป็นโลกุตรภูมิลำดับที่ 2 เป็นภูมิที่พ้นจากภพ 3 ของผู้ที่จะกลับมาเกิดอีกเพียงครั้งเดียว ผู้ที่จะเข้าถึงสภาวะของความเป็นพระสกิทาคามี จะต้องผ่านความเป็นพระโสดาบันก่อน พระสกิทาคามี มีคุณวิเศษสามารถละสังโยชน์ที่พระโสดาบันละได้ และสามารถขจัดสังโยชน์เพิ่มอีก 2 ตัว คือ กามราคะ และปฏิฆะ ให้เบาบางลงได้อีกด้วย

3. #ภูมิของพระอนาคามี เป็นโลกุตรภูมิลำดับที่ 3 ของโลกุตรภูมิ ซึ่งจะต้องเจริญภาวนาผ่านความเป็นพระโสดาบัน และพระสกิทาคามีมาตามลำดับ จึงจะเข้าถึงภาวะแห่งความเป็นพระอนาคามี พระอนาคามีมีคุณวิเศษสามารถละสังโยชน์เบื้องต่ำทั้ง 5 อย่าง ซึ่งละสังโยชน์ต่อจากพระสกิทาคามีอีก 2 อย่าง คือ กามราคะ และปฏิฆะ ผู้ที่เป็นพระอนาคามี เมื่อละโลกแล้ว จะบังเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาสและบรรลุพระอรหันต์บนนั้น ไม่กลับมาเกิดอีก

4. #ภูมิของพระอรหันต์ เป็นโลกุตรภูมิลำดับสุดท้าย อันเป็นภูมิขั้นสูงสุดของโลกุตรภูมิ เป็นเป้าหมายอันสูงสุดของมวลมนุษยชาติ การจะเป็นพระอรหันต์จะต้องเจริญภาวนาผ่านความเป็นอริยบุคคลทั้ง 3 ขั้นมาตามลำดับ แล้วจึงจะเข้าถึงภาวะแห่งความเป็นพระอรหันต์ได้ คุณวิเศษของพระอรหันต์ คือ นอกจากละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ 5 ประการแล้ว ในขั้นนี้สามารถละสังโยชน์เบื้องสูงอีก 5 ประการ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา เมื่อละกิเลสได้หมดแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ อันเป็นการทำกิจของการเกิดเป็นมนุษย์ได้สมบูรณ์แล้ว เป็นผู้มีความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ อย่างเต็มเปี่ยม เป็นผู้ที่ควรแก่การบูชา และได้ชื่อว่าเป็นทักขิไณยบุคคลโดยแท้

#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ

ตายวันไหนวันนั้นเป็นอรหันต์

***ถ้าทำใจจริงเพื่อความไม่ประมาทในชีวิต**จิตนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์เข้าไว้ เรามีอยู่แล้ว** หลังจากนั้นถ้าเวลาจิตสบาย ก่อนจะหลับถ้าทำงานมาเหนื่อยๆ อยู่ที่บ้านไม่ต้องนั่งก็ได้ นอนเลย หมดเรื่องหมดราวไป มันเมื่อย เอนกายนอนศีรษะถึงหมอนก็นึกถึงความเป็นจริงว่า**เกิดเป็นคนมันเป็นทุกข์ เราไม่ต้องการอีก เป็นเทวดาหรือพรหมสุขจริง แต่ไม่นาน เราไม่ต้องการอีก เราต้องการนิพพาน** รวบรวมกำลังใจคิดว่า **โลกนี้ที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ เราไม่ต้องการมันอีก เป็นเทวดาหรือพรหมเราไม่ต้องการ เราต้องการอย่างเดียวคือ นิพพาน**
***ท่านที่ได้มโนมยิทธิพุ่งใจไปนิพพานทันที ไปอยู่ต่อหน้าองค์สมเด็จพระชินศรี แล้วก็ตัดสินใจว่า ถ้าร่างกายนี้พังเมื่อไร ขอมาที่นี่เมื่อนั้น**
***ถ้าท่านที่ยังไม่ได้มโนมยิทธิก็ไม่เป็นไร ก็ตัดสินใจตามนี้**ตัดสินใจว่าเราต้องการพระนิพพาน เราคิดว่าร่างกายนี้พังเมื่อไรขอไปนิพพานเมื่อนั้น**......**เอาใจเข้ามานึก ถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งเป็นอารมณ์ นอนภาวนาว่า **พุทโธ** ก็ได้ **สัมมาอรหัง** ก็ได้ **นะมะ พะธะ** ก็ได้ ภาวนาว่าอย่างไรก็ได้ที่คล่องแล้ว ภาวนาสัก ๒ - ๓ นาทีหลับไปก็ใช้ได้**
***พอตื่อนขึ้นมาใหม่ๆ ก็รวบรวมกำลังใจ สำหรับท่านที่เป็นสุกขวิปัสสโก ไม่เคยได้มโนมยิทธิ ก็รวบรวมกำลังใจคิดว่าการเกิดเป็นมนุษย์ ตอนเช้านี่เราเริ่มมีทุกข์ขึ้นแล้ว ต้องหิว ต้องทำมาหากิน ต้องเหน็ดเหนื่อย ต้องสัมผัสกับอารมณ์ที่เราไม่พอใจ การเป็นมนุษย์มันไม่ดีอย่างนี้ ถ้าความเป็นมนุษย์มันตายเมื่อไร ขอไปนิพพานเมื่อนั้น ตั้งใจแบบนี้แล้วก็ภาวนาตามชอบใจ สักครู่หนึ่ง ๒ - ๓ นาทีก็ได้
***สำหรับท่านที่ได้มโนมยิทธิ ตื่นขึ้นมาใหม่ๆ ถ้าไม่พอใจจะนั่ง ก็นอนใช้ได้ รวบรวมกำลังใจ ตัดสินใจว่า ร่างกายถ้ามันไม่ดีอย่างนี้ โลกมันมีความทุกข์อย่างนี้ เราไม่ต้องการมันอีก เราต้องการเฉพาะพระนิพพาน รวบรวมกำลังใจส่งใจไปนิพพานทันที อยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้าสัก ๒ - ๓ นาทีก็พอ ตัดสินใจว่าถ้าร่างกายตายเมื่อไร ขอมาที่นี่เมื่อนั้น วันนั้นทั้งวันอารมณ์จะมีแต่ความสุข**
***ถ้าหากว่าเวลาท่านจะตายจริงๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท **อารมณ์อย่างนี้ท่านมีประจำใจ จะประจำเฉพาะก่อนหลับ หรือตื่นใหม่ๆ ก็ใช้ได้** กลางวันทำงานทำการมันก็เผลอไปบ้าง เป็นของธรรมดา ถ้าเพียงเท่านี้ ถ้าอาการป่วยไข้ไม่สบายมันเกิดขึ้น ความทุกข์ทางกายเกิดขึ้นมันจะมีอารมณ์เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายร่างกายจริงๆ โดยไม่ต้องบังคับ ถ้าความเบื่อหน่ายร่างกายเกิดขึ้นมา **นั่นมันอารมณ์ของพระอรหันต์ จะตายวันไหน วันนั้นจะเป็นพระอรหันต์ก่อนแล้วนิพพาน แค่นี้ก็หมดกันถึงนิพพานแล้วนะ**.....**ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านตั้งใจ ตามนี้ ท่านจะไม่พลาดนิพพานในชาตินี้***
.
***โอวาทธรรมคำสอน***พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
 วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี
จากหนังสือ คำสอนหลวงพ่อวันท่าซุง ๒๕ หน้า ๑๐๕ - ๑๐๖
Benjar Nippitarnit ผู้พิมพ์คัดลอก...

การมีสติ

*สารพัดธรรม(ทำ)*
"การมีสติ"
     》"สติที่รู้เท่าทัน คิดขึ้นเรื่องใดก็ดับ คิดเท่าใดก็ดับถ้ามีสติ พร้อมกับปรุงขึ้นดับ ปรุงขึ้นดับ เรียกว่าสติพร้อมกัน คิดไปก็หลงไปลืมไปแปลว่าไม่มีสติ ถ้ามีสติแล้วคิดขึ้นร้ายก็ดี คิดดีก็ดี รู้พร้อมกันนั้นแหละ สติรู้พร้อมกับดับลงทันทีนั่นแหละ ตัวสตินี้สำคัญถ้ามีสติก็มีปัญญาพร้อมกัน คิดดีก็ตาม คิดชั่วก็ตาม หลงก็ตาม โกรธก็ตาม คิดขึ้นแล้วมีสติมันก็ดับไปทันทีไม่ต้องไปคุมมัน มีสติแล้วจะมีปัญญา เมื่อไม่มีสติก็จะเผลอ เผลอแล้วก็จะหลงไป...ตัวสติครั้นเกิดขึ้นพร้อมกันทุกๆ เมื่อแล้ว เมื่อเวลามันเกิดขึ้นพร้อมกันคราวใดจะดับพร้อมๆ กัน ถ้าไม่มีสติก็จะไม่ดับ
        ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีความเพียรจะเอาแต่ความสำเร็จให้ได้ เหลวไหลไปเสีย เมื่อมีสติก็ต้องมีความเพียร ความเพียรนั้นต้องรู้จักปฏิบัติเหมือนกัน ถ้าไม่รู้จักปฏิบัติ เพียรผิดไป ความเพียรกับความมีสติคืออันเดียวกัน มีสติแล้วใจก็ผ่องใสเบิกบานไม่หลงไม่ลืม คิดอย่างไรขึ้นมันก็จะดับลงไปพร้อมกับความคิดขึ้นนึกได้ ตัวสติจึงสำคัญยิ่งนัก"《

                  หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
                        คติธรรมคำสอน

                    "มีสติ ระลึกได้ ในใจจิต
              การนึกคิด เกิดปัญญา พาเพียรรู้
              โลภโกรธหลง ลดหมดไป ให้คอยดู
              จิตยิ้มสู้ ใจผ่องใส ไม่เผลอตัว"

     (ขอขอบคุณเจ้าของภาพและข้อความ ขออนุญาตเผยแผ่เป็นธรรมทาน สาธุๆๆ)

อกาลิโก รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล

#หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
🍀จิตก็มีอยู่แล้ว 
ชื่อว่า ของเรามีพร้อมบริบูรณ์แล้ว
จะทำให้เป็นศีลก็ทำเสีย
ไม่ต้องกล่าวว่า ศีลมีอยู่ที่โน้นที่นี้ 
กาลนั้นจึงจะมี กาลนี้จึงจะมี 

🍀ศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว
อกาลิโก รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล

05 มิถุนายน 2565

วิธีฝึก 8 อย่าง จะได้ไม่ "ทุกข์”


1. ฝึกมองตัวเองให้เล็กเข้าไว้ หมายความว่า จงเป็นคนตัวเล็ก อย่าเป็นคนตัวใหญ่ จงเป็นคนธรรมดา อย่าเป็นคนสำคัญ เวลามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา อย่าไปให้ความสำคัญกับตัวเองมากไป

2. ฝึกให้ตัวเองเป็นนักไม่สะสม หมายความว่า การสะสมอะไรสักอย่างนั้นเป็นภาระ ไม่มีอะไรที่เราสะสมแล้วไม่เป็นภาระยกเว้นความดี นอกนั้นล้วนเป็นภาระทั้งหมดไม่มากก็น้อย

3. ฝึกให้ตนเองเป็นคนสบายๆ หมายความว่า อย่าไปบ้ากับความสมบูรณ์แบบ เพราะความสมบูรณ์แบบมันไม่มีจริง มีแต่คนโง่เท่านั้นที่มองว่า ความสมบูรณ์แบบมีจริง

4. ฝึกให้ตัวเองเป็นคนนิ่งๆ หรือไม่ก็พูดในสิ่งที่ดีๆ หมายความว่า ถ้าอะไรไม่ดีก็อย่าไปพูดมากไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิด แต่ถ้ามันไม่ดี เป็นไปได้ก็ไม่ต้องพูด เพราะการพูด หรือวิจารณ์ในทางเสียหายนั้น มีแต่ทำให้จิตใจตนเองตกต่ำ และขุ่นมัว

5. ฝึกให้ตัวเองรู้ธรรมชาติว่า อะไรๆ ก็ผ่านไปเสมอ หมายความว่า เวลามีความสุข ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความสุขมันก็ผ่านไป เวลามีความทุกข์ ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความทุกข์ก็ผ่านไป เวลามีสถานการณ์แย่ๆ เกิดขึ้น ก็ให้รู้ทันว่า เรื่องราวเหล่านี้ มันไม่ได้อยู่กับเราจนวันตาย

6. ฝึกให้ตัวเองเข้าใจเรื่อง ของการนินทา หมายความว่า เราเกิดมาก็ต้องรู้ตัวว่า เราต้องถูกนินทาแน่นอน ดังนั้น เมื่อถูกนินทาขอให้รู้ว่า "เรามาถูกทางแล้ว" แปลว่า เรายังมีตัวตนอยู่บนโลก คนที่ชอบเต้นแร้งเต้นกา กับคำนินทาก็คือคนไม่รู้เท่าทันโลก แม้แต่คนเป็นพ่อแม่ก็ยังนินทาลูก คนเป็นลูกก็ยังนินทาพ่อแม่ นับประสาอะไรกับคนอื่น ถ้าเราห้ามตัวเองไม่ให้นินทาคนอื่นได้เมื่อไหร่ ค่อยมาคิดว่า เราจะไม่ถูกนินทา

7. ฝึกให้ตัวเองพ้นไปจาก ความเป็นขี้ข้าของเงิน หมายความว่า เราต้องหัดพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ รถยนต์ใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน นาฬิกาใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน เสื้อผ้าใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน การที่คนเราจะเลิกเป็นขี้ข้าเงินได้ ต้องเริ่มจากการรู้จักเพียงพอก่อน เมื่อรู้จักพอแล้ว ก็ไม่ต้องหาเงินมาก เมื่อไม่ต้องหาเงินมาก ชีวิตก็มีโอกาสทำอะไรที่มากกว่าการหาเงิน

8. ฝึกให้ตัวเองเสียสละ และยอมเสียเปรียบ หมายความว่า การที่คนๆ หนึ่งยอมเสียเปรียบผู้อื่นบ้าง เป็นเรื่องจำเป็น ใครก็ตามที่บ้าความถูกต้อง บ้าเหตุบ้าผล ไม่ยอมเสียเปรียบอะไรเลย ไม่ช้า คนๆ นั้นก็จะเป็นบ้าสติแตก กลายเป็นคนที่ถูกทุกอย่างแต่ไม่มีความสุข เพราะต้องสู้รบกับคนรอบข้างเต็มไปหมดเพื่อความถูกต้องที่ตนเองยึดมั่นถือมั่น

บทความธรรม กลุ่มแสงธรรม นำทางชีวิต
#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ

สวดมนต์ เกิดสมาธิ เกิดณาน

การที่เราอบรมบ่มจิตเจริญมนต์ก็ดีอย่างนี้..เค้าเรียกเป็นทานแห่งเสียง ในขณะที่เรานั้นสวดมนต์อยู่ก็ดี จิตเราจะเกิดสมาธิไปในตัว จะเกิดฌานไปในตัว จะเกิดวิปัสสนาไปในตัว นี่ขนาดว่าเราสวดมนต์อย่างเดียว ถ้าเราสวดแบบมีสติมีความตั้งใจนอบน้อม..ก็จักได้ประโยชน์มหาศาล 
แต่ถ้าเราไม่ได้สวดด้วยใจ อะไรนั้นหากขาดใจซึ่งเป็นประธานเสียแล้ว..ก็ย่อมเข้าไม่ถึงในสิ่งนั้น แต่ถ้าเราสวดด้วยความตั้งใจ มีความนอบน้อมมีศรัทธา มีสติ มีสมาธิเสียแล้ว มันก็จะเกิดมรรคเกิดผลในการสาธยายมนต์ มนต์นั้นก็จะเป็นมนตราที่ขลัง อย่างนี้เค้าเรียกว่า"สวดมนต์เข้าตัว" 

การสวดมนต์เข้าตัวนี้จะมีอานิสงส์อย่างไร ก็จะมีอานิสงส์ว่ามันจะไปปรับสมดุลธาตุ คุณลมคุณไสยอะไรก็ดี ที่เรามีเวรมีกรรม ถูกอาฆาตพยาบาทจองเวรจองกรรมมาก็ดี มันจะขับเอาออกทางรูขุมขนรูทวาร ในลมหายใจก็ดี ในเหงื่อก็ดีอย่างนี้ ในกระหม่อมทวารก็ดี ดังนั้นอย่าเห็นว่าการสาธยายมนต์นั้นไม่มีประโยชน์ แต่มีอานิสงส์ครอบคลุมจักรวาล..หากโยมมีจิตที่ตั้งมั่นนอบน้อม 

เพราะมนุษย์นั้นเมื่อเราสวดมนต์อยู่บ่อยๆย่อมทำให้มีกำลังจิต มีกำลังสมาธิพิศดาร ดังนั้นแม้เรายังเจริญสมาธิยังไม่ตั้งมั่น ในขณะที่เราได้มีโอกาสเวลาได้เจริญมนต์ ก็ขอให้โยมนั้นมีความตั้งใจนอบน้อมในพระรัตนตรัย จดจ่อตั้งมั่นในบทสวดมนต์ เพราะในขณะที่เราสวดมนต์อยู่ก็ดี อาจจะมีจิตนั้นวอกแว่กส่งออกไปภายนอก มีอดีตแห่งกรรมเข้ามาเกี่ยวพัน มีจิตที่ฟุ้งซ่านไปในอนาคตเหล่านี้ เค้าเรียกวิถีจิตนั้นมาหาความสงบไม่ได้ 

นั้นถ้าการที่เราท่องมนต์ท่องด้วยแต่ปาก แต่ไม่ได้มีสติไม่ได้มีสมาธิ..เค้าเรียกว่า"มนต์มันออก" ยิ่งเราสวดไปมากเท่าไหร่ มันก็ทำให้เรานั้นเหนื่อยล้าในกายสังขาร ก็เรียกว่าสวดไปสวดไปแล้วมันก็จะมีความง่วงเข้ามาแทน อันนี้เค้าเรียกว่ามนต์มันออก จึงเรียกว่าเสียประโยชน์.. 

เหมือนเราได้มีอาหารกินแล้วบริโภคแล้ว แต่อาหารนั้นไม่สามารถทำประโยชน์ให้ร่างกายเราได้ อย่างนี้เค้าเรียกว่ามนต์มันก็จะเสีย มันก็จะกลับเป็นโทษ ดังนั้นขอให้จงเห็นค่าในสิ่งที่เราได้ตั้งใจจะทำ

มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต 

ติดตามข้อมูลข่าวสารกิจกรรมของมูลนิธิได้ทาง https://www.facebook.com/mprs.foundation
ติดตาม คลิปธรรมะได้ทาง YouTube channel : ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

#บัญชีที่สำนักพยายมกำหนดวันตายไว้แล้วทุกคน

🚶🏃🙎...#คนตายได้ทุกสถานที่ถึงเวลาที่มันจะตาย ต้องทราบว่าความตาย เขากำหนดสถานที่และเวลาไว้แล้ว เราจะไปไหนไม่ต้องกลัวหรอก #ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่เขากำหนดมันก็ไม่ตาย #พอถึงวาระที่เขากำหนดมันต้องตายแน่ เราจะไปคิดว่า ตายนอกบ้าน ตายในบ้าน ไม่แน่นอน #อยากจะรู้ก็ไปดูบัญชีที่พยายม ไปขอท่านดูได้ ว่าเราตายเมื่อไหร่อายุเท่าไหร่ เป็นโรคอะไรตาย ตายที่ไหน อาการตายเป็นอย่างไร เขาบอกไว้ครบ #ก่อนที่เรามาเกิดนี่เขาบอกเวลาไว้แล้ว เมื่อเราทราบแบบนี้แล้วไม่ต้องไปคำนึงว่า มันจะตายเมื่อไหร่ จะตายอย่างไรก็ช่าง #จิตดวงนี้เรามุ่งนิพพานอย่างเดียว

🖋️📚หนังสือรวมคำสอนธรรมะปฏิบัติ เล่มที่ 9 หน้า 15
⚜️หลวงพ่อพระราชพรหมยาน⚜️
🙏(พระมหาวีระ ถาวโร ป.ธ.๔)🙏
วัดจันทาราม(ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี

🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน

03 มิถุนายน 2565

หลวงปู่ตื้อฯ เคยอยู่ในอิริยาบถนั่งสมาธิภาวนา ๗ วัน ๗ คืน โดยไม่ลุกและไม่ฉันอะไรเลย

*สารพัดธรรม(ทำ)*
"หลวงปู่ตื้อฯ เคยอยู่ในอิริยาบถนั่งสมาธิภาวนา ๗ วัน ๗ คืน โดยไม่ลุกและไม่ฉันอะไรเลย"
     》ปฏิปทาการปฏิบัติภาวนาของ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นปฏิปทาอดอยากเดนตาย เพื่อความพ้นทุกข์โดยฝ่ายเดียว เช่นเดียวกับพระอรหันตสาวกในครั้งพุทธกาล และพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหลายที่หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ได้กล่าวยกย่องให้เป็น "เพชรน้ำหนึ่ง"
     หลวงปู่ตื้อ ท่านเป็นพระมหาเถระสำคัญอีกองค์หนึ่งที่ได้รับการยอมรับและเคารพเทิดทูนอย่างกว้างขวางในวงกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น พระเพื่อนสหธรรมิกที่เคยเที่ยวออกธุดงกับท่าน หรือพระศิษย์ที่ได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาธรรมปฏิบัติจากท่าน จะเห็นปฏิปทาการปฏิบัติภาวนาของท่านอย่างใกล้ชิด จะยิ่งให้การยอมรับและให้ความเคารพศรัทธาท่าน
เป็นอย่างมาก
     เพราะหลวงปู่ตื้อ ท่านเป็นพระปฏิบัติตามธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด และถือธุดงควัตรอย่างเข้มงวด ท่านเป็นพระพูดจริงทำจริง การปฏิบัติธรรมก็เป็นไปอย่างกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง เอาจริงเอาจัง ชนิดทุ่มเทกำลังทั้งหมด แม้กระทั่งชีวิตท่านก็ยอมสละ เช่น ท่านเคยอยู่ในอริริยาบถนั่งสมาธิภาวนา ๗ วัน ๗ คืน โดยไม่ลุกและไม่ฉันอะไรเลย ท่านเคยปักกลดนั่งสมาธิทับรูพญานาค ท่านเคยปักกลดภาวนาต่อสู้กับพวกวิญญาณ เปรต ผีร้าย จนท่านได้รับชัยชนะ และท่านเคยอดข้าวปฏิบัติภาวนาอยู่ในป่าดงพงไพรแสนกันดารนาน ๒ - ๓ สัปดาห์ จนเทวดาแสดงความชื่นชมในความอดทนของท่าน เป็นต้น《

     ***ขออนุโมทนา ขอขอบคุณเจ้าของภาพและข้อความ ขออนุญาตเผยแผ่เป็นธรรมทานแก่ผู้ที่มีความศรัทธา ข้อความข้างบนนี้เป็นส่วนหนึ่ง จากหนังสือ "ประวัติ ท่านพระอาจารย์ตื้อ อจลธมฺโม" มูลนิธิพระสงบ มนสฺสนฺโต ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี หน้า ๒๙ - ๓๐ สาธุๆๆ***

การเกิดเป็นมนุษย์

ลูกศิษย์ : ผมขอถามเรื่องภพภูมิครับ ที่ว่ามนุษย์นี่ที่ตายไปแล้วที่ว่าจะเกิดนี่ ต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วเป็นภพสุดท้าย ใช่มั้ยครับ หมายถึงว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วถึงจะเกิดเป็นมนุษย์น่ะครับ 
หลวงปู่ : มันก็ต้องดูด้วย ขนาดเป็นมนุษย์แล้ว..พอตายไปอาจจะไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีกก็ได้ มันก็ต้องดูว่าสัตว์เดรัจฉานนั้นมีจิตมีสัมมาทิฏฐิหรือมีมิจฉาทิฏฐิ ต้องดู..อยู่ในสิ่งแวดล้อม เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ

ถ้าเค้าไม่ได้อยู่ใกล้ในผู้เจริญในกระแสจิตแห่งเมตตาเสียแล้วนี้ ก็ยากยิ่งนักที่เค้าจะพ้นในการเป็นสัตว์เดรัจฉาน ขนาดมนุษย์ที่ฆ่าตัวตายแล้วนี้..เมื่อตายเกิดขึ้นมาอีกก็ต้องฆ่าตัวตายจนกว่าจะครบ ๕๐๐ ชาติอย่างนี้ เป็นเพราะอะไร..เป็นเพราะวิบากกรรมทั้งนั้น..

นั้นโอกาสที่พึงมาแล้วได้มีศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนานี้ ได้มาเจริญศีล สมาธิ ภาวนา ถ้าสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายอยู่ในเขตพัทธสีมา ได้ยินเสียงสดับสวดมนต์ภาวนาอยู่ตลอดเวลานี้ กระแสจิตนี้มันได้เป็นกระแสธรรมมั้ยจ๊ะ..มันเป็นกระแสที่ดีหรือเปล่า กระแสที่ดีเหล่านี้แลย่อมส่งผลทำให้เกิดภพภูมิที่ดี ย่อมทำให้เค้าเปลี่ยนภพที่ดี 

แต่ทีนี้ไอ้พวกสุนัขทั้งหลาย ท่านสุนัขทั้งหลายนี้เกิดมาเป็นสุนัขสัตว์เดรัจฉาน เค้าเกิดจากความโทสะ เกิดจากความโมหะ ความไม่รู้ทั้งหลาย ความหลงเช่นว่าเมื่อเจริญประพฤติปฏิบัติในธรรมพระวินัยแล้ว..ผิดศีลอย่างนี้ เมื่อตกตายไปแล้วก็ต้องมาอยู่ในเขตพัทธสีมา

อันที่สองพวกมัคนายกวัดทั้งหลาย..นี่อย่างนี้ เอาของวัดของสงฆ์ทั้งหลายโดยไม่รู้ผิด..ก็ต้องมาใช้หนี้ มาคอยเฝ้าวัดคอยเฝ้าวาอารามทั้งหลายเหล่านี้ เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ มาเป็นเปรตบ้าง เป็นโอปปาติกะบ้าง เสวยสุขเสวยทุกข์บ้าง เวลากลางค่ำกลางคืนอย่างนี้บ้าง 

สิ่งเหล่านี้ถามว่ามีวันหมดไปหรือเปล่า..ไม่มีวันหมดไป มันเป็นอยู่ทุกภพทุกชาติแห่งการเกิด เรานี้เกิดเป็นมนุษย์นี่ดีแค่ไหนแล้ว ขนาดเกิดเป็นมนุษย์นี้มีสุขมีทุกข์ หรือว่ามีสุขอย่างเดียวหรือเปล่า..ก็เปล่าเลย แล้วสัตว์เดรัจฉานหรือพวกวิญญาณทั้งหลายเหล่านี้ โยมว่าจะสุขหรือทุกข์มากกว่ากัน (ลูกศิษย์ : ทุกข์มากกว่า) เพราะเค้าไม่มีโอกาส เค้ารอแต่คนที่เค้านั้นมีบุญวาสนาหรือมีบุพกรรม..หรือวาระกรรมที่จะหมด ถ้ามันยังไม่ถึงเวลาเค้าก็ต้องเสวยกรรมอย่างนั้นต่อไป 

แต่มนุษย์เป็นผู้มีบุญ เมื่อเรามีตกทุกข์ได้ยาก..เทวดาเค้าก็รู้เค้าก็เห็น ถ้าเราเคยทำบุญอะไรมา เราก็สามารถพ้นทุกข์พ้นภัยนั้นได้อย่างนี้ นั้นคำว่าเป็นมนุษย์เนี่ยะ..ถึงยังไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา แต่ก็ชื่อว่ามีบุญติดมา เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ

ดังนั้นผู้ที่ให้ย่อมมีบุญบารมีมากกว่าผู้ที่ได้รับ เพราะผู้ที่ให้ย่อมสูงกว่าเสมอ..ก็คือจิตที่เป็นผู้ให้ ผู้ที่รับนี้ไม่ปรารถนาที่จะให้..มันย่อมต่ำกว่าผู้ที่ให้อยู่แล้ว ดังนั้นการเกิดมามีคนช่วยเหลือถือว่ามีบุญอยู่แล้ว แต่เกิดมาแล้วมีโอกาสได้ช่วยเหลือคน..มีบุญมากกว่ามั้ยจ๊ะ 

ในขณะที่เราเจริญภาวนาจิตอยู่นี้..เราสามารถเป็นผู้ให้ได้หรือเปล่า ให้ทุกสรรพสัตว์นั้นพ้นทุกข์ ให้เค้ามาโมทนา ให้อโหสิกรรม ปรารถนาในบุญใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้ว..ก็ให้สำเร็จสมบูรณ์เสมอกันด้วยบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำแล้วนี้เทอญ สิ่งเหล่านี้เราปรารถนาให้ได้หรือเปล่า นี่เค้าเรียกความดี ปรารถนาเพื่อการไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไม่มีภัยต่อกัน..

ความปรารถนาเหล่านี้เป็นการเกื้อกูล ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ด้วยกัน สรรพวิญญาณดวงจิตทั้งหลาย ถ้ากระแสเหล่านี้มีบุพกรรมมีวาสนากับเรา..เค้าจะรับเราได้เอง เหมือนคลื่นที่เราใช้..ถ้าคลื่นเดียวกันมันใช้กันได้มั้ยจ๊ะ เราต้องอยู่ที่การอธิษฐานสิ่งเหล่านี้ 

ดังนั้นแล้วขอให้โยมเชื่อเถิดว่าโยมเกิดมาเป็นผู้มีโชค มีบุญบารมีเพียงใดที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วได้เจริญประพฤติปฏิบัติในพรหมจรรย์อีก ได้รู้เห็นทางออกแห่งทุกข์ได้อีก มันอยู่ที่ความศรัทธาความเพียรของโยมมีมากมีน้อยเพียงใด ก็ฝึกฝนเอา ตักเอาตวงเอา พิจารณาเอา ทำให้มันถึงที่สุดแห่งทุกข์..

มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต

พลังพุทธานุภาพ จากต้นศรีมหาโพธิ์

#เนกขัมมบารมี ฝึกจิตสั่งสมบารมี | บวชชีพรหมโพธิ​ ภายใต้พระศรีมหาโพธิ​์ วันที่ 10-18 สิงหาคม 2565 ​นี้ อินเดีย
.
บารมี 10 ทัศ ที่พระพุทธเจ้าสอน คือ การแนะนำให้มนุษย์สั่งสมและสร้างขึ้นเพื่อฝึกจิตวิญญาณของเรา เพาะบ่มให้มีพลังเอาไว้ใช้ในยามพบวิกฤติก็ไม่หวั่นแลยามสุขก็ไม่หลง​ ซึ่งบารมี 10 ทัศ มีถึง10 ลักษณะด้วยกัน พระองค์ก็ฝึกฝนอบรมเพาะบ่มจนสามารถชนะมารในใจได้จนสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า
.
เนกขัมมบารมี เป็นบารมีอันยิ่งที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของเราให้มีความทุกข์น้อยลงได้ ​เพราะบารมีข้อนี้มีทั้งศีล มีทั้งภาวนา ที่จะต้องปฏิบัติควบคู่กันไป​โดยอาศัยขันติ​ วิริยะและเพื่อให้เกิดปัญญาแห่งธรรมขึ้น
.
สมัยละอ่อน ผมเคยอาศัยข้าวก้นบาตรพระวัดพุทธคยา​ รัฐพิหาร​ ประเทศอินเดีย​ อยู่หลายปีดีดัก จนพูดฟังภาษาฮินดี้พอรู้บ้างแบบงูๆ ปลาๆ​ ทุกเช้าจะไปสวดมนต์ภาวนาใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่พระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์ในภัทรกัปนี้มาบรรลุธรรม​ ตั้งแต่พระพุทธเจ้ามีนามว่า​ กกุสันโธ, พระพุทธเจ้าโกนาคม,​ พระพุทธเจ้ากัสสป, พระพุทธเจ้าโคตม(องค์ปัจจุบัน)​ และอนาคตกาลพระพุทธเจ้าเมตไตรยก็จะมาบรรลุธรรมที่นี่
.
ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์จึงมากด้วยพลังงานอันเป็นกุศล พลังงานบริสุทธิ์ที่ใครได้ไปประกอบกิจทางจิตวิญญาณแบบชาวพุทธ ย่อมประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตในทางโลกและทางธรรมเสมอ​
.
@@@@@
.
พระสุเมธาธิบดีหรือหลวงพ่อบุญเลิศ​เคยเป็นเจ้าอาวาสที่นี่เล่าให้ฟังว่า​ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นี้ มีพลังมาก ใครที่หมดกำลังใจ​ ใครปรารถนาอะไรมาปฏิบัติธรรมที่นี่ จะได้พลังที่ดีและทำให้ปัญญาเกิดขึ้นเพราะพุทธานุภาพ​ แม้แต่พระธรรมโพธิวงศ์​ หรือหลวงพ่อวีรยุทธ์ หัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยารูปปัจจุบัน 
.
ท่านเคยเล่าให้ฟังเช่นกันว่า​ ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์คือจุดศูนย์รวมธรรมและรวมพลังจิตอันบริสุทธิ์เอาไว้มากมาย​ ใครได้มาปฏิบัติธรรม ภาวนาจะมีชีวิตที่เจริญขึ้น​ ทั้งทางโลกและธรรม
.
วันก่อนได้พบพระครูอุดมโพธิ​วิเทศ​ ท่านเป็นพระผู้นำทางความรู้และวัตรปฏิบัติงดงามเป็นพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล​ ท่านได้ร่วมกับพระธรรมทูตทุกรูปในสายประเทศอินเดีย-เนปาล​ จัดการบวชชีพรหมโพธิ​ ภายใต้พระศรีมหาโพธิ​์ โดยจะจัดในวันที่ 10-18 สิงหาคม 2565 ​นี้ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง​ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระชนมพรรษา 90 พรรษา​
.
คณะพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล​ จะนำสวดมนต์ภาวนาและพาไปปฏิบัติธรรมที่บนพระกุฏิของพระพุทธเจ้า บนเขาคิชฌกูฏด้วยที่เมืองราชคฤห์​ ท่านใดสนใจที่จะไปปฏิบัติครั้งนี้ ติดต่อกับพระครูอุดมโพธิวิเทศได้ที่โทร​ 080-9989693 หรือ ID ของ Line ที่ narong84000
.
@@@@@
.
มนุษย์เราร่างกายนี้ก็แค่พึงอาศัยอยู่แต่อีกไม่นานนั้น ก็ชำรุดไปตามกาลเวลา​จิต วิญญาณก็ออกจากร่างนี้ไปหาร่างอื่น ในการเกิดต่อไป​ แต่จะได้ไปอยู่ในร่างของเทพ​เทวดา​หรือมนุษย์หรืออะไรก็ตามย่อมขึ้นอยู่ที่บุญกุศลนที่สั่งสมมานับของแต่ละคน
.
พระพุทธเจ้าสอนว่า​ การที่จะได้อัตภาพเป็นมนุษย์นี้ไม่ง่าย​ เมื่อได้มาแล้วควรทำแต่สิ่งที่ดีที่สุด​ เพื่อได้ให้ได้สิ่งที่ดีมาสู่ชีวิต
.
.
.
__________
Thank to : https://today.line.me/th/v2/article/QwVnakV
คอลัมน์ ทำมา ธรรมะ โดย​ ราช รามัญ , 02 มิ.ย. 2565 เวลา 2:30 น.
https://today.line.me/th/v2/article/QwVnakV

ผีนางตะเคียน วัดบางนมโค ตอนที่ 1

โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

จะเล่าเรื่องผีให้ฟังอีกตอนหนึ่ง คือว่า บรรดาผีทั้งหลาย
เหล่านั้น เมื่อเธอล้อเธอเล่น มันไม่มีผล ต่อมาก็มาปรากฏ
มีผีที่น่ารักอยู่ ๒ คน คือ ผีนางตะเคียน เรื่องราวของนางตะเคียน
ก็มีอยู่ว่า หลวงพ่อปานท่านจะสร้างเขื่อนหน้าวัด ก็มีต้นตะเคียนรุ่น ๆ คำว่า รุ่น ๆ ก็หมายความว่า โตไม่มาก เส้นผ่าศูนย์กลางขนาดประมาณไม่ถึงฟุต หรือตอนโคนทีเดียวอาจจะถึงฟุต
ท่านตัดไป ๒ ต้น

เมื่อต้นตะเคียนถูกตัด ก็ปรากฏว่านางตะเคียน ๒ คน
เข้าไปหาหลวงพ่อปานเวลาการเจริญกรรมฐาน
คำว่า เวลาการเจริญกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัท
สำหรับพระที่ท่านทรงฌานอย่างหลวงพ่อปาน กรรมฐาน
ใช้กันได้ ๒๔ ชั่วโมง เวลากินข้าว อารมณ์ก็เป็นกรรมฐาน
อาหาเรปฏิกูลสัญญา เวลาที่จะคุยกับใคร อารมณ์ก็เป็นกรรมฐาน ถือเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะอะไรรู้ไหม อนิจจัง
คนที่มาพูดนี่มันไม่เที่ยง มันแก่ไปทุกวัน ทุกขัง นั่นความแก่มาถึง ความปรารถนาไม่สมหวัง เธอก็ทุกข์ อนัตตา ในที่สุดเขาก็ตาย เราก็ตาย มีสภาพเช่นเดียวกัน

ก็รวมความว่า เฉพาะสมาธิ สมาธิจริง ๆ มันทรงอารมณ์ไม่ใช่อึกอักอะไรก็ต้องนั่งหลับตาปี๋ นั่งหลับตาปี๋จึงจะใช้อารมณ์
สมาธิได้ อย่างนั้นอาจจะดีสำหรับบางคณะ แต่คณะที่ท่าน
เอากันตามนี้ ท่านใช้สมาธิทุกเวลา สมาธิที่จะทรงตัวอยู่อย่างอย่างน้อยที่สุด ก็เป็น อุปจารสมาธิ หรือมิฉะนั้นก็เป็น
ฌานที่ ๑ ฌานที่ ๒ คือ เขาไม่ทิ้งกันเลย อย่างตอนเช้ามืด
เข้าฌาน ๔ เรียด แต่ความจริงสมาธินี่ ถ้าพูดกันตามส่วน
ถ้าเป็นฌานโลกีย์ต้องระวังให้มาก มันเป็นฌานหัวเต่า
ถ้าไม่ค่อยระมัดระวัง ไม่คอยคุม มันก็เผลอได้เหมือนกัน

ฉะนั้นท่านผู้อ่าน ท่านผู้ฟังก็จงอย่าคิดว่า คนที่ทรงฌานโลกีย์
เป็นคนดีนัก ถ้าชมกันว่าดีเลิศนี่ ขอตำหนิผู้ชมว่า ไม่มีความเข้าใจอะไรจริง ๆ เลย ฌานโลกีย์ที่เป็นฌานหลอกหลอน เป็นฌาน
หัวเต่าผลุบเข้าผลุบออก ถ้าทรงกำลังฌานเต็มที่ อารมณ์จะหนัก อารมณ์จะแน่น รู้สึกมีน้ำหนักของกำลังใจ น้ำหนักของกำลังกายสูงนี่เป็นกำลังของฌาน ถ้าเป็นฌานเกี่ยวกับวิปัสสนาญาณ
คือเป็น โลกุตตรฌาน อารมณ์หนักอารมณ์แน่นจะหายไป
มีแต่อารมณ์เบา แต่จิตมีความสุข จิตมีอารมณ์โปร่ง ถ้าฌานของวิปัสสนาญาณ นี้ไม่ถอย ถ้าถึงสังโยชน์แล้วไม่ถอย ไม่ต้องระวังกัน คือไม่ต้องระวังเกรงว่า ฌานจะหลุด ฌานจะพ้น ฌานจะหาย ฌานจะสลายตัว ไม่ต้องระวัง ปล่อยกันตามสบายแล้วเพราะมันทรงตัวแน่

แต่สำหรับฌานโลกีย์ต้องระวังให้มาก บางทีจิตไปตั้งอยู่ในอารมณ์ของฌานที่ ๓ หรือฌานที่ ๔ จนชิน คำว่า ชิน ก็เป็น
ชั่วขณะเดียวเวลานั้นอาจจะมีความรู้สึกว่า เวลานี้เราเป็นพระอรหันต์ก็ได้ นี่ต้องระวัง ๆ ให้มาก และมีสภาพเป็นอย่างนั้น
เหมือนกัน แต่ว่าความรู้สึกเป็นพระอรหันต์ จะมีความรู้สึก
เหมือนกันหรือไม่ ไม่ทราบ อารมณ์มันดับ ความรักในระหว่างเพศก็ดี ความโลภอยากรวยก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี มันหยุดนิ่ง มันถูกกดด้วยกำลังฌาน กดนาน ๆ หลาย ๆ วัน หนักเข้า ๆ อาจจะมีความรู้สึกว่า เราอาจจะเป็นผู้พ้นกิเลสเสียแล้ว ทีนี้ตัวอย่างมีไหม ตัวอย่างมีในสมัยพระพุทธเจ้า คือ

พระที่ทรงฌานโลกีย์อย่างนี้ เคยมี เมื่อขณะที่ทรงฌานโลกีย์อย่างนั้น อารมณ์แน่น มีอารมณ์หนัก มีอารมณ์ทรงตัว ก็เข้าใจว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ ก็พยากรณ์กับตน หมายความพูดกับเพื่อนว่า ผมนี่เป็นพระอรหันต์แล้ว ต่อมาก็กลายเป็นว่า ฌานมันเคลื่อนตัวลง ความรู้สึกของกิเลสมันก็ยังเกิดขึ้น คือความรักในระหว่างเพศ ถึงแม้ว่าจะไม่เอาจริงไม่เอาจัง แต่ก็เห็นว่าสวย คนนี้สวยเนื้อดีอวบอั๋นดี อะไรก็ตาม มันดีไปหมด รู้สึกว่าร่างกายเขาดีใช้ไม่ได้แล้ว ความอยากจะร่ำรวย อยากเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีเกิดขึ้น
แม้แต่ชั่วขณะหนึ่งก็ใช้ไม่ได้แล้ว ความอารมณ์ไม่พอใจเกิดขึ้นชั่ว ขณะหนึ่งก็ใช้ไม่ได้แล้ว

ก็รวมความว่า ความหลงไหลในร่างกายคิดว่าร่างกายของเราดี
ก็ใช้ไม่ได้แล้วอย่างนี้มันโผล่ขึ้นมาในเมื่อมันโผล่ขึ้นมา ท่านก็มีความสงสัยในตัวเองว่า การพยากรณ์ตนเองว่าเป็นพระอรหันต์
มันจะขาดจากความเป็นพระไหม เป็นการอวดอุตริมนุสธรรมไหม ก็ไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่เป็นอุตริ
มนุสธรรม เพราะความเข้าใจผิดเรื่องของฌานโลกีย์ เป็นอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท เอ้า...มาคุยธรรมะเดี๋ยวจะง่วงกันตาย
เล่าเรื่องของนางตะเคียนกันต่อไป

นางตะเคียน ๒ คน เข้าไปหาหลวงพ่อปาน ที่บอกว่า เวลาเจริญกรรมฐาน เวลาไหนทราบไหม เวลานั้นเป็นเวลาหัวค่ำประมาณ
๒ ทุ่ม หลวงพ่อปานกำลังตะบันหมากอยู่ ท่านใช้ตะบัน ตะบันหมาก ฟันท่านไม่มี กำลังตะบันหมากอยู่ ก็ปรากฏมีสตรี ๒ คน ความจริงประตูเขาใส่กลอนแล้ว เข้าไป เป็นเด็กสาวรุ่น ๆ
หน้าตาเหมือนเด็กอายุ ๑๒-๒๓ แต่ร่างกายก็สาวทรงตัว
สาวทรงตัวคล้ายอายุ ๑๖-๑๗ รูปร่างหน้าตาดี ๒ คน
เข้าไปกราบ แล้วก็ร้องไห้ก็บอกว่า หลวงพ่อเจ้าคะ
หลวงพ่อฟันต้นตะเคียน ๒ ต้น บ้านฉันก็พัง วิมานฉันไม่มีที่ตั้ง
ทำอย่างไรเจ้าค่ะ ฉันจะอยู่ที่ไหน

หลวงพ่อปานท่านก็ถามว่า เออ...น้องหญิงเอ๊ย...เอ็งมาจากไหนละ นี่เป็นศัพท์หลวงพ่อปานท่าน เธอบอก ฉัน คือนางตะเคียน
๒ ต้นเจ้าค่ะ วิมานฉันแปะอยู่ที่ต้นตะเคียน เวลานี้หลวงพ่อจะสร้างเขื่อนไปโค่นต้นตะเคียน ฉันก็ไม่มีที่อยู่ หลวงพ่อปานก็บอกว่า ต้นไม้ในวัดนี้มีเยอะ หาอยู่สักต้นซิ เธอก็ตอบว่า ต้นไม้ที่มีแก่น
ในวัดนี่ ไม่มีว่างเลยเจ้าค่ะ วิมานรุกขเทวดาเต็มไปหมด
รุกขเทวดา รุกขนางฟ้านะ คือ เทวดาต้นไม้ นางฟ้าต้นไม่
เต็มไปหมดฉันไม่มีที่อยู่เจ้าค่ะ

หลวงพ่อปานก็บอกว่า เออไอ้กุฏิ ๒ หลัง หน้าศาลาที่ฉัน
จะทำเป็น โรงเรียนนักธรรม นั่นนะ เวลานี้มันว่างอยู่ใช่ไหม
เธอเห็นว่ามีเทวดาหรือนางฟ้าไปอาศัยไหม เธอก็ตอบว่า
ไม่มีเจ้าค่ะ หลวงพ่อปานก็บอกว่า ถ้าเธอจะใช้วิมานของเธอไปแปะอยู่กับกุฏิคนละหลังจะได้ไหม เธอก็บอกว่า ยินดีจะเอาหลังเดียว คือ ๒ คน ๒ วิมาน ใช้กุฏิหลังเดียวก็พอ หลวงพ่อปานก็อนุญาต และเธอก็กราบอีกครั้งหนึ่งว่า ขอพร ในเมื่ออนุญาตแล้ว ขอจงห้ามไม่ให้ผีอื่นเข้าไปยุ่ง หมายความว่าไปอาศัยอยู่
หลวงพ่อปานก็ยอมรับ

ในเมื่อหลวงพ่อปานอนุญาตแล้ว เธอก็ไปอยู่ที่นั่น และนางฟ้า ๒ คนนี่แหละที่ทำให้พระไปอยู่ ๓ รุ่น ต้องลงจากกุฏิหลังนั้น เพราะอะไร เพราะเธอเป็นนางฟ้า คำว่า นางฟ้าจะเป็นนางฟ้าได้ จะเป็นภุมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี อากาศเทวดาก็ตาม ขึ้นชื่อว่า เทวดาหรือนางฟ้า ก่อนจะตายต้องมี หิริและโอตตัปปะ คือ อารมณ์ตัดความเลวของจิต คือ คิดกลัวบาป อายบาป กลัวความชั่ว อายความชั่ว จึงเป็นเทวดา จึงเป็นนางฟ้าได้

ในตอนก่อนนั้น เธอจะมีความชั่วขนาดไหนก็ตาม ก่อนหน้านั้น แต่ถ้าเวลาใกล้จะตาย จิตคิดถึงบุญ คิดถึงบาปเขามา รู้ผิดรู้ชอบ รู้เหตุรู้ผลว่า กรรมใดที่เป็นอกุศล คือ ความชั่ว ให้ผลเป็นทุกข์ กรรมใดที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข ตอนนี้จิตก็มีเหตุมีผล กลัวบาปกลัวอกุศล ทำบุญทำกุศลแทน อย่างน้อยที่สุด จิตนึกถึงพระ
ที่เคยบูชา พระที่เราเคยรัก ที่เราเคยเคารพ อย่างนี้เป็นต้น
รวมความว่า เขาจะเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าด้วย หิริ-โอตตัปปะ
อายความชั่ว กลัวความชั่ว

ทีนี้หลวงพี่ขึ้นไปอยู่ ๓ รุ่น ก็เป็นหลวงพี่ที่มีความกล้าหาญ
ชาญชัย ไม่กลัว คำว่า ไม่กลัวอะไร คือไม่กลัวความชั่ว
ทั้งนี้จะคุยให้ฟังว่า อย่านึกว่าครูบาอาจารย์ดี ลูกศิษย์มันดี
ตามทั้งหมด ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ไอ้พวกคนที่มันเกาะหลัง
ครูบาอาจารย์กินน่ะ มันมีเยอะ แทนที่จะสร้างความดี
ตามครูบาอาจารย์สอน มันกลับสร้างความชั่ว แล้วก็นั่งเบ่ง
คิดว่า วันนี้เราจะกินไอ้นั่น วันนี้เราจะกินไอ้โน่น ดี ไม่ดี
ลูกสาวใครคนไหนสวย ชอบคนนั้น ชอบคนนี้ อยากจะร่ำ
อยากจะรวย หากิเลส หานรกลงหัว อย่างนี้มีเยอะ ถ้าจะถามว่า ลูกศิษย์คนพูดมีไหม ก็ต้องตอบว่า มี ถามว่าเลี้ยงไว้ทำไม
แต่ความจริงไม่ได้เลี้ยงใคร เวลานี้ไม่ได้เลี้ยงใคร เลี้ยงตัวเอง และญาติโยมน่ะเลี้ยง

ไอ้คำว่า เลี้ยง คือ ญาติโยมเลี้ยง นั่นก็หมายความว่า สุดแล้วแต่คน คนมันอยากจะลงนรก ก็ให้มันลงลึก ๆ มันอยากจะไปสวรรค์
ก็ให้มันมีความสุขมาก ๆ อยากจะไปนิพพาน ก็ให้มีสภาพ
ความแจ่มใส อย่านึกว่าว่าวัดที่มีผู้ใหญ่ดี มีชื่อเสียง ปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบ ตามสมควรแก่กำลังการปฏิบัติของท่าน ก็จงอย่า
นึกว่า ลูกศิษย์ลูกหามันดีตามไปทุกคน ไอ้ที่เลวแสนเลวมันก็มี เลวขนาดที่ไม่ควรจะเลว ความรู้สึกรับผิดชอบไม่มี อย่างนี้มันมีอยู่เยอะเหมือนกัน แต่บางองค์ บางท่าน บางคนก็ดีแสนดี บางคนก็ดีเกินกว่าที่อาจารย์จะคิดเร่งรัดตัดกิเลส จนกระทั่งขาดการยับยั้ง
มีความเพียรมากเกินไป อาจารย์ต้องยับยั้ง อันนี้ดีเกินไป

(ยังมีต่อครับ)

ข้อมูลจากหนังสืออ่านเล่น เล่ม ๑๔ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ผีนางตะเคียน

ผีนางตะเคียน วัดบางนมโค ตอนจบ
โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
ถ้าถามว่า ถ้าดีเกินไปอย่างนั้น ทำไมอาจารย์ต้องยับยั้ง
ไม่ปล่อยบุกให้แหลกไปเลย ก็ต้องขอตอบว่าขืนบุกอย่างนั้น กิเลสไม่แหลก คนบุกแหลกเพราะเป็น อัตตกิลมถานุโยค
ทรมานเกินไป เอ้า...เลี้ยวเข้าหานางตะเคียนกันใหม่ดีกว่า
ที่พูดอย่างนี้ กลัวผู้ฟังจะหลง คิดว่า ลูกศิษย์คนพูดนี่ดีทุกคน ความจริงทุกคนก็มีดี แต่ทุกคนก็มีชั่ว แต่ใครจะดีมาก
ใครจะชั่วมาก ก็เลือกบูชากันตามชอบใจ ถ้าบูชาสิ่งที่ดีจริง ๆ
ท่านก็ได้อานิสงส์จริง ถ้าบูชาท่านที่ดีจอมปลอม ก็ได้อานิสงส์จอมปลอม ต้องดูการสะสม ดูเหตุดูผล

เป็นอันว่า บรรดาพระ ๓ รุ่นที่ขึ้นไป แล้วก็ต้องลงมา
เป็นพระอะไรล่ะ อย่าไปเรียก พระเลย เสียศักดิ์ศรีพระท่าน
เอาเป็นนักบวชประเภทที่เรียกว่า สักแต่ว่าบวช บวชตามประเพณี ชอบทำตัวเด่น ชอบทำตัวโก้ อย่างกับผู้พูดที่เขาหาว่า เป็นตัวตุ่น เขาหาว่า บ้า ๆ บวม ๆ เขาไม่อยากจะคบหาสมาคมด้วย
แต่บางองค์ก็คบด้วย แต่คบอย่างเบ่ง อย่างเขาเป็นผู้เหนือกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งชอบส่องกระจก ชอบมองดูหน้า ชอบแต่งหน้า เวลาจะไปไหนจีวรก็ต้องเรียบร้อย ห่มดี แต่ลืมนึกไปว่า
เวลานั้น ๑๕ วัน ขูดหัวน่ะ ๑๕ วัน เขาโกนที เขาขูดครั้งหนึ่ง
และไอ้หางที่กระดิก ๆ ก็คือ คิ้ว เขาก็ไม่มี ต้องตัดเสียแล้ว
หลงในตัวเองประเภทนี้ ฉะนั้นนางฟ้าทั้ง ๒ คน ท่านเป็นคน
มีหิริและโอตตัปปะ จึงเป็นนางฟ้าได้

เมื่อขึ้นไปอยู่ที่นั่น เมื่อพบกับท่านแล้วก็ถามว่า ๓ องค์น่ะ
เธอทำอย่างไร เธอก็ตอบว่า ไม่มีอะไร เห็นท่านชอบผู้หญิง
ฉันก็เลยมาลูบมาคลำท่าน ก็เลยบอกว่า เธอลูบคลำพระ
นี่มันบาปนะ เธอบอก ฉันไม่ได้ลูบคลำพระ เพราะทั้ง ๖ องค์
๓ รุ่น รุ่นละ ๒ องค์ จิตใจไม่ใช่พระ เวลานอนนึกถึงสาว ๆ
ลูกสาวบ้านโน้น ลูกสาวบ้านนี้ และจิตใจอยากจะประกอบ
การงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้มันได้เงินไปแต่งงานกับสาว
และก็คุยกัน ชอบคุยเรื่องสาว ๆ ชอบคุยเรื่องการร่ำรวย
ชอบนินทาว่าร้ายคน ฉันมีความรู้สึกว่า ทั้ง ๖ ท่าน
ไม่มีความเป็นพระเหลืออยู่เลย นี่บรรดาท่านผู้ฟัง
ท่านผู้อ่านไปคิดตามเอานะ เทวดาเขามีความรู้สึกตามนี้
เขามีความรู้สึกในความคิดของเรา เขารู้ใจเราคิดอะไร

ในเมื่อเห็นว่า ท่านไม่เป็นพระ ฉันก็คิดอยู่ว่า ไอ้บ้านของฉัน
มันก็พะอยู่ที่ศาลาหลังนี้ กุฏิหลังนี้ ถ้าเราอยู่กับคนที่ไม่ใช่พระอารมณ์ดีของเราก็จะมีน้อย บุญกุศลก็หาไม่ได้ เพราะเทวดา
นางฟ้าทำบุญทำกุศลต่อเหมือนกัน ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรท่าน
ฉันก็ไปนั่งข้าง ๆ ท่าน เอามือลูบท่าน แต่ไม่ได้ลูบหัว ลูบตั้งแต่ไหล่ลงมาถึงปลายเท้า เลยถามเธอว่า ถ้าอย่างนั้น ทำไมพระ
ไม่โดดกอดเธอล่ะ เธอก็ตอบว่า ถ้าหากว่าท่านจะกอดฉัน
ฉันก็ยอมให้กอด แต่ก็รู้สึกว่า ท่านไม่กอด ท่านกลัว
ถามว่าเธอทั้งสวย และก็เรียบร้อยแบบนี้ ทำไมท่านจะกลัว
เธอก็บอกว่า เวลานั้นมือฉันเย็นกว่าน้ำแข็งเสียอีก พอลูบปั๊บ
ตัวแข็งสั่นเลย ลูบแค่วันแรกก็รู้สึกยังแกล้งทนอยู่ วันที่ ๒
ก็แกล้งทน วันที่ ๓ โดดลงมาข้างล่าง ฉิบ พอรุ่นที่ ๒ ขึ้นมา
ก็มีความรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน ฉันก็ต้องสั่งสอนแบบนั้น

ก็เป็นอันว่า หลังจากนั้นต่อมาก็เลยถามเธอว่า เมื่อรุ่นที่ ๓ ลงไปแล้ว ฉันจะขึ้นมา เธอมีความรู้สึกอย่างไร เธอก็ตอบว่า ฉันมีความรู้สึกอยากให้ท่านขึ้นมาก็ถามว่า นางฟ้าใช้กำลังดลใจหรือเปล่า เธอก็บอกว่า เปล่า เพียงแต่คิดว่า พระองค์นี้ทำไมไม่มาอยู่ที่นี่ถ้ามาอยู่ที่นี่ละก็ มีกำลังบุญพอสมควรที่จะสงเคราะห์กันได้
ก็เลยถามเธอบอกว่า เขาหาว่าฉันบ้า ๆ บวม ๆ นะ เธอก็ตอบว่า เธอก็มีความรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน เออ...เอาเข้าแล้วซี
เธอก็บอกว่า ฉันก็มีความรู้สึกอย่างนั้น แต่อยากให้ท่านขึ้นมา
และถามว่า ในเมื่อรู้สึกมีความบ้า มีความบวม แล้วทำไม
อยากให้ขึ้นมา

เธอบอกไอ้บ้า หรือบวม มันมี ๒ อย่าง บ้าเพื่อสร้างกิเลส
บวมเพื่อสร้างกิเลส และบ้าทำลายกิเลส บวมทำลายกิเลส สำหรับท่านนี่ มันบ้า ๆ บวม ๆ ประเภททำลายกิเลส
ก็ตอบเธอบอกว่า เวลานี้กิเลสมันยังไม่หมดนะ เธอ ๒ คน
นั่งข้างหน้าฉันนี่ ฉันยังรู้สึกว่าสวยนะ เธอก็ตอบว่า
อย่าพูดว่าสวยซิ ประเดี๋ยวแม่ใหญ่มา แม่ใหญ่จะอาละวาด
คือ ท่านคงไม่อาละวาดฉัน อาละวาดท่านนั่นแหละ
หาว่าเจ้าชู้เกินไป

ถามว่า แม่ใหญ่อยู่ที่ไหน เธอบอก ท่านแม่ใหญ่เวลานี้
อยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถามว่า เธอคุยกับฉันนี่ แม่ใหญ่เห็นไหม เธอตอบว่า เห็น แจ๋ว...กำลังนั่งยิ้ม ๆ อยู่นั่นแหละ ดีไม่ดี
เดี๋ยวก็มาฉีกเนื้อท่านหรอก เธอก็คุยสนุก คุยไปคุยมา
ก็ลืมบอกเวลาไปเวลานั้น เวลาประมาณสัก ๒ ทุ่ม
คุยไปคุยมาอยู่พักหนึ่ง ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ
ต่อนี้ไป เราเป็นเพื่อนกัน เธอเป็นเพื่อนฉัน คอยดูฉัน
ฉันมันคอยจะเผลอ ถ้าฉันเผลอในเรื่องกามารมณ์เมื่อไร
เธอเตือนทันทีฉันเผลอเรื่องทรัพย์สิน ความโลภเมื่อไร
ให้เตือนทันที ถ้ากำลังใจโหดเหี้ยมขึ้นมา ให้เตือนทันที
ถ้าความหลงกับตัวเกิดขึ้นมา เธอเตือนได้ทันที
เธอก็ยกมือพนม ทั้งสองบอกถ้าอย่างนี้สิอยู่กันได้นาน

แหม...มันก็เป็นที่น่าเสียดาย ท่านผู้ฟังถ้าเธอเป็นคนนะ
วันนั้นสึกแล้ว นิ่มนวลจริง ๆ สวย มองแล้วชื่นตาชื่นใจ
แต่เธอก็คงไม่มานะ เพราะเมื่อยังไม่บวชก็ไม่เห็นมา
ถ้ายังไม่บวชถ้ามาแบบนี้ น่ากลัวมีเมียเทวดาไปแล้ว
มีเมียนางฟ้าไปฉิบ หรือจะลงนรกไปก็ไม่ทราบ

ก็รวมความว่า ตอนหลังนี้มีเพื่อนใหม่ คือ มีเพื่อนสาว ๒ คน
ขณะที่เธอจะเข้ามา เธอทำอย่างนี้ อันดับแรก ก่อนจะดูหนังสือ
ทุ่มเศษ ๆ เธอก็เอามือรูดฝา รอบ ๆ ฝา เดินไปแล้วก็วิ่ง
ผ่านเข้ามาจากหน้าต่าง ออกประตู เห็นเข้าก็บอกว่า ๒ คนนี่
มานี่ก่อน มาจากไหน มาอย่างไร เป็นผู้หญิงเข้ามาอย่างไรในห้องของพระ เธอก็หันเข้ามายกมือไหว้ แล้วก็คุยกันตามนั้น

หลังจากนั้นก่อนจะหลับ ก็บอกเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นตัว
บอกว่า นี่ถึงเวลาก่อนตี ๑ ครึ่ง ๕ นาที ให้ปลุกฉัน
ฉันจะลุกขึ้นทำวัตรสวดมนต์ และฉันจะเจริญกรรมฐาน
ถ้าหลังเจริญกรรมฐานแล้ว ฉันดูหนังสือ ถ้าบังเอิญหลับ
ไปก่อน ๖ โมง ๕ นาที ให้บอกฉัน เธอก็รับคำ เป็นอันว่า
ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมาก็มีความสุข เพราะมีเพื่อน
เราก็มีเพื่อน รูปร่างหน้าตาก็สวย วาจาก็น่ารัก ทุกสิ่งทุกอย่าง
มองแล้วดีหมด สดชื่นทุกอย่าง

แต่ทว่าบรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่าน แต่เพื่อนอีกประเภทหนึ่ง เธอก็ไม่ละความพยายามแสดงออก คุยที่โน้นบ้าง ตึงตังที่นี่บ้าง ทำโป๊กเป๊กที่โน่นบ้าง เป็นปกติธรรมดา ๆ ก็ถือว่า เป็นเรื่องธรรมดาก็คิดในใจว่า เรื่องของใครก็เรื่องของใคร เรื่องของผี
ก็เรื่องของผี เรื่องของเราก็เรื่องของเรา ถามว่า กลัวไหม
ต้องขอตอบด้วยความจริงใจ ไม่ปกปิดกัน กลัวจริง ๆ
ถ้าไม่กลัว ก็ไม่เอาหวายหลวงพ่อปานผูกไว้ และก่อนที่ขึ้นไปสถานที่นั้นก็ใช้คำภาวนาว่า พุทโธ จิตนึกถึงภาพพระพุทธเจ้า
ในวาระแรกที่พระองค์แสดงให้ปรากฏหลังจากเริ่มเจริญกรรมฐานถึงวันที่ ๓ ที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงพระองค์
ให้ปรากฏ เป็นชั่วโมง

ตอนนี้คุยแล้วหรือยังไงก็ไม่ทราบ จำไม่ได้ อยากจะเห็น
พระพุทธเจ้าในพระรูปโฉมเดิม ท่านแสดงให้ปรากฏชัด
ทรงแย้มพระโอษฐ์น้อย ๆ สวยจริง ๆ ภาพนี้ติดตา ติดใจ
ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง ถามว่า ไม่ลืมหรือขอยอมรับว่า
ไม่ยอมลืมเด็ดขาดจะไปที่ไหนก็ตาม จะคุยกับใครก็ตาม
จะต้องนึกถึงภาพนี้อยู่เสมอ ฉะนั้นก่อนที่จะขึ้นไป
ก็นึกถึงภาพนี้ก่อนนึกถึงภาพพระพุทธเจ้าลอยอยู่เหนือศีรษะ
ก็ก้าวขึ้น พอตอนเย็นจะก้าวขึ้นบันไดบางทีก็ขาสั่น พั่บ ๆ
ไอ้ใจมันสู้ แต่ขามันก็กลัว

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ฟังต่อไปก็ไม่ไหว
เวลาเหลือไม่ถึงครึ่งนาที ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์
พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่าน
พุทธศาสนิกชนผู้ฟัง สวัสดี

ข้อมูลจากหนังสืออ่านเล่น เล่ม ๑๔ โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

พระพุทธเจ้าพาหลวงพ่อฤาษีไปดูจานบินและมนุษย์ต่างดาว

๒๘ ตุลาคม ๒๕๑๖

เมื่อคืนนี้มีใครถามว่าจานบินมีจริงหรือเปล่าน่ะ
ตอนตี ๔ เลยฝันว่าขึ้นไปข้างบน ตั้งใจจะไปหาโยม
พอดีสมเด็จองค์ปัจจุบันท่านเสด็จไปถึง
ท่านก็ถามว่า สงสัยเรื่องจานบินหรือ
ทูลตอบท่านว่าสงสัย แต่ไม่กล้าถาม
เกรงจะเป็นเรื่องเหลวไหล
ท่านก็บอกว่า เรื่องอย่างนี้เป็นความรู้ถามได้ ไม่เหลวไหล

แล้วท่านอธิบายว่า จานบินที่มาเมื่อเร็วๆ นี้ มาจาก ๒ แห่ง
แห่งหนึ่งเป็นดาวเล็กๆ เลยดาวพระศุกร์ไปทางซ้ายเล็กน้อย
เรียกว่าจามรทวีป อยู่ในจักรวาลเดียวกับเรา เป็นจานบิน
ขนาดสูงไม่เกิน ๔ เมตร สีเขียวๆ ใช้เวลามาบ้านเรา ๘ ชั่วโมง

แล้วสมเด็จก็พาไปที่นั่น ไปนั่งอยู่นอกเมือง ให้เขาเห็น
ในรูปคนธรรมดา แถวนั้นมีเพชร มีแก้วเกลี่อนกลาด
เป็นของไม่มีค่า เอามาประดับตามโต๊ะ เก้าอี้ก็มี
ท่านบอกว่าประเดี๋ยวจะมีผู้หญิงเดินมา ก็มีมาจริงๆ

คนของจามรทวีปมีผิวขาว เนื้อเต็ม สวย ผู้หญิงแต่งกางเกง
รัดเหนือเข่า เสื้อแขนสั้น รัดแขนเป็นสีเขียวๆ มีลายทางดิ่ง
คนเมืองนี้ไม่มีอาวุธสำหรับประหัตประหาร มีวิทยาการ
ก้าวหน้ามาก ที่เขามาโลกเราเพราะอยากเที่ยวไปทุกแห่ง
ในจักรวาล แต่ที่ไปอเมริกาเพราะเห็นว่าปล่อยจรวดบ่อยๆ
คิดว่าจะติดต่อด้วยได้ ที่เขาจับคนไปบ้างนั้นก็เพื่อตรวจดู
อารมณ์ ด้วยเครื่องตรวจอารมณ์ ตรวจแล้วก็บอกว่า
มีความโลภอยู่มาก ระยะทางของเขาอยู่ห่างเรา
เป็นแสนๆ โยชน์ ผู้หญิงที่เดินมานั้น เขามองเห็นเรา
เขาก็ยิ้มแต่ไม่ได้พูดว่าอะไร

สำหรับที่ตัวดาวพระศุกร์เองนั้นมีอยู่หลายบริเวณ
ตอนหนึ่งเป็นเขาหัวโล้น ร้อนจัดมาก อีกตอนหนึ่งหนาว
มีหิมะ ไม่มีคนอยู่แต่มีสัตว์ขนยาวกว่าชะนีอาศัยอยู่มาก
ในแดนอบอุ่นที่มีต้นไม้

ส่วนอีกแห่งหนึ่งอยู่ทางทิศพระอาทิตย์ขึ้น เยื้องไปทางซ้าย
เล็กน้อย เรียกว่า สูตู คนในโลกนั้นมีผิวคล้ำ ยานของเขา
มีขนาดสูงไม่เกิน ๑๐ เมตร มีสีเหลืองๆ ใช้เวลาเดินทาง
มาโลกเรา ๑๗ ชั่วโมง ในจานบินดูแล้วไม่เห็นมีอะไรนี่
มีลูกอะไรกลมๆ ใสๆ เป็นแหล่งกำลังงานอยู่อย่างเดียว...

จากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานเล่ม ๓ หน้า ๕๖

พระธรรมคำสอน "สมเด็จองค์ปฐม"

การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก
ใครเกิดมาได้พบพระพุทธศาสนาถือว่าโชคดีมาก

คนอื่นจักเป็นอย่างไรอย่าไปสนใจ อย่าไปห้ามกรรมหรือสนใจ
ในกรรมของใคร ให้ดูการกระทำของกาย-วาจา-ใจของตนเอง
พึงกำหนดรู้อยู่ในศีล-สมาธิ-ปัญญาตลอดเวลา ใครกระทำผิด
ศีล-สมาธิ-ปัญญา อย่าไปโกรธเขา ให้พึงมีเมตตาให้มาก ๆ

ให้คิดว่าคนเราเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ได้ก็แสนยาก นี่โชคดีมาก
ที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้พบพระธรรมคำสอนของ
พระพุทธองค์ และได้พบพระอริยสงฆ์ หากไม่สามารถรักษา
ศีล-สมาธิ-ปัญญาไว้ให้ได้ ก็ต้องไปเริ่มต้นใหม่ที่อบายภูมิ
ให้รู้สึกสงสารพวกเหล่านี้ด้วยเมตตาจริง ๆ อย่าเอาความรู้สึก
สมน้ำหน้าเข้าไปเจือปน ความเกลียดชัง อารมณ์ปฏิฆะ
ก็จักเกิดขึ้นแทนเมตตา

ให้พิจารณาเรื่องเมตตาและพรหมวิหาร ๔ ให้มาก ๆ แล้วจิต
จักมีอารมณ์เยือกเย็นขึ้นได้ การปฏิบัติก็จักเข้าถึงมรรคผลได้เร็ว
แต่พึงระมัดระวัง คำว่าการมีพรหมวิหาร ๔ ให้แก่ตัวเองนั้น ไม่ใช่
ความเห็นแก่ตัว ผู้ใดเข้าใจอย่างนั้น จักแปลคำสอนของตถาคตเจ้าผิด
ให้พิจารณาให้ลึกซึ้งแล้วจักรู้ชัดว่า พรหมวิหาร ๔ เกิดขึ้นกับจิต
ตนเองเป็นอย่างไร ความเห็นแก่ตัว หรือมัชฉริยะ ความตระหนี่
ขี้เหนียวเป็นอย่างไร ให้สังเกตว่า พรหมวิหาร ๔ เกิดขึ้นกับจิตแล้ว
จักเยือกเย็นมาก แต่ความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นกับจิตเมื่อไหร่ก็จัก
เร่าร้อนเมื่อนั้น พิจารณาแยกออกมาให้ได้

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...