โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
จะเล่าเรื่องผีให้ฟังอีกตอนหนึ่ง คือว่า บรรดาผีทั้งหลาย
เหล่านั้น เมื่อเธอล้อเธอเล่น มันไม่มีผล ต่อมาก็มาปรากฏ
มีผีที่น่ารักอยู่ ๒ คน คือ ผีนางตะเคียน เรื่องราวของนางตะเคียน
ก็มีอยู่ว่า หลวงพ่อปานท่านจะสร้างเขื่อนหน้าวัด ก็มีต้นตะเคียนรุ่น ๆ คำว่า รุ่น ๆ ก็หมายความว่า โตไม่มาก เส้นผ่าศูนย์กลางขนาดประมาณไม่ถึงฟุต หรือตอนโคนทีเดียวอาจจะถึงฟุต
ท่านตัดไป ๒ ต้น
เมื่อต้นตะเคียนถูกตัด ก็ปรากฏว่านางตะเคียน ๒ คน
เข้าไปหาหลวงพ่อปานเวลาการเจริญกรรมฐาน
คำว่า เวลาการเจริญกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัท
สำหรับพระที่ท่านทรงฌานอย่างหลวงพ่อปาน กรรมฐาน
ใช้กันได้ ๒๔ ชั่วโมง เวลากินข้าว อารมณ์ก็เป็นกรรมฐาน
อาหาเรปฏิกูลสัญญา เวลาที่จะคุยกับใคร อารมณ์ก็เป็นกรรมฐาน ถือเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะอะไรรู้ไหม อนิจจัง
คนที่มาพูดนี่มันไม่เที่ยง มันแก่ไปทุกวัน ทุกขัง นั่นความแก่มาถึง ความปรารถนาไม่สมหวัง เธอก็ทุกข์ อนัตตา ในที่สุดเขาก็ตาย เราก็ตาย มีสภาพเช่นเดียวกัน
ก็รวมความว่า เฉพาะสมาธิ สมาธิจริง ๆ มันทรงอารมณ์ไม่ใช่อึกอักอะไรก็ต้องนั่งหลับตาปี๋ นั่งหลับตาปี๋จึงจะใช้อารมณ์
สมาธิได้ อย่างนั้นอาจจะดีสำหรับบางคณะ แต่คณะที่ท่าน
เอากันตามนี้ ท่านใช้สมาธิทุกเวลา สมาธิที่จะทรงตัวอยู่อย่างอย่างน้อยที่สุด ก็เป็น อุปจารสมาธิ หรือมิฉะนั้นก็เป็น
ฌานที่ ๑ ฌานที่ ๒ คือ เขาไม่ทิ้งกันเลย อย่างตอนเช้ามืด
เข้าฌาน ๔ เรียด แต่ความจริงสมาธินี่ ถ้าพูดกันตามส่วน
ถ้าเป็นฌานโลกีย์ต้องระวังให้มาก มันเป็นฌานหัวเต่า
ถ้าไม่ค่อยระมัดระวัง ไม่คอยคุม มันก็เผลอได้เหมือนกัน
ฉะนั้นท่านผู้อ่าน ท่านผู้ฟังก็จงอย่าคิดว่า คนที่ทรงฌานโลกีย์
เป็นคนดีนัก ถ้าชมกันว่าดีเลิศนี่ ขอตำหนิผู้ชมว่า ไม่มีความเข้าใจอะไรจริง ๆ เลย ฌานโลกีย์ที่เป็นฌานหลอกหลอน เป็นฌาน
หัวเต่าผลุบเข้าผลุบออก ถ้าทรงกำลังฌานเต็มที่ อารมณ์จะหนัก อารมณ์จะแน่น รู้สึกมีน้ำหนักของกำลังใจ น้ำหนักของกำลังกายสูงนี่เป็นกำลังของฌาน ถ้าเป็นฌานเกี่ยวกับวิปัสสนาญาณ
คือเป็น โลกุตตรฌาน อารมณ์หนักอารมณ์แน่นจะหายไป
มีแต่อารมณ์เบา แต่จิตมีความสุข จิตมีอารมณ์โปร่ง ถ้าฌานของวิปัสสนาญาณ นี้ไม่ถอย ถ้าถึงสังโยชน์แล้วไม่ถอย ไม่ต้องระวังกัน คือไม่ต้องระวังเกรงว่า ฌานจะหลุด ฌานจะพ้น ฌานจะหาย ฌานจะสลายตัว ไม่ต้องระวัง ปล่อยกันตามสบายแล้วเพราะมันทรงตัวแน่
แต่สำหรับฌานโลกีย์ต้องระวังให้มาก บางทีจิตไปตั้งอยู่ในอารมณ์ของฌานที่ ๓ หรือฌานที่ ๔ จนชิน คำว่า ชิน ก็เป็น
ชั่วขณะเดียวเวลานั้นอาจจะมีความรู้สึกว่า เวลานี้เราเป็นพระอรหันต์ก็ได้ นี่ต้องระวัง ๆ ให้มาก และมีสภาพเป็นอย่างนั้น
เหมือนกัน แต่ว่าความรู้สึกเป็นพระอรหันต์ จะมีความรู้สึก
เหมือนกันหรือไม่ ไม่ทราบ อารมณ์มันดับ ความรักในระหว่างเพศก็ดี ความโลภอยากรวยก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี มันหยุดนิ่ง มันถูกกดด้วยกำลังฌาน กดนาน ๆ หลาย ๆ วัน หนักเข้า ๆ อาจจะมีความรู้สึกว่า เราอาจจะเป็นผู้พ้นกิเลสเสียแล้ว ทีนี้ตัวอย่างมีไหม ตัวอย่างมีในสมัยพระพุทธเจ้า คือ
พระที่ทรงฌานโลกีย์อย่างนี้ เคยมี เมื่อขณะที่ทรงฌานโลกีย์อย่างนั้น อารมณ์แน่น มีอารมณ์หนัก มีอารมณ์ทรงตัว ก็เข้าใจว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ ก็พยากรณ์กับตน หมายความพูดกับเพื่อนว่า ผมนี่เป็นพระอรหันต์แล้ว ต่อมาก็กลายเป็นว่า ฌานมันเคลื่อนตัวลง ความรู้สึกของกิเลสมันก็ยังเกิดขึ้น คือความรักในระหว่างเพศ ถึงแม้ว่าจะไม่เอาจริงไม่เอาจัง แต่ก็เห็นว่าสวย คนนี้สวยเนื้อดีอวบอั๋นดี อะไรก็ตาม มันดีไปหมด รู้สึกว่าร่างกายเขาดีใช้ไม่ได้แล้ว ความอยากจะร่ำรวย อยากเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีเกิดขึ้น
แม้แต่ชั่วขณะหนึ่งก็ใช้ไม่ได้แล้ว ความอารมณ์ไม่พอใจเกิดขึ้นชั่ว ขณะหนึ่งก็ใช้ไม่ได้แล้ว
ก็รวมความว่า ความหลงไหลในร่างกายคิดว่าร่างกายของเราดี
ก็ใช้ไม่ได้แล้วอย่างนี้มันโผล่ขึ้นมาในเมื่อมันโผล่ขึ้นมา ท่านก็มีความสงสัยในตัวเองว่า การพยากรณ์ตนเองว่าเป็นพระอรหันต์
มันจะขาดจากความเป็นพระไหม เป็นการอวดอุตริมนุสธรรมไหม ก็ไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่เป็นอุตริ
มนุสธรรม เพราะความเข้าใจผิดเรื่องของฌานโลกีย์ เป็นอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท เอ้า...มาคุยธรรมะเดี๋ยวจะง่วงกันตาย
เล่าเรื่องของนางตะเคียนกันต่อไป
นางตะเคียน ๒ คน เข้าไปหาหลวงพ่อปาน ที่บอกว่า เวลาเจริญกรรมฐาน เวลาไหนทราบไหม เวลานั้นเป็นเวลาหัวค่ำประมาณ
๒ ทุ่ม หลวงพ่อปานกำลังตะบันหมากอยู่ ท่านใช้ตะบัน ตะบันหมาก ฟันท่านไม่มี กำลังตะบันหมากอยู่ ก็ปรากฏมีสตรี ๒ คน ความจริงประตูเขาใส่กลอนแล้ว เข้าไป เป็นเด็กสาวรุ่น ๆ
หน้าตาเหมือนเด็กอายุ ๑๒-๒๓ แต่ร่างกายก็สาวทรงตัว
สาวทรงตัวคล้ายอายุ ๑๖-๑๗ รูปร่างหน้าตาดี ๒ คน
เข้าไปกราบ แล้วก็ร้องไห้ก็บอกว่า หลวงพ่อเจ้าคะ
หลวงพ่อฟันต้นตะเคียน ๒ ต้น บ้านฉันก็พัง วิมานฉันไม่มีที่ตั้ง
ทำอย่างไรเจ้าค่ะ ฉันจะอยู่ที่ไหน
หลวงพ่อปานท่านก็ถามว่า เออ...น้องหญิงเอ๊ย...เอ็งมาจากไหนละ นี่เป็นศัพท์หลวงพ่อปานท่าน เธอบอก ฉัน คือนางตะเคียน
๒ ต้นเจ้าค่ะ วิมานฉันแปะอยู่ที่ต้นตะเคียน เวลานี้หลวงพ่อจะสร้างเขื่อนไปโค่นต้นตะเคียน ฉันก็ไม่มีที่อยู่ หลวงพ่อปานก็บอกว่า ต้นไม้ในวัดนี้มีเยอะ หาอยู่สักต้นซิ เธอก็ตอบว่า ต้นไม้ที่มีแก่น
ในวัดนี่ ไม่มีว่างเลยเจ้าค่ะ วิมานรุกขเทวดาเต็มไปหมด
รุกขเทวดา รุกขนางฟ้านะ คือ เทวดาต้นไม้ นางฟ้าต้นไม่
เต็มไปหมดฉันไม่มีที่อยู่เจ้าค่ะ
หลวงพ่อปานก็บอกว่า เออไอ้กุฏิ ๒ หลัง หน้าศาลาที่ฉัน
จะทำเป็น โรงเรียนนักธรรม นั่นนะ เวลานี้มันว่างอยู่ใช่ไหม
เธอเห็นว่ามีเทวดาหรือนางฟ้าไปอาศัยไหม เธอก็ตอบว่า
ไม่มีเจ้าค่ะ หลวงพ่อปานก็บอกว่า ถ้าเธอจะใช้วิมานของเธอไปแปะอยู่กับกุฏิคนละหลังจะได้ไหม เธอก็บอกว่า ยินดีจะเอาหลังเดียว คือ ๒ คน ๒ วิมาน ใช้กุฏิหลังเดียวก็พอ หลวงพ่อปานก็อนุญาต และเธอก็กราบอีกครั้งหนึ่งว่า ขอพร ในเมื่ออนุญาตแล้ว ขอจงห้ามไม่ให้ผีอื่นเข้าไปยุ่ง หมายความว่าไปอาศัยอยู่
หลวงพ่อปานก็ยอมรับ
ในเมื่อหลวงพ่อปานอนุญาตแล้ว เธอก็ไปอยู่ที่นั่น และนางฟ้า ๒ คนนี่แหละที่ทำให้พระไปอยู่ ๓ รุ่น ต้องลงจากกุฏิหลังนั้น เพราะอะไร เพราะเธอเป็นนางฟ้า คำว่า นางฟ้าจะเป็นนางฟ้าได้ จะเป็นภุมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี อากาศเทวดาก็ตาม ขึ้นชื่อว่า เทวดาหรือนางฟ้า ก่อนจะตายต้องมี หิริและโอตตัปปะ คือ อารมณ์ตัดความเลวของจิต คือ คิดกลัวบาป อายบาป กลัวความชั่ว อายความชั่ว จึงเป็นเทวดา จึงเป็นนางฟ้าได้
ในตอนก่อนนั้น เธอจะมีความชั่วขนาดไหนก็ตาม ก่อนหน้านั้น แต่ถ้าเวลาใกล้จะตาย จิตคิดถึงบุญ คิดถึงบาปเขามา รู้ผิดรู้ชอบ รู้เหตุรู้ผลว่า กรรมใดที่เป็นอกุศล คือ ความชั่ว ให้ผลเป็นทุกข์ กรรมใดที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข ตอนนี้จิตก็มีเหตุมีผล กลัวบาปกลัวอกุศล ทำบุญทำกุศลแทน อย่างน้อยที่สุด จิตนึกถึงพระ
ที่เคยบูชา พระที่เราเคยรัก ที่เราเคยเคารพ อย่างนี้เป็นต้น
รวมความว่า เขาจะเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าด้วย หิริ-โอตตัปปะ
อายความชั่ว กลัวความชั่ว
ทีนี้หลวงพี่ขึ้นไปอยู่ ๓ รุ่น ก็เป็นหลวงพี่ที่มีความกล้าหาญ
ชาญชัย ไม่กลัว คำว่า ไม่กลัวอะไร คือไม่กลัวความชั่ว
ทั้งนี้จะคุยให้ฟังว่า อย่านึกว่าครูบาอาจารย์ดี ลูกศิษย์มันดี
ตามทั้งหมด ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ไอ้พวกคนที่มันเกาะหลัง
ครูบาอาจารย์กินน่ะ มันมีเยอะ แทนที่จะสร้างความดี
ตามครูบาอาจารย์สอน มันกลับสร้างความชั่ว แล้วก็นั่งเบ่ง
คิดว่า วันนี้เราจะกินไอ้นั่น วันนี้เราจะกินไอ้โน่น ดี ไม่ดี
ลูกสาวใครคนไหนสวย ชอบคนนั้น ชอบคนนี้ อยากจะร่ำ
อยากจะรวย หากิเลส หานรกลงหัว อย่างนี้มีเยอะ ถ้าจะถามว่า ลูกศิษย์คนพูดมีไหม ก็ต้องตอบว่า มี ถามว่าเลี้ยงไว้ทำไม
แต่ความจริงไม่ได้เลี้ยงใคร เวลานี้ไม่ได้เลี้ยงใคร เลี้ยงตัวเอง และญาติโยมน่ะเลี้ยง
ไอ้คำว่า เลี้ยง คือ ญาติโยมเลี้ยง นั่นก็หมายความว่า สุดแล้วแต่คน คนมันอยากจะลงนรก ก็ให้มันลงลึก ๆ มันอยากจะไปสวรรค์
ก็ให้มันมีความสุขมาก ๆ อยากจะไปนิพพาน ก็ให้มีสภาพ
ความแจ่มใส อย่านึกว่าว่าวัดที่มีผู้ใหญ่ดี มีชื่อเสียง ปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบ ตามสมควรแก่กำลังการปฏิบัติของท่าน ก็จงอย่า
นึกว่า ลูกศิษย์ลูกหามันดีตามไปทุกคน ไอ้ที่เลวแสนเลวมันก็มี เลวขนาดที่ไม่ควรจะเลว ความรู้สึกรับผิดชอบไม่มี อย่างนี้มันมีอยู่เยอะเหมือนกัน แต่บางองค์ บางท่าน บางคนก็ดีแสนดี บางคนก็ดีเกินกว่าที่อาจารย์จะคิดเร่งรัดตัดกิเลส จนกระทั่งขาดการยับยั้ง
มีความเพียรมากเกินไป อาจารย์ต้องยับยั้ง อันนี้ดีเกินไป
(ยังมีต่อครับ)
ข้อมูลจากหนังสืออ่านเล่น เล่ม ๑๔ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น