จากหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
เมื่อคืนวันที่ 28 พ.ย.2514 ฉันฝันอีก คราวนี้ฝันว่า
ฉันออกจากตัวไปที่พระจุฬามณีที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เมื่อไปถึงเชิงจุฬามณี ที่ตรงนั้นฉันเคยพบพรหมและ
เทวดามากมาย แต่วันนี้เงียบเชียบเหลือเกิน
หาใครสักคนก็ไม่ได้ ฉันเดินเข้าไปใกล้ประตู
ด้านทิศตะวันตกของจุฬามณี เห็นท่านมเหสักขา
ท่านเป็นเทวดายามอยู่ที่หน้าประตู ท่านยกมือไหว้
แล้วท่านรายงานว่า วันนี้พระพุทธเจ้ากำลังเทศน์
จึงไม่ใคร่มีใครเดินหรือยืนให้เห็น
ฉันรีบเข้าไปเห็นพรหม เทวดา พระ นั่งกันสงัดเต็มจุฬามณี
แยกเป็นพวก ๆ พรหมแยกออกเป็น 2 ฝ่าย คือ
พรหมโลกีย์
นั่งอยู่พวกหนึ่ง พรหมอริยะนั่งอยู่พวกหนึ่ง เทวดาก็เหมือนกัน พวกที่ได้ญาณแต่ยัง ไม่ตายเห็นไปนั่งอยู่พวกหนึ่ง
ฉันเดินหลังต่ำ (ก้มหลัง) เข้าไปนั่งรวมกับพระที่ไม่อยากเกิด
ได้ยินเสียงเทศน์ว่า "คนที่ละขันธ์ 5 ได้แล้วมีความสุขกว่า
พวกทรงขันธ์ 5 มาก เช่น เทวดาหรือพรหมก็ตามที่นั่งอยู่ในที่นี้ต่างก็ละขันธ์ 5 มาแล้ว"
ลูกหลานก็คงจะเข้าใจแล้วว่าขันธ์ 5
คืออะไร เพื่อความแน่ใจหลวงตา คือฉันจะย้ำสักหน่อย
เพื่อความมั่นใจ คำว่าขันธ์ 5 พวกนักธรรมที่ชอบคุย เขาชอบโม้เป็นคุ้งเป็นแควว่ามันมีรูปกับนาม ฟังน่าเบื่อหู แล้วเขาว่าต่อไปอีกว่ารูป ได้แก่ รูป คือสิ่งที่เห็นด้วยตาและมีการสัมผัสรู้สึก
มีตัวตน เนื้อหนัง เป็นรูป ส่วนนามนั้นได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เขาว่าอย่างนี้ ลูกหลานฟังรู้เรื่องไหม
ฟังได้ก็ฟังไป ฟังไม่ได้เขาก็พยายามพูดให้ฟังน่ารำคาญ
ฉันว่าพูดอย่างนี้ดีกว่า เอาภาษาชาวบ้านมาใช้ดีกว่า
ฉันแม้จะบวชเป็นหลวงตาแก่ แต่ฉันเป็นลูกชาวบ้าน
ฉันชอบภาษาชาวบ้าน รู้เรื่องง่ายไม่ต้องแปลไม่ต้องขยายความ ฉันว่าขันธ์ 5 ก็คือร่างกายของเรา มันจะมีอะไรบ้างก็ช่างหัวมัน
ไม่ต้องแยก เพราะเราไม่ต้องโม้ เมื่อเรามีร่างกาย ท่านว่าอย่างนั้น มันก็ปวดเมื่อย หนาว ร้อน หิว มีความป่วยไข้ไม่สบาย และมีเรื่องยุ่งจิปาถะ อยากสวย อยากดี อยากรวย อยากมีอำนาจ อยากเก่ง อยากเด่น ไม่อยากหนาว ไม่อยากร้อน ไม่อยากหิว ไม่อยากกระหาย ไม่อยากป่วย ไม่อยากตาย ดังนี้เป็นต้น ดูขันธ์ 5 แล้วเหมือนคนบ้าที่มันบ้าฝืนอารมณ์เราทุกอย่าง หรือว่าเราบ้าฝืนกฎ
ที่มันต้องเดินไป ช่วยกันคิดดูก็แล้วกัน เราบ้า หรือขันธ์ 5 มันบ้า เรื่องนี้ปล่อยไป มาว่ากันตามที่ท่านเทศน์
ท่านเทศน์สั้น ๆ ว่า "พรหมและเทวดาเมื่อละขันธ์ 5 มาแล้ว
มีความสุข เพราะไม่ต้องหนาว ไม่ต้องร้อน ไม่หิว ไม่ป่วย
ไม่เมื่อย ไม่มีความลำบาก จากเหตุที่เกิดจากกายคือขันธ์ 5
ดีกว่าเกิดเป็นมนุษย์มาก"
ฉันนั่งฟังแล้วฉันก็สบายใจ ฉันเห็นว่าท่านเทศน์ถูก เทศน์ตรง
ตามความเป็นจริง ท่านเทศน์ต่อไปว่า "การละขันธ์ 5 มาเป็นเทวดาหรือพรหมก็ตามยังเอาสุขแท้แน่นอน ไม่ได้ เพราะเทวดาหรือพรหมที่ได้บรรลุมรรคผลถึงระดับสกิทาคามีขึ้น หรือถึงอนาคามีแล้วก็ตาม ต่างก็ยังมีกังวล ยังมีภาระที่ต้องทำ
และยังมีความหนักใจ คือเทวดาที่ได้อริยะต่ำกว่าสกิทาคามี
ต้องลงไปเกิดอีก จะต้องมีขันธ์ 5 จะต้องลำบาก ต้องมีทุกข์ เทวดาหรือพรหมที่ได้อริยะตั้งแต่สกิทาคามีขึ้นไป ก็ยังมีภาระ
ที่ต้องปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ สู้ละขันธ์ 5 แล้วเข้านิพพานเลยไม่ได้"
ท่านเทศน์เท่านี้แล้วท่านก็หยุด ฉันเห็นมีโอกาส ฉันกราบท่านแล้วทูลถามท่านว่า คนที่ปฏิบัติเพื่อพระนิพพานจะใคร่ครวญ
อย่างไรจึงจะง่ายและสั้นที่สุด
ท่านตรัสว่า "เจ้าจงใคร่ครวญอย่างนี้ จงคิดว่าเราเป็นผู้
ไม่มีอะไรเลย ทรัพย์สินก็ไม่มี ญาติ เพื่อน ลูก หลาน
เหลนก็ไม่มี แม้ร่างกายเราก็ไม่มี เพราะทุกอย่างที่กล่าวมา
มีสภาพพังหมด เราจะทำกิจที่ต้องทำตามหน้าที่ เมื่อสิ้นภาระ
คือร่างกายพังแล้ว เราจะไปพระนิพพาน เมื่อความป่วยไข้ปรากฏจงดีใจว่า ภาระที่เราจะมีโอกาสเข้าสู่พระนิพพานมาถึงแล้ว
เราสิ้นทุกข์แล้ว คิดไว้อย่างนี้ทุกวัน จิตจะชินจะเห็น เหตุผล
เมื่อจะตายอารมณ์จะสบายแล้วก็จะเข้านิพพานได้ทันที"
พอท่านพูดจบฉันก็ตื่นจากหลับ ฉันฝัน อย่างนี้คิดว่าเป็นเรื่อง
ของพระแก่ฝัน จะจริงเท็จอย่างไรจงใคร่ครวญเอาเอง ชอบใจก็เอาไปใช้ ไม่ชอบใจก็วางไว้ อย่าเอาอารมณ์เข้าไปเกาะ
มันจะเป็นกังวล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น