ผู้ถาม - “กระผมอยากจะทำบุญใส่บาตรเหมือนกันครับ แต่คิดว่าของที่จะใส่บาตรทำบุญมันไม่ดี ก็เลยอายไม่อยากใส่ กะไว้ว่าถ้ามีอาหารดีเมื่อไรจะใส่บาตร ผมคิดอย่างนี้ถูกไหมครับ …?”
หลวงพ่อ - “การทำบุญทำไมจะต้องอาย เคยมีนักเทศน์เขาถามกันว่า มียายกับตา ๒ คน แกหุงข้าวแฉะแล้วแฉะอีก ไอ้แกงก็เปรี้ยวแล้วเปรี้ยวอีก แกกินไม่ลง ของมันกินไม่ได้ เวลาพระมาบิณฑบาต แกก็บอกใส่บาตรดีกว่า พระนักเทศน์เขาก็ถามกันว่า อย่างนี้จะได้อานิสงส์ไหม… ก็ต้องตอบว่า ได้อานิสงส์ แต่ผลที่เขาจะได้รับก็เป็นทาสทาน”
ผู้ถาม - “ทาสทานเป็นยังไงครับ…?”
ทานมี ๓ ประเภท
หลวงพ่อ - “คำว่า ทาสทาน หมายความว่า ให้ของเลวกว่าที่เรากินเราใช้ เวลาที่เราใช้สอย มันก็ต้องเลวกว่าที่เขากินเขาใช้กัน ได้ก็ได้ของเลว ถ้าให้ของเสมอที่เรากินอยู่หรือที่เราใช้อยู่ เขาเรียกว่า สหายทาน ผลที่เราจะได้รับ ก็เสมอกับที่เรากินเราใช้ ถ้าให้ของที่ดีกว่าที่เรากินเราใช้ เขาเรียกว่า สามีทาน สามีทานเขาไม่ได้แปลว่าผัวทานนะ สามี เขาแปลว่า นาย เวลาที่จะได้รับผลเราก็จะได้ของเลิศ
ถ้าจะถามว่า ทาสทานมีอานิสงส์ไหม ก็ต้องดูตัวอย่าง ท่านอาฬวีเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ พระราชาตั้งเป็นมหาเศรษฐี แต่ว่าผ้าที่แกนุ่งนี่ ผ้าใหม่แกนุ่งไม่ได้ นุ่งผ้าช้ำแล้ว ใกล้จะขาด แกจึงนุ่งได้ ข้าวที่จะกินเม็ดสวย ๆ ก็กินไม่ได้ ต้องเป็นข้าวหัก หรือปลายข้าว แกจึงจะกินได้ ของทุกอย่างที่แกใช้ต้องเป็นของเลว แต่อย่าลืมว่าเขาก็เป็นมหาเศรษฐีได้นะ”
หลวงพ่อปรารภเพิ่มเติมว่า - "การตั้งใจว่าจะใส่บาตรด้วยของดีๆ น่ะดี แต่ว่าวันไหนมีอาหารที่เราคิดว่าไม่ดีก็ใส่บาตรได้การให้ทาน พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าให้เบียดเบียนตัวเอง ถ้าเบียดเบียนตัวเองเป็น อัตตกิลมถานุโยค เป็นการทรมานตัว และการให้ทานพระพุทธเจ้าให้ดูอีกว่า ควรให้หรือไม่ควรให้ ถ้าให้ในเขตของคนเลว อานิสงส์ก็น้อย อาจจะไม่มีเลย รู้ว่าคนนี้ควรจะให้เราก็ให้ ถ้าไม่ควรให้เราก็ไม่ให้ ให้แล้วไปกินเหล้าเมายา ไปสร้างอันตรายกับคนอื่น เราไม่ให้ดีกว่าเป็นการต่อเท้าโจร ให้พลังแก่โจร เวลาจะให้ท่านวางกฎไว้ดังนี้
๑.ผู้ให้บริสุทธิ์ บริสุทธิ์หรือไม่เขาจึงให้สมาทานศีลก่อน ถ้าสักแต่ว่าสมาทานนี่ซวย เวลานั้นต้องตั้งใจรักษาศีลจริง ๆ จิตตอนนั้นมันจึงจะบริสุทธิ์ คืออยู่ในช่วงว่างจากกิเลส ถ้าตั้งใจสมาทานศีลด้วยดี จิตตอนนั้นบริสุทธิ์
๒.ผู้รับบริสุทธิ์ หมายความว่า ถ้าผู้รับเป็นพระ ก็พยายามให้เป็นพระจริง ๆ นะ ถ้าถวายสังฆทานนี่ไม่ต้องห่วง ผู้รับบริสุทธิ์แน่ พระองค์ไหนถ้าไม่บริสุทธิ์ กินแล้วตกนรก
๓.วัตถุทานบริสุทธิ์ ถ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์เอามาทำบุญ ไม่ได้ขโมยสตางค์เขามาทำบุญ เป็นของที่เราหามาได้โดยชอบธรรม อย่างนี้ของดีก็ตาม ของเลวก็ตาม มีอานิสงส์มาก อานิสงส์คือความดี ความชื่นใจมาก ถ้าผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ วัตถุทานไม่บริสุทธิ์ ความดีก็ลดน้อยลง แต่ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับไม่บริสุทธิ์ วัตถุทานไม่บริสุทธิ์ ให้บาทหนึ่ง จะได้สักสตางค์หรือเปล่าก็ไม่รู้ รวมความว่า ต้องบริสุทธิ์ ๓ อย่าง ถ้าลดไปอย่างใดอย่างหนึ่ง อานิสงส์ก็ลดตัวลงมา ถ้าลดเสียหมดเลยก็ไม่มี"
ที่มา
จาก : หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น