"ในตอนเริ่มแรก ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่ในความนิ่งสงบ อย่างไรก็อย่างนั้นมันเหมือนถูกตราไว้เช่นนั้น ชั่วกัลปาวสานในความมืดสนิท ความมืดที่ครอบงำทุกสิ่ง
ทุกอย่าง แน่นหนาเสียจนไม่มีพื้นที่ว่างใดๆ และ ไม่มีอะไรฝ่าทะลุมันไปได้"
(คำบอกเล่าจากบิดาผู้ยิ่งใหญ่ชนเผ่าชาวมายา)..
"ทุกสรรพสิ่งตรึงนิ่งหยุดอยู่กับที่มันมีขนาดเล็กเพียงเท่าปลายเข็มหมุด ทุกอย่างคงไว้ด้วยความเงียบสงบนิ่งสงัดปราศจากความเคลื่อนไหวและผืนกว้างแห่งท้องฟ้าก็ว่างเปล่า"
พระผู้สร้างจักรวาล ประทับนิ่งโดดเดี่ยวอยู่กลางนภาอวกาศประดุจก้อนเมฆาลอยนิ่งอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า พระองค์มิได้บรรทมหลับเพราะพระองค์ไม่มีการบรรทม พระองค์ทรงประทับนิ่งอยู่กับที่อยู่ในเช่นนั้นชั่วขณะแห่งกัลเปาวสาน..จน
กระทั่งเกิดความคิดขึ้นในพระปัญญา และพระองค์จึงตรัสกับพระองค์เองว่า ข้าจะ
สร้างสรรพสิ่งแห่งจักรวาลขึ้นมา..
"แล้วบิ๊กแบงก็ถือกำเนิดขึ้นมาในบัดดล"
ที่ว่างในจักรวาลนั้นคือ..เวลา..ที่สำแดงตัวเองออกมา
จริงๆ แล้วไม่มีสิ่งที่เป็นที่ว่างในความหมายของการเป็นพื้นที่ "ว่างเปล่า" แล้วก็ไม่มีอะไรอยู่ในนั้นหรอก ทุกสรรพสิ่งจะเป็นอะไรบางอย่างเสมอกระทั่งที่ว่างอัน
"ว่างเปล่าที่สุด" ก็ยังเป็นไอบางๆ ของนิวทรีโน ที่แสนเบาบางจนสามารถทะลุทุกสรรพสิ่งได้และแผ่ขยายออกไปไพศาลอนันต์จนดูเหมือนไม่มีอะไรอยู่ในนั้น
แล้วถ้าไอนั้นหายไปหมดก็จะเหลือแต่พลังงาน พลังงานบริสุทธ์ที่ดำรงอยู่ในฐานะความสั่นสะเทือนหรือการแกว่งตัว เป็นการไหลเคลื่อนของสิ่งนั้น ณ.ระดับ
ความถี่เฉพาะ
"พลังงาน" ที่มองไม่เห็นนี้เองคือที่ว่างซึ่งยึด "สสารวัตุถุไว้" ไม่ให้กระจัดกระจายออกไป
ครั้งหนึ่งในเวลาที่เป็นเส้นตรงสสารทั้งหมดในเอกภพควบแน่นเข้าด้วยกันเป็นจุดที่เล็กมากๆ เล็กกว่าปลายเข็มหมุด จนเราจินตนาการถึงความหนาแน่นของมันไม่ออกหรอก เพราะมนุษย์มักคิดกันว่าสสารอย่างที่เป็นตอนนี้มีความแน่นตัน
จริงๆ สิ่งที่พวกเราเรียกว่าวัตถุนั้น เนื้อในส่วนใหญ่เป็นความว่างต่างหากวัตถุ "แข็งตัน" ทั้งหลายประกอบด้วย "สสารแข็งเพียง 2% ส่วนอีก 98%เป็น "อากาศ"
ที่ว่างระหว่างอนุภาคที่เล็กที่สุดของสสารในเคหะวัตถุทั้งมวลนั้นมากมายมหาศาล เปรียบแล้วคงประมาณระยะทางระหว่างเทหะวัตถุต่างๆ บนท้องฟ้ายามคํ่าคืนนั่นเอง แต่พวกเรายังเรียกวัตถุพวกนี้ว่า "ของแข็ง"
เมื่อเริ่มแรกนั้น ทั้งเอกภพนั้น "แข็ง" จริงๆ นั่นล่ะ เกือบไม่มีที่ว่างระหว่างอนุภาคต่างๆ ของสสารเลย "ที่ว่าง" ทั้งหมดถูกนำออกไปจากสสาร และ เมื่อ "ที่ว่าง" มหาศาลหายไป สสารจึงมีปริมาตรที่เล็กกว่าหัวเข็มหมุดเสียอีก
จริงๆ แล้วมีช่วง "เวลา" ก่อน "เวลา" นั่นอยู่ เป็นช่วงที่ไม่มีสสารใดทั้งสิ้นมีเพียงรูป
แบบสุดบริสุทธิ์ของพลังงานแห่งการสั่นสะเทือนสูงสุด ซึ่งเราเรียกว่า "ปฎิสสาร"
นี่คือช่วง"ก่อน" กำเนิดเวลานั่นเอง ก่อนมีเอกภพทางกายภาพอย่างที่มนุษย์รู้จัก
อยู่นี้นั่น ไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่ในฐานะสสาร แหละนี่แหละคือ "แดนสุขาวดี" หรือ
สรวงสวรรค์นิพพานล่ะ เพราะ "ไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นสสารวัตถุ"
ในตอนต้น พลังงานบริสุทธิ์ของพระผู้สร้าง สั่นสะเทือนด้วยความเร็วเพื่อให้เกิด
รูปธรรมทางกายภาพขึ้นมาเป็นมวลวัตถุธาตุและสิ่งมีชีวิตเป็นลำดับขั้นตอนต่างๆ
ขึ้นมาโดยใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมากกว่าจะมีวัตถุธาตุใหม่ๆ ขึ้นมาได้
หากมนุษย์คิดหรือจินตนาการสิ่งดีๆ ใดขึ้นมาก็สามารถสร้างสรรพสิ่งนั้นขึ้นมาได้
เหมือนกันเป็นจิตสำนึกมวลรวมที่ต้องสอดคล้องกันในเวลาเดียวกันและจำนวนการเนรมิตความจริงนั้นต้องมากพอจึงจะเป็นวัตถุที่เป็นสสารได้
ความจริงมนุษย์เราก็ทำอย่างนั้นจริงๆ ก็ทำอยู่ทุกวัน ความคิดเป็นเป็นพลังงานสั่นสะเทือนบริสุทธิ์ ทั้งยังสร้างมวลสารวัตถุทางกายภาพขึ้นมาได้ด้วย ถ้าหากมีจิตสำนึกมวลรวมมากพอและคงความคิดใดความคิดหนึ่งไว้แล้วจักรวาลก็จะสรรค์สร้างสิ่งนั้นให้เป็นจริงได้ จักรวาลจะส่งแบบแปลนนั้นจนกระทั่งสรรค์สร้างโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพของตัวเองขึ้นมาจากความคิดของมนุษย์ให้มนุษย์ได้อยู่อาศัยได้เลย
แต่ถ้ามันขยายตัวไปไม่ตลอดเมื่อมันถึงจุดหนึ่งซึ่งพลังงานที่ผลักการขยายตัวนี้
กระจายหายไป และ พลังงานความคิดลบๆ ที่รั้งตรึงสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกันมาแทนที่
โดยจะดึงทุกสิ่ง "กลับเข้าหากัน" อีกครั้งความคิดจินตนาการนั้นก็จะสลายตัวไป
แล้วกระบวนการทั้งหมดก็จะเริ่มต้นขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง จนกว่ามนุษย์เราจะเข้า
ถึงสู่ความเป็น "พุทธะ" หรือความ "ตื่นรู้" นั่นเอง ฉะนั้นแดนนิพพานนั้นรอพวกเราอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว เพียงแต่มนุษย์เราต้องสร้างเสริมความตระหนักรู้ให้มีจำนวนจิต
สำนึกมวลรวมที่มากพอที่จะผลักการขยายตัวให้โลกเข้าสู่ดินแดนแห่งพระศรีอริย์
ได้เองโลกจึงจะเข้าสู่มิติที่ 5 ได้โดยสมบูรณ์...
ที่มา
Teucer Rom...
แสงสว่าง มองการไกล...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น