30 สิงหาคม 2564

จิต ของเราที่ควบคุมเซลล์ที่อยู่ในตัวตนของเราเปรียบเสมือนจักรวาลย่อส่วน.?..

เซลล์นั้นเป็นหน่วยที่เล็กมากๆ ในโลกของมนุษย์นั้น เซลล์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุดภายในโครงสร้างเล็กๆ นี้เอง สรรค์สร้างพลังงานขึ้นมาจากการได้รับอาหาร ย่อย
แล้วดูดซึมสารอาหาร และการหายใจ ยิ่งกว่านั้นในเซลล์ก็มี DNA เป็นห้องเก็บข้อมูลอย่างมหาศาลภายในนั้น

โดยเฉลี่ยมนุษย์จะมีเซลล์ที่ทำหน้าที่ต่างๆ ในร่างกาย 60 ล้านๆ เซลล์ (ไม่ใช่ 84,000 เซลล์นะ) แต่ละเซลล์ล้วนมีความหมายถึงแม้มันจะมีขนาดที่เล็กมากๆ ก็ตาม แต่มันมีอิทธิพลอย่างมากกับจิตสำนึกของลูกๆ ทุกคน 

จิตมนุษย์เราคือพลังงาน เซลล์ในร่างกายของเราคือผู้ก่อรูปร่างให้เป็นแท่งกายที่ให้พวกเราสัมผัสได้ถึงประสบการณ์ชีวิตต่างๆ ในโลกเสมือนจริงมิติที่ 3 แล้วสิ่งที่ให้อิทธิพลต่อเซลล์ของมนุษย์นั้นก็คือ "จิตสำนึก" ของลูกๆ เอง

ความสัมพันธ์อันนี้เอง ก็เหมือนการย่อส่วนของจักรวาลลงมาอยู่ในรูปกายมนุษย์มนุษย์ก็คือเซลล์ๆ หนึ่งในจักรวาลพร้อมกับมีหน้าที่สำคัญในการดำรงอยู่ของ
จักรวาลด้วยๆ การขับเคลื่อนพลังงานแห่งความรัก และความคิดบวกต่างๆ เพื่อ
ให้กงล้อจักรวาลหมุนไปไม่มีที่สิ้นสุด

ดวงจิตแต่ละดวงมีองค์ประกอบที่เรียกว่า "เจตสิก"เป็นองค์ประกอบของอะตอม
ที่แตกต่างกัน จากจำนวนของอิเลกตรอน โปรตอน และนิวตรอน สรรค์สร้างคุณ
สมบัติของธาตุทางเคมีที่หลากหลายไม่เหมือนกันฉันใด องค์ประกอบของจิตที่แตกต่างกัน ก็สร้างคุณสมบัติของดวงจิตที่ต่างกันฉันนั้น 

องค์ประกอบของดวงจิตที่เรียกว่า "เจตสิก" มีทั้งหมด 52 ชนิด โดยองค์ประกอบที่หลากหลายจากเจตสิกทั้ง 52 ชนิดนี้ ทำให้สามารถเกิดลักษณะของดวงจิตที่แตกต่างกันได้ถึง 121 แบบ ดวงจิตแห่งรัก โลภ โกรธ หลง และเวทนาที่เกิดจากรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็เป็นส่วนหนึ่งใน 121 แบบนี้

วิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันไม่เคยศึกษาในเรื่องเหล่านี้เลย ที่ใกล้เคียงที่สุดก็คือการ
ศึกษาในเรื่องโครงสร้างของจิตของซิกมุนด์ ฟรอยด์ แต่เป็นเพียงการค้นพบคุณ
สมบัติภายนอกกายอย่าง Ego อัตตา ตัวตน ของมนุษย์เท่านั้นไม่สามารถลงลึกไปที่โครงสร้างภายในของจิตได้เหมือนอย่างพระบรมศาสดาของเรา

ดวงจิตหนึ่งประกอบไปด้วยองค์ประกอบภายในมากมาย มีการเกิดดับ และเปลี่ยน
แปลงคุณสมบัติขององค์ประกอบอยู่ตลอดเวลา รับรู้ถึงเวทนา รูป รส กลิ่น เสียง
สัมผัส ที่ผ่านเข้ามาทางทวารได้อย่างหลากหลายความรู้สึกและเกิดดับอย่างรวดเร็ว

ผู้ที่สามารถกำหนดสติที่ไวขนาดสามารถจับการเกิดดับของดวงจิตหรือกลุ่มดวงจิตได้ทันจะเข้าใจถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของรูป ของนาม ได้ชัดเจน ในขณะที่ลูกฝันจะเกิดกระบวนการย้อนกลับ พลังแห่งกรรมเหนี่ยวนำให้เจตสิกมารวมตัวกันเป็นดวงจิต ก่อให้เกิดอารมณ์ กิเลสตัณหา เวทนา ตามลักษณะของดวงจิตนั้น

และสร้างภาพฝันไปราวกับเรื่องจริง โดยที่ไม่มีอายตนะภายใน ภายนอก หรือทวารทั้งห้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลยเป็นเหมือนภาพที่เกิดขึ้นในสมองมิใช่ดวงตา

สำหรับอรหันต์เจ้านั้นซึ่งมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์พร้อม 100% รับรู้ เข้าใจ และไหวทันต่อกระบวนการเกิดดับของเจตสิกอย่างถ่องแท้ท่านจึงไม่มีการฝันอีกต่อไป การเกิดดับของจิตก็คือ การสลายตัวของเจตสิก และถ่ายทอดพลังงานสืบเนื่อง ทำให้เจตสิกใหม่ก่อตัวขึ้นมาเกิดเป็นดวงจิตต่อไป

ซึ่งรับถ่ายทอดคุณสมบัติของจิตดวงเดิมไว้ด้วย คาบเวลาระหว่างการเกิดดับของจิตแต่ละดวงสั้นมาก ในช่วงเวลาเพียง 1 วินาที จะมีการเกิดดับของจิตเกิดขึ้นไปแล้วนับล้านๆ ดวง อันที่จริงแล้วการเกิดดับของจิตก็ไม่มีอยู่จริง เพียงแต่ในมิติที่ 3
ของโลกเราซึ่งมีการไหลเลื่อนของเวลา

ทำให้จิตเกิดการเกิดดับเป็นสายรับรู้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แล้วจึงเกิดอารมณ์
ต่างๆ ได้มากมาย เราจึงรู้สึกได้ถึงประสบการณ์ชีวิตต่างๆ ที่พวกเราได้ออกแบบไว้เพื่อมาเรียนรู้และผจญภัยในรูปแบบต่างๆ แต่ถ้าเมื่อใดเราพบกับความจริงแท้

ของปัจจุบันขณะ แห่งเวลา เหมือนกับเวลาที่หยุดเดิน เราเองก็จะพบกับความ
"ว่าง" ช่องว่างแห่งปัจจุบันขณะที่เป็นที่ตั้งแห่งนิพพานที่แท้จริงเราก็จะพบว่าทุก
อย่างเป็นอนัตตา สุญญตา ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ ชีวิต โลกและเวลาคือสิ่งเดียวกันที่เป็นบรมสุขสุดยอดปรารถนาของมนุษย์เราทุกคน..

ที่มา
Teucer Rom...

แสงสว่าง มองการไกล...

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...