🔸️ที่พวกเรานำมาประพฤติปฏิบัติ อย่านึกว่าเป็นความดีของเรานะขอรับ ถ้านึกว่าเป็นความดีของเราเมื่อไร ท่านไปอยู่กับ #พระเทวทัต เมื่อนั้น ที่เรามีที่กิน มีที่อาศัย มีผ้าใช้ มียารักษาโรค มีอาหารกิน มีเวลาประพฤติปฏิบัติ ได้ฟังสดับความดีขององค์สมเด็จพระชินศรีทรงสั่งสอน ก็เพราะว่าเป็นบุญบารมีของพระพุทธเจ้า ที่เรากำลังนั่งกิน นอนกินอยู่เวลานี้ ถ้าใครทำตนเป็นคนน่าบัดสี อกตัญญู ไม่รู้คุณขององค์สมเด็จพระมหามุนี นั่นเลวเต็มที
🔸️ท่านกล่าวว่า เมื่อเขาได้อาหารอยู่มาก มีลาภสักการะเกิดขึ้นแล้ว เพราะอาศัยความดีของพระพุทธเจ้า ต่อมาเมื่อไม่สามารถที่จะบรรเทาได้ ไอ้ความกระสันมันเกิดขึ้น ความกระสัน ความคึกมันเกิดขึ้น เพราะอาหารดี ลาภดี พอไม่สามารถจะทนความกระสันได้ ไม่สามารถจะบรรเทาได้ จึงตกลงใจว่า...บัดนี้เราจักไม่นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ต่อไป แน่ะ! เพราะอะไร เพราะผ้ากาสาวพัสตร์นี่ได้มาจากศรัทธาของบุคคลอื่น เราจะไปล่ะ จะสึกดีกว่า เห็นไหม มันไม่แน่นักนี่ อยู่ดีกินดีเข้าจิตคิดจะกำเริบ ทะนงตนว่าเป็นผู้วิเศษ หลงระเริงตนนะพระองค์นี้นะ ตอนต้นนะ อย่าไปด่าท่านนะ ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่พวกเราก็จงจำไว้ ไอ้อยู่ดีกินดี อย่านึกว่าเป็นผู้วิเศษ
“อัตตนา โจทยัตตานัง”
เตือนตนด้วยตนเอง
🔸️ฟังเรื่องราวท่านต่อไป ท่านบอกว่าคิดอย่างนี้ แล้วก็ไปที่โคนต้นไม้ ไปดูผ้าผืนนั้นที่มันขาดรุ่งริ่งๆ เก่าแสนเก่า ดูผ้าสบงจีวรที่นุ่งน่ะมันเก๋กว่าตั้งเยอะ
จึงให้โอวาทแก่ตนเองว่า...
“เจ้าผู้ไม่มี หิริ คือความละอาย เจ้าหมดความละอายเสียแล้วหรือ เจ้าอยากจะนุ่งผ้าขี้ริ้วผืนนี้หรือ สึกไปทำการช่างเลี้ยงชีพอย่างนั้นหรือ เจ้าลืมความชั่วที่ตัวสะสมมาแล้ว ทำไมเจ้าจึงทำอย่างนี้?”
🔸️เมื่อท่านให้โอวาทแก่ตนเองอยู่อย่างนี้นั่นแหละ จึงคิดถึงความเป็นธรรมชาติเบา ในบาลีบอกคิดถึงความเป็นธรรมชาติเบา ธรรมชาติเบาก็หมายถึงความกระสัน แล้วท่านก็กลับมา โดยกาลล่วงไป ๒-๓ วัน ก็กระสันขึ้นมาอีก กระสันหมายถึงอยากจะสึก มันมีแรงนี่ กินดีอยู่ดี จึงได้สอนตนเองเหมือนอย่างนั้น ตอนเย็นๆ ก็ย่องไปที่โคนต้นไม้ ดูผ้าขาดผืนนั้นก็สอนตนว่า
“ไอ้เอ็งนี่จะมานุ่งผ้าขาดเป็นขี้ข้าเขาต่อไปอย่างนั้นหรือ?”
🔸️สอนพอใจของท่านสบาย ท่านกลับใจของท่านได้อีก ก็เลิก! ไม่สึกแล้ว กลับมาใหม่ ในเวลากระสันขึ้นมาเมื่อไรท่านก็ไปที่นั่นเมื่อนั้น ให้โอวาทแก่ตัวเองทำนองนั้นเสมอ แต่ความจริงก่อนที่ท่านจะให้โอวาท จะดูผ้า จะพิจารณาดูไอ้ผ้าผืนเก่าผืนนี้นี่ที่เราทรงชีพอยู่ อาศัยผ้าผืนนี้นุ่งทั้งปี ทั้งเดือน ทั้งวัน จะผลัดอาบนํ้ามันก็ไม่มี เวลานี้มาบวชในพระพุทธศาสนา มีศักดิ์ศรีดี ใครเขามาใครเขาไปก็ลามาก็ไหว้เคารพนบนอบ เมื่อสมัยที่ตนเป็นฆราวาส มีแต่คนเขาโขกเขาสับเพราะความจน นี่อาศัยความจนของตนเอง ทำให้เขาดูถูกดูแคลน เวลานี้เป็นคนใหญ่คนโตเป็นพระแล้ว ไม่ว่าใครเขามาเขาก็ไหว้กัน เขาเคารพนับถือ เอ็งจะทะนงตนไปทำไม ถ้าจะสึกไปก็กลายเป็นขี้ข้าชาวบ้านต่อไป เอ้า! อย่าสึกเลยไอ้หนู ว่าแล้วท่านก็กลับมา
🔸️ท่านกล่าวว่าครั้งนั้นบรรดาภิกษุทั้งหลายเห็นท่านไปอยู่ที่นั่นเนืองๆ จึงได้ถามว่า
“ท่านนังคลกูฏเถระ เหตุไรท่านจึงไปที่นั่นบ่อยๆ?”
ท่านตอบว่า “ผมไปยังสำนักของอาจารย์ขอรับ”
🔸️ท่านกล่าวดังนี้แล้ว ต่อมาอีก ๒-๓ วันเท่านั้น ท่านก็บรรลุอรหัตผล เห็นไหมท่าน นี่เขาฟังอะไรกันนี่ แค่ไปดูผ้าเท่านั้นนะ ก็ได้บรรลุอรหัตผล บรรดาภิกษุทั้งหลายเมื่อจะทำการล้อเล่นกับท่านจึงกล่าวว่า
“ท่านนังคลกูฏเถระ ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ทางที่เที่ยวไปของท่านเป็นประหนึ่งหารอยมิได้ ชะรอยท่านจะยังไม่ได้ไปสำนักอาจารย์ท่านกระมัง”
🔸️นี่พระล้อนะ ว่าทางที่เดินไปบ่อยๆ เวลานี้มันไม่มีรอยเดิน น่ากลัวจะลืมอาจารย์เสียแล้ว ฝ่ายพระเถระจึงกล่าวว่า
“ใช่ขอรับ เมื่อกิเลสเครื่องเกี่ยวข้องยังมีอยู่ ผมได้ไปแล้ว แต่บัดนี้กิเลสเครื่องเกี่ยวข้องไม่มี ผมตัดเสียแล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ต้องไปหาอาจารย์”
🔸️เอาล่ะซิ! อีตอนนี้ถ้าเป็นเวลานี้เป็นอย่างไร ก็โจษกันน่ะซิว่าพระองค์นี้อวด #อุตตริมนุสสธรรม ว่าเป็นพระอรหันต์ บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นฟังคำนั้นแล้วก็เข้าใจว่า ภิกษุองค์นี้พูดไม่จริง พยากรณ์ตนเป็นพระอรหันต์ดังนี้แล้ว จึงกราบทูลเนื้อความนั้นแก่องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว โดนฟ้อง องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า..
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นังคลกูฏ บุตรของเราเตือนตนด้วยตนเองนั่นแหละ แล้วจึงถึงที่สุดแห่งกิจของบรรพชิต”
ดังนี้แล้วเมื่อจะทรงแสดงพระธรรม ได้ทรงภาษิตนี้ว่า
“เธอจงเตือนตนด้วยตนเอง พิจารณาดูตนของตนด้วยตน ภิกษุเธอนั้นมีสติปกครองตนได้แล้ว จักอยู่สบาย ตนแหละย่อมเป็นที่พึ่งของตน ตนนั่นแหละเป็นคติของตน เพราะฉะนั้นเธอจงสงวนตนให้เหมือนอย่างพ่อค้าม้าสงวนม้าตัวประเสริฐฉะนั้น”
🔸️แหม..ฟังแล้วรู้สึกว่าหนักใจ ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสอย่างนี้แล้ว ก็ฟังเรื่องของพระอรหันต์คันไถ ซึ่งมีอาจารย์เป็นผ้าขี้ริ้ว ท่านทั้งหลายมีความรู้สึกเป็นอย่างไร เป็นอันว่าพระองค์นี้เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเรา ว่าท่านเมื่อความเมาเกิดขึ้น ก็เตือนตนด้วยตนเอง ไม่เหมือนพวกเรานะ พวกเรานี่ฟังคำเตือนกันอยู่วันละ ๔ เวลา แล้วไอ้คำเตือนนี่มันซึมเข้าไปในใจบ้างหรือเปล่า หรือว่ามันผ่านหูแล้วก็หายไป นี่คำเตือนของท่านองค์นั้นเป็นอย่างไร ท่านไปเจอะผ้าขี้ริ้วก่อน
🔸️พวกเราก็นึกดูว่าก่อนที่เราจะเข้ามาบวชหรือบรรพชาในพระพุทธศาสนา ศักดิ์ศรีอย่างนี้เคยมีแก่เราบ้างหรือเปล่า คนเสมอกันก็ดี คนแก่คนเฒ่าก็ดี เจอะหน้าเราเขาก็ยกมือไหว้ เมื่อสมัยเป็นฆราวาสมีอย่างนี้บ้างไหม เวลานี้เรามีอย่างนี้เป็นปกติ เมื่อสมัยฆราวาสเป็นอย่างนี้บ้างหรือเปล่า หาไม่ได้สินะที่เขาไหว้เราน่ะ เขาไหว้ด้วยอะไร เขาไหว้เพราะเราทรงผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์
🔸️แต่ว่าสำหรับเวลานี้เราบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นฆราวาสไม่มีใครเขาไหว้ ก็ต้องเตือนใจไว้เสมอว่า “อัตตนา โจทยัตตานัง” ว่านี่เราเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา พระสงฆ์มีอะไรบ้างที่จะต้องปฏิบัติ
(๑) อธิศีลสิกขา มีศีลบริสุทธิ์กว่าฆราวาส
(๒) อธิจิตสิกขา มีฌานสมาบัติประจำใจ
(๓) อธิปัญญาสิกขา มีปัญญารู้เท่าทันสภาวะความเป็นจริงของขันธ์ ๕ ว่า
“รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา”
🔸️ความจริงพูดไปก็เมื่อยปากนะ เรื่องอย่างนี้ฟังกันมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งแล้ว เรามีความรู้สึกว่าอย่างไร องค์นั้นท่านสอนตนเองด้วยผ้าขี้ริ้ว แต่ของเราเองมีเสียงสำหรับฟัง มีหนังสือสำหรับอ่าน รู้จักเตือนตัวเองบ้างหรือเปล่า หรือพอฟังคำเตือนแล้วก็นอนหลับ ก็ช่างมัน จะพูดอย่างไรก็ช่างมันปะไร ไอ้ดีหรือชั่วมันเป็นเรื่องของฉัน หลวงตาไม่เกี่ยว อย่างนี้มีบ้างไหม ดีไม่ดีก็หลวงตานี่แปลกนะ ทำดีก็ด่า ทำชั่วก็ว่า เอ๊ะ! แปลก นี่เคยได้ยินชาวบ้านเขามาเล่าให้ฟัง แต่เขาเล่าให้ฟัง ผมก็รับคำไว้ว่าใครไปพูดบ้างนะ ถ้าพูดจริง เออ..ก็ดีเหมือนกัน น่ายอมรับนับถือ ผมนี่ก็คงจะเลวเกินไป คนดีไปด่าเขาได้ ไปว่าเขาได้ แปลก!
🔸️แต่ความจริงท่านอยู่ที่นี่ปีๆ หนึ่งท่านเคยฟังผมว่าใครบ้าง ปีหนึ่งผมว่ากี่ครั้ง นอกจากว่าเรื่องนั้นมันจะชนหน้าจริงๆ มันจะไม่ไหว จึงจะว่า เพราะถือว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องเตือนกัน ถ้าวาทะเช่นนั้นเกิดขึ้นจริงๆ นะ โปรดทราบว่าเตรียมตัวลงอเวจีมหานรกไว้ ไม่มีทางได้เกิดเป็นมนุษย์แน่ เพราะใจของท่านมันเลวเกินไป ลืมพุทธภาษิต ฟังธรรมะ ฟังวินัย ไม่มีใจเป็นนักธรรม นี่ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เคือง สงสาร
🔸️พระพุทธภาษิตอีกบทหนึ่ง ตอนที่ท่านว่า “จงเตือนตนด้วยตนเอง จงพิจารณาตนด้วยตนเอง ภิกษุเธอจงมีสติ จงปกครองตนเองได้แล้วจะอยู่สบาย” สตินึกว่าอย่างไรล่ะ สติระลึกได้ ระลึกอยู่เสมอว่าศีลเราบริสุทธิ์ไหม ฌานสมาบัติเราครบถ้วนไหม “สังโยชน์ ๑๐ ประการ” ทำลายได้หมดแล้วหรือยัง ถ้าหากว่าสามารถปกครองตนเองได้ ก็หมายความว่าศีลบริสุทธิ์แน่ ศีลไม่บกพร่อง ฌานสมาบัติทรงตัว “สังโยชน์ ๑๐ ประการ” ทำลายได้หมด เราก็อยู่สบาย
ท่านกล่าวต่อไปว่า “ตนเองนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน”
🔸️จริงข้อนี้ ไอ้เรื่องความดีความชั่ว นึกดีนึกชั่วนี่ ใครเขาช่วยไม่ได้หรอกนอกจากเราเอง ท่านกล่าวต่อไปว่า “ตนนั่นแหละเป็นคติของตน” คำว่า “คติ” แปลว่า ที่ไป จะไปไหนมันอยู่ที่ใจของตน คำว่าตนในที่นี้คือใจ “เพราะฉะนั้นจงสงวนตนไว้เหมือนพ่อค้าสงวนม้าตัวประเสริฐ”
🔸️คำว่า “สงวนตน” หมายความว่า สงวนใจไว้ให้อยู่ในขอบเขตของความดีคือ
(๑) มีศีลบริสุทธิ์
(๒) มีสมาธิตั้งมั่น ทรงฌานสมาบัติ
(๓) มีวิปัสสนาญาณ สามารถตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานก็คือทำลาย “สังโยชน์ ๑๐ ประการ” ให้พินาศไปจากจิต
🔸️อย่างนี้ชื่อว่าท่านทั้งหลายเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระธรรมสามิสร เป็นลูกของพระพุทธเจ้าแน่
เป็นอันว่า ผลอันใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวไว้ หรือเวลาที่ผมกล่าวไว้บ่อยๆ ว่า “นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตังกาสาวัง คเหตวา” ตอนนี้ก็ต้องเตือนไว้ว่า เรารับผ้ากาสาวพัสตร์มานี่เพื่อหวังจะทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน
🔸️เอาละ สำหรับวันนี้ การแนะนำก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อจากนี้ไปขอบรรดาท่านทั้งหลายพยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น ตั้งใจไว้ในอิริยาบถ ๔ แล้วก็จงทรงความดีด้วยพุทธภาษิต
“อัตตนา โจทยัตตานัง”
ที่มา
🙏โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
✏คำสอนสายกลาง เรื่องพระอรหันต์ผ้าขี้ริ้ว
(วันศุกร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น