สามารถพิสูจน์ให้เห็นการเกิดดับของจิตได้
แต่จะเห็นเป็นการเปลี่ยนรูปของอาทิสมานกาย
ในซึ่งเปลี่ยนไปตามอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง
ยามโกรธ อาทิสมานกายก็เปลี่ยนรูปจากกายมนุษย์เป็นกายสัตว์นรก
กายสัตว์นรกเกิดแล้ว ภพชาติเกิดแล้วหากตายตอนนั้นลงนรกทันที
กายนั้นจะลงไปเสวยกรรมในนรกทันที
เมื่อหายโกรธกายสัตว์นรกก็ดับเปลี่ยนกลับมาเป็นกายมนุษย์ดังเดิม
ดังนั้นการเกิดดับของอาทิสมานกายจึงเป็นการเปลี่ยนรูปของจิต
ไม่ได้เป็นการดับสูญไป
เมื่อใดที่จิตมีกุศลอาทิสมานกายเป็นกายเทวดา ภพชาติก็เกิดแล้ว
วิมานบนสรรค์ก็เกิดตอนนั้นตามกำลังกุศล หากตายตอนนั้นก็ไปเกิด
เป็นเทวดาตามกำลังบุญนั้น
เมื่อใดที่จิตเข้าฌานสมาบัติอาทิสมานกายก็เปลี่ยนเป็นพรหม ภาพชาติ
พรหมก็เกิดแล้วตามกำลังของฌาน วิมานบนชั้นพรหมก็เกิด ถ้าตายตอนนั้นก็ไปเกิดเป็นพรหมตามชั้นของกำลังฌาน เมื่อกำลังฌานหมด กายพรหมก็ดับลง เปลี่ยนกลับมาเป็นกายมนุษย์เหมือนเดิม
เมื่อใดที่อารมณ์จิตเข้าถึงอารมณ์พระอริยเจ้า อาทิสมานกายย่อมเปล่ยนเป็นกายของพระอริยเจ้าตามลำดับขึ้นมีความสว่างไสวเป็นประกายพรึก มีวิมานปรากฏบนพระนิพพานแล้ว หากอารมณ์นั้นไม่สามารถทรงอยู่ได้ ก็จะกลับมาเป็นกลายมนุษย์ดังเดิม ส่วนใหญ่อารมณ์นี้จะเป็นอารมณ์โคตรภูญาน
หากมีความหนักแน่นพอสามารตัดกิเลสได้หมดสิ้น อาทิสมานกายย่อมเปลี่ยนไปเป็นกายของพระอริยเจ้าไม่กลับมาเป็นกายมนุษย์อีกตลอดกาล
ตราบจนเข้าสู่ความเป็นอรหันต์ กายนั้นจะเรียกว่ากายวิสุทธิเทพ หรือเรียกว่ากายธรรม หรือธรรมกายนั่นเอง
การพิสูจน์การเกิดดับของจิตของผู้ได้ทิพจักขุญาน
จึงพิสูจน์กันตามนี้ เป็นการเปลี่ยนรูปร่าง แต่จิตมิได้ดับสูญไปไหน
จิตยังคงอยู่เพียงแค่เปลี่ยนรูปร่างตามสภาวะอารมณ์แห่งจิต
ซึ่งหากอ่านเพียงตำราก็รู้ในตำรา
ไม่สามารถพิสูจน์ได้ จึงได้เพียงคิดไปต่างๆ นา ๆ
คิดผิดบ้าง คิดถูกบ้างประดุจตาบอดคำช้าง
หากแต่พิสูจน์ด้วยการฝึกให้เกิดทิพย์จักขุญานแล้ว
ย่อมสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง รู้ด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง
จึงได้ชื่อว่า ไม่ได้เชื่อแต่เพียงตำรา
ขอทุกท่านเจริญในธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น