เป็นผู้ท่องเที่ยว เวียนว่ายไปในวัฏสงสาร โดยสถิตอยู่ในกายของ พรหม เทวดา มนุษย์ เปรต อสูรกาย สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉานสลับกันไปตามแต่บุญแต่กรรม นานนับชาติไม่ถ้วน
จิตผู้รู้ นี่แหละเป็นผู้บันทึกทุกความเป็นไปในอดีต ทั้งบุญและบาป ที่เราได้กระทำ เมื่อเราปฏิบัติสมาธิกรรมฐานจนจิตสงบปราศจากนิวรณ์ จะพบกับจิตผู้รู้ อยู่ท่ามกลางความว่าง ส่องสว่างไสวเป็นประภัสสรยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ ปัญญาต่างๆ จะพรั่งพรูออกมา ดังพุทธพจน์
“ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา” อยากรู้อะไรให้ถามจิตผู้รู้ ท่านตอบได้ทุกอย่าง
สำหรับผู้ที่อยากหลุดพ้นจากวัฏสงสาร เมื่อเจอจิตผู้รู้ ต้องสอนจิตผู้รู้ให้มีปัญญาโดยการให้จิตผู้รู้พิจารณาความไม่เที่ยงของร่างกายของเรานี่แหละ เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
จิตผู้รู้จะเบื่อหน่ายในกาย ทำลายตัวรู้หรือวิญญาณขันธ์ไม่ยึดติดให้เกิดขาติภพอีกต่อไป เปลี่ยนเป็น “นิพพานธาตุ” กลับสู่ความว่างไร้สมมุติบัญญัติ คือ พระนิพพาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น