หลวงปู่ใหญ่ทำหน้าที่สืบสานพระพุทธศาสนามานานแสนนาน โดยมิได้บอกกล่าวนามแก่ผู้ใดทั้งสิ้น ด้วยถือว่าชื่อเสียงเรียงนามเป็นเพียงสิ่งสมมติ แต่เมื่อล่วงเลยมาถึงยุคสมัยที่ถ้อยคำภาษามีความสำคัญต่อการสื่อสารมากขึ้น หลวงปู่ใหญ่จึงได้รับนามเรียกขานว่า "หลวงปู่เทพโลกอุดร"
ซึ่งนาม "หลวงปู่เทพโลกอุดร" นี้หลวงปู่ใหญ่จักเรียกขานตนเองก็หาไม่ หากแต่มีบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติสยามเป็นผู้เรียกขาน นั่นก็คือ "กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ" หรือ "#พระองค์เจ้ายอดประยูรยศ"
ก็จะต้องย้อนเหตุการณ์ให้ลูกหลานรับทราบถึงรัชกาลที่ ๔ สมัยนั้นประเทศสยามหรือไทยเรามีกษัตริย์สองพระองค์คือ “สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว”
ทำไมต้องมีกษัตริย์พร้อมกันสองพระองค์ด้วย ? ก็เป็นเพราะสมเด็จพระปิ่นเกล้านั้นมีดวงพระชาตามากด้วยบุญบารมีอย่างยิ่ง
สมเด็จพระปิ่นเกล้าเป็นผู้รอบรู้ทั้งศิลปวิทยาทั้งของไทยแลฝรั่งตะวันตก มีความแตกฉานทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน เชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ทรงมีวิสัยทัศน์โปรดให้หมอมิชชันรีฝรั่งปลูกฝีป้องกันโรคฝีดาษแก่ราษฎรในสมัยนั้นจนประสบผลสำเร็จ ทรงเชี่ยวชาญเรื่องเครื่องยนต์กลไก ทรงต่อเรือรบสองลำแรกขึ้นในประเทศไทย คือ เรือรบอมราวดี แล ศรีอโยธยา
อีกทั้งทรงเป็นผู้มีเชี่ยวชาญทางไสยเวทย์วิทยา จนเป็นที่ประจักษ์โดยทั่ว เช่น การเสกใบมะขามเป็นตัวต่อตัวแตน เป็นต้น
แม้พระราชโอรสของพระองค์นามว่า "หม่อมเจ้ายอดประยูรยศ" หรือ เรียกขานกันภายในว่า "พระองค์เจ้ายอร์ช วอชิงตัน"(ด้วยสมเด็จพระปิ่นเกล้าทรงเลื่อมใสความเก่งกาจสามารถของยอร์ช วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา จึงทรงขนานนามพระราชโอรสของพระองค์ดังนี้) ก็มีพระปรีชาสามารถทางด้านไสยเวทอย่างโดดเด่นเช่นกัน
ภายในวังของหม่อมเจ้ายอดทรงปลูกว่านต่างๆไว้มาก ทรงเลี้ยงเองและทรงชิมว่านที่ปลูกจนลิ้นดำ ผู้คนเรียกพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าลิ้นดำ”
พระองค์ทรงพากเพียรแสวงหาครูบาอาจารย์ที่มีวิชาเป็นยอดแห่งแผ่นดินสยาม พระองค์ตั้งจิตอธิษฐานอย่างแน่วแน่เพื่อให้รู้ ได้ทราบซึ้งถึงแก่นแท้แห่งวิชชาในพระพุทธศาสนา
จากการมุ่งแสวงหาอย่างไม่ลดละทำให้พระองค์ได้มีโอกาสพบพระภิกษุลี้ลับรูปหนึ่ง โดยไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนาม สังเกตดูว่ายังไม่แก่ชราสักเท่าใดนัก แต่ผมกลับขาวโพลนไปทั้งศรีษะ มีราศีสว่างไสว ดูแล้วน่าเลื่อมใสศรัทธายิ่งนัก
พระภิกษุรูปนี้สามารถ “ทายใจ” หรือรู้ความคิดในพระทัยพระองค์เจ้ายอดได้อย่างถูกต้องน่าอัศจรรย์ทุกครั้งที่ได้พบปะสนทนา และมักจะรู้เห็นอะไรล่วงหน้าอย่างแม่นยำ ทำให้พระองค์เจ้ายอดมีความศรัทธาอย่างยิ่ง ถึงขนาดเสด็จออกจากวังไปครั้งละหลายๆ วันเพื่อไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับพระอาจารย์ลี้ลับรูปนี้ จนมีผลต่อมาให้พระองค์มีความสามารถทางจิตเป็นที่ประจักษ์เล่าขานสืบทอดต่อมาในวังหน้าตราบจนถึงปัจจุบัน
ในการซึ่งเกิดเรียกขานนาม "หลวงปู่เทพโลกอุดร" ขึ้นมาครั้งแรกนั้น พระองค์เจ้ายอดทรงตรัสถามถึงนามของพระอาจารย์ที่สอนกรรมฐานท่าน แต่พระอาจารย์ท่านมิยอมบอก กล่าวแต่ว่า "มีชีวิตเนิ่นนานมาแล้ว นานจนมิอาจจดจำได้ ด้วยนามก็คือสัญญา-สังขาร เป็นของไม่เที่ยงไม่แท้ เป็นแต่สมมติขึ้นมาเท่านั้นแล.. ลูกหลานเอ๊ย๚"
พระองค์เจ้ายอดจึงมีพระดำรัสว่า "ถ้าเช่นนั้นแล้ว เกล้าศิษย์ขออนุญาตเรียกขานนามพระอาจารย์ว่า "พระครูเทพโลกอุดร" จักได้ ฤๅหาไม่ ?.....
ด้วยเกล้าฯตระหนักถึงปรีชาญาณพระอาจารย์นั้นประดุจดั่งเทพเทวา มีอิทธิฤทธิ์เป็นที่ประจักษ์ แลด้วยพระอาจารย์นั้นหมดจดจากอาสวะแล้ว เป็นผู้ดำรงอยู่ “เหนือโลก” จึงสมควรมีสมญานามต่ออีกว่า “โลกอุดร” รวมแล้ว คือ "เทพโลกอุดร" นะพุทธิเจ้าข้าฯ"
-------------------------------
#หลวงปู่เทพโลกอุดร.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น