หลายคนอาจเคยสงสัยว่า แท้จริงแล้ว ต้นกำเนิดของโลก มนุษย์ และสรรพสิ่งทั้งหลาย มีมูลเหตุมาจากสิ่งใด? เหตุไฉน เมื่อเกิดแล้ว เจริญแล้ว ย่อมพบกับความเสื่อมถอย และดับสูญในที่สุด… ในคติทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึง กำเนิดโลก จักรวาล วิวัฒนาการของมนุษย์ ปรากฎใน “ อัคคัญญสูตร พระสุตตันตปิฎก” โดยมีที่มาจาก วาเสฏฐะและภารทวาชะ ซึ่งเป็นพราหมณ์ที่กำลังจะบวชในศาสนาพุทธ ทั้งสองได้ถูกสอนจากวรรณะพราหมณ์ ว่าตนถือกำเนิดจากโอษฐ์ของพระพรหม ส่วนวรรณะอื่นได้ถือกำเนิดจากเบื้องล่างของพระพรหม พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสข้อโต้แย้งดังกล่าว ว่า แท้จริงแล้วมนุษย์ย่อมเกิดจากมนุษย์ด้วยกันเอง จนเกิดวิวัฒนาการแยกออกมาเป็นวรรณะทั้ง 4 คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร
โดยสรุปใจความสำคัญใน “อัคคัญญสูตร” ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คือ เมื่อกาลอันล่วงมานานแล้ว … จักรวาลได้ถูกทําลายลง สัตว์ทั้งหลาย ได้ไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม ต่อมาโลกอยู่ระหว่างการเจริญขึ้นอีกครั้งหนึ่ง สัตว์ทั้งหลายจึงได้พากัน จุติ (เคลื่อนย้าย ,เปลี่ยนภพภูมิ) จากชั้นอาภัสสรพรหมลงมาสู่โลก ซึ่งในเวลาต่อมาถูกเรียกว่า “มนุษย์” นั่นเอง
มนุษย์ในยุคแรก มีสภาพเช่นเดียวกับอาภัสสรพรหม คือ เป็นผู้เกิดจากใจ ทำให้ไม่มีเพศ แต่มีรัศมีกายสว่างไสว เหาะเหินเดินอากาศได้ มีปิติเป็นอาหาร ขณะที่จักรวาลมีแต่น้ำและความมืดมน จนกาลเวลาผ่านไป ปรากฎ “ง้วนดิน” ลอยอยู่บนน้ำ มีสีเหลืองคล้ายกับเนยใส กลิ่นหอม รสเหมือนน้ำผึ้ง ระหว่างนั้น มีมนุษย์ผู้หนึ่ง เห็นง้วนดิน มีสีสันสวยงาม กลิ่นหอม จึงลิ้มลองรสชาติ แล้วเกิดติดใจ เพื่อนมนุษย์อื่นๆมาเห็นจึงทำตามบ้าง ก็ติดใจในรสชาติเช่นกัน ด้วยความยินดีพอใจในง้วนดินนั่นเอง จึงทำให้รัศมีกายของมนุษย์ที่เคยสว่างไสวกลับมืดลง ทั้งจิตและกายก็หยาบกระด้างมากขึ้น จึงทำให้เกิดพระจันทร์ พระอาทิตย์ ดวงดาว เกิดกลางวัน กลางคืน ฤดูกาล และอื่นๆตามมา
ต่อมา ง้วนดิน หายไป มนุษย์เริ่มบริโภคกระบิดิน เครือดิน และข้าวสาลีตามลำดับ เกิดความหยาบกระด้างของผิวพรรณมากขึ้นเรื่อยๆ ปรากฏอวัยวะเพศหญิง เพศชาย เมื่อสองเพศเจอกันก็เกิดกำหนัด ทำให้สมสู่กัน มนุษย์ผู้อื่นมาเห็นต่างก็รังเกียจ พวกเขาจึงแสวงหาที่กำบังในยามเสพเมถุนโดยการสร้างบ้านเรือนขึ้นมา ต่อมามนุษย์เกิดความเกียจคร้าน จึงไปเก็บข้าวสาลีมาไว้บริโภคในคราวเดียว ทำให้เกิดการขาดแคลน เหล่ามนุษย์ จึงประชุมกัน ได้ข้อตกลงให้มีการแบ่งข้าวสาลีและแบ่งเขตแดนให้ครอบครอง แต่มนุษย์บางคนเกิดความโลภมาก ก็ไปขโมยของผู้อื่นมากินมาใช้ ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท จึงมีการแต่งตั้งหัวหน้า ให้ทำหน้าที่ติเตียนหรือลงโทษผู้ลักทรัพย์ เป็นเหตุให้เกิด “กษัตริย์” ขึ้นมานั่นเอง และในลำดับต่อมาก็เกิดวรรณะต่างๆ จนครบทั้ง 4 คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร
ต่อมา ง้วนดิน หายไป มนุษย์เริ่มบริโภคกระบิดิน เครือดิน และข้าวสาลีตามลำดับ เกิดความหยาบกระด้างของผิวพรรณมากขึ้นเรื่อยๆ ปรากฏอวัยวะเพศหญิง เพศชาย เมื่อสองเพศเจอกันก็เกิดกำหนัด ทำให้สมสู่กัน มนุษย์ผู้อื่นมาเห็นต่างก็รังเกียจ พวกเขาจึงแสวงหาที่กำบังในยามเสพเมถุนโดยการสร้างบ้านเรือนขึ้นมา ต่อมามนุษย์เกิดความเกียจคร้าน จึงไปเก็บข้าวสาลีมาไว้บริโภคในคราวเดียว ทำให้เกิดการขาดแคลน เหล่ามนุษย์ จึงประชุมกัน ได้ข้อตกลงให้มีการแบ่งข้าวสาลีและแบ่งเขตแดนให้ครอบครอง แต่มนุษย์บางคนเกิดความโลภมาก ก็ไปขโมยของผู้อื่นมากินมาใช้ ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท จึงมีการแต่งตั้งหัวหน้า ให้ทำหน้าที่ติเตียนหรือลงโทษผู้ลักทรัพย์ เป็นเหตุให้เกิด “กษัตริย์” ขึ้นมานั่นเอง และในลำดับต่อมาก็เกิดวรรณะต่างๆ จนครบทั้ง 4 คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในตอนท้ายใจความว่า สิ่งที่บ่งบอกถึงความแตกต่างของมนุษย์ไม่ใช่เพราะชาติกำเนิด แต่เป็นเพราะการกระทำของตนเองทั้งนั้น
เราจะสังเกตได้ว่า วิวัฒนาการของมนุษย์ในยุคแรกเริ่ม มีความละเอียดทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะถือว่าจุติมาจากชั้นอาภัสสรพรหม โดยเกิดและโตทันทีแบบโอปปาติกะ (ไม่ต้องอาศัยครรภ์มารดา) แต่เมื่อเกิดความยินดีพอใจ ติดใจในรสชาติของอาหาร คือ เกิดตัณหา ก็ทำให้จิตใจเริ่มหยาบ ร่างกายก็หยาบลง เกิดเพศชายหญิง เกิดการสมสู่กัน วิวัฒนาการมาเรื่อยๆ จนเกิดเป็นมนุษย์ยุคใหม่ที่ต้องอาศัยครรภ์มารดาในการเกิดอย่างเช่นในปัจจุบัน
ข้อมูลอ้างอิง : อัคคัญญสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓
ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=11&A=1703&Z=2129
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น