28 ธันวาคม 2560

ต้นเหตุแห่งทุกข์


เมื่อโยมยังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ "ความคิด"นั้นมันก็มีตลอดเวลา เพราะโยมนั้นยังมีความจำคือสัญญา มีรูป มีเวทนา มีสังขาร และวิญญาณ..หล่อหลอมเป็นดวงจิต ถ้าโยมดับรูปแล้วเข้าถึงนามได้ โยมจะรู้ว่าจิตนั้น ที่แท้จริงนั้นเขาไม่คิดไม่ปรุงแต่งอะไร แต่ที่ไปคิดไปปรุงแต่ง เพราะเรานั้นไปยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เรานั้นไม่ละไม่วาง เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นจิตและความคิดนี้ "จิต"นั้นก็คือตัวรู้เฉยๆ แต่เมื่อตัวรู้แล้วมันรู้ไม่จริงมันเลยเกิดความสงสัย เรียกว่าเป็น"อุปาทาน" ความคิดจึงบังเกิดขึ้น แต่ถ้าโยมรู้แล้ววางความคิดจะเกิดขึ้นได้มั้ยจ๊ะ โยมรู้แล้ววาง..ทีนี้รู้แล้วไม่วาง โยมไปปรุงแต่งต่อ ก็ไอ้ตัวปรุงแต่งนี้แหล่ะคืออุปาทาน ไอ้ตัวอุปาทานคือตัวยึดมั่นถือมั่นในดวงจิต เมื่อโยมไปยึดมั่นถือมั่นในดวงจิตแล้ว โยมเกิดอีกชาติใหม่โยมก็ต้องมาปรุงแต่งขึ้นมาใหม่อีก นี่เรียกเป็นอวิชชาอย่างหนึ่ง..ไม่จบสิ้น เพราะว่าความไม่รู้
แต่เมื่อโยมมากำหนดรู้อยู่บ่อยๆ จนรู้ความจริงว่าเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงมันเกิดจากที่ใด ความคิดนี้ก็ทำให้มนุษย์นั้นทุกข์อย่างหนึ่ง ดังนั้นการที่โยมจะเจริญภาวนาจิต โยมต้องดับทุกอย่าง ให้จิตมันว่าง ถ้าจิตมันยังว่างไม่ได้ ทำอย่างไรให้มันว่าง ขนสัมภาระอะไรที่ไม่สำคัญออกให้หมด นั่นหมายถึงว่า ในอดีตไม่ควรคำนึง อนาคตที่ยังมาไม่ถึงก็ขอให้วาง ในขณะปัจจุบันขอให้รู้ว่าทำอะไรอยู่..ความคิดจักไม่เกิดขึ้น
ความคิดเกิดขึ้นจากอะไร..จากสัญญา "สัญญา"มันมาจากไหน..คือความจำ นั่นคืออดีต เข้าใจมั้ยจ๊ะ ให้รู้อยู่แต่ปัจจุบัน เช่นมีองค์ภาวนามากำกับจิต ให้จิตนั้นมีหลักยึด การที่ว่าต้องมีพุทโธก็ดี สัมมาอรหังก็ดี พุทธังสรณังคัจฉามิก็ดีนั้นมากำกับ เพื่อให้จิตนั้น"มีหลัก" จิตเมื่อไม่มีหลัก..พอมีอารมณ์มากระทบ มีผัสสะมากระทบแล้ว มันก็เกิดการ"ปฏิสนธิ" การปรุงแต่งขึ้นมาแห่งจิต เพราะว่ากระแสแห่งจิตนั้นมันมีความเร็วความไวมาก
แต่ถ้าผู้ใดฝึกจิต รู้เท่าทันจิต จิตนี้มีอานุภาพมาก นำมาใช้ประโยชน์ได้มหาศาล ถ้าจิตโยมฝึกดีแล้ว ศีลโยมปราณีตดีแล้ว ใจโยมตั้งมั่นดีแล้ว มีกำลัง เพียงโยมอธิษฐานลงไปฟ้าดินย่อมสะเทือน แต่มนุษย์นั้นจิตมันทราม จิตมันหยาบ เพราะขาดศีลขาดธรรม ขาดการฝึกการพิจารณา แล้วโยมจะไปหาความปาฏิหาริย์อะไรมันจะเกิดขึ้นได้ยังไง
นั้นตัวจิตกับความคิดนี้ จิตที่แท้จริงเดิมๆเขาไม่มีความคิด ไม่มีรูป ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส แล้วสิ่งที่ฉันกล่าวมาโยมย้อนกลับไปซิว่า ทำไมมันมีรส มันมีรูป มันมีเสียง มันมีกลิ่น มันมีเสียง เพราะโยมไปพอใจไปปรุงแต่ง..ใช่หรือไม่ แท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ของมัน มันไม่มีอะไรเลย แต่โยมไปพอใจอยากมีมันต่างหาก เพราะ"ตัวอยาก"แท้ๆ ใช่หรือไม่
เพราะถ้าโยมไม่อยากมันก็ไม่คิดแล้ว ไม่คิดไปอยากเอา ไม่คิดอยากมี แต่นี่โยมอยาก ความคิดมันก็เลยบังเกิด ถ้าบอกว่าความคิดทำให้เกิดกรรมได้มั้ยจ๊ะ..นี่คือตัว"ต้นเหตุ"เลย โยมอย่าอยากจะไปมีสิจ๊ะ ไม่ต้องอยากเป็นอะไร ไม่ต้องอยากมีอะไร นั่นแหล่ะจ้ะโยมจะมีทุกอย่างที่โยมคิดว่าโยมจะมี โยมดับอยากก่อน ดับความกระหายก่อน โยมทำกันได้มั้ยจ๊ะ..
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๐
ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...