31 สิงหาคม 2564

การเวียน ว่าย ตาย เกิด

บทสรุปการเวียน ว่าย ตาย เกิด ของผู้ที่ผ่านความตายแล้วฟื้นขึ้นมาบอกเล่าสิ่งที่
เขาเห็นว่าความตายที่แท้จริงนั้นไม่น่ากลัวอย่างที่คนส่วนใหญ่คิดกันเลย.?..
มนุษย์เราในอดีตกาล ใช้ชีวิตโดยรู้จักการเวียนว่ายตายเกิดมาก่อน เมื่อรู้ตัวว่าจะตาย วันนั้นจึงเป็นวันที่สดใส เพราะมีความตายนี้เองจึงสามารถสัมผัสความสุขของการมีชีวิตได้ จากใจของคนในยุคนั้นนะ

แต่ผู้คนในยุคปัจจุบันนั้น ใช้ชีวิตโดยห่างไกลกับความรับรู้ว่าสักวันหนึ่งเราจะต้องตายเอาแน่ๆ และมีแนวโน้มว่าการใช้ชีวิตในแต่ละวันกลายเป็นความเคยชินไปในที่สุด

จงใช้ชีวิตด้วยสติในทุกๆ วัน (ใช้ชีวิตโดยอยู่กับปัจจุบันขณะของตนเอง) กล่าวคือ
ให้ลูกๆ เตรียมใจไว้ เมื่อถึงตอนจะเข้านอนให้ตระหนักถึงความตายที่จะเข้ามาแล้วนั่นคือการเกิดใหม่จากการที่ลูกๆ เตรียมใจไว้ให้พร้อมมันจะทำให้ลูกๆ ของพ่อใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีคุณค่าและมีแก่นสารน่ะ

เอาล่ะพ่อจะพาลูกๆ ท่องดินแดนแห่งความตายแล้วนะพร้อมกันหรือยัง..

เมื่อคนเราจะตาย จุดเริ่มต้นจะมีความรู้สึกสิ้นลมปราณ ได้ยินเสียงหวิวๆ อยู่รอบด้าน แล้วรู้สึกถึงการเคลื่อนตัวออกจากร่างเดิม แล้วมองเห็นร่างของตัวเองนอนตายอยู่ เกิดความรู้สึกตกใจ สยองขวัญ และงุนงงต่อเหตุการณ์ แต่ชั่วครู่หลังจากการเฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ ร่างของตัวเองโดยไม่รู้ว่าจะทำฉันใดดี

ก็เริ่มจะคุ้นชินกับสภาวะใหม่ที่เขาเป็นอยู่ในขณะนั้น แล้วเริ่มสังเกตุพบว่าตัวเองยังมี "รูปกายของตัวเอง" อยู่อย่างเดิมเพียงแต่เป็นร่างที่ละเอียดกว่ากายหยาบ
เป็นรูปกายที่มีความรู้สึกแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง เป็นร่างกายที่มีกำลังวังชาแข็งแรงสมบูรณ์ดีกว่าร่างเดิมอย่างมหาศาล..

จากนั้นก็เริ่มรู้สึกเหมือนกับการเคลื่อนที่ผ่านเข้าสู่อุโมงค์แห่งความมืดมิดทะลุออกไปสู่ดินแดนใหม่ที่มีแต่แสงสว่างอันเจิดจ้า แล้วจึงปรากฎพบเห็นบรรดาญาติมิตรเพื่อนฝูงที่เคยรู้จักกันมาก่อน และบางคนก็ไม่รู้จัก ต่างห้อมล้อมกันเข้ามา ใน
บรรดาคนที่เราเคยรู้จักเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ตายไปแล้วก่อนหน้าเขาทั้งสิ้น เริ่มมีความรู้สึกอุ่นใจเกิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

และแล้ว.."ดวงแสงที่มีชีวิต" ดวงใหญ่ก็ปรากฎตัวขึ้นตรงหน้า ดวงแสงที่มีชีวิตเริ่ม
ตั้งคำถามเขาต่างๆ นานา การถามไม่ได้ใช้คำพูด แต่เป็นภาพคำถามผุดขึ้นมาในความรู้สึกแทนที่เข้าใจได้อย่างชัดเจน 

มีภาพฉายขึ้นมาในมโนจิต มันเป็นภาพเหตุการณ์สำคัญๆ ในอดีตแห่งความทรงจำสมัยเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ทั้งการทำความดีและทำสิ่งไม่ดีผุดขึ้นมา
อย่างมากมาย จนสิ้นสุดกระบวนการเหล่านี้

ในเวลาต่อมาก็รู้สึกว่าตนเองกำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้าไปสู่อะไรบางอย่าง มีความรู้สึกว่ามันเป็นขอบเขตกั้นระหว่างพรมแดนแห่งโลกียภพกับพรมแดนของภพต่อไป แต่ยังไม่ทันจะได้ผ่านเข้าไป..พลันก็เกิดความรู้สึกสำนึกขึ้นมาว่า จะต้องกลับไปปถพีโลกเดิมที่จากมา

เพราะเวลาแห่งมรณกรรมของตนเองยังมาไม่ถึง..มันเป็นสำนึกที่รุนแรงมาก ถึงแม้อีกใจหนึ่งกำลังคิดปฎิเสธ ไม่อยากกลับไปสู่โลกียภพเดิมที่จากมา อย่างไรก็ตามความคิดปฎิเสธนั้นก็ไม่อาจต้านทานความรู้สึกในความจริงที่ปรากฎของกาลเวลาแห่งมรณกรรมที่ยังมาไม่ถึงของตนเองนั้นได้

ขณะที่จิตใจยังแบ่งรับแบ่งสู้กันอยู่นั้น ความรู้สึกอันใหม่ก็ปรากฎมันเป็นความรู้สึก
ของความสงบวิเวก ความเบิกบาน ความอบอุ่นใจ และความสุขใจอย่างบอกไม่ถูกและ จะด้วยกลวิธีอย่างไรก็ไม่ทราบได้

สำนึกต่างๆ ก็กลับเข้าสู่สภาพความรู้สึกดั้งเดิมกลายเป็นความรู้สึกของชีวิตที่เข้ารวมกับร่างกายเดิม...จากนั้นก็พบกับการตื่นฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เป็นคนเดิมใหม่ในร่างกายอันเดิม ณ.ที่ๆ เคยเห็นตนนอนตายอยู่ตรงนั้นบนเตียงโรงพยาบาลแล้วเห็นหมอกำลังใส่สายระโยงระยางให้กับตัวเองมีเสียงร้องแสดงความยินดี

พ่อๆ ตื่นแล้วตื่นแล้ว ฉะนั้นความตายไม่ได้น่ากลัวเลยเหมือนเพียงการหลับแล้วฝันไปเท่านั้น แต่ความกลัวตายน่ากลัวกว่า 100 เท่าน่ะ..

ที่มา
Teucer Rom...

แสงสว่าง มองการไกล...

30 สิงหาคม 2564

จิต ของเราที่ควบคุมเซลล์ที่อยู่ในตัวตนของเราเปรียบเสมือนจักรวาลย่อส่วน.?..

เซลล์นั้นเป็นหน่วยที่เล็กมากๆ ในโลกของมนุษย์นั้น เซลล์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุดภายในโครงสร้างเล็กๆ นี้เอง สรรค์สร้างพลังงานขึ้นมาจากการได้รับอาหาร ย่อย
แล้วดูดซึมสารอาหาร และการหายใจ ยิ่งกว่านั้นในเซลล์ก็มี DNA เป็นห้องเก็บข้อมูลอย่างมหาศาลภายในนั้น

โดยเฉลี่ยมนุษย์จะมีเซลล์ที่ทำหน้าที่ต่างๆ ในร่างกาย 60 ล้านๆ เซลล์ (ไม่ใช่ 84,000 เซลล์นะ) แต่ละเซลล์ล้วนมีความหมายถึงแม้มันจะมีขนาดที่เล็กมากๆ ก็ตาม แต่มันมีอิทธิพลอย่างมากกับจิตสำนึกของลูกๆ ทุกคน 

จิตมนุษย์เราคือพลังงาน เซลล์ในร่างกายของเราคือผู้ก่อรูปร่างให้เป็นแท่งกายที่ให้พวกเราสัมผัสได้ถึงประสบการณ์ชีวิตต่างๆ ในโลกเสมือนจริงมิติที่ 3 แล้วสิ่งที่ให้อิทธิพลต่อเซลล์ของมนุษย์นั้นก็คือ "จิตสำนึก" ของลูกๆ เอง

ความสัมพันธ์อันนี้เอง ก็เหมือนการย่อส่วนของจักรวาลลงมาอยู่ในรูปกายมนุษย์มนุษย์ก็คือเซลล์ๆ หนึ่งในจักรวาลพร้อมกับมีหน้าที่สำคัญในการดำรงอยู่ของ
จักรวาลด้วยๆ การขับเคลื่อนพลังงานแห่งความรัก และความคิดบวกต่างๆ เพื่อ
ให้กงล้อจักรวาลหมุนไปไม่มีที่สิ้นสุด

ดวงจิตแต่ละดวงมีองค์ประกอบที่เรียกว่า "เจตสิก"เป็นองค์ประกอบของอะตอม
ที่แตกต่างกัน จากจำนวนของอิเลกตรอน โปรตอน และนิวตรอน สรรค์สร้างคุณ
สมบัติของธาตุทางเคมีที่หลากหลายไม่เหมือนกันฉันใด องค์ประกอบของจิตที่แตกต่างกัน ก็สร้างคุณสมบัติของดวงจิตที่ต่างกันฉันนั้น 

องค์ประกอบของดวงจิตที่เรียกว่า "เจตสิก" มีทั้งหมด 52 ชนิด โดยองค์ประกอบที่หลากหลายจากเจตสิกทั้ง 52 ชนิดนี้ ทำให้สามารถเกิดลักษณะของดวงจิตที่แตกต่างกันได้ถึง 121 แบบ ดวงจิตแห่งรัก โลภ โกรธ หลง และเวทนาที่เกิดจากรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็เป็นส่วนหนึ่งใน 121 แบบนี้

วิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันไม่เคยศึกษาในเรื่องเหล่านี้เลย ที่ใกล้เคียงที่สุดก็คือการ
ศึกษาในเรื่องโครงสร้างของจิตของซิกมุนด์ ฟรอยด์ แต่เป็นเพียงการค้นพบคุณ
สมบัติภายนอกกายอย่าง Ego อัตตา ตัวตน ของมนุษย์เท่านั้นไม่สามารถลงลึกไปที่โครงสร้างภายในของจิตได้เหมือนอย่างพระบรมศาสดาของเรา

ดวงจิตหนึ่งประกอบไปด้วยองค์ประกอบภายในมากมาย มีการเกิดดับ และเปลี่ยน
แปลงคุณสมบัติขององค์ประกอบอยู่ตลอดเวลา รับรู้ถึงเวทนา รูป รส กลิ่น เสียง
สัมผัส ที่ผ่านเข้ามาทางทวารได้อย่างหลากหลายความรู้สึกและเกิดดับอย่างรวดเร็ว

ผู้ที่สามารถกำหนดสติที่ไวขนาดสามารถจับการเกิดดับของดวงจิตหรือกลุ่มดวงจิตได้ทันจะเข้าใจถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของรูป ของนาม ได้ชัดเจน ในขณะที่ลูกฝันจะเกิดกระบวนการย้อนกลับ พลังแห่งกรรมเหนี่ยวนำให้เจตสิกมารวมตัวกันเป็นดวงจิต ก่อให้เกิดอารมณ์ กิเลสตัณหา เวทนา ตามลักษณะของดวงจิตนั้น

และสร้างภาพฝันไปราวกับเรื่องจริง โดยที่ไม่มีอายตนะภายใน ภายนอก หรือทวารทั้งห้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลยเป็นเหมือนภาพที่เกิดขึ้นในสมองมิใช่ดวงตา

สำหรับอรหันต์เจ้านั้นซึ่งมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์พร้อม 100% รับรู้ เข้าใจ และไหวทันต่อกระบวนการเกิดดับของเจตสิกอย่างถ่องแท้ท่านจึงไม่มีการฝันอีกต่อไป การเกิดดับของจิตก็คือ การสลายตัวของเจตสิก และถ่ายทอดพลังงานสืบเนื่อง ทำให้เจตสิกใหม่ก่อตัวขึ้นมาเกิดเป็นดวงจิตต่อไป

ซึ่งรับถ่ายทอดคุณสมบัติของจิตดวงเดิมไว้ด้วย คาบเวลาระหว่างการเกิดดับของจิตแต่ละดวงสั้นมาก ในช่วงเวลาเพียง 1 วินาที จะมีการเกิดดับของจิตเกิดขึ้นไปแล้วนับล้านๆ ดวง อันที่จริงแล้วการเกิดดับของจิตก็ไม่มีอยู่จริง เพียงแต่ในมิติที่ 3
ของโลกเราซึ่งมีการไหลเลื่อนของเวลา

ทำให้จิตเกิดการเกิดดับเป็นสายรับรู้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แล้วจึงเกิดอารมณ์
ต่างๆ ได้มากมาย เราจึงรู้สึกได้ถึงประสบการณ์ชีวิตต่างๆ ที่พวกเราได้ออกแบบไว้เพื่อมาเรียนรู้และผจญภัยในรูปแบบต่างๆ แต่ถ้าเมื่อใดเราพบกับความจริงแท้

ของปัจจุบันขณะ แห่งเวลา เหมือนกับเวลาที่หยุดเดิน เราเองก็จะพบกับความ
"ว่าง" ช่องว่างแห่งปัจจุบันขณะที่เป็นที่ตั้งแห่งนิพพานที่แท้จริงเราก็จะพบว่าทุก
อย่างเป็นอนัตตา สุญญตา ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ ชีวิต โลกและเวลาคือสิ่งเดียวกันที่เป็นบรมสุขสุดยอดปรารถนาของมนุษย์เราทุกคน..

ที่มา
Teucer Rom...

แสงสว่าง มองการไกล...

29 สิงหาคม 2564

อายที่จะเอาของที่มีใส่บาตร

ผู้ถาม - “กระผมอยากจะทำบุญใส่บาตรเหมือนกันครับ แต่คิดว่าของที่จะใส่บาตรทำบุญมันไม่ดี ก็เลยอายไม่อยากใส่ กะไว้ว่าถ้ามีอาหารดีเมื่อไรจะใส่บาตร ผมคิดอย่างนี้ถูกไหมครับ …?”

หลวงพ่อ - “การทำบุญทำไมจะต้องอาย เคยมีนักเทศน์เขาถามกันว่า มียายกับตา ๒ คน แกหุงข้าวแฉะแล้วแฉะอีก ไอ้แกงก็เปรี้ยวแล้วเปรี้ยวอีก แกกินไม่ลง ของมันกินไม่ได้ เวลาพระมาบิณฑบาต แกก็บอกใส่บาตรดีกว่า พระนักเทศน์เขาก็ถามกันว่า อย่างนี้จะได้อานิสงส์ไหม… ก็ต้องตอบว่า ได้อานิสงส์ แต่ผลที่เขาจะได้รับก็เป็นทาสทาน”

ผู้ถาม - “ทาสทานเป็นยังไงครับ…?”

ทานมี ๓ ประเภท

หลวงพ่อ - “คำว่า ทาสทาน หมายความว่า ให้ของเลวกว่าที่เรากินเราใช้ เวลาที่เราใช้สอย มันก็ต้องเลวกว่าที่เขากินเขาใช้กัน ได้ก็ได้ของเลว ถ้าให้ของเสมอที่เรากินอยู่หรือที่เราใช้อยู่ เขาเรียกว่า สหายทาน ผลที่เราจะได้รับ ก็เสมอกับที่เรากินเราใช้ ถ้าให้ของที่ดีกว่าที่เรากินเราใช้ เขาเรียกว่า สามีทาน สามีทานเขาไม่ได้แปลว่าผัวทานนะ สามี เขาแปลว่า นาย เวลาที่จะได้รับผลเราก็จะได้ของเลิศ

ถ้าจะถามว่า ทาสทานมีอานิสงส์ไหม ก็ต้องดูตัวอย่าง ท่านอาฬวีเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ พระราชาตั้งเป็นมหาเศรษฐี แต่ว่าผ้าที่แกนุ่งนี่ ผ้าใหม่แกนุ่งไม่ได้ นุ่งผ้าช้ำแล้ว ใกล้จะขาด แกจึงนุ่งได้ ข้าวที่จะกินเม็ดสวย ๆ ก็กินไม่ได้ ต้องเป็นข้าวหัก หรือปลายข้าว แกจึงจะกินได้ ของทุกอย่างที่แกใช้ต้องเป็นของเลว แต่อย่าลืมว่าเขาก็เป็นมหาเศรษฐีได้นะ”

หลวงพ่อปรารภเพิ่มเติมว่า - "การตั้งใจว่าจะใส่บาตรด้วยของดีๆ น่ะดี แต่ว่าวันไหนมีอาหารที่เราคิดว่าไม่ดีก็ใส่บาตรได้การให้ทาน พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าให้เบียดเบียนตัวเอง ถ้าเบียดเบียนตัวเองเป็น อัตตกิลมถานุโยค เป็นการทรมานตัว และการให้ทานพระพุทธเจ้าให้ดูอีกว่า ควรให้หรือไม่ควรให้ ถ้าให้ในเขตของคนเลว อานิสงส์ก็น้อย อาจจะไม่มีเลย รู้ว่าคนนี้ควรจะให้เราก็ให้ ถ้าไม่ควรให้เราก็ไม่ให้ ให้แล้วไปกินเหล้าเมายา ไปสร้างอันตรายกับคนอื่น เราไม่ให้ดีกว่าเป็นการต่อเท้าโจร ให้พลังแก่โจร เวลาจะให้ท่านวางกฎไว้ดังนี้

๑.ผู้ให้บริสุทธิ์ บริสุทธิ์หรือไม่เขาจึงให้สมาทานศีลก่อน ถ้าสักแต่ว่าสมาทานนี่ซวย เวลานั้นต้องตั้งใจรักษาศีลจริง ๆ จิตตอนนั้นมันจึงจะบริสุทธิ์ คืออยู่ในช่วงว่างจากกิเลส ถ้าตั้งใจสมาทานศีลด้วยดี จิตตอนนั้นบริสุทธิ์

๒.ผู้รับบริสุทธิ์ หมายความว่า ถ้าผู้รับเป็นพระ ก็พยายามให้เป็นพระจริง ๆ นะ ถ้าถวายสังฆทานนี่ไม่ต้องห่วง ผู้รับบริสุทธิ์แน่ พระองค์ไหนถ้าไม่บริสุทธิ์ กินแล้วตกนรก

๓.วัตถุทานบริสุทธิ์ ถ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์เอามาทำบุญ ไม่ได้ขโมยสตางค์เขามาทำบุญ เป็นของที่เราหามาได้โดยชอบธรรม อย่างนี้ของดีก็ตาม ของเลวก็ตาม มีอานิสงส์มาก อานิสงส์คือความดี ความชื่นใจมาก ถ้าผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ วัตถุทานไม่บริสุทธิ์ ความดีก็ลดน้อยลง แต่ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับไม่บริสุทธิ์ วัตถุทานไม่บริสุทธิ์ ให้บาทหนึ่ง จะได้สักสตางค์หรือเปล่าก็ไม่รู้ รวมความว่า ต้องบริสุทธิ์ ๓ อย่าง ถ้าลดไปอย่างใดอย่างหนึ่ง อานิสงส์ก็ลดตัวลงมา ถ้าลดเสียหมดเลยก็ไม่มี"

ที่มา
จาก : หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

28 สิงหาคม 2564

สติปัฎฐาน 4 เส้นทางสายเอกสู่มหานิพพาน.?...

โลกในยุคการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ เป็นโลกที่มีคลื่นความถี่สั่นสะเทือนที่ละเอียดกว่าโลกเสมือนจริงในยุคเก่ามิติที่ 3 หากคลื่นความถี่มิติกายของเราตํ่าเกินไปก็จะไม่สามารถดำรงกาย ดำรงชีวิตของเราอยู่ในโลกแห่งใหม่นี้ได้ 

จึงจำเป็นที่เบื้องบนต้องคัดเลือกสรรค์มิติกายเนื้อของแต่ละคนโดยผ่านคลื่นรังสี
Proton ที่กำลังหลั่งไหลลงมาสู่โลกอย่างมากมายในช่วงเวลานี้ สำหรับผู้ที่เหมาะสมจริงๆ แล้วเท่านั้นจึงมีสิทธิ์ที่จะเข้าสู่โลกยุคพลังงานใหม่

จะต้องมีคลื่นมิติกายแห่งคุณความดีเกิน 50% แล้วเท่านั้น ฉะนั้น การฝึกปฎิบัติ
เจริญสติสู่มหาสติปัฎฐาน 4 จึงเป็นเส้นทางหลักเส้นทางเดียวที่จะเข้าสู่ "นิพพาน"
ในโลกยุคการเปลี่ยนผ่านจากมิติหนึ่งไปสู่อีกมิติหนึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ยากอย่างที่คนส่วนใหญ่คิดเพราะคลื่นลำแสงที่จักรวาลส่งลงมาจะหนุนช่วยทุกๆ คนให้ประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีตที่ผ่านมา

พ่อจึงอยากให้ลูกๆ ของพ่อลองฝึกปฎิบัติดูนะ..

พระพุทธองค์ตรัสรู้ รับรู้ความจริงของโลกและจักรวาลทั้งหมด ทั้งภายนอกและภายในตัวมนุษย์ แต่พระพุทธองค์ทรงเลือกที่จะตัดทิ้งสาระความรู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภายในตัวมนุษย์ออกไป ซึ่งสาระของธรรมชาติภายนอกตัวมนุษย์เล็กสุดขนาด
อะตอม อิเลคตรอน ควอนตัม จนใหญ่สุดอย่างดาราจักร จักรวาล 

พระพุทธองค์ก็ทรงรับรู้ผ่านสัพพัญญุตญาณ หรือแม้แต่รูปธรรมทางกายอย่างเซลล์ เม็ดโลหิต ระบบประสาท พระพุทธองค์ก็ทรงอธิบายได้อย่างถูกต้อง แต่ก็เลือกที่จะตัดออกไปจากคำสอน แล้วมาเน้นที่นามธรรมภายในของตัวมนุษย์โดย
เฉพาะอย่างจิตและวิญญาณ ซึ่งจะเป็นทางแห่งการพ้นทุกข์อย่างแท้จริงนั่นเอง

สติปัฎฐาน 4 เป็นเทคนิคหรือวิถีทางของการเจริญสติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งถือเป็นการค้นพบขั้นสุดยอดทางพุทธศาสนา พระพุทธองค์ตรัสว่า สติปัฎฐานนี้เป็นหนทางสายเอก เพื่อความบริสุทธิ์ เพื่อล่วงความโศก เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อธรรมที่ถูกต้อง เพื่อบรรลุเข้าสู่มรรคผล นิพพาน สติปัฎฐาน 4 ก็คือการนำสติไปวางไว้ที่ฐานทั้ง 4 ประกอบไปด้วย ดังนี้

1 กายานุปัสสนา กำหนดสติไปเกาะไว้ที่กาย กำหนดรู้กายตามสภาวะเป็นจริง เช่น
กำหนดรู้ลมหายใจ เข้า - ออก ยุบหนอ พองหนอ กำหนดรู้ความเคลื่อนไหวของกายทุกขณะ ยืน เดิน นั่ง นอน และแม้ก่อนที่กายจะเคลื่อนไหวก็ระลึกถึงเสียก่อนว่ากำลังเคลื่อนไหว เทคนิคหนึ่งที่ช่วยในการฝึกสติไว้ที่กายได้เป็นอย่างมากก็คือ การเดินจงกรม

2 เวทนานุปัสสนา เอาสติไปเกาะไว้ที่ความรู้สึก พิจารณาสุข ทุกข์ เวทนา มีสติรู้
เท่าทันตัวที่กำลังเสวยอารมณ์ เช่น เสวยสุขก็รู้ว่าสุข เสวยทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ รู้เท่าทันความรู้สึกทุกชนิด เช่น ชอบ เกลียด ดีใจ เสียใจ เฉยๆ เมื่อนำสติไปจับความรู้สึกได้ ก็จะพบว่าความรู้สึกนั้นไม่จีรัง มันเกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวแล้วมันก็จะดับไป

3 จิตตานุปัสสนา คือการกำหนดสติพิจารณาจิต มีสติพิจารณาความเป็นไปของจิต
ว่า ขณะนี้จิตของเรามีราคะ โทสะ โมหะ หรือมีความฟุ้งซ่าน มีความนึกคิดต่างๆ ในทางดีและไม่ดีอย่างไร ให้กำหนดรู้อย่างนี้ แล้วมีสติตั้งมั่นไม่เอนเอียงไปตามอารมณ์ของจิต ลูกก็ย่อมรู้เท่าทันว่าจิตก็เป็นเพียงสักแต่ว่าจิตเท่านั้น มันเกิดขึ้น
แล้วก็ดับไป แต่การเกิดดับของจิตจะไวกว่าเวทนา ต้องใช้กำลังสมาธิที่สูงกว่าจึงจะเข้าใจได้

4 ธรรมานุปัสสนา คือการใช้สติพิจารณาธรรม การมีสติกำหนดพิจารณาธรรม ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการเกิด - ดับ เข้าใจในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วรู้แจ้งในอริยสัจ 4
พ่อจึงอยากให้ลูกของพ่อปฎิบัติดูนะ หากมีปัญหาปรึกษาพ่อได้ แล้วพ่อจะนำองค์ความรู้ของ ขันธ์ 5 มาประกอบในบทความต่อไป มันเกี่ยวเนื่องกันนะ ต้องมีความรู้ให้ถ่องแท้จึงจะเกิดประโยชน์แก่ตัวเรานะ...

ที่มา
Teucer Rom...

แสงสว่าง มองการไกล...

27 สิงหาคม 2564

คาถาแก้โรคผิวหนังทุกชนิด คาถาชั้นสูงของหลวงปู่ศุข

คาถาแก้โรคผิวหนังทุกชนิด คาถาชั้นสูงของหลวงปู่ศุข
ตั้งนะโม ๓ จบ

    อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ สะ ทะ วิ ปิ ปะ สะ อุ 

 มะ อะ อุ อา ปา มะ จุ ปะ ทิ มะ สัง อัง ขุ นะโมพุทธายะ ฯ

    คาถานี้ใช้เสกเป่าแก้โรคลมเพลมพัด โรคลมเพลมพัดคือโรคคุณไสย์ที่เขาปล่อยมาทางอากาศแล้วเข้าไปในตัวเราทำให้เราเร่าร้อนกระวนกระวายใจอยู่ไม่เป็นสุข เสกคาถานี้ ๗ จบเป่าลงในน้ำให้คนป่วยกิน ถ้าจะให้หายเร็วให้เอาเบี้ยแก้แซ่ลงไปในน้ำก่อนแล้ว จึงเสกคาถานี้ ๗ จบ เป่าลงไปในน้ำทำน้ำมนต์ให้คนป่วยกินและเอาน้ำมนต์ที่เหลือตบหัวคนป่วย ๓ ที ตบครั้งแรกว่า "พุทโธ หายโรค" ตบครั้งที่สองว่า "ธัมโม หายโรค" ตบครั้งที่สามว่า "สังโฆ หายโรค"

    ถ้าเป็นโรคผดผื่นคัน และพิษที่เกิดขึ้นตามผิวหนังต่างๆ ให้ใช้ตัวยาเหล่านี้ประกอบ

    ๑.ว่านไพร ๗ แว่น

    ๒.ขิง ๗ แว่น

    ๓.พลูแก่ ๗ ใบ

    ตำผสมกันให้ละเอียด แล้วเสกด้วยคาถานี้ ๗ จบ เป่าลงไปในเครื่องยาแล้วจึงเอายานี้ถูทาไปมาตามร่างกายตรงที่เป็นโรคให้ทำยานี้ทาวันละ ๓ ครั้ง คือเช้า เที่ยง เย็น ไม่กี่วันโรคผิวหนังก็จะหายไป🌸🌸🌸

ธนูมือพระพุทธเจ้า

....ธนูมือพระพุทธเจ้า 
...อะสิสะติ ธนูเจวะ สัพเพเต อาวุธานิจะ ภัคคะภัคคาวิจุณณานิ โลมังมาเมนะ ผุสสันติ..........
เป็นวิชาเดียวกันกับที่ หลวงพ่อพิธ วัดฆะมัง ใช้ลงตะกรุดโทนของท่านจนเลื่องลือนั่นเอง พุทธคุณ จะเป็นด้าน คุ้มครอง ป้องกัน เด่นทางด้านบู๊ เพราะพระยันต์และคาถา ว่า ถึงศาสตราวุธ ของ พระพุทธเจ้า ที่ใช้ สยบ หมู่มารและความชั่วร้าย นั้นก็คือ "ธรรมมะ" นั้นเอง จะชนะทุกสิ่งด้วย ธรรมชาติ และความดี ที่คงอยู่ถาวร ในจิตของบุคคลที่มีธรรม ท่านว่า ตะกรุดชนิดนี้ หากอยู่กับผู้ที่ ปฏิบัติธรรม มีใจเมตตา และขลังและศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะ เหล่าเทพเทวดา จะคอยเป็นแรงช่วยเมื่อได้พบ หรือ สัมผัสกับ พระยันต์นี้ เพื่อช่วยเหลือ คนดี สร้างบารมีให้กับ เทพและเทวดาเหล่านั้นต่อไป สรุปง่าย ๆ ก็คือ ตะกรุดนี้ หากตกอยู่ในมือของคนดี คิดดี จะยิ่งขลังยิ่งดี และ จะปกป้องบุคคลผู้นั้น แบบชนิดที่ว่า ยากนักที่สิ่งชั่วร้าย ภูติผีปีศาจ ไสยดำต่าง ๆ จะเข้ามาทำร้ายได้ เพราะ ไม่มีสิ่งใดในธรรมชาติ ที่เราอาศัยอยู่ จะเหนือไปกว่า ธรรมมะ คำสั่งสอน ของ พระพุทธเจ้า ศาสดาเอกของโลก แห่งศาสนาพุทธของเรานั่นเอง ...ตะกรุดนี้ยังได้แฝงความนัย ซ่อนคติธรรมอะไร อีกหลาย ๆ อย่างเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นคำสอน หรือ การประพฤติตนด้วยนะครับ บางท่านว่า เสมือมตะกรุดคู่ชีวิต ก็เพราะ ความเป็นตะกรุดที่ว่า ด้วยความดี ว่าด้วยธรรมะของ พระพุทธเจ้า ดังนั้นความดี ควรมีอยู่คู่ชีวิตของเราทุกคน เมื่อเรามีความดี ทำความดีแล้ว สิ่งดี ๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะเข้ามาหาเราเช่นกัน✅

ที่มา 
ครูพักลักจำ

นิมิตภัยพิบัติ

*** แล้วแต่ มุมมอง

23 ส.ค.64

เมื่อได้นั่งคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับคนรู้จักกลุ่มหนึ่ง ถึงเรื่องราว นิมิตภัยพิบัติทางน้ำ ที่จะมาเยือนโลก และ ประเทศไทย เราไม่ได้พูดถึงภัยพิบัติทางน้ำที่จะเกิด ปลายปีนี้..ซึ่งยังไม่ใช่ความน่ากลัวจริง เป็นเพียงหนังตัวอย่าง แต่ได้พูดถึงภัยพิบัติทางน้ำแบบพลิกโลก ภายใน๓ ปีข้างหน้า ( ต้นปี พศ.....จะไม่ขอกล่าว ) จึงจะเป็นของน่ากลัว ที่รุนแรงแท้จริง ที่ทำลายชีวิต ทรัพย์สิน มโหฬาร

 นิมิตภัยพิบัตินี้ มีพระเกจิ หลายท่านได้บอกไว้ หลายๆปี แล้วเมื่อถึงเวลา พ.ศ.นั้น แล้วมันไม่ได้เกิดขึ้นจริง ..ทุกคนจึงมองว่าเป็นนิทาน เป็นเรื่องเล่า ที่ไม่เกิดขึ้นจริงหรอก 

ในปัจจุบันนี้ กับผู้มีทิพยจักขุญาน เยี่ยมยอด ได้ยิน และได้เห็น กับคำพูดจากฟากฟ้า ว่า

 “เลื่อนไปมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้คงจะเลื่อนไม่ได้อีกแล้ว” 

ทั้งภาพแสงไฟระเบิดใต้ดิน ตรงภูเขาหิมะขั้วโลก หิมะใด้พวยพุ่งเป็นน้ำพุสูงลิ่วกลางอากาศดุจธารน้ำตก หลายสายธาร แล้วไหลลงสู่มหาสมุทร. จึงมีมวลน้ำมหาศาล ไหลบ่าไปทั่วโลก พื้นที่ไหนที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่มาก ย่อมต้องรองรับ มวลน้ำเหล่านั้น..รวมทั้ง พท.ของไทยหลายๆส่วน หลายๆ พท..ต้องกลายเป็นแหล่งน้ำแหล่งใหม่ และอยู่แบบนั้น เกิน ๒ ปี..

กับภาพนิมิต ผู้คนลอยไปตามน้ำ ทั้งนอนตายแบบหลับตา ทั้งตายแบบลืมตา ด้วยความตกใจ มากมายก่ายกอง..ดุจแผ่นกระดาษที่ล่องลอยตามสายน้ำ

เราคุยกันว่า ถ้าภาพนิมิตนั้น เกิดเป็นจริงขึ้นมาล่ะ และเราก็พอรู้ว่า..พท.ส่วนไหน จังหวัดใด..ที่ต้องรับมวลน้ำมหาศาลนั้น แม้ในจังหวัดเดียวกัน ก็ใช่ว่า..จะเป็นเหมือนกันทุก พท. ถ้าพท.ส่วนไหน อำเภอใด ที่อยู่ไกลจาก ทะเล และอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมาก ก็ย่อมจะรอดจากภัยครั้งนี้..และบาง พท..ที่รอดจากน้ำ แต่ก็เหมือนกับติดเกาะ...จะอยู่อย่างลำบากหลายปี...แต่บาง พท..ก็ปลอดภัย และอยู่ได้ โดยไม่ลำบากนัก....

ถ้าเป็นผู้อ่าน..จะเตรียมตัวอย่างไร?...

กลุ่มคนที่ข้าพเจ้ารู้จัก เขาเตรียมตัวอย่างเงียบๆ..พอใกล้ถึงวันนั้น เขาก็พร้อมจะเดินทาง ไปในที่ปลอดภัย ล่วงหน้า พร้อม เงิน ทอง ของใช้ดำรงชีพ อาหารแห้ง ยารักษาโรค เพราะในสภาวะนั้น ระบบการเงิน การสื่อสาร มันล่มหมด..การซื้อชาย ในช่วงนั้น จึงมีทองและเงินสดในมือ จึงจะใช้งานได้

เขาปารถนาดีต่อข้าพเจ้า ชักชวน ให้ไปอยู่ร่วมกัน ใน พท.ที่ปลอดภัย ในจังหวัด...........ข้าพเจ้าขอบใจ ในจิตเอื้ออาทรนั้น ทุกคนถ้ามีโอกาสเลือก ย่อมเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดให้ตนเอง การไม่ประมาท ย่อมเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้ามีความคิดหนึ่ง จึงได้พูดออกไป..ว่า

“ ทุกอย่าง กรรมเขากำหนดไว้หมดแล้ว..ถ้าเราจะจมหายในสายน้ำ จะเป็นไรไป..บางครั้งหากเราหนีรอดจากภัยใหญ่ครั้งนี้ อยู่ในพท.สูง.เราอาจถูกดินถล่มทับตายก็ได้ หรือ เป็นโรคไข้ป่า โรคตายฉับพลันก็ได้...เราไม่รู้หรอก ถ้าขณะเราหนีน้ำ แล้วมีคน มีเด็กกำลังจมน้ำต่อหน้า เราจะช่วยเด็ก หรือ จะหนีน้ำ สำหรับข้าพเจ้า ขอช่วยเด็ก”

คนในกลุ่ม ได้บอกว่า “ ถ้าการช่วยเด็ก แล้วเราต้องตายด้วย มันจะคุ้มไม๊ เพราะถ้าเรารอด เรายังมีโอกาสสร้างความดีได้อีก ถ้าเราตาย ก็หมดโอกาส”

ข้าพเจ้าพูดต่อว่า
 
“ การที่เราตั้งใจหนีตายจากภัยทางน้ำมากไป แสดงว่า เรามีความห่วงในชีวิต ห่วงในกายมาก เท่ากับเรามี “สักกายทิฏฐิ” สังโยชน์ข้อที่๑ มีอุปทานยึดมั่นในกายอยู่มาก การกลัวทุกชนิด ล้วนคือ การติดในสักกาทิฏฐิ”ทั้งนั้น

ข้าพเจ้ายังพูดทีเล่นทีจริงว่า

“ถ้าเราจะนอนตายในสายน้ำ เพราะการช่วยเด็กตกน้ำ นั่นเป็นกรรมดี เป็นเมตตาบารมี ก็เป็นการตายที่จิตติดบุญ จะเป็นไรไป เพียงใช้เวลา ๔ นาที ข้าพเจ้าก็ขึ้นสู่ภพภูมิใหม่แล้ว ถ้าเรารอด ในอนาคต ไม่แน่ เราอาจเป็นคนนึงที่มีอายุยืน แต่เป็นผู้ป่วยติดเตียง นอนทรมานอีกหลายปีก็ได้”

**ท้ายแล้ว..การเลือกเส้นทางชีวิต ก็อยู่ที่มุมมอง ประสบการณ์ และ เจตนาแห่งใจ ที่ทุกคนมีอิสระจะคิด ทำ ที่แตกต่างกันได้..ท้ายสุด เราต้องกำหนดเส้นทางด้วยตัวเราเอง...

ที่มา มโนธาตุ โพธิญาณ



ศาสนาแห่งอนาคตและจะเป็นศาสนาแห่งจักรวาล จะต้องเป็นศาสนาซึ่งตั้งอยู่บน
ประสบการณ์ที่ฝึกฝนได้จริง ซึ่งปฎิเสธความเชื่อที่ไร้สาระ หากมีศาสนาหนึ่งศาสนาใดที่พอจะรับมือกับคลื่นความตระหนักรู้ในมิติพลังงานใหม่ได้ละก็ศาสนานั้นก็คือ "พุทธศาสนา"

กาลามสูตร สอนให้พุทธบริษัทใช้หลักในการพิจารณาความเชื่อ 10 ประการ..

1 อย่าปลงใจเชื่อว่า ด้วยการได้ยินได้ฟังตามๆ กันมา

2 อย่าเพิ่งเชื่อถือ ด้วยการถือตามถ้อยคำสืบๆ ต่อกันมา

3 อย่าปลงใจเชื่อถือ ด้วยการแตกตื่นกับข่าวลือที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ

4 อย่าเพิ่งเชื่อถือ ด้วยการอวดอ้างตำราว่ามีมาแต่เก่าก่อน

5 อย่าปลงใจเชื่อถือ ด้วยการคาดคะเนเอาเอง

6 อย่าเพิ่งเชื่อถือ ด้วยการใช้หลักตรรกะ และ เหตุผล

7 อย่าปลงใจเชื่อถือ ด้วยการคิดตรองอากัปกิริยาอาการที่ปรากฎแล้วเพ่งโทษตามที่เห็น

8 แล้วก็อย่าเชื่อถือ เพราะเข้ากับความคิดเห็นของตนเอง

9 อย่าปลงใจเชื่อถือ เพราะผู้พูดมีลักษณะน่าเชื่อถือ 

10 อย่าเพิ่งเชื่อถือ เพราะเห็นว่าสมณะองค์นี้เป็นครูบาอาจารย์ของเรา

เพราะศาสนาพุทธไม่ต้องการให้มีความเชื่อใดๆ โดยไม่ใช้ปัญญา เป็นศาสนาแห่ง
ภาคปฎิบัติให้เห็นความจริงด้วยตัวเอง 

ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งปัญญาดังนั้นการที่พระพุทธองค์จะทรงตอบตามความเป็นจริงว่าตายแล้วเกิด แล้วให้เชื่อไปตามนั้น ไม่ใช่ลักษณะของชาวพุทธ

ความเชื่อโดยไม่มีปัญญา ยิ่งเป็นกรงดักขังวิญญาณให้หมกมุ่นวนเวียนอยู่แต่เรื่องไร้แก่นสารนั้นโดยไม่เกิดปัญญาขึ้นมาเลย แต่ให้ปฎิบัติสมาธิเพื่อให้ได้
มรรคผล นิพพาน โดยไม่ให้เชื่อทุกอย่างตามที่ปรากฎตามหลักกาลามสูตร มันก็จะครอบคลุม ความเป็นมิจฉาทิษฐิได้แล้ว..

ที่มา
Teucer Rom...

แสงสว่าง มองการไกล...

กาลามสูตร คือวิธีปฎิบัติต่อสิ่งที่ตนเองสงสัย หรือ หลักความเชื่อ 10 ประการ.?..

ศาสนาแห่งอนาคตและจะเป็นศาสนาแห่งจักรวาล จะต้องเป็นศาสนาซึ่งตั้งอยู่บน
ประสบการณ์ที่ฝึกฝนได้จริง ซึ่งปฎิเสธความเชื่อที่ไร้สาระ หากมีศาสนาหนึ่งศาสนาใดที่พอจะรับมือกับคลื่นความตระหนักรู้ในมิติพลังงานใหม่ได้ละก็ศาสนานั้นก็คือ "พุทธศาสนา"

กาลามสูตร สอนให้พุทธบริษัทใช้หลักในการพิจารณาความเชื่อ 10 ประการ..

1 อย่าปลงใจเชื่อว่า ด้วยการได้ยินได้ฟังตามๆ กันมา

2 อย่าเพิ่งเชื่อถือ ด้วยการถือตามถ้อยคำสืบๆ ต่อกันมา

3 อย่าปลงใจเชื่อถือ ด้วยการแตกตื่นกับข่าวลือที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ

4 อย่าเพิ่งเชื่อถือ ด้วยการอวดอ้างตำราว่ามีมาแต่เก่าก่อน

5 อย่าปลงใจเชื่อถือ ด้วยการคาดคะเนเอาเอง

6 อย่าเพิ่งเชื่อถือ ด้วยการใช้หลักตรรกะ และ เหตุผล

7 อย่าปลงใจเชื่อถือ ด้วยการคิดตรองอากัปกิริยาอาการที่ปรากฎแล้วเพ่งโทษตามที่เห็น

8 แล้วก็อย่าเชื่อถือ เพราะเข้ากับความคิดเห็นของตนเอง

9 อย่าปลงใจเชื่อถือ เพราะผู้พูดมีลักษณะน่าเชื่อถือ 

10 อย่าเพิ่งเชื่อถือ เพราะเห็นว่าสมณะองค์นี้เป็นครูบาอาจารย์ของเรา

เพราะศาสนาพุทธไม่ต้องการให้มีความเชื่อใดๆ โดยไม่ใช้ปัญญา เป็นศาสนาแห่ง
ภาคปฎิบัติให้เห็นความจริงด้วยตัวเอง 

ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งปัญญาดังนั้นการที่พระพุทธองค์จะทรงตอบตามความเป็นจริงว่าตายแล้วเกิด แล้วให้เชื่อไปตามนั้น ไม่ใช่ลักษณะของชาวพุทธ

ความเชื่อโดยไม่มีปัญญา ยิ่งเป็นกรงดักขังวิญญาณให้หมกมุ่นวนเวียนอยู่แต่เรื่องไร้แก่นสารนั้นโดยไม่เกิดปัญญาขึ้นมาเลย แต่ให้ปฎิบัติสมาธิเพื่อให้ได้
มรรคผล นิพพาน โดยไม่ให้เชื่อทุกอย่างตามที่ปรากฎตามหลักกาลามสูตร มันก็จะครอบคลุม ความเป็นมิจฉาทิษฐิได้แล้ว..

ที่มา
Teucer Rom...

แสงสว่าง มองการไกล...

25 สิงหาคม 2564

สวดมนต์ จนเข้ากระดูกดำ

 กระดูก เป็นส่วนที่ลึกจากเนื้อหนัง เป็นส่วนที่แข็งที่สุดของร่างกาย สมัยเมื่อ ๑๐๐ กว่าปี เกิดโรคระบาดร้ายแรง คือ ไข้ทรพิษ(โรคฝีดาษ) ทำให้ กระดูกจะเป็นจุดดำๆ จึงเรียกว่า “ เข้ากระดูกดำ “ คือ ติดแน่นจนถอนไม่ขึ้น  

ต่อๆมา จึงนำมาใช้ ในด้านความรูสึก การกระทำ ที่ส่งผลต่อเจ้าของมาก ทำให้ไม่ลืม เช่น “เกลียดเข้ากระดูกดำ” คือ เกลียดจนไม่เผาผีกันเลย  

หรือ พวกไสยศาสตร์ ทำของ เอาสิ่งไม่ดี ทั้ง น้ำมันพราย ยาสั่งเข้าไปในร่างกายคนอื่น อย่างรุนแรง และ ยาวนาน เรียกว่า “ของเข้ากระดูกแล้ว” เข้าไปฝังในกระดูก รักษายาก โอกาสตายสูง

และถ้าเรา จะทำความดี จนเข้ากระดูกดำล่ะ ถ้าเราเจริญสมาธิภาวนา ทั้งลืมตาและหลับตา ทั้ง ยืน นอน นั่ง เดิน วิ่ง ทั้งสวดมนต์ ภาวนา ทั้ง พิจารณา การเกิด ดับ จนจิตมันชินจนเป็น” ฌาน” ยิ่งเป็นการสะสมบารมีสูงสุด เพราะการทำบุญด้วยการภาวนาได้กุศลผลบุญสูงสุด

 ถ้าเราจะ “สวดมนต์จนเข้ากระดูก” ล่ะ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีงามมากๆ..เพราะเข้ากระดูก แปลว่า “ติดแน่น ถอนไม่ขึ้น” แปลว่า พลังงานแห่งแสงสี บารมี แห่งพุทธะ ฝังลึกจนถึงแก่นกระดูก พลังงานเหล่านั้น ย่อมหนาแน่น จึงป้องกันภัยได้

 การสวดมนต์ เป็นการเร่งรัดบารมี เป็นการเจริญมรรค ทำให้จิตใจเป็นสมาธิ เป็นการบูชาพระคุณพระรัตนตรัย เป็นการรักษาศีลในตัว ปากสวด ใจคิดตาม จนจิตสงบ เกิดความอิ่มเอมปีติทางใจ  

  บทสวดมนต์ แต่ละบท จะมีพลังแตกต่างกัน ตามความหมายของอักขระ ถ้าเราสวดมนต์บทใดบทหนึ่ง จนชำนาญ สม่ำเสมอ จนเป็นอัตโนมัติ( คือ อยู่เฉยๆ จิตมันท่องคาถาบทนั้นออกมาเอง) เรียกว่า “บทสวดมนต์บทนี้ มันเข้าไปในกระดูก”แล้ว อย่างบทอิติปิโส๓ห้อง กระแสพลังงานเป็นแสงสีขาวใส พลังงานแห่งพระรัตนตรัย พลังแห่งความเยือกเย็น ทำให้ผู้สวดรับอานิสงส์ ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุข นอนหลับฝันดี มีคนเมตตา 

หรือบทสวดจักรพรรดิ บทคาถาเงินล้าน เกิดพลังแสงสีทอง เจิดจ้า จากกลางกลายแผ่ขยายไปรอบ พลังสีทองเป็นพลังแห่งจักรวาล ย่อมดึงดูด ความมั่งคั่ง แก้วแหวนเงินทองสิ่งที่ดี เข้ามา 

หรือบทยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก จะก่อเกิดพลังของอักขระบาลี วิ่งวนอยู่ทั่วร่าง เหมือนกายเราเป็นที่บรรจุพระธรรม ทั้ง ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ย่อมดึงกระแสปัญญาเข้ามา พร้อมพายุแห่งมนต์ ป้องกันอันตรายได้ยอดเยี่ยม 
หรือคาถาชินบัญชร ย่อมก่อเกิดกำแพงมนต์หลายชั้น คุ้มกัน ปกปักสิ่งไม่ดีทั้งหลายไม่ให้มากร้ำกรายได้ และเป็นพลังแห่งการปรายมาร ปราบสิ่งไม่ดีได้เด็ดขาดยิ่ง ด้วยมีพลังแห่งเตโชกสิณสูง

หรือ บทแผ่เมตตาต่างๆ ที่อุทิศบุญให้ดวงวิญญาณทั้งหลาย ก่อเกิดพลังแสงสีขาว แสงสีรุ้ง พุ่งไปรอบทิศทาง กระจายไปทั่วจักรวาล ทั้ง ๓ ภพภูมิ..ย่อมก่อเกิด พลังงานแห่งกุศล จนปรับภพภูมิได้.

นอกจากบทสวดหลักนี้ก็ยังมีบทสวดมหามงคลอีกมากมายเช่น บทถวายพรพระ พาหุง มหากาฯ บทคาถา ฯลฯ

 **ดังนั้น ถ้าเราจะเกลียด โกรธ ใครสักคน จนเข้ากระดูกดำ ให้เปลี่ยนพลังงานนั้น แปลงมาเป็น การสวดมนต์จนเข้ากระดูกดำ แล้ว บารมีเราจะก่อเกิด เติบโต จนมีพลังตัดกิเลสสังโยชน์๑๐ ได้..จึงจะเป็นการสมควรยิ่ง

24 สิงหาคม 2564

ชีวิตมีความตายเป็นที่สุด

#อัยยิกาสูตร...ชีวิตมีความตายเป็นที่สุด
สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงต้องตาย มีความตายเป็นธรรมดา​ ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ เพราะชีวิตมีความตายเป็นที่สุด

สัตว์ทั้งหลายจักไปตามกรรม 
เข้าถึงผลแห่งบุญและบาป คือ

- ผู้มีกรรมเป็นบาป จักไปสู่นรก
- ผู้มีกรรมเป็นบุญ จักไปสู่สุคติ ฯ

เพราะฉะนั้น พึงทำกรรมงามอันจะนำไปสู่สัมปรายภพ​ สั่งสมไว้ บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก

------------------------

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง 
เล่มที่ ๑๕ ข้อที่ ๓๙๙-๔๐๑ 
หน้า ๑๑๙-๑๒๐ Cr.fb.ค้นพบความจริงฯ

คำจารึกในแผ่นทอง ใต้แท่นพระประธานในพระอุโบสถ วัดท่าซุง

แผ่นจารึกใต้พระประธานในพระอุโบสถ
เราพระมหาวีระ มีพระราชานามว่า ภูมิพล เป็น
ผู้อุปถัมภ์ ร่วมด้วยพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่
สร้างวัดนี้เป็นพุทธบูชา เมื่อศักราชล่วงไป
แล้ว ๒๗๐๐ ปีปลาย จะมีพระเจ้าธรรมิกราช
นามว่า ศิริธรรมราชา สืบเชื้อสายมาจาก
เชียงแสนและสุโขทัย ร่วมกับพระอรหันต์
จะมาบูรณะวัดนี้ สืบพระศาสนาต่อไป
คณะของเราขอโมทนา แต่อยู่ช่วยไม่ได้
เพราะไปพระนิพพานหมดแล้ว
โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
คำจารึกในแผ่นทอง ใต้แท่นพระประธาน
ในพระอุโบสถ วัดท่าซุง
สร้าง พ.ศ. ๒๕๑๗ แล้วเสร็จ พ.ศ. ๒๕๑๙

23 สิงหาคม 2564

#พระอรหันต์ผ้าขี้ริ้ว (ตอนที่๒)


🔸️ที่พวกเรานำมาประพฤติปฏิบัติ อย่านึกว่าเป็นความดีของเรานะขอรับ ถ้านึกว่าเป็นความดีของเราเมื่อไร ท่านไปอยู่กับ #พระเทวทัต เมื่อนั้น  ที่เรามีที่กิน มีที่อาศัย มีผ้าใช้ มียารักษาโรค มีอาหารกิน มีเวลาประพฤติปฏิบัติ ได้ฟังสดับความดีขององค์สมเด็จพระชินศรีทรงสั่งสอน ก็เพราะว่าเป็นบุญบารมีของพระพุทธเจ้า  ที่เรากำลังนั่งกิน นอนกินอยู่เวลานี้ ถ้าใครทำตนเป็นคนน่าบัดสี อกตัญญู ไม่รู้คุณขององค์สมเด็จพระมหามุนี  นั่นเลวเต็มที 

🔸️ท่านกล่าวว่า  เมื่อเขาได้อาหารอยู่มาก มีลาภสักการะเกิดขึ้นแล้ว เพราะอาศัยความดีของพระพุทธเจ้า ต่อมาเมื่อไม่สามารถที่จะบรรเทาได้ ไอ้ความกระสันมันเกิดขึ้น ความกระสัน ความคึกมันเกิดขึ้น เพราะอาหารดี ลาภดี พอไม่สามารถจะทนความกระสันได้ ไม่สามารถจะบรรเทาได้ จึงตกลงใจว่า...บัดนี้เราจักไม่นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ต่อไป แน่ะ! เพราะอะไร เพราะผ้ากาสาวพัสตร์นี่ได้มาจากศรัทธาของบุคคลอื่น เราจะไปล่ะ จะสึกดีกว่า เห็นไหม มันไม่แน่นักนี่ อยู่ดีกินดีเข้าจิตคิดจะกำเริบ ทะนงตนว่าเป็นผู้วิเศษ หลงระเริงตนนะพระองค์นี้นะ ตอนต้นนะ อย่าไปด่าท่านนะ ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่พวกเราก็จงจำไว้ ไอ้อยู่ดีกินดี อย่านึกว่าเป็นผู้วิเศษ 

“อัตตนา โจทยัตตานัง”
เตือนตนด้วยตนเอง 

🔸️ฟังเรื่องราวท่านต่อไป ท่านบอกว่าคิดอย่างนี้  แล้วก็ไปที่โคนต้นไม้ ไปดูผ้าผืนนั้นที่มันขาดรุ่งริ่งๆ เก่าแสนเก่า ดูผ้าสบงจีวรที่นุ่งน่ะมันเก๋กว่าตั้งเยอะ
จึงให้โอวาทแก่ตนเองว่า... 

“เจ้าผู้ไม่มี หิริ คือความละอาย เจ้าหมดความละอายเสียแล้วหรือ เจ้าอยากจะนุ่งผ้าขี้ริ้วผืนนี้หรือ สึกไปทำการช่างเลี้ยงชีพอย่างนั้นหรือ เจ้าลืมความชั่วที่ตัวสะสมมาแล้ว ทำไมเจ้าจึงทำอย่างนี้?” 

🔸️เมื่อท่านให้โอวาทแก่ตนเองอยู่อย่างนี้นั่นแหละ จึงคิดถึงความเป็นธรรมชาติเบา ในบาลีบอกคิดถึงความเป็นธรรมชาติเบา ธรรมชาติเบาก็หมายถึงความกระสัน แล้วท่านก็กลับมา โดยกาลล่วงไป ๒-๓ วัน ก็กระสันขึ้นมาอีก กระสันหมายถึงอยากจะสึก มันมีแรงนี่ กินดีอยู่ดี จึงได้สอนตนเองเหมือนอย่างนั้น ตอนเย็นๆ ก็ย่องไปที่โคนต้นไม้ ดูผ้าขาดผืนนั้นก็สอนตนว่า 

“ไอ้เอ็งนี่จะมานุ่งผ้าขาดเป็นขี้ข้าเขาต่อไปอย่างนั้นหรือ?” 

🔸️สอนพอใจของท่านสบาย ท่านกลับใจของท่านได้อีก ก็เลิก! ไม่สึกแล้ว กลับมาใหม่ ในเวลากระสันขึ้นมาเมื่อไรท่านก็ไปที่นั่นเมื่อนั้น ให้โอวาทแก่ตัวเองทำนองนั้นเสมอ   แต่ความจริงก่อนที่ท่านจะให้โอวาท จะดูผ้า จะพิจารณาดูไอ้ผ้าผืนเก่าผืนนี้นี่ที่เราทรงชีพอยู่ อาศัยผ้าผืนนี้นุ่งทั้งปี ทั้งเดือน ทั้งวัน จะผลัดอาบนํ้ามันก็ไม่มี เวลานี้มาบวชในพระพุทธศาสนา มีศักดิ์ศรีดี ใครเขามาใครเขาไปก็ลามาก็ไหว้เคารพนบนอบ เมื่อสมัยที่ตนเป็นฆราวาส มีแต่คนเขาโขกเขาสับเพราะความจน นี่อาศัยความจนของตนเอง ทำให้เขาดูถูกดูแคลน เวลานี้เป็นคนใหญ่คนโตเป็นพระแล้ว ไม่ว่าใครเขามาเขาก็ไหว้กัน เขาเคารพนับถือ เอ็งจะทะนงตนไปทำไม ถ้าจะสึกไปก็กลายเป็นขี้ข้าชาวบ้านต่อไป เอ้า! อย่าสึกเลยไอ้หนู ว่าแล้วท่านก็กลับมา 

🔸️ท่านกล่าวว่าครั้งนั้นบรรดาภิกษุทั้งหลายเห็นท่านไปอยู่ที่นั่นเนืองๆ จึงได้ถามว่า 

“ท่านนังคลกูฏเถระ เหตุไรท่านจึงไปที่นั่นบ่อยๆ?” 

ท่านตอบว่า “ผมไปยังสำนักของอาจารย์ขอรับ” 

🔸️ท่านกล่าวดังนี้แล้ว ต่อมาอีก ๒-๓ วันเท่านั้น ท่านก็บรรลุอรหัตผล   เห็นไหมท่าน นี่เขาฟังอะไรกันนี่ แค่ไปดูผ้าเท่านั้นนะ ก็ได้บรรลุอรหัตผล  บรรดาภิกษุทั้งหลายเมื่อจะทำการล้อเล่นกับท่านจึงกล่าวว่า 

“ท่านนังคลกูฏเถระ ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ทางที่เที่ยวไปของท่านเป็นประหนึ่งหารอยมิได้ ชะรอยท่านจะยังไม่ได้ไปสำนักอาจารย์ท่านกระมัง” 

🔸️นี่พระล้อนะ ว่าทางที่เดินไปบ่อยๆ เวลานี้มันไม่มีรอยเดิน น่ากลัวจะลืมอาจารย์เสียแล้ว ฝ่ายพระเถระจึงกล่าวว่า 

“ใช่ขอรับ เมื่อกิเลสเครื่องเกี่ยวข้องยังมีอยู่ ผมได้ไปแล้ว แต่บัดนี้กิเลสเครื่องเกี่ยวข้องไม่มี ผมตัดเสียแล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ต้องไปหาอาจารย์” 

🔸️เอาล่ะซิ! อีตอนนี้ถ้าเป็นเวลานี้เป็นอย่างไร ก็โจษกันน่ะซิว่าพระองค์นี้อวด #อุตตริมนุสสธรรม ว่าเป็นพระอรหันต์ บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นฟังคำนั้นแล้วก็เข้าใจว่า ภิกษุองค์นี้พูดไม่จริง พยากรณ์ตนเป็นพระอรหันต์ดังนี้แล้ว จึงกราบทูลเนื้อความนั้นแก่องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว โดนฟ้อง  องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า.. 

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นังคลกูฏ บุตรของเราเตือนตนด้วยตนเองนั่นแหละ แล้วจึงถึงที่สุดแห่งกิจของบรรพชิต” 

ดังนี้แล้วเมื่อจะทรงแสดงพระธรรม ได้ทรงภาษิตนี้ว่า 

“เธอจงเตือนตนด้วยตนเอง พิจารณาดูตนของตนด้วยตน ภิกษุเธอนั้นมีสติปกครองตนได้แล้ว จักอยู่สบาย ตนแหละย่อมเป็นที่พึ่งของตน ตนนั่นแหละเป็นคติของตน เพราะฉะนั้นเธอจงสงวนตนให้เหมือนอย่างพ่อค้าม้าสงวนม้าตัวประเสริฐฉะนั้น” 

🔸️แหม..ฟังแล้วรู้สึกว่าหนักใจ ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสอย่างนี้แล้ว ก็ฟังเรื่องของพระอรหันต์คันไถ ซึ่งมีอาจารย์เป็นผ้าขี้ริ้ว ท่านทั้งหลายมีความรู้สึกเป็นอย่างไร   เป็นอันว่าพระองค์นี้เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเรา ว่าท่านเมื่อความเมาเกิดขึ้น ก็เตือนตนด้วยตนเอง ไม่เหมือนพวกเรานะ พวกเรานี่ฟังคำเตือนกันอยู่วันละ ๔ เวลา แล้วไอ้คำเตือนนี่มันซึมเข้าไปในใจบ้างหรือเปล่า หรือว่ามันผ่านหูแล้วก็หายไป นี่คำเตือนของท่านองค์นั้นเป็นอย่างไร ท่านไปเจอะผ้าขี้ริ้วก่อน 

🔸️พวกเราก็นึกดูว่าก่อนที่เราจะเข้ามาบวชหรือบรรพชาในพระพุทธศาสนา ศักดิ์ศรีอย่างนี้เคยมีแก่เราบ้างหรือเปล่า คนเสมอกันก็ดี คนแก่คนเฒ่าก็ดี เจอะหน้าเราเขาก็ยกมือไหว้ เมื่อสมัยเป็นฆราวาสมีอย่างนี้บ้างไหม เวลานี้เรามีอย่างนี้เป็นปกติ เมื่อสมัยฆราวาสเป็นอย่างนี้บ้างหรือเปล่า หาไม่ได้สินะที่เขาไหว้เราน่ะ เขาไหว้ด้วยอะไร  เขาไหว้เพราะเราทรงผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ 

🔸️แต่ว่าสำหรับเวลานี้เราบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นฆราวาสไม่มีใครเขาไหว้ ก็ต้องเตือนใจไว้เสมอว่า “อัตตนา โจทยัตตานัง” ว่านี่เราเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา  พระสงฆ์มีอะไรบ้างที่จะต้องปฏิบัติ 

(๑) อธิศีลสิกขา มีศีลบริสุทธิ์กว่าฆราวาส 

(๒) อธิจิตสิกขา มีฌานสมาบัติประจำใจ 

(๓) อธิปัญญาสิกขา มีปัญญารู้เท่าทันสภาวะความเป็นจริงของขันธ์ ๕ ว่า 

“รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา” 

🔸️ความจริงพูดไปก็เมื่อยปากนะ เรื่องอย่างนี้ฟังกันมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งแล้ว เรามีความรู้สึกว่าอย่างไร องค์นั้นท่านสอนตนเองด้วยผ้าขี้ริ้ว แต่ของเราเองมีเสียงสำหรับฟัง มีหนังสือสำหรับอ่าน รู้จักเตือนตัวเองบ้างหรือเปล่า หรือพอฟังคำเตือนแล้วก็นอนหลับ ก็ช่างมัน จะพูดอย่างไรก็ช่างมันปะไร ไอ้ดีหรือชั่วมันเป็นเรื่องของฉัน หลวงตาไม่เกี่ยว อย่างนี้มีบ้างไหม ดีไม่ดีก็หลวงตานี่แปลกนะ ทำดีก็ด่า ทำชั่วก็ว่า เอ๊ะ! แปลก นี่เคยได้ยินชาวบ้านเขามาเล่าให้ฟัง แต่เขาเล่าให้ฟัง ผมก็รับคำไว้ว่าใครไปพูดบ้างนะ ถ้าพูดจริง เออ..ก็ดีเหมือนกัน น่ายอมรับนับถือ ผมนี่ก็คงจะเลวเกินไป คนดีไปด่าเขาได้ ไปว่าเขาได้ แปลก! 

🔸️แต่ความจริงท่านอยู่ที่นี่ปีๆ หนึ่งท่านเคยฟังผมว่าใครบ้าง ปีหนึ่งผมว่ากี่ครั้ง นอกจากว่าเรื่องนั้นมันจะชนหน้าจริงๆ มันจะไม่ไหว จึงจะว่า เพราะถือว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องเตือนกัน ถ้าวาทะเช่นนั้นเกิดขึ้นจริงๆ นะ โปรดทราบว่าเตรียมตัวลงอเวจีมหานรกไว้ ไม่มีทางได้เกิดเป็นมนุษย์แน่ เพราะใจของท่านมันเลวเกินไป ลืมพุทธภาษิต ฟังธรรมะ ฟังวินัย ไม่มีใจเป็นนักธรรม นี่ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เคือง สงสาร 

🔸️พระพุทธภาษิตอีกบทหนึ่ง ตอนที่ท่านว่า   “จงเตือนตนด้วยตนเอง จงพิจารณาตนด้วยตนเอง ภิกษุเธอจงมีสติ จงปกครองตนเองได้แล้วจะอยู่สบาย”  สตินึกว่าอย่างไรล่ะ สติระลึกได้ ระลึกอยู่เสมอว่าศีลเราบริสุทธิ์ไหม ฌานสมาบัติเราครบถ้วนไหม “สังโยชน์ ๑๐ ประการ” ทำลายได้หมดแล้วหรือยัง ถ้าหากว่าสามารถปกครองตนเองได้ ก็หมายความว่าศีลบริสุทธิ์แน่ ศีลไม่บกพร่อง ฌานสมาบัติทรงตัว “สังโยชน์ ๑๐ ประการ” ทำลายได้หมด เราก็อยู่สบาย 

ท่านกล่าวต่อไปว่า   “ตนเองนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน” 

🔸️จริงข้อนี้ ไอ้เรื่องความดีความชั่ว นึกดีนึกชั่วนี่ ใครเขาช่วยไม่ได้หรอกนอกจากเราเอง ท่านกล่าวต่อไปว่า   “ตนนั่นแหละเป็นคติของตน”   คำว่า “คติ” แปลว่า ที่ไป จะไปไหนมันอยู่ที่ใจของตน คำว่าตนในที่นี้คือใจ   “เพราะฉะนั้นจงสงวนตนไว้เหมือนพ่อค้าสงวนม้าตัวประเสริฐ” 

🔸️คำว่า “สงวนตน” หมายความว่า สงวนใจไว้ให้อยู่ในขอบเขตของความดีคือ 

(๑) มีศีลบริสุทธิ์ 

(๒) มีสมาธิตั้งมั่น ทรงฌานสมาบัติ 

(๓) มีวิปัสสนาญาณ สามารถตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานก็คือทำลาย “สังโยชน์ ๑๐ ประการ” ให้พินาศไปจากจิต 

🔸️อย่างนี้ชื่อว่าท่านทั้งหลายเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระธรรมสามิสร เป็นลูกของพระพุทธเจ้าแน่
เป็นอันว่า ผลอันใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวไว้ หรือเวลาที่ผมกล่าวไว้บ่อยๆ ว่า  “นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตังกาสาวัง คเหตวา”  ตอนนี้ก็ต้องเตือนไว้ว่า เรารับผ้ากาสาวพัสตร์มานี่เพื่อหวังจะทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน 

🔸️เอาละ สำหรับวันนี้ การแนะนำก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อจากนี้ไปขอบรรดาท่านทั้งหลายพยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น ตั้งใจไว้ในอิริยาบถ ๔ แล้วก็จงทรงความดีด้วยพุทธภาษิต 

“อัตตนา โจทยัตตานัง”

ที่มา
🙏โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน  วัดท่าซุง
✏คำสอนสายกลาง เรื่องพระอรหันต์ผ้าขี้ริ้ว
(วันศุกร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑)

หลวงปู่ทวดเป็นพระนิรันตราย

#หลวงปู่ทวด 
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ทวดเป็นพระนิรันตราย บารมีของพระโพธิสัตว์จะคุ้มครองคนที่ระลึกถึงท่าน ไม่ต้องมีเหรียญก็ได้ ว่าแค่คาถา "นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา"

แทบจะเป็นคาถาบทแรก ๆ ในชีวิตอาตมา จำได้ว่าตอนนั้นหลวงปู่ทิม วัดช้างให้ ท่านหาเงินจะสร้างโบสถ์ โยมแม่ก็บูชาพระหลวงปู่ทวดมา ท่านก็เขียนคาถามาให้ด้วย ตอนนี้ไม่รู้ว่าพระองค์นั้นอยู่กับใคร

ที่บ้านมีรูปหลวงปู่ทวดติดอยู่ ไม่เคยเจอฟืนเจอไฟอะไรกับใครเลย ทั้ง ๆ ที่บ้านอยู่ในป่า ไฟป่าไหม้ทุกปี หลังคาแฝกหลังคาจากน่ากลัวจะตายไป เศษไฟมานิดเดียวก็เรียบร้อยแล้ว"

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
(หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๖๓

ผลการตัดสังโยชน์ คือระดับการบรรลุธรรม ในแต่ละขั้น ตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอรหันต์

ผลการตัดสังโยชน์ คือระดับการบรรลุธรรม ในแต่ละขั้น ตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอรหันต์

: สังโยชน์ ๑๐ ประการ :
โดยหลวงพ่อฤาษี  วัดท่าซุง

เนื่องจากการตัด “สังโยชน์ ๑๐” เป็นสิ่งสำคัญมาก ในการก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยะเจ้า  ถ้าเราไม่สามารถตัดกิเลส  ที่เป็นเครื่องร้อยรัดใจของเราได้แล้ว ความสำเร็จที่จะบรรลุธรรม หรือจะก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยะเจ้า ในขั้นใดๆ ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย 

จึงเห็นความจำเป็นที่จะขออธิบายเรื่องนี้ซ้ำให้ละเอียด เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติ  ในการตัดกิเลสที่เป็นตัวสำคญ  ที่จะขัดขวาง หรือ  เป็นอุปสรรค  ในการก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยะเจ้า
ในลำดับต่าง ๆ ดังนี้

*** สังโยชน์ ๑๐ ประการ 
(ธรรมที่ใช้เป็นตัววัดผล ของการปฏิบัติธรรม)

นักเจริญวิปัสสนาญาณ  นักปฏิบัติธรรม  บรรดาเหล่าท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ท่านผู้แสวงหาโมกธรรม เพื่อที่จะได้หลุดพ้นไปจาก  กองทุกข์ทั้งหมด  

ได้ประพฤติ  ปฏิบัติธรรม  ตามคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  โดยการ ให้ ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา หรือ ถ้าได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ในบวรพระพุทธ
ศาสนา  ก็ปฏิบัติตาม "ไตรสิกขา" คือ ศีล  สมาธิ  ปัญญา  

เมื่อได้ปฏิบัติไปแล้ว จะรู้ตัวว่า ได้อะไรหรือไม่...? ตัวเราปฏิบัติธรรมไปถึงไหนแล้ว  มีอะไรมาเป็นตัววัด  เป็นเครื่องมือวัดผล  ของการปฏิบัติธรรม  ท่านให้ใช้การพิจารณา ตัด ละ เลิกสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการ คือ... 

๑.สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา

หมายความว่าเราไม่พอใจใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสใด ๆ ทั้งหมด เราไม่หลงใหลใฝ่ฝันอยู่ในขันธ์ ๕ คิดว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นสมบัติของกิเลส และตัณหา 

เป็นแดนของความทุกข์ และสิ่งนี้มันจะพลัดพรากจากเราก็คือจิต มันจะแตกจะทำลาย  มันจะป่วยไข้ไม่สบาย  จะถูกอารมณ์ร้ายต่าง ๆ ของโลกเข้ามายั่วยวน เราก็ไม่หวั่นไหว คิดว่าเมื่อถึงกาลถึงสมัยมันก็ต้องพัง ห้ามปรามมันไม่ได้ กฎธรรมดาเป็นอย่างนั้น

๒.วิจิกิจฉา ความสงสัยในพระนิพพานไม่มี คิดว่าพระนิพพานมีจริง ผลของการปฏิบัติที่เราปฏิบัติอยู่นี่ ถ้าปฏิบัติจริง ๆ ต้องถึงพระนิพพานแน่นอน มีจิตตั้งมั่นอยู่อย่างนี้

๓.สีลัพพตปรามาส การรักษาศีลให้เคร่งครัด ไม่ทำศีลให้ด่าง ให้พร้อย ให้ขาด ให้ทะลุ รักศีลยิ่งกว่ารักชีวิต (ยอมตายดีกว่าต้องทำลายศีล)

อาการ ๓ อย่าง คือ สังโยชน์ทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นผลที่พึงได้จากอารมณ์วิปัสสนาญาณ เมื่อได้แล้วจะมีอาการอย่างใดก็ตาม  เข้ามายั่วยวน ทำให้เราหลงใหลใน รูป เสียง กลิ่น รส และ สัมผัส เสียดายในชีวิต เสียดายในร่างกาย คิดว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา ก็ไม่เกิด

ใครจะมาทำให้จิตของเราให้คลายจากพระนิพพาน โดยพรรณนาว่า... พระนิพพานไม่มีอะไรดี ไม่มีของน่าอยู่ น่าชม เราก็ไม่เชื่อ เมื่อจิตใจใฝ่ฝันตั้งมั่นอยู่แล้ว ถึงแล้วว่า..เราต้องการพระนิพพาน มีความมั่นคงอยู่อย่างนั้น

สีลัพพตปรามาส ใครจะมายั่วเย้าให้เราทำลายศีล แม้แต่หน่อยหนึ่งเราก็ไม่ทำ  อย่างนี้เชื่อว่าท่านเป็น  #พระโสดาบันแน่ 

ก็หมายถึงว่า จิตที่ละได้อย่างนี้แล้ว  ไม่กลับคืนมาอีก ไม่มีความเสียดายในชีวิต ไม่มีความเสียดายในทรัพย์สมบัติ  ที่สูญสลายไป  ไม่สงสัยในคุณพระรัตนตรัย  คิดว่าพระนิพพานมีจริง 

ถ้าปฏิบัติแล้วต้องได้จริง ได้ถึงจริง รักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เป็นสมุจเฉทปหาน คือไม่สร้าง ไม่ทำลายศีล ให้ด่าง ให้พร้อย ให้ขาด ให้ทะลุ อาการ ๓ อย่างนี้  เป็นผลของพระอริเจ้าขั้น...

 #พระโสดาบัน และ #พระสกิทาคามี

๔.กามฉันทะ ทำจิตให้เหือดแห้ง ในความพอใจในกามารมณ์ ความยินดีในเพศไม่ปรากฏ

๕.พยาบาท ความผูกโกรธ ขังโกรธไว้ในใจไม่มี ใครมาทำให้โกรธ โกรธนิดหนึ่งแล้วก็ทิ้งสลายตัวไป ไม่มีความพยาบาท 

แล้วต่อไปก็ทำลายความโกรธให้สิ้นไป ในเมื่อจะมีบุคคลหมู่ใดจะมายั่วมาเย้าให้เรามีความโกรธ เราก็ไม่โกรธ หรือมายั่วเย้าให้เราเกิดกามราคะ มีความปรารถนาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส และสัมผัส อารมณ์อย่างนั้นก็ไม่เกิด 

อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นผลของวิปัสสนาญาณจริง เป็นองค์ของพระอริเจ้าขั้น #พระอนาคามี เป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงในขั้นต่อไป

๖.รูปราคะ หมายความว่า เรามีฌานจริง แต่เราไม่หลงว่าฌานนี้เป็นตัววิเศษ  เกินไปกว่าตัววิปัสสนาญาณ รู้อยู่เสมอว่าฌานเป็นบันไดที่จะเป็นกำลังของจิตใจ ให้เข้าไปใช้อารมณ์ของวิปัสสนาญาณ เข้าประหัตประหารกิเลส ที่เรียกกันว่า “รูปฌาน”

๗.อรูปราคะ เราเห็นว่าอรูปฌานเป็นของดี แต่ว่ายังไม่ดีวิเศษ เพราะอรูปฌานนี้   ยังเป็นผลของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร  ยังเป็นโลกียฌาน แต่ว่าเป็นกำลัง  เป็นบันไดขั้นหนึ่ง หรือ  เป็นกำลังที่เข้ามาค้ำจุนจิตใจ  ให้เข้าไปเจริญวิปัสสนาญาณ ได้รับผลดี

๘.มานะ ความถือตัวถือตน ถือว่าเราเลวกว่าเขา ถือว่าเราเสมอเขา ถือว่าเราดีกว่าเขา  อย่างนี้เราตัดเสียได้  คือไม่คิดอย่างนั้น 

คิดว่าคนในโลกนี้  ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว เกิดมาแล้วก็แก่ ก็เจ็บ ก็ตาย  เหมือนกันหมด ไม่มีอะไรที่จะต้องเข้าไป ถือยศ  ถือศักดิ์ ถือชาติวาสนา และ ตระกูลใด ๆ ทั้งสิ้น

๙.อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญในจิตใจไม่มี ตัดเสียได้แล้ว มีอารมณ์เป็นอันเดียวคือ เอกัคคตารมณ์ มีจิตใจชุ่มชื่น รู้ได้ตามสภาวะของความเป็นจริง

๑๐.อวิชชา คือความพอใจในทรัพย์สมบัติของโลก คือในร่างกายของเรา หรือในรูปของคนอื่นไม่มี 

ความกำหนัดยินดีในทรัพย์สินของโลก ที่มีชีวิต และ ไม่มีชีวิต แม้แต่ตัวเองก็ไม่มี อย่างนี้เรียกว่า...ตัดอุปาทานขันธ์เสียได้ ตัดตัวอวิชชาความโง่เสียได้ 

จากพระอริเจ้าขั้นพระอาคามี ตัดละสังโยชน์ ๕ ข้อได้  เมื่อท่าน ตัด ละ สังโยชน์ ข้อที่ ๖ ถึง ข้อที่ ๑๐ ได้หมดแล้ว  ท่านก็เป็นองค์ของพระอริเจ้าขั้น #พระอรหันต์  

ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยานมหาเถระ
หลวงพ่อฤาษี วัดจันทาราม (วัดท่าซุง)
อ.เมือง จ.อุทัยธาน๊

วิธีฝึกทรงอารมณ์ให้ความเป็นทิพย์อยู่ได้นานๆ

การทรงอารมณ์มีความสำคัญมาก สมมติว่าถ้า
ท่านได้ ทิพจักขุญาณ หรือว่าได้ มโนมยิทธิ 
บางท่านคุยกับพรหมหรือเทวดาหรือพระอริยะ 
คุยกันได้ไม่นานละ หล่นป๋อง ไม่รู้อย่างไร 
นั่งพลาดเก้าอี้หล่นไม่รู้ตัวแล้ว

บางทีเห็นหน้าเทวดา เห็นหน้าพรหม อยากจะคุย 
ใช้เวลา ๒-๓ นาที ก็คุยกันคำสองคำหายไปแล้ว 
ความจริงท่านไม่ได้หาย เราหาย ทั้งนี้เพราะอะไร 
เพราะว่าไม่ได้ฝึกการรักษาการทรงอารมณ์

วิธีฝึกทรงอารมณ์ให้ทำอย่างนี้ 
เราจะนั่งหลับตาก็ได้ ลืมตาก็ได้ 
ที่ไหนสบายอากาศโปร่งๆ นั่งดูยอดไม้ นั่งดูนกบิน
ผีเสื้อบิน ตามใจเถอะ ปล่อยใจสบายๆ 
ในขณะนั้นจับลมหายใจเข้าออก รู้ลมหายใจเข้า
ออก หายใจเข้าออกคิดเป็น ๑ ภาวนาด้วยก็ได้ 
จับนับ ๑๐ ขยับนิ้ว
หายใจเข้าหายใจออกขยับนิ้วเป็น ๑ 
หายใจเข้าหายใจออกเป็น ๒ เอาแค่ ๑๐ ช่วง นี่ให้
ทรงตัวจริงๆ

ถ้าเราคิดว่าเราจะทรงอารมณ์ให้ถึง ๑๐ 
ถ้าในช่วงที่ไม่ถึง ๑๐ ถ้ามีอารมณ์แทรกเข้ามา
ต้องลงโทษ เริ่มต้นใหม่ทำให้ได้ 
ถ้าหากพยายามรักษาอารมณ์ ๑ ถึง ๑๐ มันก็ไม่
เกิน ๗ วัน มันจะกลายเป็น ๑ ถึง ๒๐๐ ถ้าไม่ถอน
ตัวจะมีสมาธิสูงขึ้นนะ

ถ้าหากว่าพยายามฝึกอารมณ์แบบนี้เรื่อยๆ
ทีหลังเวลาไปสวรรค์ก็ดี ไปพรหมก็ดี ไปนิพพาน
ก็ดี ไปสัตว์นรก ไปสำนักพระยายมก็ดี หรือว่านั่ง
อยู่ตรงนี้เราต้องการจะพบใครที่ตายไปแล้ว 
ท่านจะเป็นเทวดาก็ดี เราจะคุยกันแบบสบายๆ ทั้ง
วันก็ได้ นี่ต้องเป็นการรู้จักการทรงอารมณ์

ที่มา
ธรรมโอวาท พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี
ลิงดํา)

22 สิงหาคม 2564

สิ่งสำคัญยิ่งที่ต้องทำในชีวิตนี้ คือหนีกรรมเก่าให้พ้น

สิ่งสำคัญยิ่งที่ต้องทำในชีวิตนี้ คือหนีกรรมเก่าให้พ้น 
แทบทุกคนเคยเป็นมาแล้ว ทั้งเทวดา เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ 
ยาจก วนิพก เศรษฐี คหบดี ตลอดจนสัตว์ใหญ่สัตว์น้อย
เคยตายมาแล้วด้วยอาการต่าง ๆ 
ตายอย่างเทวดา ตายอย่างเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน
ตายอย่างขอทานข้างถนน ตายอย่างสัตว์ 
ทั้งที่ตายเอง และที่ถูกฆ่าตาย 
เคยมีทั้งสุขมีทั้งทุกข์ เคยเป็นทั้งผู้ร้ายทั้งผู้ดี 
น้ำตาเคยท่วมบ้านท่วมเมืองมาแล้ว 
กระดูกทับถมแผ่นดินนี้หาที่ว่างสักปลายเข็มหมุดจะปักลงไปก็ไม่พบ
เปรียบกับชีวิตนี้เพียงชาติเดียว ชีวิตนี้จึงน้อยนัก
จะห่วงใยแสวงหาอะไรอีกมาในชาตินี้ 
ที่จะสำคัญกว่าการห่วงหาทางหนีให้พ้นมือแห่งกรรม
ที่ทำไว้มากมายในอดีตชาติ

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร

ทุกสรรพสิ่งในโลกและในจักรวาลคือ "คลื่นพลังงาน"

รูปธรรมมิติชั้นสูงชาวดาว Andromida ผู้พิทักษ์รักษากฎแห่ง "จักรวาล".?..

ทุกสรรพสิ่งในโลกและในจักรวาลคือ "คลื่นพลังงาน" คลื่นพลังงานสามารถกลาย
เป็นวัตถุธาตุได้ หรือการเป็นเสียงดนตรีโดยผ่านซ่อมเสียงดนตรีโบราณ โน้ตดนตรีนั้นมีพลังในการให้กำเนิดสรรพสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้ 

คลื่นพลังเสียง สามารถสร้างวัตถุธาตุ ขึ้นมาได้ในทุกสรรพสิ่งโลกและจักรวาลได้เลย แต่เดิมทุกสิ่งมันเกิดมาจากการทำงานของคลื่นความถี่สั่นสะเทือนของเสียง
การประกอบเข้าด้วยกันของคลื่นพลังงานเสียงทำให้สามารถเคลื่อนย้ายวัตถุหินผ่านช่องว่างของกาล - อวกาศ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ในการยกย้ายถ่ายเทหินนํ้าหนักหลายๆ ตันได้เลย

ผู้คนในยุคโบราณชนชาวแอตแลนติส ชาวอิยิปต์ ชาวมายา รู้จักการทำงานของสิ่งเหล่านี้ดีเพียงแต่ความรู้เหล่านี้ได้สูญสลายไปพร้อมกับพวกเขา และ มันใช้ทำประโยชน์ต่างๆ ได้มากมาย คลื่นพลังงานของหิน สำคัญอย่างมากๆ เพราะในหิน
จะประกอบไปด้วยพลัง "ออร่า" ซึ่งเป็นพลังชีวิตในหิน 

หินต่างๆ จะมีคลื่นความถี่ที่แตกต่างกัน แล้วหินนั้นก็มีพลังงานแสงอยู่ในตัวเองแม้
ในภูเขาที่มีรูปทรงสามเหลี่ยมก็จะมีสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ เช่น ภูเขาเอเวอร์
เรต ในเนปาล หรือที่อื่นๆ ก็มีเช่นกัน

ก็เป็นเพราะแบบนี้เองทุกสรรพสิ่งชีวิตล้วนมีคลื่นความถี่ของพลังงาน พ่อจึงอยากให้ลูกๆ ของพ่อรับรู้ และ สัมผัสมันไว้ด้วย มีผู้พบเห็นมากมายเกี่ยวกับ UFO บน
สถานที่ต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก พวกเขาเป็นชาวดาวที่มาจากคลื่นมิติที่มีระดับสูงกว่า
ชาวโลก ในสมัยโบราณจะเรียกร่างสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นว่า "พระเจ้า" พ่อว่าไม่แปลก
นะ เพราะพวกชาวดาวเหล่านั้นมีคลื่นพลังงานในระดับสูงนั่นเองอยู่ในมิติที่ 7,8,9,
ขึ้นไปทั้งสิ้น

ในช่วงปี 2012 เหล่าอาสาช่างเทคนิคชาวแสงฯ ได้เคยร่วมงานกับพวกเขา ได้
เดินทางไปในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก เพื่อปรับสมดุลพลังงานแม่เหล็กโลก ส่วนใหญ่
จะเป็นโบราณสถาน ที่ตั้งอยู่ในจุด grid สำคัญของโลก

การปลดล็อกกุญแจพลังงานเหล่านั้นเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างมากเพราะ
โลกจะต้องย้ายมิติไปอีกมิติหนึ่ง มันจะมีแรงเสียดทานของการเคลื่อนย้ายมิติมนุษย์ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก จะมีเหตุให้นํ้าท่วม แผ่นดินไหวในหลายพื้นที่ของโลก เพื่อปรับเปลี่ยนสัญฐานโลกให้เข้าสู่มิติใหม่แล้วลบล้างพลังงานลบให้หมดสิ้นไปเสียก่อนที่จะเข้าสู่ยุคใหม่ได้

แล้วอนุภาคต่างๆ จะเร็วขึ้น เหมือนกับพวกเรากำลังเคลื่อนย้ายมิติทุกคนต้องมีจิตสำนึกอันศักดิ์สิทธิ์ จากเหล่ามนุษย์ที่มีวิวัฒนาการแล้วเขาจะเป็นผู้ช่วยมาสนับ
สนุน สร้างโลกที่เจิดจรัสโดยรวมความเป็นหนึ่งเดียวกันตอนนี้

โลกกำลังย้ายจากมิติเก่าไปสู่มิติใหม่ ซึ่งเป็นช่วงแห่งการเคลื่อนย้ายมนุษย์จึงต้องมีการคัดแยกมนุษย์จึงต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และ การมาถึงของ
โควิด 19 แท้จริงมันคือคลื่นรังสี Proton ที่กำลังคัดแยกมนุษย์ว่าแต่ละคนจะไปสู่จุดไหนในโลกมิติเก่าหรือโลกมิติใหม่

เอาละพ่อจะพูดถึงชาวดาว Andromida พวกเขามีหน้าที่เฉพาะเป็นผู้ดูแลความสงบ หรือ ผู้ควบคุมจักรวาลเพื่อไม่ให้ระบบจักรวาลสะดุดหรือเสียสมดุลนั่นเอง
เพราะในรอบ 60- 70 ปี มนุษย์มีกิจกรรมที่หมิ่นเม้มต่อการทำลายล้างโลกมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาวุธนิวเคลียร์ที่มีมากกว่า 15,000 ลูกมากพอที่จะทำร้ายโลกให้เป็นจุลไปได้ และ..

นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่พวกเขาต้องมาช่วยเหลือโลกและเผ่าพันธ์มนุษย์ แต่มนุษย์ก็ต้องช่วยเหลือตัวเองด้วย และ พลังงานที่มีอำนาจสูงสุดคือ "พลังงานความรัก"
และ เป็นทางเดียวที่จะเอาชนะการครอบงำของฝ่ายพลังมืดได้และขับเคลื่อนโลก
เข้าสู่มิติพลังงานใหม่ได้ และ สิ่งสำคัญคือ การที่มนุษย์ต้องร้องขอความช่วยเหลือจากองค์พระผู้สร้างฯ ผู้ให้กำเนิดเผ่าพันธ์มนุษย์แต่ที่พ่อพูดมาทั้งหมดไม่เกี่ยวกับศาสนาเลยนะ

เพราะเหตุไรฝ่ายพลังมืดจึงเลือกเป็นปฎิปักษ์กับพระผู้สร้างฯ ทั้งๆ ที่พวกเขาก็ถูกพระผู้สร้างหรือพลังแห่งความรักต้นแบบก็สร้างเผ่าพันธ์ฝ่ายพลังงานลบนี้ขึ้นมา
เหมือนกัน หรือ จะเรียกอีกคำหนึ่งว่าเป็น "กบฎ" ก็ย่อมได้

เพราะอย่างที่พ่อบอก พระผู้สร้างนั้นมีความสมบูรณ์แบบมีทั้งขั้วบวกและขั้วลบทั้งสองขั้วนี้จึงทำให้จักรวาลเกิดความสมดุลได้ แต่ฝ่ายพลังงานมืดเลือกที่จะเป็นขั้วลบหรือฝ่ารมาร ซึ่งมันก็คือการจำลองแบบของจักรวาลซึ่งต้องมีส่วนผสมของ
ความมืดและแสงสว่าง 

เพื่อก่อให้เกิดประสบการณ์และการเรียนรู้ชีวิตในมิติที่ 3 ต่อหมู่จิตวิญญาณทั่วสากลจักรวาลเพื่อขับเคลื่อนจักรวาลไปให้ไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง เพื่อให้ระบบของจักรวาลทำงานต่อไปได้ และ ทำให้โลกแห่งความเป็นจริงใจมิติที่ 5 เกิดขึ้นได้จึงต้องมีส่วนผสมของความมืดและแสงสว่าง เพื่อยังประโยชน์แก่มวลมนุษย์ชาติทั้ง
ปวงในอนาคตต่อไป...

ที่มา
Teucer Rom...

แสงสว่าง มองการไกล...

21 สิงหาคม 2564

ทำงานที่คลีนิคทำแท้ง

ยกทรง : หลวงพ่อเจ้าขา ลูกทำงานในสำนักงานเถื่อนทำแท้งแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีรายได้ดีพอควร หน้าที่ลูกคือเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเงิน พอมาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อไ่ม่นานนักชักไม่แน่ใจไม่ดีเสียแล้ว เพราะมีหุ้นส่วนกับเขาด้วย เลยจะขอพึ่งบารมีถามหลวงพ่อว่า ข้อหนึ่งลูกจะมีบาป มีกรรมร่วมกับบัญชีพระยายมมีบ้างหรือไม่ ข้อสองเอาเงินเดือนจากทำแท้งมาทำบุญกับหลวงพ่อ

หลวงพ่อ : เอ่อ นี่เข้าท่า เข้าท่าๆ

ยกทรง : มาดีอีตอนทำบุญนี่เองนะ

หลวงพ่อ : ใช่ๆ ฟังมาตั้งนาน คิดว่าจะบอกอย่างนี้เหมือนกัน แบ่งครึ่งกัน (หัวเราะ) เอาอย่างนี้ซิ งานก็เป็นงาน อาชีพก็เป็นอาชีพ จิตใจเกาะบุญไว้ พระพุทธเจ้าไม่เคยตำหนิใครเรื่องอาชีพน่ะ อย่างกับอาจารย์ยกทรงพระสารีบุตร 500 องค์เป็นชาวประมง ใช่ไหม ชาวประมงซึ่งต้องฆ่าปลาทุกวันประจำเลยยิ่งกว่าทำแท้ง ต่อมาเมื่อเข้ามาบวชกับสำนักพระสารีบุตร พระพุทธเจ้าก็รับและยังแนะพระสารีบุตรไปสอนอภิธรรม เพราะพวกเขาเคยเกิดชาติก่อนฟังอภิธรรมมา พอฟังอภิธรรมย่อๆจบ เขาเป็นอรหันต์ทั้งหมด เห็นไหม เขาไม่ตำหนิ อาชีพก็ส่วนอาชีพ แล้วเรื่องบุญก็เรื่องบุญไป แต่ว่าจิตอย่าไปเกาะอาชีพประเภทนั้น เกาะบุญอย่างเดียว งานถือว่าทำตามหน้าที่น่ะ หมดเรื่องหมดราวไป

ยกทรง : อย่างนี้ถ้าจะนึกอะไร ให้นึกถึงบุญที่ทำกับหลวงพ่อ

หลวงพ่อ : ใช่ๆ นึกถึงฉันไม่ทันมันไกล นึกถึงยกทรงก่อน ก็นึกอีตาบ้า คนนั้นแกเคยพูดปาวๆเป็นธรรมะธัมโมดีจังเว้ย เพลิดเพลินดี

ยกทรง : อ๋อ อย่างนี้ต้องแบ่งให้หลวงพ่อครึ่งหนึ่ง

หลวงพ่อ : ไม่เอาล่ะ (หัวเราะ) ให้ยกทรงร้อยเปอร์เซ็นต์

ยกทรง : เอาแต่บุญ เรื่องอาชีพเป็นอะไรที่แปลก หลวงพ่อตอบรู้สึกสบายใจขึ้น ตอนนั้นมันยึกยักๆ

หลวงพ่อ : เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยตำหนิใคร ท่านก็รับทุกด้าน อย่างตัมพทาฐิกโจร เห็นไหม ตัมพทาฐิกโจร โจรเคราแดงนี่ฆ่าคนมาเกินหมื่นคน แกพบพระสารีบุตรเข้า พระสารีบุตรท่านพูดเรื่องฆ่าคน ทีแรกพอกินข้าวเสร็จใช่ไหม ท่านก็เทศน์ เทศน์โทษปาณาติบาตเลย จะฆ่าคน ฆ่าปลา ฆ่าสัตว์ตกนรกขุมไหน ขุมไหน ก็ว่าเรื่อย

ตัมพทาฐิกโจร เหงื่อแตกพลั่ก พอเทศน์ไปถึงครึ่งกัณฑ์ พระสารีบุตรท่านฉลาด ท่านเทศน์ไปท่านชำเลืองดูไป เห็นตานั่นเหงื่อแตก ท่านหยุดถามโยม ไม่สบายหรือ โยมก็บอกสบายดีพระเจ้าครับท่าน พระคุณเจ้าเทศน์มานั้นผมเรียบร้อย ไม่ได้เหลือเลย (หัวเราะ) ท่านก็เลยถามว่าโยม โยมฆ่าคนตาย ใครเขาใช้ให้ฆ่า หรือฆ่าเอง บอกพระราชาใช้ให้ฆ่า

พระสารีบุตรท่านฉลาดกว่า ท่านก็ถามว่าโยม สมมุติว่าถ้าโยมเป็นลูกจ้างเขา นายจ้างเขามีนาร้อยไร่ เขาใช้ให้โยมทำ เมื่อได้ข้าวในนาเสร็จ ผลของนาน่ะข้าวทั้งหมดจะเป็นของโยมหรือเป็นของนายจ้าง โยมก็บอกว่าเป็นของนายจ้างครับ ท่านฉลาดกว่า ตัมพทาฐิกโจรโง่กว่า ท่านก็เลยถามว่า ถ้าอย่างนี้ที่พระราชาใช้ให้โยมฆ่าเป็นเพชฌฆาต บาปอยู่กับใคร อีตานั่นแกโง่ แกนึกว่าบาปตกอยู่กับพระราชา (หัวเราะ) พระสารีบุตรเลยเทศน์อานิสงส์ทาน เลยเป็นโสดาบันเดี๊ยวนั้น

ยกทรง : โอ้....จากเหงื่อแตก

หลวงพ่อ : ใช่ พอเหงื่อแห้งเป็นพระโสดาบันเลย (หัวเราะ) ไอ้เหงื่อแตกนั่นเป็นน้ำอาบชำระร่างกายให้สะอาด ชำระเข้าไปในจิตใจ ข้างในเลย เอาว่า่ต่อไป เดี๊ยวโม้หมดเวลา (หัวเราะ)

ที่มา
(จากสนทนาสายลม ในหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติเล่ม 16 หน้า 257)

20 สิงหาคม 2564

มุทราสำคัญไฉน ในการพัฒนจิต สู่ความสำเร็จทางจิต.....

............ มุทราเป็นส่วนหนึ่งใน 7 M ซึ่งมี 1.Mild 2.Mudra 3.Movement 4.Mandala 5.Muntra 6.Meditation และ 7. Materialเป็นตัวสร้างเหตุปัจจัยให้ถึงพร้อมในความสำเร็จทางจิต.........
..........ก่อนอื่นเรามาดูว่ามุทรา แปลว่าอะไร มุทราคือการควบคุมเส้นสายจักรวาลโดยใช้มือ ทำไมหล่ะ เพราะมือเป็นส่วนหนึ่งที่เชื่อมโยงมาจากซีรีเบลลัม ที่เชื่อมโยงอวัยวะภายในของร่างกาย เมื่อเราควบคุมนื้วมือได้ เราก็สามารถควบคุมอวัยวะภายในของเราได้ อีกทั้ง เมื่อมีวิวัฒนาการของจิตเพิ่ม ซีรีเบลลัมมีความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กมากขึ้น ก็สามารถใช้มุทราควบคุมเส้นสายสนามพลังภายนอกร่างกาย เพื่อนำมาสะสมเส้นสายหรืออนุภาคไว้ที่แกนกลางของซีรีเบลลัม การใช้มุทรา ใช้ประกอบกับการเคลื่อนไหวตามวาระจิต คนที่ทำมุทราต้องอยู่ในภาวะที่มีจิตวิญญาณ คือมีการรับรู้เรื่องพลังงาน ถึงจะทำให้มุทรานั้นมีประสิทธิภาพในการเก็บเกี่ยวเส้นสาย และควบคุมเส้นสาย ....
.......เมื่อวิวัฒนาการของจิตถึงพร้อม ซีรีเบลลัมเริ่มมีเส้นสายที่หนาแน่นชิดกัน สมองส่วนกลาง มีความเร็ววงรอบสูง จากการที่พัฒนาน้ำในสมองให้เป็นไอโซโทป เพียงแค่ใช้นิ้วมือเพียงเล็กน้อย ก็จะเกิดการขับเคลื่อนภายในทั้งระบบ ไม่ใช่เฉพาะเส้นสายใด เพราะเส้นสายแต่ละเส้นได้มารวมชิดกันแล้ว การรับรู้จะรับรู้พลังงานได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า และรับรู้ภายนอกร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งขยับปลายนิ้วไปมา จะสังเกตมีการขับเคลื่อนของพลังงานด้วยความรวดเร็วมาก ส่งผลให้ซีรีเบลลัมและบีเทนได้รับผลจากความเร็วนี้ อนุภาคหรือเส้นสายจะมารวมกันที่ซีรีเบลลัมและบีเทน จนกระทั่งอยู่ชิดกันจนไร้ระยะทาง ไร้กาลเวลาเมื่อนั้น การเชื่อมต่อกับทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลจึงเกิดขึ้น เป็นจิตวิญญาณอัตโนมัติ สามารถเชื่อมต่อสัญญาทุกสัญญาได้ฉับพลัน และเข้าใจสภาวธรรมโดยไม่ต้องคิดแต่มาจากการประมวลสัญญานั้นด้วยความเร็ว จึงเข้าใจในสภาวธรรมนั้นได้ ........
........ มุทราจึงเป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมต่อ เก็บเกี่ยว และควบคุมเส้นสายจักรวาลทั้งภายในและภายนอก รวมถึงการสร้างสัมโภคยกายให้เป็นกายวัชระ เป็นกายที่ไม่สามารถแตกดับได้ ก็ต้องใช้มุทราเป็นตัวเก็บเกี่ยวเส้นสาย ก่อนที่จะทำมุทราแล้วรู้สึกทั้งระบบ ต้องผ่านการฝึกฝนให้พลังคุณฑาลินีขึ้นมาพร้อมกับน้ำไขสันหลัง ขึ้นสู่สมองส่วนกลาง ให้สมองส่วนกลางมีความเร็ววงรอบที่สูง ทำให้คลื่นสมองเปลี่ยนแปลงเสียก่อน คือมีความเร็วมากกว่า 24 ม/วินาที ส่งผลกระทบให้ซีรีเบลลัม มีการขับเคลื่อนหมุนปั่น มีการดูดผลักของพลังงานออกมา บริเวณมือ และเท้า แต่เราใช้มือในการคว่บคุมเส้นสายและพลังงาน การล๊อคนิ้วมือก็เป็นส่วนสำคัญ การล๊อคถ้าล๊อคได้ระยะของความเร็ววงรอบที่สมอง ก็จะเกิดความเร็วเช่นเดียวกับสมองมีการขับเคลื่อนภายในร่างกายด้วยอัตราความเร็ว การใช้มุทราเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ต้องใช้ศิลปะในการเคลื่อนไหว ดูทิศทาง ดูองศา อาศัยการสังเกตว่าทิศทางไปทางไหน และคล้อยตามไปแบบขับเคลื่อนเป็นวิถีโค้ง ใช้ในการฝึกปฏิบัติ การสวดมนต์ โดยการเคลื่อนไหวตามวาระจิต การทำพิธีกรรมต่างๆ การทะลวงจุด ใช้ได้ทุกกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวตามวาระจิต.......เพื่อเป็นเหตุปัจจัยให้ถึงพร้อมในความสำเร็จทางจิตต่อไป.......

ที่มา
     สวรินทร์ คุ้มภัย  ......

ศาสนา คือแนวทางที่ถูกต้องแห่งการดำเนินชีวิตนั่นแล

“ความสำคัญของทุกสิ่งในโลกก็คือใจ ถ้าใจหยาบทุกสิ่งที่มาเกี่ยวข้องก็กลายเป็นของหยาบไปด้วย เช่นเดียวกับร่างกายสกปรก แม้สิ่งที่มาคละเคล้ากับกายจะเป็นของสะอาดสวยงามเพียงไร ก็กลายเป็นของสกปรกไปตามร่างกายที่สกปรกอยู่แล้ว ฉะนั้นธรรมจึงอดจะหยาบไปตามใจที่สกปรกไม่ได้ ถึงจะเป็นธรรมที่บริสุทธิ์หมดจด แต่พอคนมีใจโสมมเข้าไปเกี่ยวข้อง ธรรมก็กลายเป็นธรรมอับเฉาไปตาม เหมือนผ้าที่สะอาดตกลงไปคลุกฝุ่น หรือคนชั่วแบกคัมภีร์ธรรมอวดโลกให้เขารับนับถือ ซึ่งทั้งสองนี้ไม่มีผลดีต่างกันเลย คนที่มีใจหยาบกระด้างต่อศาสนาก็เป็นคนในลักษณะนี้เหมือนกัน จึงไม่มีทางได้รับประโยชน์จากศาสนธรรม แม้เป็นของวิเศษเพียงไรเท่าที่ควร เอาแต่ชื่อออกประกาศกันว่าตนนับถือศาสนา แต่ไม่ทราบว่าศาสนาคืออะไร และมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้นับถืออย่างไรบ้าง ถ้าประสงค์อยากทราบข้อเท็จจริงจากศาสนาอย่างแท้จริงแล้ว ตนกับศาสนาก็เป็นอันเดียวกัน ความสุขทุกข์ที่เกิดกับตนย่อมกระเทือนถึงศาสนาด้วย ความประพฤติดีชั่วก็กระเทือนถึงศาสนาเช่นกัน คำว่าศาสนา คือแนวทางที่ถูกต้องแห่งการดำเนินชีวิตนั่นแล จะเป็นอื่นมาจากไหน ถ้าคิดว่าศาสนาอยู่ที่อื่นนอกจากตัว ก็ชื่อว่าเข้าใจศาสนาผิดจากความจริง...”

ที่มา
พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๙๒)
จากหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

อัศจรรย์ แห่ง พระมหากัสสปะ


    .. ชาติที่แล้ว ท่านและภรรยา จุติมาจากพรหมโลก จึงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี ในชาตินี้.แต่งงานตอนอายุ ๒๐ ปี ไม่ยินดีเรื่องกามารมณ์ ออกบวชทั้ง 2 คน โดย ต่างฝ่ายต่างปลงผมให้แก่กัน 

-..ท่านครองผ้ากาสาวพัสตร์สะพายบาตร  
-. ภรรยา .. บวชเป็นนางภิกษุณี...ภายหลังได้บรรลุพระอรหัตตผล 

     ..**/.. พระมหากัสสปะ..หลังจากบวช เข้าวันที่ 8 ได้พบ พระโคตมพุทธเจ้า ... จึงน้อมตัวลงเดินเข้าไปหา ไหว้ ๓ ครั้ง...กราบทูลว่า.

” ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า..จงเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ..ข้าพระองค์ขอเป็นสาวก”.( การบวชด้วยการรับฟังโอวาท .)

**....และเมื่อได้ฟังธรรม ...ท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ..จากนั้นท่านนำผ้าสังฆาฏิของตน...ปูถวายพระพุทธเจ้าให้ทรงประทับนั่ง ..พระพุทธเจ้าจึงประทานผ้าป่านบังสุกุลให้ท่านใช้แทน 

....บัดนั้น.. *....แผ่นดินก็ไหวขึ้น..**เพราะไม่เคยมีมาก่อน..ที่พระพุทธเจ้า..จะประทานจีวรที่ทรงใช้แล้ว..แก่พระสาวก 

    พระมหากัสสปะ ได้สมาทานธุดงค์ ๑๓ ข้อ ในสำนักพระศาสดา ท่านถือธุดงค์ ๓ ข้อ ตลอดชีวิต คือ ๑. ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ๒. เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ๓. อยู่ป่าเป็นวัตร

       **..พระมหากัสสปเถระ ..เป็นเอตทัคคะ ด้านผู้ทรงธุดงค์และสรรเสริญคุณแห่งธุดงค์      

         /*- หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระมหากัสสปะ 
เป็นประธานในการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ..พระมหากัสสปประนมอัญชลี กระทำประทักษิณจิตกาธาร ๓ รอบ แล้วเปิดทางพระบาท ด้วยเศียรเกล้า ..* ก็มีเพลิงลุกโพลงขึ้นเอง 

         .ต่อมา.เป็นประธานการทำสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรก ท่านคัดเลือกพระอรหันต์ ๔๙๙ รูป ล้วนแต่บรรลุอภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทา ๔   

       /**... อดีตชาติของพระมหากัสสปะ…ย้อนหลังไปแสนกัปป์แต่กัปป์นี้ ในยุคพระพุทธเจ้า “ ปทุมุตตระ “ พระมหากัสสปเถระ..ในชาตินั้น มีนามว่า “เวเทหะ” ได้เห็น พระสาวกผู้เลิศทางธุดงค์นามว่า ..”มหานิสภเถระ” ของ..พระปทุมุตตรพุทธเจ้า.” จึงนิมนต์ พระปทุมุตตรพุทธเจ้า.พร้อมพระสงฆ์มาถวายภัตตาหาร แล้วตั้งความปรารถนาตำแหน่งนั้น..

 พระพุทธเจ้าทรง ทรงพยากรณ์ว่า ..”ในอนาคตกาลประมารแสนกัปป์พระพุทธเจ้า “พระนามว่าโคดม “จักอุบัติขึ้น ท่านจักเป็น..”สาวกที่ ๓.” มีชื่อว่า..” มหากัสสปเถระ “. 

    **..ท่านเวียนเกิดตายหลายชาติ ท่านบวชเป็นฤาษี๕๐๐ ชาติ.จึงมีนิสัยสันโดษ ชอบอยู่ป่า..

        พระมหากัสสปเถระ ได้จำพรรษาอยู่ที่เวฬุวนาราม มีอายุประมาณ ๑๒๐ ปี จึงนิพพาน ณ ระหว่างกลางกุกกุฏสัมปาตบรรพตทั้ง ๓ ลูก ในกรุงราชคฤห์.. ก่อนจะนิพพาน 1 วัน..ท่าน แสดงอิทธิปาฏิหาริยิ์ และให้โอวาทแก่พุทธบริษัทแล้ว .

**...ท่าน...อธิษฐานจิตขอให้ภูเขาทั้ง ๓ ลูกมารวมเป็นลูกเดียวกัน แล้วท่านก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ณ ที่นั้นท่านยังอธิษฐาน ขอให้สรีระของท่านยังคงสภาพเดิมไม่สูญสลาย จนกระทั่งถึง พระศาสนาพระศรีอริยเมตไตร จะมา ยกสรีระของพระเถระ...วางบนพระหัตถ์ขวาชูขึ้น....ประกาศสรรเสริญคุณของพระเถระแล้ว.. เตโชธาตุก็จะเกิดขึ้นเผาสรีระของท่าน...บนฝ่าพระหัตถ์..ของพระศรีอริยเมตไตรพุทธเจ้านั้น

19 สิงหาคม 2564

#ผู้บำเพ็ญบารมีมาดีย่อมได้อาจารย์ดี(ตอน๑)



✏....ในสมัยก่อนที่ หลวงพ่อปาน จะบวช ท่านพบพระองค์หนึ่ง ซึ่งมีปฏิปทาการปฏิบัติดีเป็นพิเศษ พระองค์นี้เดิมที ท่านอยู่จังหวัดธนบุรี ต่อมาท่านได้ออกธุดงค์ที่อยุธยา มาถึงก็ปักกลดอยู่ที่วัดบางนมโค สมัยนั้นวัดบางนมโคยังเป็นวัดร้างอยู่ ยังไม่มีสิ่งก่อสร้างเป็นถาวรวัตถุอะไร พอท่านมาอยู่ ก็เริ่มสร้างกุฏิไว้สองสามหลังก่อน แล้วต่อมาถึงมาสร้างโบสถ์ โดยสร้างครับที่เดิมก็เป็นอันว่าท่านเป็นผู้เริ่มสร้างวัดบางนมโคเป็นองค์แรก  

✏....พระองค์นี้ก็คือ "หลวงปู่คล้าย" หลวงปู่คล้ายองค์นี้เป็นพระที่มีปาฏิหาริย์มาก มีความสามารถในทางไสยศาสตร์และสมาธิ หมายความว่าท่านจะทำสิ่งของต่างๆให้เป็นอะไรก็ได้ ถ้าจะกล่าวกันไปตามหลักวิชาการในสมัยนี้ ในทางพุทธศาสนาที่เรารู้ๆกันก็หมายความว่า ท่านเป็นผู้ทรงอภิญญานั่นเอง และเรื่องราวของหลวงปู่คล้าย หลวงพ่อปานท่านเล่าให้ฟังว่า

✏....ในสมัยที่หลวงพ่อปานเข้ามาอยู่เป็นนาคจะบวชพระนั้น วันหนึ่งเขาลองยิงพระกัน (พระเครื่อง) พระองค์ไหนๆก็ยิงออกหมด หลวงปู่คล้ายเดินไปถึงที่ที่เขากำลังลองพระกัน ท่านเปลื้องจีวรออก แล้วเอาจีวรวางไว้ ท่านบอกว่าไหนลองยิงจีวรของฉันดูซิ พวกนั้นใช้ปืนทุกอย่างยิงจีวรของท่านไม่ติด ท่านก็บอกว่า ทุด! ไอ้ปืนของพวกมึงนี่มันไม่ดี ยิงพระออก แต่ยิ่งจีวรของกูไม่ออก ปืนของมึงเสีย นั่นครั้งหนึ่ง 

✏... อีกครั้งหนึ่ง หลวงพ่อปานบอกว่า ขณะที่ท่านกำลังท่องหนังสืออยู่ในป่าช้า ท่องหนังสือขานนาคหรือสวดมนต์ หลวงปู่คล้ายท่านเดินเข้าไปหาท่านถามว่า... 

"ปาน...ทำอะไรวะ" 

"ผมกำลังท่องหนังสือครับ" 

"ปาน..แกบวชแล้วแกจะสึกไหม" 

"ผมบวชแล้ว ผมไม่อยากสึกครับ" 

"ฮือ...ดี บุคคลคนที่เขาไม่สึก เขาต้องทำอย่างนี้นะปาน" 

✏...แล้วท่านก็วางจีวรไว้ ท่านถามว่า "ปานอยากดูช้างไหม" 

"อยากดูครับ"  

"แกดูจีวรนี่นะ...เดี๋ยวมันจะเป็นช้าง" 

✏...พอมองไปประเดี๋ยวเดียว จีวรค่อยๆเป็นช้างทีละนิด ทีแรกมันจะเกิดเป็นงวงมาก่อน สุดงวงแล้วจะเห็นงา เห็นงาแล้วจะเห็นหัว ตัวช้าง ขาช้าง หางช้าง แล้วช้างมันเดินไปได้ตามประสงค์ ท่านก็บอกว่า 

"ปานอยากขี่ช้างไหม" 

"อยากขี่ครับ" 

"เอ้า!...เทาลงมาหน่อยให้เขาขี่" หัวช้างก็เทาลงมา แล้วก็ขี่เล่นภายในป่าช้า วนไปวนมาซักห้านาที ก็บอกให้ลงจากคอช้าง เมื่อลงจากคอช้างแล้ว ท่านก็พูดว่า... 

"ช้าง...เอ็งจะเป็นช้างตามเดิมซิ ข้าจะกลับไปกุฏิ...เดี๋ยวข้าไม่มีจีวรห่ม" เท่านั้นเองปรากฏว่า ช้างกลายเป็นจีวรตามเดิม 

หลวงพ่อปานเลยถามว่า... "พระที่ทำอย่างนี้ได้น่ะ ทำได้ทุกองค์ไหมครับ 

"ทำไม่ได้ทุกองค์หรอก พระที่จะทำอย่างนี้ได้ ต้องเจริญพระกรรมฐาน" 

"กรรมฐานเป็นอย่างไรครับ"  

"เอาเถอะ...เวลานี้ท่องหนังสือไปก่อน เมื่อเธอบวชแล้ว ถ้าเธอมีความประสงค์จะทำได้อย่างนี้ ฉันจะสอนให้"  

✏...ท่านบอกว่าเป็นเหตุจับใจที่สุด ในการเข้ามาสู่เขตพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่เคยทราบมาก่อน ท่านบอกว่ามีความเลื่อมใสมาก คิดไม่ถึงเลยว่า พระจะทำอะไรต่ออะไรได้ทุกอย่าง แล้วท่านจะถามหลวงปู่คล้ายว่า 

"หลวงพ่อทำได้แต่เพียงเท่านี้หรือครับ" 

"ทำได้ทุกอย่าง...เอาอย่างนี้ไหมล่ะ แกอยากรู้ไหมว่าฉันสูงแค่ไหน คอยดูนะ ให้ดูหลังคาศาลาปรก" 

✏...แล้วท่านก็มายืนอยู่ข้างนอก หัวฉันจะแค่หลังคาศาลาปรก" มองไปประเดี๋ยวเดียว ปรากฏว่าท่านสูงแค่หลังคาศาลาปรก "เอ้า! ฉันจะทำให้สูงกว่ายอดไม้" ประเดี๋ยวเดียว ตัวท่านก็สูงกว่ายอดไม้ ครู่หนึ่งท่านก็ทำตัวย่อลงมา แล้วก็บอกว่าจะทำตัวให้เล็กนิดเดียว ตัวของท่านก็เล็กนิดเดียวจริงๆ ปรากฏว่า ท่านสูงไม่ถึงคืบ ท่านบอกว่าทำให้เล็กกว่านี้ก็ได้ และในที่สุด ท่านก็คลายสมาธิกลับมาอยู่ในสภาพเดิม 

หลวงพ่อปานถามว่า "วิชาอย่างนี้ เรียนได้จากที่ไหน หลวงพ่อสอนผมได้ไหมครับ" 

✏...."เมื่อเธอทำสมาธิได้ เธอทำอย่างนี้ได้ และไม่ใช่จะได้เพียงเท่านี้นะ ทำได้ทุกอย่าง จะเหาะเหินเดินอากาศก็ได้ จะดำดิน เดินน้ำ ทำได้ทุกอย่าง เขาเรียกว่า...สมาบัติ" 

✏..ท่านก็จำคำว่า "สมาบัติ" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แล้วก็สนใจในการประพฤติปฏิบัติ และพยายามท่องหนังสือหนังหา ให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ ท่านเป็นนาคอยู่ ๓ เดือน ต่อมาเมื่อเวลาบวช หลวงปู่คล้ายบอกว่า ถ้าจะบวชก็ไปบอกพ่อแก่ให้ไปนิมนต์ หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล เป็นพระคู่สวด อีกองค์หนึ่งนอกจากฉัน และก็ไปนิมนต์ หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ เพราะพระทั้ง ๒ องค์เก่งกว่าฉัน... 

อ่านต่อตอนต่อไป....
.
.
ที่มา
🙏โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
✍จากหนังสือธรรมปฏิบัติเล่ม ๖๕ หน้า ๑๔-๑๗

ศีลเสมอกัน..จึงคบกันยืนยาว

คบคนแบบไหน.. ก็เป็น “ คนแบบนั้น ”
เพราะ...“ ผึ้ง ”... 🐝
ก็ไม่เคยชวนแมลงวัน..ไปตอมดอกไม้
และ...“ แมลงวัน ”...
ก็ไม่เคยไปกินน้ำหวาน..ในดอกไม้กับผึ้ง

ถ้าคุณ..อยู่กับ “ คนใจกว้าง ” คุณ..จะมี “ สังคมที่กว้างมากยิ่งขึ้น ”

ถ้าคุณ..อยู่กับ “ นักปราชญ์ ” คุณ..จะมี “ ความรู้มากยิ่งขึ้น ”

ถ้าคุณ..อยู่กับ “ คนบุญ ”
คุณ..จะเกิด “ จิตเมตตามากยิ่งขึ้น ”

ถ้าคุณ..อยู่กับ “ คนกล้าหาญ ”
คุณ..จะ “ แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ”

ถ้าคุณ..อยู่กับ “ คนมองโลกในแง่ดี ”
คุณ..จะ “ มีความสุขมากยิ่งขึ้น ”

ถ้า “ ศีล ” ไม่เสมอกัน ก็..อยู่ร่วมกันไม่ได้

ต้องพวกเดียวกัน คุยเรื่องเดียวกัน ถึงอยู่กันได้
คนแบบเดียวกัน..ดึงดูดพวกเดียวกัน
“ ชอบแว้น ” เขา..ก็ไปจับกลุ่มซิ่งรถ
“ ชอบเข้าวัด ” ก็ชวนกันไป..นุ่งขาวห่มขาว ปฎิบัติธรรม

ทำเรื่อง .. ที่ชอบเหมือนกัน
คุยเรื่อง .. ที่ชอบเหมือนกัน

เราสนิทชิดเชื้อ.. กับคนแบบไหน..?
นั่น..!! แปลว่า “ เราเป็นคนแบบนั้น ”

เราคุย, เราคบ กับคนแบบไหน..?
แล้ว “ สบายใจ ” ไม่อึดอัดใจ ...

ให้รู้ไว้เลยว่า ...
เรา..กำลังจะกลายเป็นพวกเดียวกับเขา

“ แมลงวัน ” มันไม่ชวนกัน..ไปกินน้ำหวาน
กินเกสรดอกไม้สวยๆ หรอก ...
มัน..ชวนกันไปกิน แต่ของเหม็น-เน่าเสีย
พวกเดียวกัน..!! มัน..จะชวนกันทำในสิ่ง
... ที่มันชอบเหมือนกัน, คิดเหมือนกัน

ไม่มีใคร “ ตักเตือน ” กันได้
เพราะ... ชอบเหมือนกัน

ถ้าอยากรู้ว่า “ ใครเป็นคนแบบไหน..?
ให้ดูคนที่เขาคุยด้วย..คบด้วยสนิทด้วยก็รู้ ”

เพราะ...ถ้าไม่ใช่พวกเดียวกัน..!!
“ ศีลไม่เสมอกัน มันคบกันไม่ได้หรอก ”

เชื่อไหมว่า .....
“ คุณคือค่าเฉลี่ยคน 5 คน ที่คุณคลุกคลี
และ..ใช้เวลาอยู่ร่วมด้วยมากที่สุด ”
ลองมองดู 5 คน...ในชีวิต
ที่คุณ..ใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุด ในแต่ละวันซิ
คุณ “ ได้รับอิทธิพล” มาจากพวกเขา ไม่มากก็น้อย

ถ้าคุณอยู่กับใคร คุณ..ก็จะได้เป็นสิ่งนั้น
อยากเป็น “ ผึ้ง ” หรือ “ แมลงวัน ”
👉 คุณ...เป็นคนเลือกเอง

#อมตะธรรม หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ

ความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ เรียกว่ามีธรรม

ความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ 
ต่อผู้มีบุญมีคุณ ต่อผู้สูงอายุ ต่อปูชนียบุคคล 
มีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อท่านเหล่านี้ท่านเรียกว่าธรรม 
คือ รู้สูงรู้ต่ำรู้ดีรู้ชั่ว เรียกว่าธรรม 
ความไม่รู้สูงรู้ต่ำรู้ดีรู้ชั่ว หรือความกระด้างหรือด้านไปเลยนั้น 
คือ กิเลส สองอย่างนี้เป็นข้อขัดแย้งกันอยู่ 
ธรรมเป็นธรรมชาติที่ชะล้างสิ่งสกปรกโสมม 
แต่กิเลสเป็นผู้เที่ยวสาดกระจัดกระจายไป
ล้วนแล้วตั้งแต่สิ่งที่สกปรกโสมม 
สาดกระจายไปถึงไหนสกปรกไปถึงนั้น นี่ท่านเรียกว่ากิเลส 
ธรรมะนี้คือน้ำที่สะอาด สาดกระจายไปตรงไหนก็ทำให้สะอาด
แม้แต่ไปรดต้นไม้ใบหญ้าตรงไหนก็สดชื่น นี่คือธรรม 
ให้ลูกหลานทั้งหลายเทียบเอา 
ธรรมจึงเป็นความจำเป็นสำหรับเรา
ผู้เป็นมนุษย์ที่รู้สูงรู้ต่ำ รู้ดีรู้ชั่ว นี่คือธรรม 
อันไม่รู้อะไรเลยไม่สนใจกับดีชั่วประการใดเลย
นั้นท่านเรียกว่ากิเลส

.................................................................
ที่มา
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมคณะนักเรียนโรงเรียนสตรีราชินูทิศ อุดรธานี
เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๓๖
"ทำตัวให้เป็นคนดี"

#การแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลแผ่เมตตาจิต

".. ควรทำเมื่อไหร่และทำแบบไหน 
หลวงปู่แหวน ท่านยืนยันไว้เสมอว่าทำเช่นไร
ดีที่สุด... 

บรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้น เมื่อไม่มีทุกข์มาถึงตัว มักจะไม่เห็นคุณของพระศาสนา มัวเมา ประมาท ปล่อยกายปล่อยใจให้ประพฤติทุจริต ผิดศีลธรรม อยู่เป็นประจำนิสัย เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

ต่อเมื่อได้รับทุกข์เข้า ที่พึ่งอื่นไม่มี นั่นแหละจึงได้คิดถึงพระคิดถึงศาสนา แต่เป็นเวลาที่สายไปเสียแล้ว

เรื่องความดีนั้นเราต้องทำอยู่เสมอ ให้เป็นที่อยู่ของจิต เป็นอารมณ์ของจิต ให้เป็นมรรค คือทางดำเนินไปของจิตมันจึงจะเห็นผลของความดี

ไม่ใช่เวลาใกล้จะตายจึงนิมนต์พระไปให้รับศีล ให้ไปบอกพุทโธ หรือตายไปแล้วญาติจึงเคาะโลงบอกให้รับศีล เช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดหมด

เหตุเพราะว่า คนเจ็บนั้น จิตมัวติดอยู่กับเวทนาไฉนจะมาสนใจใยดีกับศีลได้ เว้นไว้แต่ผู้ที่รักษาศีลมาเป็นปกติเท่านั้น จึงจะสามารถระลึกถึงศีลของตัวได้ เพราะตนเองเคยทำมาจนเป็นอารมณ์ของจิต แล้วเท่านั้น

แต่ส่วนมาก พอใกล้จะตายแล้ว จึงมีผู้เตือนให้รับศีล ยิ่งคนตายแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะคนตายนั้นร่างกายกับจิตใจไม่รับรู้ใดๆ แล้ว แต่ที่ทำมาก็ยังถือว่าเป็นเรื่องดี

ตัวอย่างเช่น พระเทวทัต ทำกรรมมาจนสุดท้ายถูกแผ่นดินสูบ เมื่อร่างลงไปถึงคาง จึงระลึกถึงความดีของพระพุทธเจ้าได้ แล้วขอถวายคางเป็นพุทธบูชา พระเทวทัตยังมีสติระลึกได้ จึงพอมีผลดีอยู่บ้างในอนาคต

การที่พระแผ่เมตตาให้ เขาจะได้รับหรือเปล่า
ก็ไม่รู้ สู้เราทำเอาเองไม่ได้ เราทำให้ตัวเราเอง จะได้มากน้อยเท่าไรก็มีความปีติเอิ่มอิ่มใจมากเท่านั้น.. "

ที่มา
#หลวงปู่แหวน_สุจิณฺโณ 
#วัดดอยแม่ปั๋ง_อำเภอพร้าว_จังหวัดเชียงใหม่
#โครงการหนังสือบูรพาจารย์_เล่ม_๓
***********************************✔️✔️✔️

บุญกุศลมีจริง

ไม่ต้องไปพิสูจน์หรอกว่า นรกมีจริงไหม ?
ทำความชั่วแล้วตกนรก ไม่คุ้มกันหรอกนะ 

พิสูจน์บุญกุศลมีจริงไหมดีกว่า 
ทำความดี แล้วไปเสวยความสุขดีกว่านะ

มองดูในปัจจุบัน 
ในยุคสมัยที่กระแสโลกแรง 
ผู้คนก็มัวแต่หมกมุ่นกับสิ่งในโลก
เห็นแล้วก็น่าสังเวชใจ 

เพราะว่าสิ่งดึงดูดในโลกมันเยอะ 
คนก็ไปให้ค่ากับเรื่องทางโลกมาก 
จิตใจ ก็เร่าร้อนกันมาก 

หลายคนก็ขาดศีล ขาดธรรม 
โลภโมโทสัน เบียดเบียน 
ก่อความเสียหาย ก่อเวรก่อภัย
ความหลงไปทำกรรมแบบนั้น 
ที่นึกว่า มันก็ไม่ได้มีอะไรมาก

แต่เขาไม่รู้เลยว่า ..
ต่อให้ชีวิตบนโลกเขาจะมีเงิน รวย 
แต่จริง ๆ แล้ว กรรมที่ทำไว้ 
เมื่อต้องตาย ต้องตกนรก 
ต้องเสวยความโหดร้ายทารุณขนาดไหน 

น้อย...ที่จะได้เกิดการตระหนักรู้ขึ้นมา 
เราเกิดขึ้นมาในยุค ที่ยังมีพระพุทธศาสนา 
เป็นโอกาสที่เราจะเข้าถึง
สิ่งที่มันเป็นแก่น เป็นสาระที่แท้จริง

ให้ทาน ก็เพื่อละความตระหนี่ในจิตใจ 
รักษาศีล ก็เพื่อละความโกรธ ละความหลง 
การฝึกฝนขัดเกลาตนเอง 
การบำเพ็ญบารมีทั้ง 10 ทัศ 
ก็จะเกิดเป็นบุญกุศล เป็นบุญญาธิการ 

ซึ่งก็เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุขในชีวิตปัจจุบันของเรา 

ควรมีธรรม เป็นหลักของใจ 
จิตใจก็จะคลี่คลาย
จากความเร่าร้อนต่าง ๆ 
มีชีวิตที่ร่มเย็นเป็นสุข 

เรียกว่า ผู้ที่ปฏิบัติธรรม
ก็จะเข้าถึงความสุขในปัจจุบันธรรม นั่นเอง 

และก็พบกับความสุขในสัมปรายภพ 
เมื่อใดต้องจากโลกนี้ไป 
ก็จะได้ท่องเที่ยวไปในสุคติภูมิ 

และก็จะทำให้บรรลุถึงประโยชน์สูงสุด 
เมื่อท่านทั้งหลายได้ฝึกฝนตนเอง 
บำเพ็ญบารมีจนเต็มเปี่ยม 
สามารถที่จะชำระล้างบาป
และอกุศลธรรมต่าง ๆ จนหมดสิ้นไปได้ 

เมื่อนั้นแหละ
ท่านทั้งหลายก็จะเป็นอิสระ
หลุดพ้นจากเภทภัยในวัฏสงสารทั้งปวง
.
ที่มา
ธรรมบรรยาย โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
6 มิถุนายน 2564

พึงระวังนิสัยความคิดและการกระทำของตนอยู่เสมอ







พึงระวังนิสัยความคิดและการกระทำของตนอยู่เสมอ เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นตัวกำหนดชะตากรรมของตัวเราเอง ไปชั่วชีวิต ดังนั้นจงพึงคิดและกระทำแต่ความดีไว้ให้เป็นนิสัย คิดดี พูดดี ปฎิบัติดี เพราะเหตุแห่งกรรมที่จะเกิดขึ้น หากตัวเรานั้นทำอย่างไรไว้ เราย่อมได้รับผลกรรมตามนั้น หนีไม่ได้เลย

น้อมนำคติธรรมคำสอน หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

นึกถึงความตายมีประโยชน์

ประโยชน์ของการนึกถึงความตาย ทำให้เป็นคนไม่ประมาท เพราะรู้ตัวว่าจะตาย จะได้แสวงหาความดีใส่ตัว ถ้ารู้ตัวว่าชาตินี้จนเพราะชาติก่อนให้ทานไว้น้อย ถ้าชาติหน้าไม่อยากจนอีกก็พยายามให้ทานเสมอๆ ตามกำลังทรัพย์ที่พอจะให้ได้ รู้ตัวว่ามีโรคมาก ป่วยไข้ไม่สบายเสมอๆ ของหายบ่อยๆ รูปร่างสวยน้อยไป คนในบังคับบัญชาดื้อด้าน วาจาไม่ศักดิ์สิทธิ์ 

อารมณ์ความจำเสื่อม ถ้าต้องการให้สิ่งบกพร่องเหล่านี้สมบูรณ์ในชาติหน้า จะได้พยายามรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ครบถ้วน แล้วก็จะได้รับอานิสงส์ มีอายุยืน รูปสวย ไม่มีโรคภัยรบกวน ไม่มีภัยจากโจรรบกวนทรัพย์สมบัติ คนในบังคับบัญชาอยู่ในโอวาทเป็นอันดี ไม่มีใครดื้อด้าน มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ก็ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ 

ถ้าเห็นว่ามีปัญญาน้อยไม่ทันเพื่อน ก็พยายามเจริญ สมถวิปัสสนากรรมฐาน พอมีฌานมีญาณเล็กน้อย ในชาติต่อไปก็จะเป็นคนมีปัญญาเลิศ ถ้าเห็นว่าความเกิดเป็นโทษเป็นทุกข์ เพราะการเกิดไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร มีตระกูลสูงส่งประการใดก็ตาม ก็ต้องประสบกับความทุกข์อย่างมหันต์ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต้องการความเกิดอีก ก็เร่งรัดเจริญสมถะให้ได้ฌานต้น แล้วเจริญวิปัสสนาญาณให้จบกิจพระศาสนา 

ซึ่งเป็นของไม่หนักเลยสำหรับท่านที่นึกถึงความตายเป็นปกติ หรือที่เรียกว่าเจริญ มรณานุสสติกรรมฐาน เพราะกรรมฐานกองนี้เป็นกรรมฐานหลักสำหรับเจริญวิปัสสนาญาณ ท่านจะได้ดีเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระอรหันต์ ก็ต้องอาศัยการปรารภความตายเป็นปกติ แม้แต่พระพุทธเจ้ายังเฝ้าคิดถึงความตาย เพราะผู้ที่คิดถึงความตาย รู้ตัวว่าจะตายแล้วย่อมไม่สั่งสมความชั่ว 

คอยปลีกตัวออกจากความชั่ว และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวในเมื่อความตายมาถึงแล้ว เพราะคิดอยู่รู้อยู่เสมอแล้วว่าเราต้องตายแน่ ความตายนี้หานิมิตเครื่องหมายไม่ได้ กำหนดการเกิดหมอบอกได้ แต่กำหนดเวลาตายไม่มีใครกำหนดได้แน่นอนสำหรับปุถุชนคนธรรมดา ท่านเปรียบชีวิตไว้คล้ายกับคนขีดเส้นบนผิวน้ำ ขีดพอปรากฏว่ามีเส้น แล้วในทันทีเส้นที่ขีดนั้นก็พลันสูญไป 

ชีวิตของสัตว์ที่เกิดมาก็เช่นเดียวกัน ความตายรออยู่แค่ปลายจมูก ถ้าสิ้นลมปราณเมื่อไรก็สิ้นสภาวะเมื่อนั้น เอาความยั่งยืนไม่ได้เลย 

จาก : หนังสือคำสอน"ทางสายเอก" โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

18 สิงหาคม 2564

เรื่องคุณไสย

ยกทรง : หลวงพ่อเจ้าคะ เวลาหลวงพ่อรดน้ำมนต์ทีไร ถูกตัวหนูปวดศีรษะทุกครั้ง เป็นเพราะอะไรเ้จ้าคะ

หลวงพ่อ : ดีมาก ทีหลังอย่างนี้ซินะ เอาตัวแมวเข้ามารับแทน

ยกทรง : อ๋อ หนูจะได้พ้นนะ

หลวงพ่อ : ใช่ๆ น่ากลัวจะมีอะไรอยู่ในตัวเีสียอย่างหนึ่ง ที่มันกลัวน้ำมนต์ ใช่ที่เขาเรียกว่าโรคไสยศาสตร์ ที่มันมาโดยที่เขาไม่ตั้งใจ เพราะนักไสยศาสตร์นี่ต้องปล่อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง คือว่าวันอังคาร 1 ครั้ง วันเสาร์ 1 ครั้ง จึงได้มาตามลม ตามแล้งนะ ฉะนั้นทุกคนจงอย่าทำปากให้ไว ถ้ามีอะไรตุ๊บตั๊บ ตึงตังขึ้นมา อย่า อย่าไปทัก พวกนี้ถ้าไม่ทักไม่เข้าตัว ใช่ ถ้าไม่ทัก เฉยๆไม่เข้าตัว ถ้าทักแล้วเข้า

ยกทรง : นี้อย่างลูกก้ง ลูกแก้ว นี่เข้า

หลวงพ่อ : ถ้าทักเปิดโอกาศให้เขา อย่าลืมนะ ก็เมื่อสมัยที่หลวงพ่อปาน ป่วยที่วาระที่จะตายน่ะ ท่านสั่งบอกว่า ก่อนหน้านั้น 4-5 วันคือว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตอนเย็นก่อนที่พระอาทิตย์จะตก ทุกองค์ให้ปิดหน้าต่างด้านตะวันตกให้หมด เพราะเขาจะปล่อยของมา แล้วก็เป็นความจริง พอค่ำไม่เกิน 2 ทุ่ม ปึงปังๆ โป๊ะเป๊ะเลย เหมือนอะไร เหมือนกับลูกกระสุน ใครขว้างกุฏิเข้าไปดู ไม่เห็นมีวัตถุ อีกคืน พอคืนที่ 2 เจ้าลิงเล็กมันซน เขาก็ทำน้ำมนต์ เอาใส่ถังน้ำนี่ 4 ถัง ไปวางไว้ ดัก พอปุ๋ง จ๋อม ปุ๋ง จ๋อม ลงถัง เข้าไปดูตะปูบ้าง ขวานบ้าง มีดโต้บ้าง เหล็ก เหล็กยาวๆขนาดนี้นะ เลื่อยตัดเหล็กบ้าง ผูกกันมาเป็นไอ้ผูกอย่างนี้ถ้าเข้าตัวก็ตาย มาคืนที่ 3 ประมาณตี 2 เสียงดังวู้ด ดังมากเหมือนของใหญ่ๆ ต้านลมมา ไปหน้าโบสถ์ ถูกต้นอะไร หางนกยูง โป้ง ดังสนั่นเลย เสียงอ๊อด ไอ้ต้นหางนกยูงน่ะโอบไม่รอบนะ ล้มทั้งต้นเลย เช้าขึ้นมา หลวงพ่อพ่อปานบอก นั่นครกนะ เขาจะเอาฉันให้ตาย เราก็ไปหาครกไม่พบ ทำอย่างไร ท่านเลยทำน้ำมนต์ให้ไป พรมไป พรมมา พรมมันดะไปนะ ก็พรมแถวนั้นนะ ไม่ไปไหนหรอก สักครู่หนึ่ง ไอ้ครกมันค่อยๆโต ขนาดนี้ สักประเดี๊ยวเดียว ไม่ถึงชั่วโมง โตเต็มลูก นั่นถ้าถูก ไมทันเช้าล่ะ ตายเลย

ยกทรง : ตายก่อนเช้าอีก

หลวงพ่อ : ใช่ ต้นหางนกยูงขนาดโอบไม่รอบยังล้ม มันล้มชัด โอ๊ด แต่ท่านสั่งเลยว่าได้ยินเสียงอะไรอย่าทักเป็นอันขาด นี่ต้องระวังนะ อย่านึกว่ามีของป้องกัน อันนี้จะเปิดทางให้เขาน่ะสิ ถ้าทักเป็นการเปิดทางให้ จะต้องทำปากเงียบไว้

ยกทรง : อ๋อ อย่างนี้เวลาอะไรก๊อกแก๊กๆ ทำเฉยไว้

หลวงพ่อ : ก็ไม่แน่ขโมยมา (หัวเราะ) อันนี้ไม่ก๊อกแก๊ก มันจะกระทบแรง เหมือนใครขว้างบ้าน เสียงหล่นตุ๊บตับ ที่ดินนี่นะ ทำเฉย สังเกตุดูก่อนว่าอะไรกันแน่

หนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติเล่ม 13 หน้า 457

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย
ที่มาของวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 18 สิงหาคม
             พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระอัจฉริยภาพสูงยิ่ง ทรงเป็นทั้งกวี นักประพันธ์ นักวิชาการ นักภาษาศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักบริหารนักการเมือง นักการทูต และที่สำคัญสูงสุด คือ ทรงเป็น เจ้าแผ่นดิน ขณะผนวชทรงพยายามทำนุบำรุงพุทธศาสนาให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์ ของศาสนา และในฐานะพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำวิชาการสมัยใหม่ เพื่อพัฒนาประเทศ ทรงรักษาชาติให้อยู่รอดปลอดภัย

           พระองค์มีพระราชภารกิจมากมาย ขณะที่สถานการณ์บ้านเมืองเต็มไปด้วยความยากลำบาก และอยู่ในภาวะล่อแหลมจากแผนการล่ออาณานิคม แต่พระองค์ก็ทรงดำเนินการต้านกระแส คลื่นยักษ์ของการล่าเมืองขึ้นได้สำเร็จ ทรงวางรากฐานการปฏิรูปและการพัฒนาประเทศชาติ แต่เนื่องด้วยทรงมีเวลาเพียง 17 ปี ในช่วงที่ทรงครองราชย์ ทั้งยังต้องทรงใช้เวลาในการศึกษา เรียนรู้วิทยาการต่าง ๆ ด้วยพระองค์เองอยู่นานหลายปี

ขณะที่พสกนิกรชาวไทยยังไม่มีการศึกษามากนัก สถานการณ์บ้านเมืองจึงยังไม่พร้อมรับการ เปลี่ยนแปลงใด ๆ หากแต่พระองค์ทรงพยายามวางรากฐานทางการศึกษา ทรงโน้มน้าวให้ ประชาชนยอมรับวิทยาการแผนใหม่และมีเหตุผลมากขึ้น พระราชภารกิจหลายอย่างจึงมามี สัมฤทธิผลในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชโอรสของพระองค์ เป็นส่วนใหญ่

           เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี ในปี พ.ศ. 2525 คณะนักวิทยาศาสตร์ไทย โดยสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้นำเสนอผลการศึกษาวิจัย ถึงพระอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์ด้านดาราศาสตร์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ศึกษาโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ขาว เหมือนวงศ์ นักดาราศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยขอนแก่น และคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระราชสมัญญานามพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย เพื่อทรงเป็นมิ่งขวัญของวงการวิทยาศาสตร์ของชาติสืบไป จึงเป็นที่มาของ วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 18 สิงหาคม มาจนทุกวันนี้

 
ด้านวิทยาศาสตร์
                เป็นที่ยอมรับกันว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาราศาสตร์ ทรงมีความเชี่ยวชาญทางด้านดาราศาสตร์เทียบเท่ากับนักดาราศาสตร์สากล พระองค์ทรงวางรากฐานที่จะนำวิทยาการใหม่ของตะวันตก ตลอดจนความรู้ทางวิทยาศาสตร์แผนใหม่ และเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการบริหารประเทศอย่างระมัดระวัง และดัดแปลงให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์ของประเทศ สิ่งใดแปลกใหม่ แม้ไม่ทรงได้เคยรู้มาก่อนก็ทรงตั้งพระทัยติดตามศึกษาหาความรู้ด้วยน้ำพระทัยของนักวิทยาศาสตร์

เมื่อนักวิทยาศาสตร์ไทยได้มีการประชุมกัน เพื่อพิจารณาหาวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ได้ตกลงมีมติเลือกวันที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงคำนวณคาดหมายไว้ว่าจะเกิดสุริยุปราคาที่ ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 เป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ และเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐบาลสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 14 เมษายน อนุมัติให้วันที่ 18 สิงหาคม เป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 เป็นต้นไป และได้ประกาศยกย่องว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็น พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย นับว่าเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง

ผลงานทางวิทยาศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นการวางพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย ได้แก่ งานทางด้านการวิจัย และการสถาปนาเวลามาตรฐาน

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...