.. เราไม่มีใคร มีเราคนเดียวในโลกใบนี้
ร่างกายกับเราไม่ไช่คนเดียวกัน "เรา" ในภาษาบาลีเรียกว่า "จิต" แต่นักปฏิบัติที่ได้ทิพจักขุญาณ เขาเรียกว่า อทิสสมานกาย
ร่างกาย ต้องแก่..ต้องป่วย ร่างกายเป็นโรคะนิทธังเป็นรังของโรค ปะภังคุนัง ต้องเปื่อยเน่าเป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ ร่างกายจะตายก็ดี มันตายเมื่อไรเราสบายเมื่อนั้น นั่นหมายถึงพระนิพพาน นะ
เราก็มีจิตวางเฉยในร่างกาย ยึดอารมณ์พระอรหันต์ มันจะแก่มันจะป่วยก็เป็นเรื่องของมัน ต้องวางเฉยในมัน ถ้ามันจะตายนะดี ใครด่าใครว่าก็วางเฉยเราไปนิพพาน เราพอใจในนิพพาน ความทุกข์ในร่างกาย ก็ไม่มี อทิสสมานกาย แปลว่า ร่างกายที่ไม่สามารถจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า อย่างบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่ได้มโนมยิทธิ ขึ้นไปบนสรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี ไปนิพพานก็ตาม หรือไปไหนก็ตาม ไอ้ตัวนั้นมันไป ร่างกายที่เป็นเนื้อมันไม่ได้ไปด้วย ตัวนั้นจริงๆคือ เรา เราคือจิตหรืออทิสสมานกาย
ร่างกายมันไม่ไช่เรา..ไม่ไช่ของเรา..ร่างกายไม่มีในเรา เราไม่มีในร่างกาย เราไม่สามารถบังคับร่างกายได้ ร่างกายประกอบด้วยธาตุ ๔ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ รวมกันขึ้นเป็นร่างกาย แล้วก็มีอาการ ๓๒ เมื่อถึงวาระที่มันจะตายเราก็บังคับมันไม่ได้ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยงแต่ความตายเป็นของเที่ยง ก่อนจะตายต้องเตรียมพร้อมเพื่อพระนิพพาน
เราคือใคร
พระพุทธเจ้าสอนว่า เรานี่ไม่มีใครหรอก มีเราคนเดียวเท่านั้นในโลกนี้ บอกว่า มีพ่อ มีแม่ มีพี่ มีน้อง มีผัว มีเมีย มีลูก มีหลาน นั้นจริงตามสมมติ แต่เนื้อแท้จริง ๆ ไม่มี เราคนเดียว เราหิวไม่มีใครมาหิวด้วย เราป่วยเราก็ป่วยคนเดียว เพื่อนฝูงญาติพี่น้องข้าทาสหญิงชายเขามาเยี่ยมเป็นกลุ่ม เขาไม่ยักป่วยพร้อมกับเราด้วย ก็คือ เราป่วยคนเดียว เวลาตายก็ตายคนเดียว
แล้วร่างกาย เรืองร่างที่เราอาศัยชั่วคราว เป็นบ้านเช่าเท่านั้น มันก็ไม่ไช่เรา เราคือจิต ซึ่งสถิตอยู่ในบ้านหลังนี้คือร่างกาย ร่างกายมันจะมีขึ้นมาได้ก็เพราะอาศัยเหตุเป็นปัจจัย ธรรมใดเกิดแต่เหตุพระพุทธเจ้าตรัสเหตุธรรมนั้น
ความเกิดมันจะปรากฏขึ้นมาได้ก็อาศัย กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม
จิตกับวิญญาณ หนังสือที่เขียน เขียนเคล้ากัน บางทีเอาเรื่องของจิตไปเขียนกับวิญญาณ ความจริงจิตกับวิญญาณควรแยกกันออก
จิตมีสภาพคิด วิญญาณคือความรู้สึก สมัยนี้เราเรียก ประสาทไอ้ตัววิญญาณมันตายไปพร้อมกับร่างกายที่ตาย จิตไม่ได้ตายไปด้วย จิตไปสู่ภพต่าง ๆ ตามบุญบาปของเรา ถ้าบาปเกาะจิต จิตก็ไปนรกก่อน สู่อบายภูมิก่อน ถ้าบุญเกาะจิต จิตก็ไปสวรรค์ ไปพรหม ไปนิพพาน ต่างกันตรงนี้นะ
เราคือจิตที่เรียกว่า อาทิสสมานกาย คือ เข้าไปสิงอยู่ในกายเนื้อนี้ กายประเภทนี้เราจะรู้ได้ด้วยอาการฝัน การที่เราฝัน เรานอนอยู่ตรงนี้ แต่ทว่าไปโน่นไปนี่ ไปนั่นไปไหนก็ไป พอถึงเวลาตื่นขึ้นมา อารมณ์อย่างนั้นมันกลับสู่กาย ถ้ารู้สึกว่าหนีใครเขามา กายที่นอนอยู่ตื่นขึ้นมามันจะเหนื่อย
เป็นอันว่า อทิสสมานกาย ที่เรียกกันว่า จิต คือกายที่เราฝันนั้นแหละ ที่เราไม่สามารถจะได้เจโตปริยญาณ ทิพจักขุญาณ แต่รู้ได้ภายในคือกายที่เราฝัน เราฝันไป..ท่องเที่ยวไป..ไม่ได้เอากายเนื้อไปด้วย มีความรู้สึกเหมือนเราไปในฝัน
ฉะนั้น อาทิสสมานกาย คือกายในนี้ ถ้ากายนอกพังเมื่อไร มันก็ต้องไป ไปไหน ถ้าจิตสกปรกก็ไปนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ถ้าจิตสะอาดเล็กน้อยก็ไปสู่สวรรค์ชั้นกามาวจร ถ้าจิตมีอารมณ์ตั้งมั่น ก็ไปพรหม ถ้าเป็นจิตสะอาดที่ไม่มีความชั่วสักนิดเจือปนก็ไป พระนิพพาน
หนังสือพ่อสอนลูก หน้าที่ ๒๖๓~๒๖๔ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น