"หลวงปู่ตื้อฯ นิมิตฝันก่อนออกบวช...มีตาปะขาว ๒ คน และมีพระเถระ ๒ รูป กายนั้นเป็นรัศมี...มาหาท่าน"
》ก่อนที่ท่านจะออกบวชบรรพชาเป็นพระภิกษุนั้น ท่านได้นิมิตอันดีงามแก่ตัวของท่านเอง ก่อนคืนที่ท่านจะออกบวชนั้น ตอนกลางคืนท่านได้นิมิตฝันว่า ได้มีชีปะขาวหรือตาปะขาว ๒ คน เข้ามาหาท่าน คนหนึ่งแบกครกหิน อีกคนถือสากหิน มาหยุดตรงหน้าของท่าน แล้วหลังจากนั้นตาปะขาวก็วางครกและสากลง ตาปะขาวคนแรกได้พูดขึ้นว่า "ไอ้หนู แกยกสากนี้ออกจากครกได้ไหม" ท่านก็ได้ตอบตาปะขาวคนนั้นไปว่า "ขนาดเสาเรือนผมยังแบกคนเดียวได้ ปะสาอะไรกับของเพียงนี้" ว่าแล้วท่านก็เดินเข้าไปพยายามยกสาก แต่ยกเท่าไหร่ๆ ก็ยกไม่สำเร็จจนถึงวาระที่ ๓ (รอบที่ ๓) จึงสามารถยกสากหินนั้นขึ้นได้ เมื่อยกได้แล้วก็เอาสากนั้นตำลงในครกและตำไปเรื่อยๆ มองดูในครกก็เห็นมีข้าวเปลือกเต็มไปหมด ท่านจึงพยายามตำข้าวเปลือกทั้งหลายเหล่านั้นจนกลายเป็นข้าวสารไปหมด แล้วตาปะขาวก็หายไป เมื่อตาปะขาวหายไป จากนั้นก็ปรากฎว่า ได้มีพระเถระ ๒ รูป มีกิริยาอาการน่าเคารพเลื่อมใสมาก ทั้งกายของท่านนั้นเป็นรัศมี ท่านก็นึกว่าคงเป็นพระอริยะเจ้าผู้วิเศษ ท่านก็จึงเดินตรงเข้าไปหาแล้วก็พูดว่า "หนูน้อย (หลวงปู่ตื้อ) เจ้ามีกำลังแข็งแรงมาก" พูดเพียงแค่นั้นก็หายไปอีก แล้วท่านก็ตื่นนอน
รุ่งเช้าท่านมาพิจารณาถึงเรื่องที่ท่านฝันเมื่อตอนกลางคืนเห็นเป็นเรื่องแปลกและพิศดารมาก นึกแต่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหนอ แต่ท่านคิดแต่เพียงว่าเป็นเรื่องที่ดีจะต้องเกิดขึ้นกับท่านเอง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ก็เป็นเวลาที่จะต้องไปนาเพื่อไล่ควายให้มาอยู่ใกล้ๆ เพราะเป็นฤดูทำนาแล้ว แต่ในใจยังนึกถึงเหตุการณ์ที่ฝันไปเมื่อคืนนี้อยู่ว่าจะต้องมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแน่นอน เป็นเพราะท่านมีนิสัยรักความสงบอยู่แล้วจึงคิดขึ้นมาว่า สมควรที่เราจะต้องบวชเพื่อประพฤติธรรมดูบ้าง คิดว่าพรุ่งนี้จะต้องออกไปอยู่วัดอีกเพื่อจะได้บวชเป็นพระภิกษุ แล้วจะได้มีโอกาสประพฤติธรรมอย่างจริงจังบ้าง และก็เป็นเช่นที่คิด พอรับประทานอาหารเย็นวันนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้วบิดาท่านก็บอกว่า กินข้าวอิ่มแล้วให้รีบไปหาคุณปู่สิมเสีย เพราะปู่ท่านมาหาลูกถึงบ้านแต่เวลายังวัน ท่านอาจารย์ตื้อนึกสงสัยว่าจะมีเรื่องอะไรก็ไม่ทราบ ท่านจึงรีบไปหาปู่สิมทันที เมื่อไปถึงบ้านปู่สิมเรียบร้อยแล้ว ปู่สิมเปิดประตูข้างในเรือนและเรียกให้ท่านเข้าไปหา พอท่านอาจารย์ตื้อเข้าไปในห้อง เห็นมี ผ้าไตร จีวร บาตร และเครื่องบริขารสำหรับบวชพระ แล้วท่านปู่ก็ยื่นขันดอกไม้ที่เตรียมเอาไว้ให้พร้อมกับพูดว่า
"เห็นมีแต่หลานคนเดียวเท่านั้นที่สมควรจะบวชให้ปู่ เพราะปู่ได้เตรียมเครื่องบวชไว้เรียบร้อยแล้ว แต่หาคนบวชไม่ได้ จึงให้หลานได้บวชให้ปู่สัก ๑ พรรษา หรือได้สัก ๗ วันก็ยังดี ขอให้บวชให้ปู่ก็เป็นพอ จะนานเท่าไรก็ได้ไม่เป็นไร"
ท่านได้รับปากกับปู่สิมซึ่งเป็นปู่ของท่านทันที แต่ขอไปบอกลาพ่อแม่เสียก่อน เมื่อท่านอนุญาตให้ก็จะได้บวชตามที่ปู่ต้องการ พ่อแม่ของท่านเมื่อได้ยินลูกชายเล่าให้ฟังเช่นนั้นจึงได้กล่าวคำอนุโมทนาสาธุการแสดงความยินดีกับลูกชายเป็นอย่างยิ่ง《
***ขออนุโมทนา ขอขอบคุณเจ้าของภาพและข้อความ ภาพนี้ตัดแต่งใหม่ ขออนุญาตเผยแผ่เป็นธรรมทานให้แก่ผู้ที่มีความศรัทธา ข้อความข้างบนนี้เป็นส่วนหนึ่ง จากหนังสือ "อจลธัมมานุสรณ์" ที่ระลึก เนื่องในงานทำบุญทอดกฐิน ณ ป่าอรัญวิเวก ต.บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ หน้า ๔ - ๕ สาธุๆๆ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น