อนาคามี แปลว่า ผู้ไม่ครองเรือน แต่อยู่บ้านได้ หมายความว่า อยู่เฉยๆ อยู่อย่างพระ อารมณ์ของพระอนาคามี และพระอรหันต์ ตัดความพอใจในการเกิดเป็นมนุษย์ การเกิดเป็นเทวดา และการเกิดเป็นพรหมเสีย เอาจิตมุ่งปรารถนาอย่างเดียวคือพระนิพพาน นี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์นะ เป็นการตัดอวิชชา
อวิชชา เขาแยกเป็น ๒ จุด คือฉันทะกับราคะ
#ฉันทะ มีความพอใจในมนุษยโลก เทวโลก และพรหมโลก
#ราคะ เห็นว่ามนุษยโลก เทวโลก พรหมโลกเป็นของดีน่าอยู่
อวิชชา ท่านแปลว่า ไม่รู้ แต่สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)ท่านแปลว่า "รู้ไม่ครบ" ท่านบอกว่า คนที่เกิดมาในโลกไม่รู้อะไรเลยไม่มี ถ้าตัดอวิชชาได้ตัวเดียวไม่ต้องไปตัดอื่น ตัดอวิชชาตัวเดียวได้ก็เป็นพระอรหันต์ ไหวไหม?
พระอนาคามีเป็นผู้ทรงอธิจิต การปฏิบัติจิตนี่อย่ารุกรานทางกายทางใจ เรียกว่าเป็น "อัตตกิลมถานุโยค" เป็นการทรมานตัว การจะได้ฌานสมาบัติ หรือการจะบรรลุมรรคผลในอาการ ๔ คือ นั่ง นอน ยืน เดิน ทั้ง ๔ อย่างนี้มีผลเสมอกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนั่งจะนั่งท่าไหนก็ได้
ถ้าภาวนา หรือ พิจารณาอยู่ก็ตาม ถ้าอารมณ์ มันซ่านคุมไม่อยู่ก็เลิกเสีย เวลาอื่นยังมีอยู่ไม่ใช่มีเวลานี้เวลาเดียว ต้องใช้วิธียืดหยุ่น
อารมณ์พระอนาคามี เริ่มต้นให้สังเกตศีล พอจิตเข้าเขตของพระอนาคามีมรรค ตอนนี้จิตจะเริ่มพอใจในศีล ๘ และสามารถจะทรงได้ด้วยความเต็มใจ พอเริ่มเข้าเขต ดีไม่ดีก็ถอยหลังกลับได้นะ ถ้าไม่ถอยต้องถึงอนาคามีผล อันนี้เป็นเครื่องสังเกตจุดหนึ่ง
แล้วจุดที่ ๒ องค์ของพระอนาคามีผล ก็คือหมดความรู้สึกในเพศ หมดความรู้สึกในโกรธ แต่อาการของโกรธยังมีอยู่ บางทีเขาไม่โกรธเราคิดว่าเขาโกรธ อย่างเช่น การดุด่าสั่งสอนผู้ใต้บังคับบัญชา
เราจับจุดของพระอนาคามี เราจับจุดไหนก่อนเป็นเรื่องตามใจ ไม่จำเป็นต้องเรียงตามลำดับ ดูกำลังใจในการปฏิบัติ อย่างไหนเบาสำหรับเรา #กามฉันทะ หรือ #โทสะ ถ้าจุดไหนเบาตัดจุดนั้นก่อน
วิธีจะตัดกามฉันทะก็ค่อยๆคิดค่อยพิจารณา อารมณ์ฌานที่ทรงตัวนี่บางครั้งทำให้บุคคลคิดว่าเป็นพระอรหันต์ คือ ฌานถ้ามีอารมณ์แน่นมันก็หมดความรู้สึกในความรัก ความโลภ ความโกรธ และความหลง แต่กิเลสมันไม่ได้หมดไป แต่อารมณ์ฌานกดกิเลสไว้
การพิจารณาอารมณ์ของตัวเองก็ใช้แบบนี้ ขณะใดที่เรามีอารมณ์ทรงฌานก็เป็นกำลังของฌาน เวลาที่ทำสมาธิอารมณ์มันหนักแน่นมาก อย่างนี้ถือว่าเป็นอารมณ์ของฌานโลกีย์
พอจิตจับวิปัสสนาญาณ ฌานมันยังคงอยู่ พอวิปัสสนาญาณเข้าถึงใจอารมณ์ประเภทนั้นมันก็คลายตัวลง อารมณ์ใจมีความรู้สึกเบา บางท่านคิดว่าฌานของเราเสื่อมแล้ว แต่ความจริงไม่เสื่อม เพราะ วิปัสสนาญาณนี้เป็นตัวตัดกิเลส เมื่อเข้าถึงใจก็ตัดกิเลสให้มันเล็กลงๆ บางท่านมีกำลังน้อยลงและมีความรู้สึกว่า กำลังตกลงและมีความสบายยิ่งกว่าฌานโลกีย์
☆..#วิธีตัดกามฉันทะ
สร้างความรู้สึกว่า คนก็ดี สัตว์ก็ดี วัตถุธาตุในโลกทั้งหมดก็ดี ไม่มีอะไรสะอาด ร่างกายคนก็เต็มไปด้วยความสกปรก วัตถุธาตุร่างกายของสัตว์ ก็สกปรก แล้วก็มันมีทางเสื่อมไปตามลำดับ แก่ลงไปทุกวัน ขณะยังไม่ตายก็มีอาการป่วยไข้ไม่สบายมาเบียดเบียนอยู่เสมอในที่สุดมันก็ตาย อาศัยอะไรจริงๆไม่ได้เลย
นั่งคิดต่อไปว่า ตั้งแต่เป็นพระโสดาบันกับสกิทาคามี เรามุ่งมั่นเป็นพระอรหันต์ เรามุ่งมั่นในพระนิพพาน เราไม่ปรารถนาในเทวโลกพรหมโลก
เราก็มานั่งดูเทวดากับพรหม ท่านไปเกิดวันแรกก็เป็นหนุ่มเป็นสาว อายุกี่กัปก็มีสภาพกายอย่างนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง ร่างกายเทวดากับพรหมไม่มีอะไรสกปรก แต่ว่าเรายังไม่นิยม เราไม่ต้องการ เราต้องการพระนิพพาน ก็ค่อยๆคิดไปนะ
เราต้องเหนื่อย ต้องยากหาที่สุดมิได้ ขณะทรงชีวิตอยู่เพราะร่างกายนี้เป็นสำคัญ เราต้องลำบากเพราะร่างกาย เรานั่งพิจารณาแบบเบาๆ
ใคร่ครวญกายเราและก็เทียบร่างกายของคนอื่น ในเมื่อเราไม่คบกายเราได้ใจเราก็ไม่คบกายของบุคคลอื่นเป็นการตัดกามราคะ
ตัดสินใจไว้เสมอว่า มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก เราไม่ต้องการ ถ้าได้มโนมยิทธิ จิตจับพระนิพพานจุดเดียวตายแล้วไปอยู่ที่นั่น
#หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี
หนังสือพ่อสอนลูก หน้า ๒๘๓-๒๘๕
#เพจคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
พิมพ์เพื่อธรรมทานโดย..
🖋..Moddam Thammawong
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น