31 ตุลาคม 2566

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น #อย่ากลัวทุกข์เพราะทุกข์เป็นของจริง

🙏ขอน้อมกราบบูชาคุณพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่งของลูกตลอดชีวิต กราบบูชาพระธรรมคำสอนสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาและกราบบูชาคุณพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุก ๆ พระองค์ ด้วยความเคารพยิ่ง
    🔶ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น🔶
⚜️ #อย่ากลัวทุกข์เพราะทุกข์เป็นของจริง

🙏สมเด็จองค์ปฐม ได้ทรงพระเมตตาตรัสสอนดังนี้

๑. #อย่ากลัวทุกข์เพราะทุกข์นั้นเป็นของจริง อันเป็นของคู่กันมากับขันธ์ ๕ #มีชาติทุกขาเป็นต้น #เมื่อประสบกับความทุกข์ก็จงอย่ากล่าวโทษผู้อื่น #กฏของกรรมเกิดได้เพราะตัวของเราทำเอาไว้เอง #จงหมั่นทำจิตให้ยอมรับ #ชดใช้กฏของกรรมนั้นไปโดยสงบ

๒. #มองด้วยตาปัญญาให้เห็นโทษของกรรมมาจากสาเหตุอันใด มองแล้วจงยอมรับว่าเหตุมาจากการล่วงละเมิดปัญจเวรทั้ง ๕ หรือ กรรมบถ ๑๐ ข้อใดข้อหนึ่ง อันมีเราเป็นผู้กระทำผิดด้วยความหลงมาแต่กาลก่อน

๓.จิตมีความหลงผิด จึงใช้กาย-วาจา กระทำอย่างผิด ๆ กาลนั้นจิตเรายังไม่มีปัญญา จึงเห็นผิดเป็นชอบ เพลานี้พวกเจ้าได้รับการอบรมทางปัญญามาพอสมควร อย่าให้อารมณ์มิจฉาทิฏฐิ มันเข้าครอบงำจิตให้เกิดความโง่เขลาเบาปัญญาขึ้นอีก

๔. #พยายามพยุงกำลังของจิตเอาไว้ด้วยอานาปานัสสติกรรมฐานให้ดีๆ #ใช้วิปัสสนาภาวนาพิจารณาถึงกฏของความเป็นจริงอย่างถ่องแท้ ใช้ความพยายามดูอารมณ์ที่ฟอกจิตอยู่ให้เห็นว่า ขณะใดมีโมหะ-โทสะ-ราคะ เข้าครอบงำอยู่บ้าง แล้วพยายามใช้กรรมฐานแก้จริตเข้าทำลายอารมณ์เศร้าหมองเหล่านั้น จนกว่าจิตจะผ่องใสขึ้นมาได้ ทำให้เป็นปกติ #พยายามดูอารมณ์ของจิตอยู่ตลอดเวลา ให้นำไปใคร่ครวญพิจารณาและปฏิบัติด้วย #จักให้ได้ผลดีก็ต้องไม่ทิ้งอิทธิบาท๔

============================
📚ที่มาข้อธรรมคำสอนจากหนังสือ
📙 ธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ เล่มที่ ๔ หน้าที่ ๔๕-๔๖
🙏พระราชพรหมยานมหาเถระ
 หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
🙏รวบรวมโดย : พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

🖍️👸ผู้เขียนพิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทานโดย 
Apinya Wongthong 🙏 
      

#อดีตชาติหลวงพ่อฤาษี 13 ชาติ

🔱#ที่เกิดตั้งแต่สมัยโยนกนคร #จนถึงรัตนโกสินทร์🔱

ลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และเพื่อช่วยเหลือคนไทย และช่วยให้พระพุทธศาสนามีอายุครบ 5000 ปี

✴️ #วาระที่ 1 เกิดเป็นพระเจ้ามังราย รัชกาลที่ 2 แห่งโยนกนคร เป็นลูกชายพระเจ้าอชุตราช ในชาตินั้นท่านเป็นผู้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ดอยตุง โดยการนำมาของพระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ 

✴️ #วาระที่ 2 เกิดสมัยโยนก เป็นเณรน้อยอายุ 7 ปีทรงฌานสมาบัติ แต่ได้ถูกขอมดำกระทำย่ำยี เวลานั้นขอมดำมายึดเมืองโยนกนครได้แล้ว แล้วทำการกดขี่ข่มเหงรังแกคนไทย
เณรจึงเข้าฌานสมาบัติ ตั้งจิตอธิษฐานว่า เกิดคราวหน้าขอให้ได้เกิดมาเป็นคนไทย และได้ช่วยคนไทยทุกแง่ทุกมุม
มิไม่ใช่เฉพาะการรบ การเศรษฐกิจ การปกครอง แม้แต่การรบทุกอย่างให้ครบถ้วน ให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส "พอตั้งจิตอธิษฐานก็ไม่ถอนจากฌานสมาบัติ ก็นั่งทรงฌานอย่างนั้นจนตาย แล้วไปเกิดเป็นพรหม ชั้นที่ 11

✴️ #การเกิดครั้งที่3 หลังจากตายจากเณรน้อย ไปเป็นพรหมชั้นที่11ได้เพียง1ปีเศษ ก็ลงมาเกิดเป็น "พระเจ้าพรหม มหาราช" เป็นโอรสของพระเจ้าพังคราช รัชกาลที่ 37 ในสมัยโยนกนคร มีพี่ชายชื่อทุกภิขะ( บริเวณพระธาตุจอมกิตติ ดอยตุง เป็นเขตเมืองโยนกนคร) เกิดพร้อมสหชาติที่เป็นพรหม เทวดา ลงมาเกิดพร้อมกัน 250 คน ทั้ง 250 คน เกิดเป็นผู้ชายทั้งหมด พรหมอีกองค์นึงเกิดเป็นช้างประกายแก้ว ช้างคู่บารมีพระเจ้าพรหม ลงมาเกิดเพื่อกู้ชาติให้พ้นความเป็นทาสจากขอมดำ และทำสำเร็จด้วย ทุกวันนี้วันอาสาฬหบูชาที่วัดท่าซุงก็มีการแห่ชัยชนะพระเจ้าพรหมทุกๆปี

✴️ #การเกิดในวาระที่4 หลังจากที่ตายจากการเป็นพระเจ้าพรหมสมัยโยนก แล้วเข้าฌาณตาย กลับไปเป็นพรหม เวลาผ่านไปอีก 800 ปีลงมาเกิดเป็นพระร่วงโรจนฤทธิ์ ตอนเด็กมีนามว่าอรุณกุมาร เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก มีวิชาอาคม มีวาจาสิทธิ์ สามารถเสกขอมให้เป็นหินได้ และขยายอาณาเขตของประเทศไทย (ตอนนั้นยังไม่เป็นเทศไทย )กว้างใหญ่ไพศาล ยึดมอญ พม่าขอมไว้ได้หมด อาณาจักรยาวเหยียด เวลานั้นคือก่อนเมืองสุโขทัย 700 ปีเศษ ก่อนหน้าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ 700ประมาณปีเศษ

✴️ #วาระที่5 เกิดเป็น"พ่อขุนศรีเมืองมาน"( เป็นพ่อของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งอณาจักรสุโขทัย) ตายจากพระร่วงโรจนฤทธิ์ก็เข้าฌานตาย กลับไปเป็นพรหมเช่นเดิม กลับมาเกิดวาระที่5 เป็นพ่อขุนศรีเมืองมาน มีสหชาติเกิดมาด้วยคือ พ่อขุนน้าวนําถมลงมาช่วยกู้ชาติไทยจากขอมดำ ขยายอาณาเขตประเทศไทยไปถึงสิงคโปร์ มีภรรยาชื่อพรรณวดีศรีโสภาศ เป็นเมียเอก และมีเมียราษฏร์อีก 29 คน พอเมียเอกตาย ก็บวชไม่สึกอีกเลย เข้าฌานตายแล้วไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม

✴️ #วาระที่6 "ขุนหลวงพระงั่ว" รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงศรีอยุธยา ต่อมาคนไทยเกิดแบ่งเป็น 2 พวก จึงต้องลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็น1เดียว ลงมาเกิดในราชวงศ์อู่ทอง เป็น"ขุนหลวงพระงั่ว" มาปลุกจิตสำนึกคนไทยให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ จึงนิมนต์พระสงฆ์มาร่าง"ไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วง พระร่วงไม่ได้ทำ
ท่านเป็นเพียงแต่ศาสนูปถัมภ์
ไตรภูมิพระร่วง เป็นการร่วมมือกันระหว่างสุโขทัยและกรุงศรี 
และยังได้ร่วมกันสร้างพระพุทธชินราชพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศากยมุนีขึ้นมาเป็นมิ่งขวัญของเมืองไทย เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าประเทศไทยจะทรงตัวได้ด้วยเหตุ 3 อย่างด้วยกัน
คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
พระพุทธชินราช หมายถึง พระมหากษัตริย์ พระพุทธชินสีห์ หมายถึง พระศาสนา พระศากยมุนี หมายถึง ชาติ
การสร้างครั้งนี้ก็เป็นหน้าที่ของท้าวโกสีย์สักกะเทวราชให้พระวิษณุกรรมมาช่วย ขุนหลวงพระงั่วได้มารวมสุโขทัยกับอยุธยาเป็นประเทศเดียวกัน

✴️ #เกิดวาระที่7 ต่อมาลงมาเกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงศรีฯ ครั้งนี้เป็นลูกชาวบ้าน แต่เป็นลูกมหาเศรษฐี มีแม่ชื่อปิ่นทอง พ่อชื่อกองแก้ว ท่านเองเป็นลูกชายชื่ออำไพ ลงมาช่วยคน ให้เงินให้ทอง ให้ที่ทำกิน ช่วยการเกษตร ช่วยทุกสิ่งทุกอย่าง ให้การศึกษา จนคนไทยเป็นปึกแผ่นแน่นหนาพอ ประชาชนมีความสุข และท่านก็ตายไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม

✴️ #วาระที่ 8 เกิดมาในตระกูลของแม่ทัพสมเด็จพระพันวสา คือสมเด็จพระอินทราธิราช มีนามว่า "ขุนไกร" (#ขุนแผน) เป็นอันว่าชาตินี้ขุนแผนต้องรวบรวมไทยอาศัยที่มีวิชาการมาก เป็นนักรบเก่ง
ล่องหนหายตัวได้ สะเดาะกลอนได้
ทำหุ่นพยนต์ได้ ทำอะไรได้แปลกๆ
การยกทัพไปก็ไม่ต้องใช้กำลังคนมาก
ก็สามารถจะสู้ข้าศึกได้

✴️ #วาระที่ 9 เกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ มีนามว่าพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อพระบรมไตรโลกนาสวรรนคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิมไม่ช้าไม่นานก็ต้องเสด็จลงมาเกิดอีก

✴️ #วาระที่10 เกิดสมัยพระนารายณ์ ท่านลงมาเกิดเป็น"ขุนเหล็ก"
หรือพระยาโกษาเหล็ก เกิดควบคู่กับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นเพื่อนเล่นกัน ขุนเหล็กมีน้องชายชื่อว่าขุนปาน หรือพระยาโกษาปาน ทั้งสองพระองค์ เป็นที่ไว้วางใจของสมเด็จพระนารายณ์มาก 
#บั้นปลายชีวิตลากิจราชการไปจำศีลเจริญภาวนาวิปัสสนาญาณ ให้ทาน ตายจากเจ้าพระยาโกษาเหล็ก ก็เข้าฌานกลับไปเป็นพรหมตามเดิม
(#ท่านไม่ได้ตายตามประวัติศาสตร์เขียนไว้หรอกนะ)

✴️ #วาระที่11 ลงมาเกิดมาเป็นขุนดาบคู่ใจของพระเจ้าตากสินมหาราช คือพระยาศรีสิทธิสงคราม อยู่ในกองทัพหลวงประจำองค์พระเจ้าตากสินมหาราชสมัยกรุงธนบุรี ก่อนกรุงศรีจะแตก เป็นกำนันจัน ชื่อว่า #จันหนวดเขี้ยว เป็นที่รักของประชาชน ต่อมาค่ายบางระจันแตก 
✴️ #นายจันหนวดเขี้ยวไม่ได้ตายไปตามประวัติศาสตร์ที่เขียน 
นายจันหนวดเขี้ยวจึงมารวมกำลังกับพระเจ้าตากสินกู้ชาติ ต่อมาพระเจ้าตากสินจึงเปลี่ยนชื่อให้จากกำนันจัน มาเป็นพระยาศรีสิทธิสงคราม ประจำกองทัพหลวง (ด้วง- นายจันหนวดเขี้ยว- พระยาศรีสิทธิสงคราม -เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก-และ #สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก 

✴️ #วาระที่12 มาเกิดเป็น รัชกาลที่ 5 แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ 

✴️ #วาระที่13 ชาติสุดท้ายเกิดมาเป็น
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง 

🖋️📚หนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ 
⚜️พระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)⚜️
🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย
🧘จิตหนึ่งประภัสสร สุดยอดคือพระนิพพาน

30 ตุลาคม 2566

พรหมโลกชั้น #สุทธาวาสภูมิ๕

พรหมโลก


           บุคคลที่จะไปบังเกิดในชั้นสุทธาวาสภูมิได้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา พรหมอย่างใดก็ตามจะต้องเป็น พระอนาคามีปัญจมฌานลาภิบุคคล บุคคลอื่นนอกจากนี้แม้จะได้ปัญจมฌานก็ตามบังเกิดที่ไม่ได้ สุทธาวาสภูมิแบ่งออกเป็น ๕ ชั้น ตามอำนาจของอินทรีย์ ๕

อนาคามี แปลว่า ผู้ไม่มาเกิดอีก หมายความว่าจะไม่กลับมาเกิดในกามาวจรภพอีก แต่จะเกิดใน พรหมโลก อีกเพียงครั้งเดียว แล้วจะบรรลุอรหันต์แล้วนิพพานบนพรหมโลกนั้น 
               เมื่อพระอนาคามีใกล้จะจุติ(ตาย) แม้ว่าชีวิตท่านจะไม่เคยได้ฌานใด ๆ มาก่อนเลย แต่อำนาจของตติยะมรรค หรือ ความเป็นอนาคามี "ฌาน" จะบังเกิดขึ้นแก่ท่านโดยอัตโนมัติ (จตุตถฌาน) ในระยะก่อนตาย(ที่เรียกว่า มรณาสันนะวิถี) แล้วอำนาจแห่งฌานนั้น จะพาท่านไปบังเกิดใน พรหมชั้นสุธาวาส ที่มี 5 ชั้น การไปเกิดชั้นไหน ขึ้นอยู่กับการบรรลุเป็นอนาคามีด้วยกำลังแบบใด (หมายถึงเมื่อ อนาคามีมรรคจิต เกิดขึ้นในขณะที่ท่านกำลัง เจริญวิปัสสนากรรมฐาน) มีดังนี้

1. บรรลุเป็นอนาคามี ด้วยกำลังแห่ง ศรัทธา จะไปบังเกิดเป็นพรหมในชั้น อวิหา
2. บรรลุเป็นอนาคามี ด้วยกำลังแห่ง วริยะ จะไปบังเกิดเป็นพรหมในชั้น อตัปปา  
3. บรรลุเป็นอนาคามี ด้วยกำลังแห่ง สตินทรีย์ (สติ) จะไปบังเกิดเป็นพรหมในชั้น สุทัสสา
4. บรรลุเป็นอนาคามี ด้วยกำลังแห่ง สมาธิ จะไปบังเกิดเป็นพรหมในชั้น สุทัสสี
5. บรรลุเป็นอนาคามี ด้วยกำลังแห่ง ปัญญา จะไปบังเกิดเป็นพรหมในชั้น อกนิฎฐา

ท่านบรรลุด้วยกำลังใดเป็นหลัก เพียงอย่างหนึ่งอย่างใด แต่มิได้หมายความว่าท่าน จะไม่มีกำลังอื่นเลย เช่น ท่านบรรลุด้วยกำลังแห่ง "สมาธิ" เป็นหลัก ท่านก็มีกำลังอื่น ๆ ด้วยทั้ง ศรัทธา วิริยะ สติ ปัญญา แต่กำลังแห่ง สมาธิ มากกว่า หรือ หนักกว่ากำลังอื่น

ส่วนปุถุชน ที่บรรลุ จตุตถฌาน แต่มิได้บรรลุเป็นพระอนาคามี ไปเกิดในพรหมในชั้น เวหัปผลา และ อสัญญสัตตา

อายุชั้นพรหมสุทธาวาสภูมิ

สุทธาวาสพรหม มี 5 ชั้น เป็นภพของพระอนาคามี (รูปภพชั้นสูงสุด)
     1. อวิหา มีอายุ 1,000 กัป
     2. อตัปปา มีอายุ 2,000 กัป
     3. สุทัสสา มีอายุ 4,000 กัป
     4. สุทัสสี มีอายุ 8,000 กัป
     5. อกนิฏฐา มีอายุ 16,000 กัป

ปล. รูปสร้างจากBing Ai สามารถแชร์หรือนำไปใช้ได้ตามความเหมาะสมครับ🙏

ขอบคุณข้อมูลจาก: anakame.comและเว็บไซต์พันทิป

29 ตุลาคม 2566

เพราะเหตุใดพระพุทธเจ้าองค์แรกหรือสมเด็จองค์ปฐม จึงมาสอนพวกเรา**

**เพราะเหตุใดพระพุทธเจ้าองค์แรก (พระพุทธสิขีทศพล) หรือเรียกย่อ ๆ ว่าสมเด็จองค์ปฐม จึงมาสอนพวกเรา**
**กรรมฐานทั้งหลายมาแต่เหตุ นี่คือคำย่อของอริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นตัวปัญญาหรือวิปัสสนาสูงสุดในพุทธศาสนา และมีแต่พุทธศาสนาเท่านั้น ศาสนาอื่น ๆ ไม่มี พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ต่างก็บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าด้วยอริยสัจ ๔ ทั้งสิ้น **ที่ยกจุดนี้มาก็เพราะปัจจุบันนี้มีพระพุทธเจ้ามาแสนกว่าองค์แล้ว แต่เพราะเหตุใดพระพุทธเจ้าองค์แรก (พระพุทธสิขีทศพล) หรือเรียกย่อ ๆ ว่าสมเด็จองค์ปฐม จึงมาสอนพวกเรา ซึ่งหัวดื้อ หัวรั้นขี้เกียจทุกคน

มีคำสอนตอนหนึ่งที่พระองค์ตรัสว่า เวลาไปไหนอย่าไปคนเดียว** ให้ไปกับพระ ๔ องค์**

**องค์ที่ ๑ คือ ตถาคตหรือสมเด็จองค์ปฐม ให้ครอบคลุมร่างกายเธอไว้**

**องค์ที่ ๒ คือ สมเด็จองค์ปัจจุบัน เพราะพวกเธอต้องการเป็นสาวกของท่าน ให้เอาไว้ที่ศีรษะ**

**องค์ที่ ๓ คือ หลวงพ่อปาน วัดบางโคนม ให้เอาไว้ที่หน้าอก**

**องค์ที่ ๔ คือ ท่านฤๅษี(หลวงพ่อ)ให้เอาไว้ที่ฐานเหนือสะดือ**

**ทรงตรัสว่า...**

**ลูกศิษย์ท่านฤๅษีนั้นส่วนใหญ่ ล้วนเป็นลูก - หลานของท่านมาก่อนทั้งสิ้น และส่วนใหญ่ก็เป็นลูกหลานของหลวงพ่อปาน วัดบางโคนม ทั้งสิ้น**

**ตถาคตเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกในโลก จึงต้องบำเพ็ญ บารมีมานานกว่าธรรมดา คือ นานถึง ๔๐ อสงไขย กำไรแสนกัป เพื่อวางหลักสูตรของพระพุทธเจ้าไว้ ๓ พวก**

**ก) ปัญญาธิกะต้องใช้เวลา ๔ อสงไขยกำไรแสนกัป**

**ข) ศรัทธาธิกะต้องใช้เวลา ๘ อสงไขยกำไรแสนกัป**

**ค) วิริยาธิกะต้องใช้เวลา ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป**

ผมไม่ขออธิบายรายละเอียด แต่เน้นให้พวกเรารู้ว่าพวกเราส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของพระองค์ท่าน (สมเด็จองค์ปฐม) ปัจจุบันนี้มีพระพุทธเจ้ามาแสนกว่าองค์แล้ว มันเป็นเวลาเท่าไหร่แล้วนับไม่ถ้วนหรือนับไม่ได้เลย

พวกเรายังเป็นพาลเกเรอยู่จนถึงปัจจุบัน ไม่รู้จักไปพระนิพพานกันเสียทีเพราะกฎของกรรมซึ่งเที่ยงเสมอและให้ผลไม่มีผิดด้วย

**กฎของกรรมทรงตรัสไว้ว่าเป็นอริยสัจขั้นสูง ก็คือกรรมทั้งหลายมาแต่เหตุนี่แหละ ถึงเวลาแล้วที่ควรจะรีบเร่งปฏิบัติธรรมกันอย่างจริงจังเสียที เพื่อไปพระนิพพานกันให้หมด**

**เพราะเหตุนี้แหละพระองค์จึงเมตตาพวกเรา ตามมาแนะนำสั่งสอนวิธีปฏิบัติธรรมเพื่อนำไปสู่ความพ้นทุกข์ ซึ่งผมได้รวบรวมพิมพ์แจกให้เป็นธรรมทาน**

พวกเราที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระองค์ ต่างก็ช่วยกันทำบุญเป็นธรรมทาน ซึ่งชนะทานทั้งปวง เพื่อทำให้เกิดปัญญาตัดกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ให้หมดไปโดยเร็วที่สุด คือภายในชาตินี้ทุกคน (ถ้าเอาจริงเอาจัง)

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๔

พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ผู้รวบรวม

#สมเด็จองค์ปฐม5** **#ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น5

ทุกข์" (ทุกขอริยสัจ)

"#ทุกข์" (ทุกขอริยสัจ) "#ควรกำหนดรู้"
   ขอนอบน้อมจิต แด่ #ภควาอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ผู้ตรัสรู้ได้เองโดยชอบ
ภาษาไทย ฉบับหลวง เล่ม๑๐/ หน้า ๒๒๖/ ข้อ ๒๙๔
    ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คืออริยสัจ ๔ อยู่
      ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคืออริยสัจ ๔ อยู่ อย่างไรเล่า    
      ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า
      นี้ทุกข์
      นี้ทุกขสมุทัย
      นี้ทุกขนิโรธ    
      นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ฯ

      ภิกษุทั้งหลาย ก็ #ทุกขอริยสัจเป็นไฉน
      แม้ชาติก็เป็นทุกข์
      แม้ชราก็เป็นทุกข์
      แม้มรณะก็เป็นทุกข์
      แม้โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ก็เป็นทุกข์
      แม้ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์
      แม้ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์
      ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์
      โดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ ฯ
 
      [๒๙๕] ภิกษุทั้งหลาย ก็ชาติเป็นไฉน
      ความเกิด
      ความบังเกิด
      ความหยั่งลงเกิด
      ความเกิดจำเพาะ
      ความปรากฏแห่งขันธ์
      ความได้อายตนะ ในหมู่สัตว์นั้น ๆ ของเหล่าสัตว์นั้น ๆ
      อันนี้เรียกว่า ชาติ ฯ

      ก็ชราเป็นไฉน
      ความแก่
      ภาวะของความแก่
      ฟันหลุด
      ผมหงอก
      หนังเป็นเกลียว (หนังเหี่ยว)
      ความเสื่อมแห่งอายุ
      ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้น ๆ ของเหล่าสัตว์นั้น ๆ
      อันนี้เรียกว่า ชรา ฯ

      ก็มรณะเป็นไฉน
      ความเคลื่อน
      ภาวะของความเคลื่อน
      ความแตกทำลาย
      ความหายไป
      มฤตยู
      ความตาย
      ความทำกาละ
      ความทำลายแห่งขันธ์
      ความทอดทิ้งซากศพไว้
      ความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้น ๆ ของเหล่าสัตว์นั้น ๆ
      อันนี้เรียกว่า มรณะ ฯ
    
      ก็โสกะเป็นไฉน
      ความแห้งใจ
      กิริยาที่แห้งใจ
      ภาวะแห่งบุคคลผู้แห้งใจ 
      ความผาก ณ ภายใน
      ความแห้งผาก ณ ภายใน ของบุคคลผู้ประกอบด้วยความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง
      ผู้ถูกธรรมคือทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว
      อันนี้เรียกว่า โสกะ ฯ
   
      ก็ปริเทวะเป็นไฉน
      ความคร่ำครวญ
      ความร่ำไรรำพัน
      กิริยาที่คร่ำครวญ  
      กิริยาที่ร่ำไรรำพัน
      ภาวะของบุคคลผู้คร่ำครวญ
      ภาวะของบุคคลผู้ร่ำไรรำพัน ของบุคคลผู้ประกอบด้วย
ความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง
      ผู้ถูกธรรมคือทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว
      อันนี้เรียกว่า ปริเทวะ ฯ

      ก็ทุกขะเป็นไฉน
      ความลำบากทางกาย
      ความไม่สำราญทางกาย
      ความเสวยอารมณ์อันไม่ดีที่เป็นทุกข์เกิดแต่กายสัมผัส
      อันนี้เรียกว่า ทุกขะ ฯ

      ก็โทมนัสเป็นไฉน
      ความทุกข์ทางจิต
      ความไม่สำราญทางจิต
      ความเสวยอารมณ์อันไม่ดีที่เป็นทุกข์เกิดแต่มโนสัมผัส
      อันนี้เรียกว่า โทมนัส ฯ

      ก็อุปายาสเป็นไฉน
      ความแค้น
      ความคับแค้น
      ภาวะของบุคคลผู้แค้น 
      ภาวะของบุคคลผู้คับแค้น ของบุคคลผู้ประกอบด้วยความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง 
      ผู้ถูกธรรมคือทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว
      อันนี้เรียกว่า อุปายาส ฯ

      ก็ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ เป็นไฉน
      ความประสบ   
      ความพรั่งพร้อม
      ความร่วม
      ความระคน
      ด้วย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ หรือด้วยบุคคลผู้ปรารถนาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ปรารถนาสิ่งที่ไม่เกื้อกูล ปรารถนาความไม่ผาสุก ปรารถนาความไม่เกษมจากโยคะ ซึ่งมีแก่ผู้นั้น
      อันนี้เรียกว่า ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ ฯ

      ก็ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นทุกข์ เป็นไฉน
      ความไม่ประสบ   
      ความไม่พรั่งพร้อม
      ความไม่ร่วม
      ความไม่ระคน
      ด้วย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หรือด้วยบุคคลผู้ปรารถนาประโยชน์ ปรารถนาสิ่งที่เกื้อกูล ปรารถนาความผาสุก ปรารถนาความเกษมจากโยคะ คือ มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย พี่หญิง น้องหญิง มิตร อมาตย์ ญาติสาโลหิต ซึ่งมีแก่ผู้นั้น
      อันนี้เรียกว่า ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นทุกข์ ฯ

      ก็ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์ เป็นไฉน
      ความปรารถนาย่อมบังเกิดแก่สัตว์ผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า
      โอหนอ
      ขอเราไม่พึงมีความเกิดเป็นธรรมดา
      ขอความเกิดอย่ามีมาถึงเราเลย
      ข้อนั้นสัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
      แม้ข้อนี้ ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์
      ความปรารถนาย่อมบังเกิดแก่สัตว์ผู้มีความแก่เป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า
      โอหนอ
      ขอเราไม่พึงมีความแก่เป็นธรรมดา
      ขอความแก่อย่ามีมาถึงเราเลย
      ข้อนั้นสัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
      แม้ข้อนี้ ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์
      ความปรารถนาย่อมบังเกิดแก่สัตว์ผู้มีความเจ็บเป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า
      โอหนอ
      ขอเราไม่พึงมีความเจ็บเป็นธรรมดา
      ขอความเจ็บอย่ามีมาถึงเราเลย
      ข้อนั้นสัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
      แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้น ก็เป็น ทุกข์
      ความปรารถนาย่อมบังเกิดแก่สัตว์ผู้มีความตายเป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า
      โอหนอ  
      ขอเราไม่พึงมความตายเป็นธรรมดา
      ขอความตายอย่ามีมาถึงเราเลย
      ข้อนั้นสัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
      แม้ข้อนี้ ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์
      ความปรารถนา ย่อมบังเกิดแก่สัตว์ผู้มีโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส เป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า
      โอหนอ
      ขอเราไม่พึงมีโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส เป็นธรรมดา
      ขอโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส อย่ามีมาถึงเราเลย
      ข้อนั้นสัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
      แม้ข้อนี้ ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์ ฯ

      ก็โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ เป็นไฉน
      อุปาทานขันธ์
      คือ
      รูป   
      เวทนา
      สัญญา
      สังขาร
      วิญญาณ
      เหล่านี้เรียกว่า โดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ ฯ

      ภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขอริยสัจ ฯ
                      ----------------
ขอนอบน้อมจิตกราบ : 🙏#พระธรรมวินัย ที่พระตถาคตทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว ไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง และไพเราะในที่สุด
   ขอน้อมจิตอนุโมทนาส่วนแห่งบุญส่วนแห่งกุศล : 🙏#ต่อผู้มีอุปการะคุณที่รวบรวมสืบค้นเทียบเคียงพระสูตรขององค์พระตถาคตตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบันกาล..น้อมจิตกราบ..สาธุ สาธุ.สาธุ.คะ

28 ตุลาคม 2566

อารมณ์พระโสดาบัน หลวงพ่อฤาษี*

**ท่านพระยายมราชบอก อารมณ์พระโสดาบัน หลวงพ่อฤาษี**
เรื่องที่ ๔๕ ก่อนจะตายเป็นพระโสดาบันตายแล้วไปอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต
 
 
 “**..อาตมาพยายามหาวิธีสอนวิชา “มโนมยิทธิ” ที่ง่ายที่สุดและมีผลสมํ่าเสมอกัน เพื่อให้บรรดาพุทธบริษัทเห็นสวรรค์ เห็นพรหมโลก เห็นพระนิพพาน เห็นนรก เปรต อสุรกายได้ รู้อดีตรู้อนาคตได้ และเป็นการพิสูจน์ว่า “ตายแล้วไม่สูญ” ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใดก็ยังต้องเกิดอีก อาตมาพยายามหาวิธีนานถึง ๒๓ ปี**

เพราะถ้านำวิธีที่ปฏิบัติสมัยบวชอยู่กับหลวงพ่อปานมาสอน ก็จะฝึกได้ยากมาก ต้องมีกำลังใจเข้มแข็งและใช้เวลานานมาก เป็นการฝึกแบบเอากายเนื้อขึ้นไปข้างบน ไม่ใช่เอาจิตคืออทิสสมานกายขึ้นไปอย่างการฝึกมโนมยิทธิในปัจจุบัน แค่การฝึกแบบเต็มกำลังก็ยังทำได้ยากสำหรับบางท่าน ความรู้การฝึกมโนมยิทธินี้อาตมาได้มาจาก อาจารย์สุข ซึ่งเป็นฆราวาส

เวลานั้นอาจารย์สุขก็ยังดื่มเหล้าอยู่ ต่อมาวันหนึ่งอาตมาได้เห็นคนที่ดื่มเหล้าในวงเดียวกันเกิดท้าทายกันขึ้นมาว่า
 คนในวงเหล้า “ไอ้สุข เขาว่ามึงสอนคนไปสวรรค์ ไปนรกได้ใช่ไหม?”
 อาจารย์สุข “ใช่”
 
 คนในวงเหล้า “กูไม่เชื่อว่าสวรรค์มี นรกมี และกูก็ไม่เชื่อความสามารถในคำสอนของมึง”

อาจารย์สุข “ถ้าหากว่ากูสอนให้มึงเห็นนรกได้หรือว่าเห็นสวรรค์ได้ มึงจะยอมเสียเหล้าให้กู ๑ ขวด ไหมล่ะ”
 คนในวงเหล้า “ถ้ามึงทำให้กูไปไม่ได้ มึงต้องเสียเหล้าให้กู ๑ ขวดด้วยนะ”
 เป็นอันว่า อาจารย์สุขก็สั่งให้หาดอกไม้มา ๓ ดอก ดอกละสี ธูป ๓ ดอก เทียนหนัก ๑ บาท๑เล่ม เงิน ๑ สลึง เป็นค่ายกครู

หลังจากนั้นอาจารย์สุขก็ไปกลิ้งครกตำข้าวมา แล้วให้คนนั้นนั่งบนครกตำข้าวแล้วก็ให้ภาวนาว่า “นะมะ พะธะ”

หลังจากนั้นท่านก็พรมนํ้ามนต์ เมื่อพรมเสร็จแล้วท่านก็ยืนอยู่ใกล้ๆ แล้วท่านก็ภาวนาว่า “นะโมพุทธายะ” เป็นการควบคุม สักครู่หนึ่งท่านก็เอาธูปหอมมาจุดให้ควันธูปโรยใกล้ๆ จมูกคนนั้นให้ได้กลิ่นหอม แล้วเอากระดาษจุดไฟช่วยแสงสว่างไปส่องข้างหน้า แล้วท่านก็ถามว่า
 อาจารย์สุข “**สว่างแล้วหรือยัง**”
 คนฝึก “**สว่างแล้ว**”
 
 อาจารย์สุข “**เห็นแสงขาวๆ พุ่งลงมามีไหมหรือแสงสว่างพุ่งออกไปมีไหม**”
 คนฝึก “**เห็นแสงสว่างพุ่งลงมาจากข้างบน**”
 อาจารย์สุข “**ถ้าอย่างนั้นตัดสินใจพุ่งกายไปตามแสงทันที**”
 คนฝึก “**เวลานี้ออกจากกายแล้ว**”
 อาจารย์สุข “**ถ้าอย่างนั้นตั้งใจไปนรก**”
 คนฝึก “**เวลานี้ถึงนรกแล้ว และก็อธิบายความเป็นไปของนรกได้ถูกต้องตามไตรภูมิ แล้วก็ร้อง บอกว่า อยากจะพบคุณปู่ที่ตายไปแล้ว**”
 
 อาจารย์สุข “**นึกถึงท่านพระยายมราช เชิญท่านมาสงเคราะห์**”

คนฝึก “**เวลานี้ท่านพระยายมราชมายืนข้างๆ แล้ว**”
 อาจารย์สุข ให้ถามท่านว่า “**คุณปู่ชื่อนี้ตายไปเมื่อใด เวลานี้อยู่ในนรกไหม**”
 คนฝึก “**ท่านพระยายมราชบอกว่า ในนรกไม่มีคนนี้และคนนี้เมื่อมีชีวิตอยู่มีความดีมากคือ”
 ๑) คนนี้มีศีล ๕ ครบถ้วนมานานเป็นเวลาถึง ๓๐ ปี
 ๒) มีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์จริง
 ๓) คนนี้มีจิตอยากจะไปพระนิพพาน
 **
 อาจารย์สุข ให้ถามท่านพระยายมราชว่า “**ท่านไปพระนิพพานหรือยัง**”

คนฝึก “**ท่านพระยายมราชบอกว่า ยัง คนนี้ไปอยู่สวรรค์ชั้นดุสิตเพราะก่อนจะตายเป็น
 พระโสดาบัน”** และได้ถามว่า “**พระโสดาบันมีความประพฤติอย่างไรบ้าง**”
 **อารมณ์พระโสดาบัน**
 
 ท่านพระยายมราชก็บอกว่า
 **๑) มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันจะต้องตาย คือไม่ประมาทในความตาย
 ๒) เคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์จริง
 ๓) มีศีล ๕ บริสุทธิ์
 ๔) คิดต้องการจุดเดียวคือ พระนิพพาน**
 
 ท่านพระยายมราช ถ้ามีความประพฤติอย่างนี้ เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้ว บาปกรรมทั้งหมดจะไม่สามารถจะลงโทษอีกต่อไป ถ้าไปถึงพระนิพพานไม่ได้ อย่างชั้นดุสิตต่อไปก็สามารถฟังเทศน์จากพระศรีอาริยเมตไตรยจบเดียว ก็เป็นพระอรหันต์ไปพระนิพพานเลย
 **คนฝึก คนอย่างผมจะเป็นพระโสดาบันได้ไหม
 
 **ท่านพระยายมราช “**อย่างนี้มันเป็นไม่ได้หรอก มันต้องเป็นสัตว์นรก เพราะการที่จะมานี่ก็กินเหล้ามา เหล้านี่กินเฉยๆ ไม่มีโทษอย่างอื่นเลย ก็ต้องตกยมโลกียนรกแล้ว**” พร้อมทั้งชี้ให้ดูนรก
 คนฝึกร้อง “**ว๊าก ตายแล้ว**”
 ท่านพระยายมราช ถ้ากินเหล้าแล้วโกหกมดเท็จด้วย ก็ยังมีอีกขุมหนึ่ง ถ้ากินเหล้าแล้วทำร้ายคนอื่นด้วยก็มีอีกขุมหนึ่ง ถ้าบาปหนักกว่านี้ก็ต้องลงนรกขุมใหญ่ อันนี้เป็นนรกเล็กๆ เศษๆ นรก เขาเรียกว่า “**ยมโลกียนรก**”
 คนฝึกก้มลงกราบท่านพระยายมราชแล้วบอกว่า “**ถ้าผมจะเป็นคนมีศีลบริสุทธิ์และปฏิบัติตามอย่างปู่จะไปเหมือนปู่ได้ไหม**”
 
 ท่านพระยายมราช “**ได้ ทำไมจะไม่ได้ ให้ทำดังนี้**
 ๑) **ให้ลืมความชั่วทั้งหมด ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท สุราเมรัย ที่ผ่านมาแล้วทั้งหมดเลิกกัน ไม่คิดถึงมัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แล้วรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์**
 **๒) ไม่ลืมคิดว่า สักวันหนึ่งข้างหน้าเราจะต้องตาย
 ๓) ถ้าเราตายแล้วจะไม่ยอมมานรกอย่างที่ยืนอยู่ที่นี่เพราะมันทุกข์เราไม่ต้องการ ถ้าไปสวรรค์หรือพรหมหมดบุญวาสนาบารมี ก็ต้องพุ่งหลาวลงนรกเพราะบาปเก่าที่มีอยู่ ฉะนั้นเราต้องการมุ่งไปจุดเดียวคือ ไปพระนิพพาน อารมณ์อย่างนี้ถ้าทรงตัวเขาเรียกว่า พระโสดาบัน**
 รวมความว่า ท่านคุยกันอยู่นานประมาณครึ่งชั่วโมงเศษ คนฝึกคนนั้นก็ถอนตัวกลับ แล้วลุกขึ้นกราบอาจารย์สุข และก็มอบเงินค่าเหล้าให้

แล้วจึงหันมาบอกอาตมาว่า “**นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปขึ้นชื่อว่า ศีล ๕ ผมจะมีครบถ้วนครับ และผมจะไม่ลืมความตาย ผมเห็นนรกแล้ว ไม่ไหวจริงๆ ผมกินเหล้าหน่อยเดียวคนในนรกเบรกกันครึ่บๆ**”
 
 ปรากฏว่านับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อาจารย์สุขก็เลิกกินเหล้าเหมือนกันและก็ไม่ละเมิดศีล ๕ อาศัยคนฝึกคนนั้นเป็นเหตุ ความจริงอาจารย์สุขท่านทำได้น่าจะเลิกดื่มเหล้าได้ แต่บางครั้งการทำความดีก็ขึ้นอยู่กับกาลเวลาของแต่ละคนว่ากุศลกรรมจะส่งผลเมื่อใด **เมื่ออาตมาเรียนจากอาจารย์สุขแล้วในปี ๒๕๐๘ ก็นำมาสอนคนไปได้มาก..”**

#ตายแล้วไปไหน_หลวงพ่อฤาษี2

#รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์14 #หลวงพ่อฤาษี7

ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้ หัดตายก่อนตาย

"..คิดให้เห็นชัดในขณะนั้นว่า เมื่อตายแล้วตนจะมีสภาพอย่างไร ร่างที่เคยเคลื่อนไหวได้ก็จะหยุดนิ่ง อย่าว่าแต่จะลุกขึ้นไปเก็บรวบรวมเงินทองข้าวของที่อุตส่าห์สะสมไว้เพื่อนำไปด้วยเลย จะเขยิบให้พ้นแดดพ้นมดสักนิ้วสักคืบก็ทำไม่ได้
สามี ภริยา มารดา บิดา บุตรธิดา ญาติสนิท มิตรสหาย ทั้งหลาย ที่เคยรักห่วงใยกันนักหนา ก็ไม่มีใครมาอยู่ด้วยเลยแม้สักคน

อย่าว่าแต่จะเข้าไปนั่งไปนอนในโลงศพด้วยเลย แม้แต่จะนั่งเฝ้าอยู่ข้างโลงทั้งวันทั้งคืนก็ยังไม่มีใครยอม

เมื่อความตายมาถึง ไม่มีผู้ใดจะสามารถถนอมรักษาหวงแหนทะนุบำรุงร่างกายของตนไว้ได้ แม้สมบัติพัสถานที่แสวงหาไว้ระหว่างมีชีวิตจนเต็มสติปัญญาความสามารถ ด้วยเล่ห์ด้วยกลก็ตาม เพื่อใช้ทะนุถนอมรักษาเชิดชูบำรุงร่างของตน ก็ติดกับร่างไปไม่ได้เลย

เป็นจริงดังพุทธศาสนสุภาษิตว่า
"ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้.."

พระนิพนธ์ "สมเด็จพระญาณสังวร"

การปฏิบัติที่จะให้ สีล สมาธิ ปัญญา ดำรงอยู่ได้เสมอนั้น จะกระทำอย่างไร.

คำตอบ ของ พุทธทาสภิกขุ
พ.ศ. ๒๔๘๑ ข้อ ๑ ถึง ๒๓

๑. ปัญหา : การปฏิบัติที่จะให้ 
                   สีล สมาธิ ปัญญา 
                   ดำรงอยู่ได้เสมอนั้น 
                   จะกระทำอย่างไร.
ตอบ : ต้องเจริญไว้เสมอๆ 
เปนธรรมดาอย่างยิ่ง 
เช่นเดียวกับที่เมื่อไม่อยากให้ไฟดับ
ก็ต้องคอยเติมเพิ่มฝืนไว้เสมอ. 
ศีลสมาธิปัญญาในขั้นนี้คือขั้นที่มัก
จะไม่ค่อยมีเสียเสมอนี้
เป็นฝ่ายสังขารธรรม คือ
ต้องมีอะไรเปนปัจจัยปรุงแต่งมันไว้ 
จึงว่าเหมือนกับต้องใส่ฟืนเพิ่มเข้าไว้.   
หิริโอตตัปปะ เปนฟืนของสีล,
ธรรมปีติ เปนฟืนของสมาธิ,
และสมาธิ เปนฟืนของปัญญา.
ถ้าเติมถ่านเติมฟืนไว้ เสมอ
มันก็ดำรงอยู่ได้เรื่อย.

วินาทีบรรลุธรรม พระอรหันต์มีจริง นิพพานแล้วไม่สูญ

หนังสือ วินาทีบรรลุธรรม พระอรหันต์มีจริง นิพพานแล้วไม่สูญ เล่ม ๕
นิพพานแล้วไม่สูญ
ปรากฏการณ์แห่งการเข้าถึงนิพพานของหลวงปู่มั่นตามคำบอกเล่าของหลวงตามหาบัวยังไม่จบแค่นั้น
ทั้งหลายทั้งปวงที่เล่ามาทั้งหมดนี้ว่าเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มากแล้ว แต่ประสบการณ์ที่กำลังจะตามมาต่อไปนี้เป็นความอัศจรรย์ที่อัศจรรย์ยิ่งขึ้นไปอีก
เป็น “ความอัศจรรย์” ที่อยู่เหนือ “ความอัศจรรย์” อีกชั้นหนึ่ง ชนิดที่เรียกว่าเป็นการท้าทายความเข้าใจในเรื่องสภาวะของ “นิพพาน” ตามจารีตที่เชื่อถือกันมาเลยก็ว่าได้

ต่อไปนี้คือ “ความอัศจรรย์เหนืออัศจรรย์” อันเป็นสิ่งที่หลวงตามหาบัวทรงจำมาจากคำบอกเล่าของหลวงปู่มั่น พระอรหันต์องค์สำคัญที่สุดองค์หนึ่งในยุคสมัยของเรา

“หลังจากท่านเดินทางมาถึงดินแดนวิมุตติแล้ว คืนต่อมา มีพระพุทธเจ้าพร้อมพระอรหันต์สาวกจำนวนมากเสด็จมาอนุโมทนาวิมุตติธรรมกับท่านเสมอมิได้ขาด

คืนนั้น พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นกับสาวกบริวารเป็นจำนวนหมื่นเสด็จมาเยี่ยม คืนนั้น พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นกับสาวกบริวารเป็นจำนวนแสนเสด็จมาเยี่ยม คืนนั้น พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นมีสาวกบริวารเท่านั้นเสด็จมาเยี่ยมอนุโทนา

จำนวนพระสาวกที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาแต่ละพระองค์มีจำนวนไม่เท่ากัน ทั้งนี้ ท่านว่าขึ้นอยู่กับวาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่ไม่เหมือนกัน

บรรดาพระสาวกจำนวนมากของแต่ละพระองค์ที่ตามเสด็จมานั้น มีสามเณรตามเสด็จมาด้วยครั้งละไม่น้อยเลย ท่านสงสัยจึงพิจารณาก็ทราบว่า คำว่า ‘พระอรหันต์’ ในนามธรรมนั้นมิได้หมายเฉพาะพระ แต่สามเณรที่มีจิตบริสุทธิ์หมดจดก็นับเข้าในจำนวนอรหันต์สาวกด้วย”

เมื่อพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกทั้งหลายเสด็จมาแล้วก็ได้ประทานโอวาทและอนุโมทนากับหลวงปู่มั่นที่สามารถบรรลุนิพพาน หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

ในโอกาสเดียวกันนั้น หลวงปู่มั่นได้กราบทูลถามว่า ในเมื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลายและพระอรหันต์ทั้งหลายนิพพานแล้ว เหตุใดจึงเสด็จมาด้วยร่างกายในลักษณะเช่นนี้ได้

“ท่านพระอาจารย์กราบทูลว่า ข้าพระองค์ทราบพระตถาคตและพระอรหันต์อันแท้จริง ไม่สงสัย ที่สงสัยก็คือ พระองค์ทั้งหลายกับพระสาวกท่านเสด็จไปด้วย ‘อนุปาทิเสสนิพพาน’ไม่มีส่วนสมมุติเหลืออยู่เลย แล้วเสด็จมาในร่างนี้ได้อย่างไร ?

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งแม้มีความบริสุทธิ์ทางใจด้วยดีแล้ว แต่ยังครองร่างอันเป็นส่วนสมมุติอยู่ ฝ่ายอนุปาทิเสสนิพพานก็ต้องแสดงสมมุติตอบรับกัน คือต้องมาในร่างสมมุติซึ่งเป็นเครื่องใช้ชั่วคราวได้

ถ้าต่างฝ่ายต่างเป็นอนุปาทิเสสนิพพานด้วยกันแล้ว ไม่มีส่วนสมมุติเหลืออยู่ ตถาคตก็ไม่มีสมมุติอันใดมาแสดงเพื่ออะไรอีก

ฉะนั้น การพิจารณาและทราบได้ต้องอาศัยสมมุติเป็นหลักพิจารณา ดังที่เราตถาคตนำสาวกมาเยี่ยมเวลานี้ก็จำต้องมาในรูปลักษณะอันเป็นสมมุติดั้งเดิม เพื่อผู้อื่นจะพอมีทางทราบได้ว่า พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ และพระอรหันต์องค์นั้นๆ มีรูปลักษณะอย่างนั้นๆ ถ้าไม่มาในรูปลักษณะนี้แล้ว ผู้อื่นใดก็ไม่มีทางทราบได้ เมื่อยังต้องเกี่ยวกับสมมุติในเวลาต้องการอยู่ วิมุตติก็จำต้องแยกแสดงออกโดยทางสมมุติเพื่อความเหมาะสมกัน”

 

นอกจากโอวาทที่พระพุทธเจ้าแสดงเรื่องการสื่อสารสัมผัสกันระหว่าง “โลกสมมุติ” และ “โลกวิมุตติ” แล้ว ในลำดับต่อมา เมื่อหลวงปู่มั่นเกิดความสงสัยในระเบียบแบบแผนปฏิบัติต่างๆ ของพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาลว่าเป็นเช่นใด พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งก็จะปฏิบัติให้ดู เช่น การเดินจงกรมควรจะวางมือ ก้าวเดิน หรือสำรวมตนอย่างไร การนั่งสมาธิควรนั่งอย่างไร ควรหันหน้าไปในทิศใด ฯลฯ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของการแสดงความเคารพกันตามหลักอาวุโสนั้น หลวงปู่มั่นได้เล่าไว้เป็นข้อคิดสำคัญว่า ขณะที่ท่านนึกอยากทราบว่า ในสมัยพุทธกาล เหล่าพระอรหันต์ทั้งหลายปฏิบัติต่อกันอย่างไรในแง่ของความอาวุโสก่อนหลัง

จากนั้นไม่นาน พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกทั้งหนุ่มและชรา ตลอดจนสามเณร ก็เสด็จมากันมากมาย แต่มาถึงไม่พร้อมกัน ผู้ที่มาถึงก่อน แม้จะเป็นสามเณรองค์น้อยๆ ก็ได้นั่งลงก่อนและอยู่ข้างหน้าพระ ส่วนผู้ที่มาทีหลัง แม้จะแก่ชราก็ต้องนั่งอาสนะด้านหลัง

ยิ่งกว่านั้นก็คือ การที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงเมื่อใดก็จะประทับลงในที่นั้น โดยมิได้ประทับในอาสนะที่ควรประทับในฐานะแห่งองค์ประมุข

เมื่อหลวงปู่มั่นเห็นปรากฏการณ์เช่นนั้นก็เกิดความสงสัย แต่พลันนั้นเอง “ธรรม” ก็ผุดขึ้นในใจท่าน ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกยังมิได้แสดงโอวาทใดๆ

“นี่คือ ‘วิสุทธิธรรม’ ล้วนๆ ไม่มีสมมุติเข้าเจือปนเลย จึงไม่มีกฎข้อบังคับหรือระเบียบใดๆ มาเกี่ยวข้อง ที่แสดงอย่างนี้แสดงเรื่องวิสุทธิธรรมที่เป็นความเสมอภาคทั่วกัน ไม่นิยมว่าอ่อน ว่าแก่ ว่าสูง ว่าต่ำ อันเป็นเรื่องของสมมุติ

นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงอรหันต์สาวกองค์สุดท้าย จะเป็นพระหรือเณรไม่จำกัด มีแต่ความเสมอภาคกันด้วยความบริสุทธิ์ ท่านแสดงบุคลาธิษฐานในลักษณะนี้เป็นเครื่องบอกถึงความบริสุทธิ์ของกันและกันว่า ไม่มีใครยิ่งหย่อนไปกว่ากัน”

เมื่อธรรมที่ผุดขึ้นในจิตนั้นสิ้นสุดลง หลวงปู่มั่นก็พิจารณาต่อไปอีกว่า แล้วเช่นใดหนอคืออาการที่ท่านแสดงออกถึงความเคารพกันในทางสมมุติ

พลันที่ความสงสัยนั้นดับไป ภาพของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกซึ่งเดิมทีนั้นนั่งกันอยู่อย่างไร้ระเบียบก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นว่า พระพุทธเจ้าได้เปลี่ยนมาประทับในฐานะองค์ประมุขอยู่ด้านหน้าเหล่าสาวก สามเณรองค์น้อยก็ย้ายกลับไปอยู่ด้านหลังสุด เป็นภาพที่มีระเบียบเรียบร้อย งามตา น่าศรัทธาเลื่อมใส

ขณะนั้นเอง ธรรมก็ผุดขึ้นในใจของท่านอีกว่า นี่คือธรรมเนียมประเพณีของพระสงฆ์ในยุคพุทธกาลที่ปฏิบัติต่อกัน ท่านใดที่อ่อนพรรษา แม้จะเป็นถึงพระอรหันต์ก็ยังต้องเคารพในความอาวุโสของสมมุติสงฆ์ที่แก่พรรษากว่า

เมื่อธรรมที่ผุดขึ้นในใจของหลวงปู่มั่นสิ้นสุดลงอีกครั้ง พระพุทธเจ้าก็แสดงโอวาทเรื่องความเคารพและความเสมอภาคกันในทางธรรม ก่อนที่จะเสด็จอันตรธานหายไป

**วิภาวดี เสร็จกิจแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำไม่มีต่อไปอีก หลวงพ่อฤาษี**

**คืนวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ เวลาประมาณตี ๒ ปรากฏว่ามีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการปรากฏชัด มีแสงสว่างไสวเหมือนไฟฟ้าสักแสนแรงเทียนในห้อง เมื่อแสงสว่างหายไปก็ปรากฏรูปพระคล้ายพระสงฆ์มีความสวยสดงดงามมาก มีแสง ๖ สีพุ่งออกจากพระวรกาย**

ถ้าภาพอย่างนี้ปรากฏทางพระพุทธศาสนา ท่านเรียกว่าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อปรากฏเป็นพระรูปพระโฉมขึ้นมาแล้วก็ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสว่า

**“วิภาวดี..เสร็จกิจแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำไม่มีต่อไปอีก..!”**

**คำว่า “เสร็จกิจ” ก็หมายถึง “กิจที่จะต้องปฏิบัติตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทประหารไม่มีแล้วที่จะต้องทำ”**

**เมื่อมีพระสุรเสียงตรัสจบแล้วภาพนั้นก็หายไป อาตมาก็คิดในใจว่า เสียงอย่างนี้ ภาพอย่างนี้ เราเคยพบ เมื่อตรัสอย่างนี้เป็นพุทธพยากรณ์ ก็แสดงว่าท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ต้องเป็นพระอรหันต์**

**ความจริงท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เป็นลูกศิษย์เจริญพระกรรมฐานกับอาตมาเป็นเวลา ๘ เดือน **หลังจากที่ท่านมาเรียนพระกรรมฐานด้วยสัก ๗ วัน ไม่ใช่เกาะครูเป็นแต่เพียงมาศึกษาพอเข้าใจแล้วก็กลับไปปฏิบัติเอง ๗ วันผ่านไปก็ปรากฏว่าท่านได้ธรรมปีติเป็นกรณีพิเศษเป็น "อุพเพงคาปีติ" สามารถควบคุมสมาธิได้ตามเวลาที่ต้องการ หลังจากนั้นท่านก็เจริญวิปัสสนาญาณ

**เพราะกรรมฐานมี ๒ อย่างคือ "สมถภาวนา" ด้านสมาธิจิตซึ่งต้องควบคู่กับวิปัสสนาญาณ ถ้าฝึกเฉพาะสมถภาวนาไม่ฝึกควบคู่กับวิปัสสนาญาณ ก็เอาดีไม่ได้ เมื่อสมาธิเข้มข้นดีแต่วิปัสสนายังอ่อน ตอนหลังท่านก็พยายามฝึกควบวิปัสสนาญาณให้มีความเข้มแข็งเท่าสมาธิจิต**

จากนั้นมาท่านหญิงวิภาวดีก็ตรัสเป็นปกติว่า “**ชีวิตไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย”** ความหมายของท่านก็คือ “พระนิพพาน” ฉะนั้นทรัพย์สินใดๆ ที่มีอยู่ก็ดีไม่ต้องการสะสมไว้ มีความต้องการอย่างเดียวคือ “**ทำอย่างไรชาวไทยทั้งประเทศจึงจะมีความสุข” ท่านเสียสละทุกอย่าง ทรัพย์สินส่วนพระองค์ท่านเสียสละมาก**

การเจริญพระกรรมฐานของท่านเข้าถึงจุดปลายคือเปล่งวาจา **“ต้องการพระนิพพาน”** ก่อนสิ้นชีพิตักษัยประมาณ ๓ เดือน พบหน้าใครท่านก็พูดว่า **“ทรัพย์สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย ชีวิตไม่มีความหมาย ฉันต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน”**

แสดงว่าท่านมีจิตใจจับพระนิพพานเป็นอารมณ์จริงๆ มาเป็นเวลา ๓ เดือน ถ้าพูดกันตามพระไตรปิฎก คนที่จะมีอารมณ์รักพระนิพพานจริงๆ ก็ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แต่ท่านหญิงตอนนั้นจะเป็นพระโสดาบันหรือไม่นั้น อาตมาไม่รับรองเพราะไม่ใช่พระพุทธเจ้า พูดตามอาการที่ปรากฏ

ถ้าพุทธพยากรณ์นั้นเป็นจริง คือว่า** “ตามธรรมดาฆราวาสถ้าเป็นพระอรหันต์วันนี้ วันรุ่งขึ้นก็ต้องนิพพาน” การนิพพานของพระอรหันต์ที่ยังเป็นฆราวาสที่ไม่สามารถบวชเป็นพระได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงบวชไม่ได้ ผู้ชายถ้าบวชทันได้ไม่เป็นไร**

**ฉะนั้น “การนิพพานของพระอรหันต์ที่ยังเป็นฆราวาสนี่ ก็ต้องนิพพานด้วยอุบัติเหตุ”**

**เครื่องบินที่ท่านหญิงวิภาวดีนั่ง ถูกยิง ๙๘ รู** แต่ทะลุเพียงนัดเดียวนอกนั้นไม่ทะลุเครื่องบินเลย กระสุนนัดนั้นแหละที่สังหารท่านหญิงวิภาวดี คือทะลุท้องเครื่องบินขึ้นมาทะลุหัวรองเท้าของ ผู้กำกับฯ สุดินทร์ แล้วทะลุเข้าข้างหลังท่านหญิงวิภาวดี

เมื่ออาตมาไปถึงเห็นท่านหญิงนอนนิ่ง จึงขึ้นไปบนเครื่องบินก็ทำพิธีแบบพระ “ขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหมด อาราธนาขอให้บรรเทาทุกขเวทนาของท่าน” เพราะทราบว่าท่านเจ็บมาก เห็นท่านนอนเฉยๆ

จึงถามว่า “**ท่านหญิงปวดไหม**”

ท่านก็ตรัสว่า “**ปวดเจ้าค่ะ หายใจขัดๆ**”

แล้วท่านก็เปล่งวาจาดังๆ ว่า

**“....โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายเป็นทุกข์ ไม่ต้องการอีก ขอไปนิพพาน ขอลาไปนิพพาน”**

แล้วก็เปล่งวาจาดังขึ้นอีกว่า**“หลวงพ่อ หลวงปู่ กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบ และทูลท่านชายปิยะให้ทรงทราบด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน”**

แล้วท่านก็เปล่งวาจาอีกว่า**“นิพพาน..นิพพาน..นิพพาน**” นิ่งสักประเดี๋ยวเวลาผ่านไป ๓ นาทีได้ ท่านก็เปล่งเสียงดังๆ ว่า

**“โอ สว่างแล้วๆ เห็นนิพพานแล้วๆ นิพพานสวยเหลือเกิน หญิงขอลาไปนิพพานแล้ว หลวงปู่ หลวงพ่อ หญิงขอลาไปนิพพาน ขอหลวงพ่อได้กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และท่านชายปิยะด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน” พอสิ้นเสียงก็ปรากฏว่าท่านสิ้นลมปราณ**

สรุปความจากเรื่อง พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต
 ก่อนสิ้นชีพิตักษัยทรงเปล่งวาจาว่า..หญิงขอลาไปนิพพาน
 โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

#รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์12 #หลวงพ่อฤาษี6

27 ตุลาคม 2566

**พระอรหันต์ชั่วคราว

**

**สมเด็จองค์ปฐม**ทรงตรัสสอนปกิณกะธรรมไว้ มีความสำคัญดังนี้

**อรหันต์ชั่วคราวก็คือ จิตว่างจากกิเลสชั่วขณะจิตหนึ่งเป็นขณิกอรหันต์** **จงอย่าดูหมิ่นในอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ หากทำให้บ่อยๆ จิตก็จักชิน การสะสมอารมณ์ก็เหมือนกัน ตักน้ำเติมใส่ตุ่มนั่นแหละ เต็มเมื่อไหร่ก็จบกิจเมื่อนั้น**

**ยิ่งฝึกฝนตอนเช้ามืด ถ้าจิตสงัดจากกิเลสได้ถึงที่สุดแล้ว วันนั้นทั้งวันจักมีอารมณ์ดีมาก ไม่เชื่อให้ลองทำดู** **อานิสงค์ของการปฏิบัติได้มากด้วย ก่อนนอนก็ให้ทำอย่างนี้ด้วย เพื่อให้จิตทรงตัวดีขึ้น**

**เวลาเวทนาเกิด ให้แยกออกมาเสีย ดูมันไปเฉยๆ จักเห็นสภาวะธรรมของเวทนาตามความเป็นจริง** **มีเวทนา มีโรคก็รักษามันไปตามหน้าที่ เป็นการบรรเทาทุกขเวทนา**

**แต่จิตอย่าไปเกาะ-อย่าไปกังวล-อย่าไปผูกพัน เห็นเป็นธรรมดาของมัน และรู้อยู่เสมอว่านี้ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่มัน มันไม่มีในเรา เราไม่มีในมัน แต่จงอย่าคิดว่าเราจักทำได้ทุกวัน แต่ให้พยายามทำให้ได้ทุกวัน**

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๑๔ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ ตอนสอง

รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

#สมเด็จองค์ปฐม4** **#ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น4

26 ตุลาคม 2566

อนันตริยกรรม 5 กรรมหนักที่สุดฝ่ายบาปอกุศล

**อนันตริยกรรม 5 กรรมหนักที่สุดฝ่ายบาปอกุศล ซึ่งให้ผลทันทีตายแล้วตกนรกเพียงสถานเดียว
 **
 **1. มาตุฆาต** (ฆ่ามารดา)
 
 **2. ปิตุฆาต** (ฆ่าบิดา)
 
 **3. อรหันตฆาต** (ฆ่าพระอรหันต์)
 
 **4. โลหิตุปบาท** (ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อขึ้นไป)
 
 ** 5. สังฆเภท** (ยังสงฆ์ให้แตกกัน, ทำลายสงฆ์)

ผู้ใดทำกรรมอนันตริยกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเมื่อตายจากโลกไปจะต้องตกนรกเพียงสถานเดียว ไม่สามารถขึ้นสวรรค์ได้ ต่อให้ทำกรรมดีมากมายเพียงใดก็ไม่อาจหนีพ้นจากนรกไปได้

ผู้ทำอนันตริยกรรมจะต้องตกนรกลงไปยังขุมนรกที่ลึกที่สุดคือ มหาขุมนรกอเวจี ซึ่งอยู่ชั้นที่ 8 เป็นขุมนรกขุมใหญ่ที่มีการลงโทษหนักโดยไม่มีผ่อนผันหรือหยุดพักแต่ใดๆเลยแม้แต่วินาทีเดียว สัตว์นรกที่ตกขุมนรกนี้จะได้รับความทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสและเป็นเวลายาวนานที่ไม่อาจจะนับได้เลยหรือเรียกว่า กัลป์

ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พิมพ์ครั้งที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๔๖

#พระไตรปิฎก #กฎแห่งกรรม

ยันต์โมคัลลาน์หลวงปู่ห้องแม้ดาบเพชฌฆาตยังไม่เข้า

ยันต์โมคัลลาน์หลวงปู่ห้องแม้ดาบเพชฌฆาตยังไม่เข้า

หลวงปู่ห้อง วัดช่องลม ท่านเป็นเกจิร่วมสมัยกับหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว กับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองฯ นับเป็นเกจิยุคก่อน เป็นเจ้าของเหรียญหล่อยอดนิยมแห่งเมืองราชบุรี
เสือแป้น เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ห้อง ได้รับเหรียญหล่อ และยังสักยันต์โมคัลลาน์ด้วย ตอนหลังชีวิตแปรผัน จากนายแป้น กลายเป็นเสือแป้น
เสือแป้นเคยถูกตำรวจ ล้อมจับหลายครั้ง แต่ก็หนีไปได้ทุกครั้ง ลูกกระสุนของตำรวจ ไม่สามารถทะลุหนังเสือแป้นได้ เสือแป้นนี่เหนียวจริง
จนสุดท้ายเจ้าหน้าที่จนปัญญา ล้อมจับทุกที ก็เอาตัวไม่ได้ จึงคิดอุบาย ให้สายไปติดต่อกับลูกน้องเสือแป้น ให้เงินมากพอดู โดยให้รุมตีเสือแป้น ตอนหลับ เมื่อลูกน้องตีเสือแป้นจนสลบ และเรียกตำรวจมาคุมตัวไป
ศาสได้พิพากษาให้ประหารเสือแป้น สมัยนั้นยังประหารชีวิตด้วยการฟันคอ เมื่อเพชฌฆาตฟันดาบแรก ปรากฏว่าไม่เข้า ดาบที่สองก็ยังฟันไม่เข้า นับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะดาบเพชฌฆาต ต้องทำพิธีเสกให้ล้างอาถรรพ์ และยังข่มปีศาจอีกด้วย แต่กับฟันเสือแป้นไม่เข้า เพราะรอยสักอันเข้มชลังหลวงปู่ห้อง
ประธานในพิธีจึงประกาศว่า ถ้ายังฟันไม่เข้าอีก จะประหารด้วยน้ำร้อนในกระใบใหญ่ แม่เสือแป้นกลัวลูกจะทรมาณ จึงรับอาสาไปเกี้ยกล่อมเสือแป้นให้ยอมถอนอาคมรอยสักยันต์ เสือแป้นจึงยอม ได้ขอน้ำมาหนึ่งขัน ภาวนาเสกสักพัก ก็ขอให้มารดาทำการรดน้ำมนต์ที่ตัว 
พิธีจึงเริ่มขึ้นใหม่ คราวนี้แค่ดาบแรก หัวขาดหลุดลอย เลือดพุ่งขึ้นสูง จึงปิดตำนานเสือแป้น จอมโจรหนังเหนียวอันลือลั่น

**อานิสงส์กรรมบถ ๑๐ หลวงพ่อฤาษี**

**กรรมบถ ๑๐ ประการ
 
 **๑. ไม่ฆ่าสัตว์ หรือไม่ทรมานสัตว์ให้ได้รับความลำบาก
 ๒. ไม่ลักทรัพย์ คือไม่ถือเอาทรัพย์ของผู้อื่นที่เขาไม่ให้ด้วยความเต็มใจ
 ๓. ไม่ทำชู้ในบุตรภรรยาและสามีของผู้อื่น
(ขอแถมนิดหนึ่ง ไม่ดื่มสุราและเมรัยที่ทำให้มึนเมาไร้สติ)
 ๔. ไม่พูดจาที่ไม่ตรงความเป็นจริง
 ๕. ไม่พูดวาจาหยาบคายให้สะเทือนใจผู้รับฟัง
 
 ๖. ไม่พูดส่อเสียดยุให้รำตำให้รั่ว ทำให้ผู้อื่นแตกร้าวกัน
 ๗. ไม่พูดจาเพ้อเจ้อเหลวไหล
 ๘. ไม่คิดอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นที่เจ้าของเขาไม่ยกให้
 ๙. ไม่คิดประทุษร้ายใคร คือไม่จองล้างจองผลาญเพื่อทำร้ายใคร
 ๑๐. เชื่อพระพุทธเจ้าและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านด้วยดี

**อานิสงส์กรรมบถ ๑๐**

**ท่านที่ปฏิบัติในกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ ท่านเรียกชื่อเป็นกรรมฐานกองหนึ่งเหมือนกัน คือ ท่านเรียกว่า สีลานุสสติกรรมฐาน หมายความว่าเป็นผู้ทรงสมาธิในศีล
 
 ท่านที่ปฏิบัติในกรรมบถ ๑๐ ประการได้นั้น มีอานิสงส์ดังนี้
 
 **๑. อานิสงส์ข้อที่หนึ่ง **จะเกิดเป็นคนรูปสวย ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีอายุยืนยาว ไม่อายุสั้นพลันตาย**
 ๒. อานิสงส์ข้อที่สอง **เกิดเป็นคนมีทรัพย์มาก ทรัพย์ไม่ถูกทำลายเพราะโจร , ไฟไหม้, น้ำท่วม , ลมพัด จะมีทรัพย์สมบัติสมบูรณ์บริบูรณ์ขั้นมหาเศรษฐี**
 ๓. อานิสงส์ข้อที่สาม **เมื่อเกิดเป็นคนจะมีคนที่อยู่ในบังคับบัญชาเป็นคนดี , ไม่ดื้อด้าน อยู่ภายในคำสั่งอย่างเคร่งครัด มีความสุขเพราะบริวาร
 **และการไม่ดื่มสุราเมรัยเมื่อเกิด **เป็นคนจะไม่มีโรคปวดศีรษะที่ร้ายแรง, ไม่เป็นโรคเส้นประสาท, ไม่เป็นคนบ้าคลั่ง จะเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์, มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด
 
 เรื่องของวาจา
 
 **๔. อานิสงส์ข้อที่สี่, ข้อห้า, ข้อหก และข้อเจ็ด เมื่อเกิดเป็นคน **จะเป็นคนปากหอม หรือมีเสียงทิพย์ คนที่ได้ยินเสียงท่านพูด เขาจะไม่อิ่มไม่เบื่อในเสียงของท่าน ถ้าเรียกตามสมัยปัจจุบัน จะเรียกว่าคนมีเสียงเป็นเสน่ห์ก็คงไม่ผิด จะมีความเป็นอยู่ที่เป็นสุข และทรัพย์สินมหาศาลเพราะเสียง
 
 เรื่องของใจ
 
 **๕. อานิสงส์ข้อที่แปด ,ข้อเก้า และข้อสิบ เป็นเรื่องของใจ คืออารมณ์คิด ถ้าเว้นจาก
 การคิดลักขโมย เป็นต้น ไม่คิดจองล้างจองผลาญใคร, เชื่อพระพุทธเจ้า และปฏิบัติตามคำสอน
 ของท่านด้วยความเคารพ, **ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ จะเป็นคนมีอารมณ์สงบ, มีความสุขสบายทางใจ
 ความเดือดเนื้อร้อนใจในกรณีใดๆ ทุกประการจะไม่มีเลย มีแต่ความสุขใจอย่างเดียว**

**อานิสงส์รวม**

เมื่อกล่าวถึงอานิสงส์รวมแล้ว ผู้ที่ปฏิบัติกรรมฐานในขั้นนี้ ถึงแม้ว่าจะทรงสมาธิไม่ได้นาน ตามที่เรียกว่า ขณิกสมาธิ นั้น ถ้าสามารถทรงกรรมบถ ๑๐ ประการได้ครบถ้วน ท่านกล่าวว่าเมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป บาปที่ทำไว้ตั้งแต่สมัยใดก็ตาม **ไม่มีโอกาส นำไปลงโทษในอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น**อีกต่อไป

 
 **ถ้าบุญบารมีไม่มากกว่านี้ ตายจากคนไปเป็นเทวดาหรือพรหม เมื่อหมดบุญแล้วลงมาเกิดเป็นมนุษย์ จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ในชาตินั้น แต่ถ้าเร่งรัดการบำเพ็ญเพียรดี , รู้จักใช้ปัญญาอย่างมีเหตุผล ก็สามารถบรรลุมรรคผลเข้าถึงพระนิพพานได้ในชาตินี้**

ข้อมูลบางส่วนจากหนังสือวิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่าย ๆ โดย พระสุธรรมยานเถระ(หลวงพ่อฤาษี)

#รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์11 #หลวงพ่อฤาษี6

25 ตุลาคม 2566

**กายป่วยมิใช่อุปสรรค จิตป่วยตามกายคืออุปสรรค**

 
 
 **สมเด็จองค์ปฐม **ทรงตรัสสอน ไว้ดังนี้
 
 **กายป่วยมิใช่อุปสรรค จิตป่วยตามกายคืออุปสรรค เจ้าไปพิจารณาว่า บุคคลส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติธรรมมีร่างกายป่วย แล้วเป็นอุปสรรคใหญ่ของการปฏิบัติธรรม ซึ่งก็เป็นการเข้าใจถูกแต่เพียงบางส่วนเท่านั้น จักกล่าวสรุปโดยความนัยแล้ว ผู้ที่เห็นร่างกายป่วยเป็นอุปสรรคของการปฏิบัติธรรม คือ ผู้ที่ยังไม่เข้าใจถึงความเป็นจริงของร่างกาย**

**จิตต่างหากที่สร้างอุปสรรคให้เกิดขึ้นมาเป็นเวทนา ยึดมั่นถือมั่นว่าร่างกายป่วยเป็นอุปสรรค ซึ่งที่แท้จริงแล้วกรรมเป็นผู้บ่งชี้วิถีของร่างกายของแต่ละบุคคล ทุกชีวิตของร่างกายย่อมเป็นไปตามอำนาจกฎของกรรม ทุกชีวิตที่อุบัติขึ้นในไตรภพนี้ ย่อมมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรม แปลว่าการกระทำ สรรพสัตว์ที่ไม่รักษาศีลปาณาติบาต ย่อมเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา ยิ่งมีร่างกายประกอบด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็มีความพร่องอยู่เป็นนิจ เป็นปกติธรรมของร่างกาย สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมดาทั้งสิ้น**

**จิตที่ไม่รู้เท่าทันไปฝืนสภาวธรรมที่เป็นปกติต่างหาก ที่สร้างความทุกข์ให้เกิดกับจิต ถ้าหากจิตผู้ปฏิบัติธรรมรู้อย่างนี้ยังจักคิดว่าร่างกายป่วย เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมหรือไม่ **(ก็รับว่าเป็นอุปสรรค) แต่เรื่องเหล่านี้จักพูดได้แต่กับผู้ที่เป็นบัณฑิตเท่านั้น อย่าไปพูดกับคนพาล เนื่องจากเขาจักพาลเอาว่า ลองมาป่วยเองบ้างซิ ถึงจักรู้ว่าอาการเวทนานั้นเป็นอย่างไร พูดแล้วให้ได้ประโยชน์

**เรื่องของพุทธศาสนามีเหตุมีผลก็จริงอยู่ แต่ตถาคตก็หลีกเลี่ยงที่จักสอนคนพาล หรือบุคคลที่ไม่เข้าถึงธรรม การรู้เรื่องขันธ์ ๕ ให้ครบทั้ง ๕ ตัว แล้ววางว่าไม่ใช่เรา มิใช่ของง่าย แต่ถ้าหากสนใจศึกษาปฏิบัติจริงก็ย่อมทำได้ ทรงอารมณ์ให้รู้ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเป็นผู้อาศัย ไม่ติดอยู่ด้วย หมั่นชำระล้างจิตออกจากกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม การทรงอารมณ์นี้ก็จักเกิดขึ้นได้เป็นระยะๆ และถ้าหากไม่ละความเพียร การตัดขันธ์ ๕ ก็เป็นของไม่ยาก**
 

 ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๑๒ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๒ ตอนหนึ่ง 
 รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน 
 
 #สมเด็จองค์ปฐม4** **#ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น4

#อจินไตย

อจินไตย แปลว่า สิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึง สิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน 
>> ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิตหรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเอง จึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น ฯ

ซึ่งเรื่องอจินไตย มี 4 อย่าง ได้แก่
1. พุทธวิสัย >> วิสัยแห่งความมหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
2. ฌานวิสัย >> วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของผู้มีฌานทั้งมนุษย์ และ เทวดา
3. กรรมวิสัย >> วิสัยของกฎแห่งกรรมและวิบากกรรม คือการให้ผลของกรรมที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ
4. โลกวิสัย >> วิสัยแห่งโลก คือ การมีอยู่ของโลก การกำเนิดของจักรวาล โลก และดวงดาวต่างๆ , เรื่องภพภูมิต่างๆ เช่น นรก และ สวรรค์ , เรื่องสังสารวัฏ

https://www.facebook.com/100000306668026/posts/6852550974765057/?mibextid=cr9u03

24 ตุลาคม 2566

สัพพัญญูวิสัย

****
เกิดอารมณ์สงสัยว่า เวลาพระองค์จะโปรดใคร ทรงตั้งความหวังไว้หรือเปล่า

**พระตถาคตเจ้าทุกพระองค์ทรงเป็นสัพพัญญูวิสัย**ย่อมรู้ด้วยพุทธญาณในการตรวจดูอุปนิสัยของสัตว์โลก รู้ล่วงหน้าว่า บุคคลใดจักบรรลุธรรมในวันนี้หรือวันหน้า โดยมิต้องตั้งความหวัง รู้โดยหน้าที่

กล่าวคือ เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จักต้องกระทำอย่างนี้ คำว่ารู้ผิดพลาดไม่มีในพระพุทธเจ้า

**สมเด็จองค์ปฐม**ทรงตรัสสอนปกิณกะธรรมไว้ มีความสำคัญดังนี้

เกิดอารมณ์สงสัยว่า เวลาพระองค์จะโปรดใคร ทรงตั้งความหวังไว้หรือเปล่า

ทรงตรัสว่าพระตถาคตเจ้าทุกพระองค์ทรงเป็นสัพพัญญูวิสัย ย่อมรู้ด้วยพุทธญาณในการตรวจดูอุปนิสัยของสัตว์โลก รู้ล่วงหน้าว่า **บุคคลใดจักบรรลุธรรมในวันนี้หรือวันหน้า โดยมิต้องตั้งความหวังรู้โดยหน้าที่**

**กล่าวคือ เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จักต้องกระทำอย่างนี้ คำว่ารู้ผิดพลาดไม่มีในพระพุทธเจ้า ซึ่งกรณีนี้พุทธสาวกรู้ได้ไม่ครบ แม้แต่พุทธันดรนี้พระอัครสาวกฝ่ายขวา ท่านพระสารีบุตรยังให้ลูกชายนายช่างทองเจริญกรรมฐานผิดกองกล่าวคือไม่ถูกจริตจึงไม่มีผล**

เรื่องนี้มิใช่ตำหนิกัน เพียงแต่ให้รู้ว่าสัพพัญญูวิสัยกับวิสัยของสาวกผิดกัน ให้ดูปฏิปทาพระอรหันต์ที่ท่านรู้จริง ท่านจักถ่อมตนเสมอ และคิดเสมอว่าความผิดอาจจักเกิดขึ้นได้ กรณีนี้พวกเจ้าพึงสังวรจิตเอาไว้ด้วย อย่าทะนงตนว่าทำอะไรจักไม่ผิดพลาดเลยนั้นหาสมควรไม่ ให้ดูท่านพระสารีบุตรเป็นตัวอย่าง จักได้ปรามจิต ไม่คิดหลงตนจนเกินไป

ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๑๐** **เดือนกันยายน ๒๕๔๐

รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

**#**สมเด็จองค์ปฐม**4 #**ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น**4**

..เรื่องการใช้อารมณ์มโมยิทธิให้เป็นประโยชน์

🔘..เรื่องการใช้อารมณ์มโมยิทธิให้เป็นประโยชน์..[๒/๒]
#ใครคืออาจารย์ที่ไม่ใช่มนุษย์
   ในเมื่อเราไปได้แล้ว ก็ต้องรักษาความดีเอาไว้ เพราะว่าการปฏิบัติแบบนี้เราสามารถจะได้อาจารย์ที่ไม่ใช่มนุษย์ คำว่า "อาจารย์ที่ไม่ใช่มนุษย์" นั่นก็คือ #พระพุทธเจ้า ถ้ามีการขัดข้องอะไรเกี่ยวกับผลของการปฏิบัติ เราขึ้นไปทูลถามพระองค์เอง พระองค์ก็จะตรัสมาโดยเฉพาะกับกิจที่เราจะพึงทำและตรงกับอารมณ์จิตของเรา 

   ในเมื่อได้รับคำสอนนั้นแล้วอย่างไหนต้องปฏิบัติให้ได้ จงตั้งใจว่า...
"คำว่าไม่สามารถจะต้องไม่มีในชีวิตของเรา"

แล้วก็ประการที่ ๒ ที่เราจะลืมไม่ได้นั่นก็คือ
..เราจะไม่ห่วงร่างกายของเรา 
..เราไม่ห่วงร่างกายของบุคคลอื่น
..เราไม่ห่วงทรัพย์สินใดๆ
เพราะว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราห่วงถึงเวลาที่มันจะตายก็ไม่มีประโยชน์ในการห่วง 

   คนที่ตายทุกคนไม่มีอะไรแบกเอาร่างกายไปได้ ไม่มีใครแบกพี่ แบกน้อง แบกพ่อ แบกแม่ แบกผัว แบกเมีย แบกลูก แบกหลานไปด้วยและทรัพย์สินต่างๆที่เรามีอยู่ก็ไม่มีโอกาสที่จะแบกไปได้  สิ่งที่ใจเราจะแบกไปได้นั่นก็คือ #ความดีกับความชั่ว

 #บุคคลตัวอย่าง
   ฉะนั้น สิ่งที่เราจะต้องแบกไปเราก็ต้องเลือกแบก ถ้าเราเลือกแบกเอาความชั่วไป นั่นหมายถึงว่า เราต้องลงนรก ดูตัวอย่าง #พระเทวทัต ท่านสามารถทรงอภิญญา ๕ได้อย่างคล่องแคล่ว เนรมิตอะไรก็ได้ เหาะเหินเดินอากาศก็ได้ 

  ต่อมาความโลภของจิต ความทะเยอทะยานเกิดขึ้น คิดอยากจะปกครองพระสงฆ์ซึ่งเป็นพระอริยเจ้าและต่อมาถึงขั้นคิดฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง อันนี้เป็นอารมณ์ของความชั่ว

   ขอทุกท่านน่ะจงอย่านึกว่าตัวของเราดี จงจำคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า... "#อัตนาโจทยัตตานัง"    
#จงกล่าวโทษโจทความผิดของตัวเองไว้เสมอ

#ครูมีหน้าที่เพียงแต่บอก
   โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้มโนมยิทธินี่ถ้าใครทำถึงเดือนก็เลวเต็มที ที่ว่าเลวเพราะอะไร เพราะเห็นแล้ว นรกก็เห็น เปรตก็เห็น อสูรกายก็เห็น เทวดาก็เห็น พรหมก็เห็น นิพพานก็เห็น ทั้งๆที่เราเห็นได้เราไปได้แต่จิตเรายังเลวมันก็สุดทางแก้

   การแก้นี่เราต้องแก้ด้วยตนเอง การช่วยจะให้ดีจะให้ชั่ว เราก็ต้องทำเองไม่ใช่หน้าที่ของครู ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า #อักขาตาโร_ตถาคตา ซึ่งแปลว่า #ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก

   บอกแล้วทำตามหรือไม่ทำตามก็เป็นเรื่องของท่าน ท่านจะไปสวรรค์ ท่านจะไปพรหม ท่านจะไปนิพพานได้ ครูไม่มีการอิจฉาริษยาท่าน หากว่าท่านจะไปนรก ไปเป็นเปรต ไปเป็นอสุรกาย ครูก็ไม่ติดตามไปแก้ เพราะมันเป็นความพอใจของท่าน

   ฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านเมื่อได้มโนมยิทธิแล้ว ก็ควรจะมุ่งจุดหมายปลายทาง นั่นคือ #ความเป็นอรหันต์

สำหรับ"ฆราวาส" จะเป็นพระอรหันต์ ถ้าเป็นวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็นิพพาน

สำหรับ"พระ" ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ต้องอยู่ถึงอายุขัยหรือบางทีก็เกินอายุขัย เพราะต้องทำกิจให้พระพุทธเจ้าเพื่อตอบแทนพระองค์

#อย่าประมาทในการปฏิบัติ
   ฉะนั้นขอให้ทุกคนจำปัจฉิมวาจาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อวันที่พระองค์นิพพานว่า..#อัปปมาเทนะ_สัมปาเทถะ"
นั่นแปลเป็นใจความว่า..#ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม 

   คำว่า "ไม่ประมาท"  ก็หมายความว่า..
ไม่ประมาทในการปฏิบัติความดี ทุกคนต้องทำทุกขณะจิต  

จงอย่าคิดว่าเราดี ถ้าเรายังมีขันธ์ ๕ อยู่เพียงใด จงอย่าเข้าใจว่าเราดี ถ้าเราตายไปแล้ว ถ้ายังไม่ถึงนิพพาน ก็จงอย่าคิดว่าเราดี  

ถ้ามันจะดีกันจริงๆคือ ต้องละขันธ์ ๕ ไปแล้ว  แล้วเข้าสู่พระนิพพานแล้วนั่นจึงชื่อว่าเป็นความดี

#หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
[พระมหาวีระ ถาวโร]
วัดจันทาราม(ท่าซุง)  จ.อุทัยธานี
หนังสือธัมมวิโมกข์ ๓๓๑ ต.ค.๕๑ 
หน้า ๒๙-๓๒
🔘#เพจคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
พิมพ์เพื่อธรรมทานโดย..
🖋..Moddam Thammawong

"...การปฏิบัติจริงๆ เขาไม่ดูกันอย่างอื่นเขาดูที่สังโยชน์

เราจะนั่งสมาธิเก่งวันละ ๓๐ ชั่วโมงมันถึงไหม จะวันละ
กี่ ๑๐ ชั่วโมงก็ตาม จะนั่งเก่งคือ ๑ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง
หรือจะนั่งไม่ขยับตัวเลย หรือสามารถจะมีฤทธิ์มีเดช
อย่างไรก็ตามถ้าไม่สามารถตัดสังโยชน์ ๓ ได้เขาถือว่า
ยังไม่พ้นอบายภูมิ คือไม่มีประโยชน์เลย อย่างพระ
เทวทัตสามารถได้ ๕ ในอภิญญา ๖ ซึ่งเป็นฌานโลกีย์
แล้วในที่สุดพระเทวทัตท่านก็ไปอเวจีมหานรก คือความ
เห็นผิดมันเกิดขึ้นมาได้

การปฏิบัติจริงๆ ต้องดูกันที่สังโยชน์ สังโยชน์ที่เราจะ
พึงปฏิบัติมี ๑๐ แต่สังโยชน์ ๓ ข้อแรกคือ
๑.สักกายทิฏฐิ ๒.วิจิกิจฉา ๓.สีลัพพตปรามาส
ทั้ง ๓ อย่างนี้เป็นคุณสมบัติของพระโสดาบันกับพระ
สกิทาคามี พระโสดาบันก็ดี และพระสกิทาคามีก็ดี
มีคุณสมบัติ ๓ อย่างเหมือนกัน แต่จิตละเอียดจิตหยาบ
ต่างกัน พระสกิทาคามีมีอารมณ์ละเอียดกว่าพระโสดาบัน
ถ้ายังหยาบอยู่เรียกว่าพระโสดาบัน..."

#ที่มา หนังสือ คำสอนที่บ้านสายลม หน้า ๒๓๙
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
♡..........................................................................♡

**การตายครั้งที่ ๔ ของหลวงพ่อ เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๘๗ ฉันอายุ ๒๗ ปี**

**ท่านสหัมบดีพรหม ยืนข้างหน้าบอกว่า “จงใคร่ครวญให้ดีก่อนว่าจะอยู่หรือจะไป”
 
 **ฉันก็เลยนึกถึงพระพุทธเจ้า ตั้งจิตอธิษฐานว่า **“ถ้าข้าพระพุทธเจ้าควรจะอยู่ขอให้มีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ พุ่งมาบนเพดาน ถ้าหากว่าไม่ควรอยู่ ควรจะไป ขอไม่เห็นอะไรปรากฏเลย”
 **
 **พออธิษฐานเสร็จก็มีรัศมี ๖ ประการพุ่งมาเป็นแสงรุ้งเต็มเพดานแผ่อยู่พักหนึ่งก็หายไป ฉันคิดว่าท่านบอกว่าควรอยู่**

การตายครั้งที่ ๔
 
 **เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๘๗ ฉันอายุ ๒๗ ปี ตอนนั้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ จำพรรษาและเป็นครูสอนบาลีอยู่ที่วัดประยูรวงศาวาส จังหวัดธนบุรี** วันนั้นวันที่ ๒ มกราคม ขณะนั้นอากาศหนาวจัด ก็มีพระท่านทำยาขนานหนึ่ง ทุกองค์ฉันแล้วก็รู้สึกว่าสบาย ฉันก็อยากจะมีกำลังร่างกายปลอดโปร่งอย่างเขาบ้างเพราะเป็นนักเทศน์แล้วด้วย ก็ขอท่านฉัน พอฉันเข้าไปเดี๋ยวเดียวท้องก็ถ่าย ๓ ครั้งหมดแรง

คราวนี้ตามันเริ่มสั้นเข้ามาทีละหน่อยๆ สายตามองไกลๆ มันเห็นสั้นเข้ามาๆ จนกระทั่งพระกับเณรนั่งข้างๆ ๒-๓ องค์ ไม่เห็นพอไม่เห็นก็หมดความรู้สึกภายนอก ใครจะไปใครจะมาก็ไม่เห็นหมด ใครพูดก็ไม่ได้ยินหมด แต่ความรู้สึกในขณะนั้นมันเป็นความรู้สึกแตกต่างกับที่ตายมาแล้ว คือมันยังไม่ตายจริงอย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกว่าสลบ แต่ความจริงสลบมันไม่มีความรู้สึก ฉันเข้าใจว่ากำลังจิตเป็นฌานมากกว่า เพราะพอตามองไม่เห็น

ฉันก็เริ่มจับพระกรรมฐานคือเริ่มจับอารมณ์ตามเดิม พอจิตเป็นสมาธิ จิตมันก็โปร่งสบาย **ฉันนึกถึงพระพุทธเจ้าของฉันก่อน เราจะไปสวรรค์ได้ ไปพรหมได้ ไปพระนิพพานได้ ก็เพราะอาศัยพระพุทธเจ้าเท่านั้น**ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า แล้วเราจะรู้ธัมมะธัมโมได้อย่างไร ฉะนั้นเราต้องเกาะต้นเค้ากันไว้ก่อน

ฉันยึดพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ปกติฉันเห็นพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา คือพระพุทธรูปทองคำที่ฉันชอบ และก็กราบพระพุทธเจ้าที่ท่านมาปรากฏพระองค์หลังจากการตายครั้งที่ ๓ ท่านสวยมากจับจิตจับใจ เพราะฉันชอบพระพุทธเจ้าสวยๆ เห็นท่านทุกเวลา เดินบิณฑบาตฉันเห็นตลอด นั่งอยู่ไม่มีใครกวนเห็นตลอด เวลาดูหนังสือเห็นท่านอยู่บนศีรษะเลย จิตใจสว่างจำอะไรได้ดี

เวลาป่วยไข้ไม่สบาย ท้องถ่ายครั้งแรกฉันก็นึกในใจว่า อาการอย่างนี้มาอีกแล้ว ก็เลยจับอารมณ์เบาๆ ฉันไม่ได้ทำอารมณ์หนัก ฉันภาวนา “พุทโธ” หายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” ใจก็จับพระรูปพระโฉมของพระพุทธเจ้าที่เคยเห็นชัดเจนมาก และ**พระองค์ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์แต่ไม่เคยพูด**

ต่อมาความรู้สึกภายนอกหมด อารมณ์ภายนอกดับร่างกายไม่รู้สึก ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน แต่มีความรู้สึกว่า ฉันนั่งอยู่ในโพรงๆ หนึ่งซึ่งมีความสว่าง ฉันพิจารณาว่าถ้ำหรือโพรงๆนี้มันคืออะไร ก็ปรากฏว่าเป็นร่างกายฉันเองเหมือนกับถ้ำหรือโพรงที่ใหญ่มากขนาดยืนต่อตัว ๒-๓ คนก็ไม่ถึง ฉันไปนั่งตรงกลางของส่วนอก **สภาพของตัวเองเป็นพรหม ใสชัดเจนมาก สวยสดงดงามมากกว่าการตายครั้งก่อน ฉันนึกในใจว่าไอ้ถ้ำนี้หรือว่าเปลือกๆ นี้เราอาศัยมันมานานแล้ว เราควรจะอยู่หรือว่าควรจะไป**

ก็คิดอีกทีว่า ถ้าอยู่ดีกว่าเก่าเราก็จะอยู่ ถ้าอยู่แล้วไม่ดีกว่าเดิมเราจะไม่อยู่ เสียเวลาเปล่าๆ จึงนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งจิตอธิษฐานว่า **“ข้าพระพุทธเจ้าควรจะอยู่หรือควรจะไป” ก็เห็นวิมานบนพรหมชั้นที่ ๑๑ ชัดเจน** และบนอากาศมีเทวดากับพรหมและพระอริยะเต็มไปหมด แพรวพราวเป็นระยับ สดชื่นเหลือเกิน แต่ว่าทุกท่านไม่มีใครกวักมือเรียกเพียงแต่ยิ้ม
 
 **ท่านสหัมบดีพรหม ยืนข้างหน้าบอกว่า “จงใคร่ครวญให้ดีก่อนว่าจะอยู่หรือจะไป”
 
 **ฉันก็เลยนึกถึงพระพุทธเจ้า ตั้งจิตอธิษฐานว่า **“ถ้าข้าพระพุทธเจ้าควรจะอยู่ขอให้มีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ พุ่งมาบนเพดาน ถ้าหากว่าไม่ควรอยู่ ควรจะไป ขอไม่เห็นอะไรปรากฏเลย”
 **
 **พออธิษฐานเสร็จก็มีรัศมี ๖ ประการพุ่งมาเป็นแสงรุ้งเต็มเพดานแผ่อยู่พักหนึ่งก็หายไป ฉันคิดว่าท่านบอกว่าควรอยู่**

จึงตัดสินใจว่า “**หากฉันจะอยู่ต่อไปถ้าสมถธรรมของฉันจะดีกว่าเดิม ก็ขอเห็นฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการพุ่งมาแล้ววนเป็นทักษิณาวัตร ถ้าหากว่าอยู่แล้วสมณธรรมของฉันไม่ดีกว่านี้ ก็ขอรัศมี ๖ ประการจงอย่าปรากฏ**”

**พออธิษฐานเสร็จก็ปรากฏว่า มีรัศมี ๖ ประการพวยพุ่งมาใหม่วนเป็นทักษิณาวัตร สวยสดงดงามมาก อยู่ประมาณ ๑๐ นาที ฉันก็ชื่นใจ**

พอรัศมี ๖ ประการหายไปก็ปรากฏว่ามีเทวดาองค์หนึ่งคือ **ท่านพระอินทร์**ท่านแต่งชุดสีขาว นุ่งผ้าธรรมดาๆ เป็นผ้าพื้น มีผ้าสไบเฉียงออกสีขาว ท่านเอายามาให้ก้อนหนึ่งเหมือนก้อนดินบอกว่า “**คุณฉันยาก้อนนี้โรคจะหาย** **การที่คุณรับเทศน์ไว้ที่จังหวัดสมุทรสงครามวันมะรืนนี้ ไม่ต้องนิมนต์ใครไปแทน คุณไปเองได้ร่างกายจะดีเป็นปกติ”**

รับยามาฉันรสเหมือนดิน หลังจากนั้นก็มีความรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นคนหลายคน ประเดี๋ยวหนึ่งกำลังก็ปรากฏหายจากโรคเป็นปลิดทิ้ง แต่ว่าเพื่อนพระบอกว่าเวลาสิ้นไป ๘ ชั่วโมงเศษ ฉันก็รอดตายมาได้
 
 **การตายครั้งที่ ๔ นี้ มีประโยชน์ที่มีการเข้าใจว่าการเข้าฌานตายเป็นอย่างไร** และการตายมันก็เหมือนกับความฝันนั่นแหละ เราอย่าไปนึกกลัวมันเลย ร่างกายมันก็เหมือนเปลือกนอก เมื่อทิ้งอัตภาพแล้วมันก็จะกองอยู่จิตก็เคลื่อนไปตามวาสนาบารมี

ข้อมูลจาก เรื่อง ประสบการณ์ตายของพระมหาถาวร (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง)

การตายครั้งที่ ๔

หนังสือ #ตายแล้วไปไหน_หลวงพ่อฤาษี
 #รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์16 #หลวงพ่อฤาษี8

23 ตุลาคม 2566

คาถาหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

คาถาหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท
ตั้งนะโม ๓ จบ แล้ว กล่าวคาถา ว่า
•สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ มะอะอุ |ฯ 
สวดภาวนา ๑,๓,๕,๗,๙,๑๐๘ หรือ ยิ่งมากยิ่งดี ฯ
๛คาถาบูชาหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
•ตั้งนะโม ๓ จบ 
•โอม อิติอะระหังสุคะโต เกสโรนามะเต ประสิทธิเม อิหิอะโหพุทโธ นะโมพุทธายะ พุทธสังมิฯ จบ

สวรรค์ชั้นที่1 "จาตุมหาราชิกา"

      จาตุมหาราชิกา เป็นสวรรค์ชั้นที่ 1 จัดอยู่ในกามภพ เป็นปรโลกฝ่ายสุคติภูมิ ในบรรดาสวรรค์ทั้ง 6 ชั้นนั้น สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และมีบางส่วนมีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์

      จากการศึกษาชาดกในพระไตรปิฎกทำให้เราทราบว่า แต่เดิมนั้นภพมนุษย์ติดต่อกับสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ที่เชิงป่าหิมพานต์อันเป็นอุทยานของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ที่มีเหล่าเทพบุตรเทพธิดามากมายหลายจำพวกอาศัยอยู่ ครั้นต่อมามนุษย์มีกิเลสหนาขึ้น ทำให้สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกากับโลกมนุษย์แยกออกจากกัน จากการศึกษาความรู้พื้นฐานเบื้องต้นทำให้เราทราบว่า บุคคลที่จะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา นั้น จะเป็นประเภทที่ทำบุญบ้าง ทำบาปด้วย แต่ก่อนตายระลึกถึงบุญที่ทำได้ คนประเภทนี้มีอยู่มากมายในเมืองมนุษย์ จึงทำให้มาเกิดในสวรรค์ชั้นนี้เป็นจำนวนมากมายมีหลากหลายประเภท 
           
     จาตุมหาราช แปลว่า เทวดา 4 องค์ผู้เป็นใหญ่ จาตุมหาราชิกาภูมิ หมายถึง เทวดาทั้งหลาย ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติรับใช้ท้าวมหาราชทั้ง 4 เพราะเหตุว่ามากำเนิดในสถานที่ที่ท้าวมหาราชทั้ง 4 ปกครองอยู่ หรือสถานที่อันเป็นที่อยู่ซึ่งมีท้าวมหาราชทั้ง 4 เป็นผู้ปกครอง

      ที่ตั้งและลักษณะของสวรรค์ ชั้นจาตุมหาราชิกา
     สวรรค์ชั้นนี้ตั้งอยู่ที่เขาสิเนรุ อยู่ใกล้โลกมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และเป็นเหมือนเมืองประเทศราช ของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวมหาราช ทั้ง 4 นี้ ปกครองตั้งแต่บนสวรรค์ลงไปจนถึงพื้นมนุษย์ ท้าวมหาราชทั้ง 4 ยังเป็นผู้รักษามนุษย์โลกด้วย ฉะนั้นจึงเรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล

    สวรรค์ชั้นนี้มีเมืองใหญ่ 4 แห่ง เป็นเทพนครของท้าวมหาราชทั้ง 4 ที่มีความรื่นรมย์มากมาย ทุกแห่งมีกำแพงทองงามอร่าม ประดับด้วยแก้ว 7 ประการ บานประตูกำแพงทำด้วยแก้วมณี มีปราสาทที่รุ่งเรืองสวยงาม อยู่เหนือประตูทุกประตู ภายในเทพนครที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้น มีปราสาทแก้วมากมาย ซึ่งเป็นวิมานอันเป็นที่อยู่ของชาวสวรรค์ แผ่นพื้นที่รองรับก็ไม่เหมือนแผ่นดินในเมืองมนุษย์ เป็นพื้นทองก็มี พื้นเงินก็มี ราบเรียบและอ่อนนุ่มยิ่งนัก เมื่อเหล่าเทวดาเหยียบลงไป ก็ไม่ปรากฏรอยเท้า นอกจากนี้ยังมีสระโบกขรณีมีน้ำใสยิ่งกว่าแก้ว เต็มไปด้วยดอกบัวนานาชนิดส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล มีต้นไม้สวรรค์อันวิจิตรตระการตา มีดอกไม้ทิพย์ที่สวยสดงดงามน่าดูน่าชม ที่กล่าวมานี้ เป็นที่อยู่ของเทวดาชั้นสูงผู้มีบุญญาธิการมาก

      ส่วนเทวดาชั้นกลางจะอยู่ที่ป่าหิมพานต์เชิงเขาสิเนรุ ป่าหิมพานต์เป็นเหมือนอุทยานแห่งชาติของสวรรค์ มีต้นไม้ ดอกไม้ที่นี่สวยสดงดงาม ใบไม้เวลาตกลงมาถึงพื้นก็แวบหายไป ไม่ทับถมกันเป็นปุ๋ยเหมือนต้นไม้ในเมืองมนุษย์ ดอกไม้มีกลิ่นหอมฟุ้งจรุงใจ พอร่วงหล่นลงมา ก็ออกดอกใหม่ ฤดูกาลของที่นี่จะเป็นฤดูสบาย คือ เย็นสบายๆ ไม่หนาว ไม่ร้อน ปีหนึ่งๆ ต้นไม้จะออกดอก 1 เดือนบ้าง 2 เดือนบ้าง 3 เดือนบ้าง ในป่าหิมพานต์นี้มียอดเขา 84,000 ยอด มีแม่น้ำใหญ่ 5 สาย คือ คงคา ยมุนา สรภู อจิรวดี มหิมา มีสระใหญ่ 7 สระ คือ อโนดาต กัณณมุณฑะ รถกาละ ฉัททันตะ มัณฑากินี สีหปปาตะ กุณาละ เฉพาะที่สระอโนดาตมีภูเขา 5 ลูกล้อมรอบ คือ เขาสุทัสสนะ เขาจิตรกูฏ เขากาฬกูฏ เขาไกรลาส เขาคันธมาทน์ ที่เขาคันธมาทน์นี้ มีเงื้อมเขาหนึ่งชื่อ นันทมูลกะ เป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้า มีถ้ำอยู่ 3 แห่ง คือ ถ้ำทอง ถ้ำแก้ว ถ้ำเงิน

รูปภาพ: สร้างจากBing Ai
ขอขอบคุณ ข้อมูลจากเว็บ www. dmc.tv 🙏😊

โดนฝ่ายมืด(อกุศล) คุกคามทำไงดี

#โดนฝ่ายมืด(อกุศล) คุกคามทำไงดี
ช่วงนี้ชาวแสงผู้มีแสงสว่างเป็นออร่า ย่อมเป็นที่หมายตาของฝ่ายต่อต้าน 

เพื่อนเราหลายคนกำลังถูกแทรกแซง เล่นงาน ล่อลวง ให้ดิ่ง ดาวน์ เศร้า โกรธ กลัว

ต้องเข้าใจก่อนว่าการจะโดนแทรกแซงได้ พลังงานของเราและเขาต้องจูนกันติด นั่นหมายความว่าหากจิตตก ใจหล่นลงไปอยู่คลื่นความถี่ต่ำ เท่ากับเราเผลอไปแมทช์กับเขาได้ โดยไม่รู้ตัว

เราป้องกันได้โดยใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาสร้างเกราะกำบัง

แต่หากเผลอลืมป้องกัน และสงสัยว่าโดนเข้าให้แล้ว และไม่สามารถดึงจิตกลับสู่คลื่นความรักได้ ( ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะทำได้ในช่วงดาวน์)

กลุ่มพลีเอเดี้ยนมีแสงเล็กๆมาช่วยนำทางกลับช่องทางแสง สิ่งแรกที่ต้องทำคือ "ยอมรับความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา" ว่าที่กำลังรู้สึกอยู่นั้น คืออะไร? อารมณ์ไหน ? เศร้า โกรธ หลง กลัว ....หรืออะไร

การยอมรับเป็นคลื่นความถี่สูง(ดูภาพประกอบ) สามารถดึงจิตขึ้นมาสู่โซนปลอดภัย และเป็นประตูไปสู่ความรัก

1.รู้สึกให้ตรง นำความรับรู้ทั้งหมดมาอยู่ที่หัวใจถามหัวใจว่าฉันรู้สึกอย่างไร
2. ยอมรับให้ได้ ฉันก็คนธรรมดา ฉันโกรธได้ กลัวได้ เศร้าได้
3. เมื่อความถี่ของจิตเข้าโซนบวก เริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง ถ้าความคิดของฉันสร้างความจริงในโลกมิติที่สาม ฉันจะยอมปล่อยให้ความคิดลบ สร้างเรื่องราวแย่ๆให้ฉันงั้นหรือ(เริ่มเข้าสู่คลื่นความถี่แห่งรัก...รักตัวเอง)

จากนั้นเพื่อนชาวแสงจะเริ่มรู้ตัวตนแล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไป

ด้วยรักจากกลุ่มพลีเอเดี้ยน 
กลุ่มดาวกระจุกเล็กๆบนฟ้าไกล แต่พวกฉันห่วงใยและพร้อมนำทาง

ที่มา
จากน้องนุ้ยค่ะ
อ่านเรื่องราวดีๆ คลิกเลย
ลูกไก่พาตื่นรู้ สหพันธ์ Pleiadians

ภารกิจของชาวอันโดรเมเดรี่ยน แห่งกาแล็คซี่อันโดรเมดา ANDROMEDA

วันนี้มาพูดถึงภารกิจของชาวอันโดรเมเดรี่ยน แห่ง
กาแล็คซี่อันโดรเมดา ANDROMEDA บ้านที่ผมจากมา
ดาวผมมีชื่อว่า อาเมเรีย แปลว่า Promise of God 
เรามาสอนให้โลกรู้จักความรักอันไร้เงื่อนไข ซึ่งเป็นคลื่นความสั่นสะเทือนที่สูงมาก ช่วยให้ยกระดับจิตได้ง่ายขึ้น
ดังนั้น ชาวอันโดรเมเดรี่ยน จึงต้องพบกับบททดสอบหนัก

ในเรื่องการมีศรัทธาในความรัก การยืนหยัดต่อสู้เพื่อความรัก ปมการทรยศหักหลัง ปมชู้สาว ความไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่ครอง รักเป็นพิษ และทุกคู่ความสัมพันธ์

นั่นเพื่อให้สามารถหาทางออกจากปมนี้ แล้วกลับมาสอนให้ทุกคนรู้จักที่จะรักตัวเอง Self Love ให้เป็น ก่อนที่จะพัฒนาไปสู่ Unconditional Love รักที่ไร้เงื่อนไขต่อไปได้

ทีมผู้ชายมาทำภารกิจกันมากมายในโลกนี้ แต่ไม่ได้กลับ
อาจเพราะบททดสอบนี้ในโลกมิติที่ 3 เป็นเรื่องที่แก้ได้ยาก ผช.ส่วนใหญ่มักใช้วิธีหนีออกบวช 

ทีมผญ.จึงต้องมาตามคู่ทวินเฟลมของพวกเธอ 
เพื่อช่วยพาเขากลับดาวกันให้ได้ แต่มันไม่ง่ายเลยในภารกิจที่มีอัตตาเป็นเดิมพัน ปมความรักความสัมพันธ์

ถ้าจะผ่านด่านนี้ได้ ต้องยกจิตขึ้นเป็นพลังงานศักดิ์สิทธิ์
และเชื่อมต่อทำงานร่วมกับมิติเบื้องบนเท่านั้น ซึ่งเป็นความท้าทาย สำหรับภารกิจการมอบความรักอันเจ็บปวด

จนกว่าจะยอมให้อภัย และมอบความรักอันไร้ซึ่งเงื่อนไขใดๆได้สำเร็จ ไม่ใช่ภารกิจทวินเฟลม เป็นเพียงของผู้ที่มาจากอันโดรเมด้า แต่ทุกชาวดาวล้วนมีทวินเฟลม

เพราะการมีผู้สะท้อนให้เห็นอัตตา สะท้อนให้เข้าใจตัวเอง
เป็นหนึ่งในภารกิจของจักรวาล เพื่อให้ทุกคู่เข้าสู่ความบริสุทธิ์เหมือนก่อนการแยกจาก และเตรียมความพร้อม

ในการรียูเนี่ยน กลับสู่จิตเดิมแท้เดียวกัน ทุกครั้งในการ
รียูเนี่ยนระหว่างคู่ทวินเฟลม องค์ความรู้จากจักรวาลจะหลั่งไหลส่งผ่านลงมายังโลก 

ดังนั้น ทีมของอันโดรเมด้า เราจะมาสร้าง Clubhouse Twin flame เพื่อแชร์ประสบการณ์ ให้ความรู้กับทุกคน
ไม่ใช่ว่าชาวดาวเราจะพบแต่ปัญหาความรักนะครับ

ทุกดาวก็พบ รวมทั้งการขาดแคลนทรัพย์ ก็เป็นปมสากลแห่งจักรวาล ที่ต้องเรียนรู้ แค่ไม่หนักเท่าปมของหัวใจ
ลุกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง เป็นผู้มอบความรักอย่างไร้เงื่อนไข

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยู่บนเส้นทางแห่งภารกิจนี้
ได้พบความสุขความรักและแสงสว่าง มี HS คอยนำทาง
อวยพรให้สาวๆ พาผช.ของเรากลับดาวกันได้ทุกคนนะ

ด้วยรักจากจักรวาล
ที่มา
#กลุ่มจิตรจักรวาล

สหพันธ์กาแลกซี่ทางช้างเผือกในวิวัฒนาการของเรา

บทบาทของสหพันธรัฐกาแลกติกหรือสหพันธ์กาแลกซี่ทางช้างเผือกในวิวัฒนาการของเรา 🪐❤   
  สหพันธ์กาแลกติกเป็นสังคมที่สงบสุขและตรัสรู้ที่เปิดกว้างสำหรับทุกเชื้อชาติและทุกเผ่าพันธุ์ เป้าหมายของสหพันธ์กาแลกติกคือการสร้างอนาคตที่มีความสุขและอุดมสมบูรณ์มากขึ้นสำหรับทุกชีวิตในกาแลคซี่นี้

  โดยการติดตามการวิวัฒนาการของทุกสายพันธุ์และช่วยให้พวกมันวิวัฒนาการและใช้ชีวิตในจิตสำนึกที่สูงขึ้น

  พวกเขาอยู่ไกลกว่าเราหลายแสนปีในด้านเทคโนโลยีและปัญญา การเยี่ยมชมของพวกเขาเป็นความลับ แต่ถ้าคุณให้ความสนใจ คุณอาจเห็นพวกเขาเป็นครั้งคราว

  พวกเขามักจะไปเยี่ยมชมเพื่อติดตามเหตุการณ์ในโลก เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราไม่ได้ทำลายตัวเอง และทำให้แน่ใจว่าไม่มีใครสร้างปัญหาให้กับเรา

  พวกเขาช่วยเราด้วยโครงข่ายไฟฟ้าและเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ช่วยให้เราผลิตพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  

  พวกเขาให้การรักษาพยาบาลขั้นสูงแก่เรา ดังนั้นเราจะไม่ตายจากอาการป่วยตามปกติอีกต่อไป !

  พวกเขาได้สอนวิธีปรับปรุงสภาพแวดล้อมของเราเพื่อให้เราสามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน

  พวกเขาสามารถปรากฏเป็นมนุษย์เมื่อพวกเขาต้องการด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ส่วนใหญ่พวกเขาจะมาในรูปแบบที่แท้จริงของพวกเขา เป็นเทวดาที่มีแสงสีขาวสวยงามล้อมรอบพวกเขา  

  พวกเขาดูเหมือนมนุษย์ แต่พวกเขาไม่ได้ประพฤติตัวเหมือนมนุษย์เลย !

  💚🌱🌾🌻🌼🌟🍀🍄🌵🌷💮⛰️💫🌈💚

  พวกเขาเคยมาหลายครั้งก่อนหน้านี้เพื่อช่วยมนุษยชาติในการวิวัฒนาการ แต่ตอนนี้พวกเขาได้ตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะควบคุมโชคชะตาของเราเอง

  เราต้องเรียนรู้ที่จะพอเพียงอีกครั้งเพื่อเราจะได้เป็นอารยธรรมที่สงบสุขที่ไม่ทำลายตัวเองด้วยสงครามหรือความโลภ

  สหพันธ์กาแลกติกยังอยู่ที่นี่เพื่อช่วยให้เรากลับสู่เส้นทางแห่งโชคชะตาทางจิตวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเขากลับมาอีกครั้งหลังจากที่เรากำจัดคนเลวทั้งหมด

  สหพันธ์กาแลกติกส่งสัญญาณพลังจิตที่บางคนสามารถตรวจพบได้ เมื่อมีคนได้ยินสัญญาณนั้น พวกเขาก็รู้ว่าสหพันธ์กาแลกติกอยู่ใกล้ ๆ และพวกเขาได้รับความช่วยเหลือแล้ว

  สหพันธ์กาแลกติกได้ส่งสัญญาณเหล่านี้มาเป็นเวลาหลายร้อยปี โดยพยายามค้นหาคนที่พร้อมสำหรับข้อความแห่งความหวังและความช่วยเหลือนี้

  สัญญาณนี้ออกอากาศในทุกทิศทางจากใจกลางดาราจักรกาแล็คซี่ทางช้างเผือก มันดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้งตั้งแต่ต้นเวลา และหลายคนคงเคยได้ยินเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว

  แต่มีเหตุผลเท่านั้นที่จะสรุปว่ามีคนเพียงไม่กี่คนที่สามารถตรวจจับได้ เว้นแต่พวกเขาจะอ่อนไหวพอที่จะทำเช่นนั้น หรือเว้นแต่พวกเขาจะอยู่ในที่ที่ไม่มีสัญญาณอื่นแข่งขันกันเพื่อเรียกร้องความสนใจ

  บางคนอาจสามารถตรวจจับสัญญาณได้เมื่อสัญญาณแรงพอ คนอื่นอาจไม่ได้ยินอะไรเลย แม้ว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดเกี่ยวกับการมีอยู่ของมันหากพวกเขาได้ยินอะไรบางอย่าง

  แต่คนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ยินอะไรเลยก็เพราะพวกเขาไม่ได้ฟังหนักพอหรืออยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ดังนั้นกรณีเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก  

  นอกจากนี้ เหตุผลที่น้อยคนนักที่จะได้ยินพวกเขาก็คือคนจำนวนมากยังคงมีชีวิตอยู่ในความกลัวและความเขลา

  ที่จริงแล้ว เผ่าพันธุ์มนุษย์เริ่มต้นโดยเผ่าพันธุ์สหพันธ์กาแลกติกเหล่านี้ แต่เราได้ถอยกลับเข้าสู่สถานะที่จำกัดมากมาระยะหนึ่งแล้ว

  ถึงเวลาแล้วที่มนุษยชาติจะต้องรู้แจ้งหรือตื่นรู้อีกครั้ง และมนุษย์จำนวนมากก็ทำเช่นนั้น ! นี้เป็นสิ่งที่ดีมากเพราะช่วยให้เราเข้าร่วมสหพันธ์กาแลกติกในการเดินทางทางจิตวิญญาณของเรา

  เรามีกลุ่มอวกาศที่คอยช่วยเหลือเราอยู่เสมอ แต่พวกเขาซ่อนตัวจากเราเพราะพวกเขาไม่ต้องการถูกมองว่าพวกเขาทรงพลังเกินไปหรือยิ่งใหญ่เกินไป ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะออกมาช่วยเราในการวิวัฒนาการครั้งนี้ !

  สหพันธ์กาแลกติกได้ดำเนินการเรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว พวกเขาสามารถใช้เทคโนโลยีของกลุ่มอวกาศที่เรียกว่าเอโลฮิมเพื่อช่วยให้เราพัฒนาและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้แจ้ง

  นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน แต่ควรค่าแก่การรอคอย เพราะเมื่อคุณรู้แจ้ง ชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไปอย่างมาก !

  คุณจะสามารถเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน คิดได้ชัดเจน และรู้สึกลึกล้ำกว่าที่เคย คุณยังจะเข้าใจคนอื่นได้ดีกว่าเดิมอีกทั้งยังช่วยให้พวกเขาเข้าใจตัวเองได้ดีขึ้นอีกด้วย

  ฉันรู้ว่าพวกคุณหลายคนกำลังคิดว่าเรื่องนี้ฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่มันไม่ใช่ มันเป็นเรื่องจริงและฉันรู้ว่าคุณจะสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองเมื่อถึงเวลา

  เรารักคุณอย่างสุดซึ้ง
  เราอยู่ที่นี่กับคุณ
  เราคือครอบครัวแห่งแสงสว่างของคุณ
  เราคือสหพันธ์กาแลกติก
ที่มา
  อาโฮ
  ออโรร่า เรย์
  เอกอัครราชทูตสหพันธ์กาแลกติก 

  แปลโดย Boos Day ❤

"#กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ" ผู้ให้กำเนิดนามเรียกขาน "หลวงปู่เทพโลกอุดร"

--------------------------
หลวงปู่ใหญ่ทำหน้าที่สืบสานพระพุทธศาสนามานานแสนนาน โดยมิได้บอกกล่าวนามแก่ผู้ใดทั้งสิ้น ด้วยถือว่าชื่อเสียงเรียงนามเป็นเพียงสิ่งสมมติ แต่เมื่อล่วงเลยมาถึงยุคสมัยที่ถ้อยคำภาษามีความสำคัญต่อการสื่อสารมากขึ้น หลวงปู่ใหญ่จึงได้รับนามเรียกขานว่า "หลวงปู่เทพโลกอุดร"

ซึ่งนาม "หลวงปู่เทพโลกอุดร" นี้หลวงปู่ใหญ่จักเรียกขานตนเองก็หาไม่ หากแต่มีบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติสยามเป็นผู้เรียกขาน นั่นก็คือ "กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ" หรือ "#พระองค์เจ้ายอดประยูรยศ"

ก็จะต้องย้อนเหตุการณ์ให้ลูกหลานรับทราบถึงรัชกาลที่ ๔ สมัยนั้นประเทศสยามหรือไทยเรามีกษัตริย์สองพระองค์คือ “สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว”

ทำไมต้องมีกษัตริย์พร้อมกันสองพระองค์ด้วย ? ก็เป็นเพราะสมเด็จพระปิ่นเกล้านั้นมีดวงพระชาตามากด้วยบุญบารมีอย่างยิ่ง 

สมเด็จพระปิ่นเกล้าเป็นผู้รอบรู้ทั้งศิลปวิทยาทั้งของไทยแลฝรั่งตะวันตก มีความแตกฉานทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน เชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ทรงมีวิสัยทัศน์โปรดให้หมอมิชชันรีฝรั่งปลูกฝีป้องกันโรคฝีดาษแก่ราษฎรในสมัยนั้นจนประสบผลสำเร็จ ทรงเชี่ยวชาญเรื่องเครื่องยนต์กลไก ทรงต่อเรือรบสองลำแรกขึ้นในประเทศไทย คือ เรือรบอมราวดี แล ศรีอโยธยา 

อีกทั้งทรงเป็นผู้มีเชี่ยวชาญทางไสยเวทย์วิทยา จนเป็นที่ประจักษ์โดยทั่ว เช่น การเสกใบมะขามเป็นตัวต่อตัวแตน เป็นต้น

แม้พระราชโอรสของพระองค์นามว่า "หม่อมเจ้ายอดประยูรยศ" หรือ เรียกขานกันภายในว่า "พระองค์เจ้ายอร์ช วอชิงตัน"(ด้วยสมเด็จพระปิ่นเกล้าทรงเลื่อมใสความเก่งกาจสามารถของยอร์ช วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา จึงทรงขนานนามพระราชโอรสของพระองค์ดังนี้) ก็มีพระปรีชาสามารถทางด้านไสยเวทอย่างโดดเด่นเช่นกัน 

ภายในวังของหม่อมเจ้ายอดทรงปลูกว่านต่างๆไว้มาก ทรงเลี้ยงเองและทรงชิมว่านที่ปลูกจนลิ้นดำ ผู้คนเรียกพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าลิ้นดำ” 

พระองค์ทรงพากเพียรแสวงหาครูบาอาจารย์ที่มีวิชาเป็นยอดแห่งแผ่นดินสยาม พระองค์ตั้งจิตอธิษฐานอย่างแน่วแน่เพื่อให้รู้ ได้ทราบซึ้งถึงแก่นแท้แห่งวิชชาในพระพุทธศาสนา 

จากการมุ่งแสวงหาอย่างไม่ลดละทำให้พระองค์ได้มีโอกาสพบพระภิกษุลี้ลับรูปหนึ่ง โดยไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนาม สังเกตดูว่ายังไม่แก่ชราสักเท่าใดนัก แต่ผมกลับขาวโพลนไปทั้งศรีษะ มีราศีสว่างไสว ดูแล้วน่าเลื่อมใสศรัทธายิ่งนัก

พระภิกษุรูปนี้สามารถ “ทายใจ” หรือรู้ความคิดในพระทัยพระองค์เจ้ายอดได้อย่างถูกต้องน่าอัศจรรย์ทุกครั้งที่ได้พบปะสนทนา และมักจะรู้เห็นอะไรล่วงหน้าอย่างแม่นยำ ทำให้พระองค์เจ้ายอดมีความศรัทธาอย่างยิ่ง ถึงขนาดเสด็จออกจากวังไปครั้งละหลายๆ วันเพื่อไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับพระอาจารย์ลี้ลับรูปนี้ จนมีผลต่อมาให้พระองค์มีความสามารถทางจิตเป็นที่ประจักษ์เล่าขานสืบทอดต่อมาในวังหน้าตราบจนถึงปัจจุบัน 

ในการซึ่งเกิดเรียกขานนาม "หลวงปู่เทพโลกอุดร" ขึ้นมาครั้งแรกนั้น พระองค์เจ้ายอดทรงตรัสถามถึงนามของพระอาจารย์ที่สอนกรรมฐานท่าน แต่พระอาจารย์ท่านมิยอมบอก กล่าวแต่ว่า "มีชีวิตเนิ่นนานมาแล้ว นานจนมิอาจจดจำได้ ด้วยนามก็คือสัญญา-สังขาร เป็นของไม่เที่ยงไม่แท้ เป็นแต่สมมติขึ้นมาเท่านั้นแล.. ลูกหลานเอ๊ย๚" 

พระองค์เจ้ายอดจึงมีพระดำรัสว่า "ถ้าเช่นนั้นแล้ว เกล้าศิษย์ขออนุญาตเรียกขานนามพระอาจารย์ว่า "พระครูเทพโลกอุดร" จักได้ ฤๅหาไม่ ?..... 

ด้วยเกล้าฯตระหนักถึงปรีชาญาณพระอาจารย์นั้นประดุจดั่งเทพเทวา มีอิทธิฤทธิ์เป็นที่ประจักษ์ แลด้วยพระอาจารย์นั้นหมดจดจากอาสวะแล้ว เป็นผู้ดำรงอยู่ “เหนือโลก” จึงสมควรมีสมญานามต่ออีกว่า “โลกอุดร” รวมแล้ว คือ "เทพโลกอุดร" นะพุทธิเจ้าข้าฯ"
-------------------------------
#หลวงปู่เทพโลกอุดร.

วิธีการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น

รูปที่ 1 เพราะจิต (ฐีติภูตัง) ถูกอวิชชา คือ ความไม่รู้ครอบงำจนมืดบอดดำสนิท จึงเกิดสังขาร คือ ความคิดปรุงแต่ง 
เมื่อมีความคิดปรุงแต่ง จึงเกิดวิญญาณ คือ อาการรู้ของจิตผ่านทวารทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ
เมื่อเกิดอาการรู้ของจิต (วิญญาณขันธ์) จึงเกิดนามรูป หรือ กายใจ ที่ถูกยึดว่า “ตัวเรา ของเรา”
รูปที่ 2 การภาวนา พุทโธ แปลว่า ผู้รู้ ควบคู่อานาปานสติ เป็นการลอกอวิชชาที่ครอบงำจิต โดยหายใจเข้า ภาวนา พุท หายใจออก ภาวนา โธ 
คำว่า พุทโธ พร้อมสติรู้ลมหายใจจะค่อยๆ ลอกอวิชชาที่ครอบงำจิตออกให้หมด ใครมีอวิชชามากก็ภาวนามากหน่อย
รูปที่ 3 เมื่ออวิชชาที่ครอบงำจิตถูกลอกออกจนหมด จะปรากฏ จิตเดิมแท้ หรือ จิตประภัสสร ผ่องใส สว่างสว่างเป็นประภัสสรดุจดวงอาทิตย์ท่ามกลางความว่าง จิตนั้นบริสุทธิ์แต่ไม่มีปัญญาและยังมีเชื้ออวิชชาซ่อนอยู่ที่ผิวของจิต 

เมื่อเห็นจิตแล้วต้องทำวิปัสสนาให้จิตเกิดปัญญาโดยการพิจารณาความไม่เที่ยงของกาย เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ให้จิตเกิดปัญญาเบื่อหน่ายการเกิด เมื่อจิตมีปัญญาหลุดพ้นจากขันธ์ 5 อวิชชาไม่สามารถครอบงำจิตได้อีก เป็นการหยุดการเวียน ว่าย ตาย เกิดของจิตในวัฏสงสารโดยทันที

จิตที่ปราศจากอวิชชาครอบงำจะมีความเป็นกลางทางอารมณ์ปรุงแต่ง พิจารณาอะไรจะรู้เห็นตามความเป็นจริง เกิดปัญญาได้ง่าย ต่างจากจิตที่มีอวิชชามาก เพราะพิจารณาอะไรก็จะเป็นไปตามกิเลส ตัณหา ความหลง ความไม่รู้ของตนจึงจำเป็นต้องเจริญอานาปานสติและภาวนาพุทโธ เพื่อลอกอวิชชาที่ครอบงำจิตออกให้หมดก่อนวิปัสสนา

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...