กายวาจาใจเราต้องตั้งมั่น ไม่ส่งจิตออกไป ถ้าส่งจิตออกไปแล้วก็ต้องรู้..และดับในอารมณ์นั้นได้ ก็เป็นโมฆะ แต่ถ้าส่งจิตออกไปแล้วไม่สามารถดับอารมณ์นั้นได้..เก็บมาเป็นอารมณ์ ย่อมว่าแรงกรรมได้บังเกิดขึ้น นี่แลสิ่งเหล่านั้นต่างหากที่จะส่งสัญญาณให้ดวงจิตวิญญาณที่มันเคยมีความอาฆาตพยาบาทกันได้มาหาเราได้ถูกที่ถูกทาง เค้าได้ปักหมุดไว้แล้วนั่นเอง..คือที่ใจของเรา เข้าใจอย่างนี้มั้ยจ๊ะ
นั้นวันใดที่โยมมาเจริญกรรมฐานโยมจงล้างใจล้างกรรม กรรมที่ไม่ดีเราไม่สามารถจะลบล้างหรือลบรอยในอดีตให้มันขาวสะอาดได้ แต่เราสามารถลดอำนาจแรงกรรมได้ คือเมื่อเราลดอำนาจแรงกรรม..มันจะมีอำนาจอาฆาตพยาบาทกับเรานั้นก็ได้ยาก คือสร้างกรรมในปัจจุบันให้เป็นกรรมดีเพื่อมันจะพยุงไว้
คำว่า "พยุง" คือป้องกัน อุดหนุน ค้ำชู ปกป้องรักษานั่นเอง เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ ทุกครั้งที่เราเจริญศีลสมาธิปัญญา เราอธิษฐานบุญแผ่เมตตาออกไป อธิษฐานโมทนาให้เทพเทวดามาโมทนา เมื่อเค้าโมทนาเห็นว่าเราทำเป็นประจำ เค้าจะมาดูแลรักษาเราอยู่เป็นประจำเช่นเดียวกัน..อย่างนี้
แล้วถ้าเค้ามา..ไอ้พวกเวรพยาบาทหรือเจ้ากรรมนายเวรที่มันจะต้องมาพบมาปะ ถ้าในขณะนั้นจิตเราอยู่ในข่ายอยู่ในพระรัตนตรัย อยู่ในกระแสความดี มีเทพเทวาปกป้องรักษา ไอ้เจ้ากรรมนายเวรพวกนั้นจะเห็นบุคคลนั้นหรือเปล่าจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่เห็น) ถูกต้อง ก็ด้วยถูกปกป้องปกคลุมด้วยกระแสแห่งพระรัตนตรัยและเทพเทวาปกปักรักษา..
เหมือนโยมนั้นสวดพระคาถาชินบัญชร..เปรียบเหมือนตาข่าย เกราะป้องกันคุ้มครองนั้นเอง จรดหัวถึงปลายเท้าครอบคลุมทั้งกายเนื้อและกายใน ไม่ใช่ปกคลุมแค่เพียงภายนอกกายนอก แต่ยังปกป้องคุ้มครองทั้งกายใน กายในคือจิตภายใน เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ ไม่ให้จิตลุ่มหลงหลุดออกไปในนิมิต ในอุปาทานแห่งขันธ์ทั้งหลายในความหลง กายภายนอกคือวิบากกกรรมที่จะต้องเจอพิบัติภัยทั้งหลาย..ให้เกิดความแคล้วคลาดอย่างนี้ จึงเรียกว่าปกป้องกายนอกและกายใน..
ดังนั้นบุคคลใดที่มีเชื้อสายเป็นลูกศิษย์ลูกหา เป็นลูกหลานของท่านสมเด็จโต ได้สวดพระคาถาชินบัญชรด้วยความคล่อง มีศรัทธาแล้ว เอามาเป็นองค์บริกรรม เอามาเป็นองค์ภาวนา เอามาเป็นการเจริญสติ เอามาเป็นการเจริญมนต์ อย่างนี้ย่อมมีอานิสงส์ แผ่ปกคลุมไพศาลทั้งโลกนี้และโลกหน้า..
เมื่อเราสวดมนต์ภาวนาชินบัญชรจบบทตามที่เราเจตนาอธิษฐานไว้ เราสามารถอธิษฐานแผ่เมตตา ก็ด้วยพระคาถาชินบัญชร และอำนาจบุญกุศลบารมีของท่านสมเด็จโตนี้แล เอ่ยอ้างคุณในพระรัตนตรัยเชื่อมต่อให้จิตเรานั้นเข้าถึงมีกำลังของจิต แผ่ออกไปให้ ๓ แดนโลกธาตุให้เค้ามาโมทนาบุญ แล้วยังเป็นผลให้เรานั้นตัดกรรมที่เราจะอโหสิกรรม ให้เราเข้าถึงความดี อย่างนี้จึงมีอานิสงส์มาก
คาถาบทใดก็ตามจะศักดิสิทธิ์เพียงใดอยู่ที่ใจบุคคลนั้นมีศรัทธาเพียงใด..ก็มีความศักดิสิทธิ์มีความขลังเพียงนั้น เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ อยู่ที่บุคคลนั้นนับถือยกขึ้นมีศรัทธามีความนอบน้อมมากแค่ไหน..คาถานั้นก็ให้ผลมากแค่นั้นนั่นเอง..
ก็เหมือนอุปมาว่าพุทธคุณพระวัตถุมงคลทั้งหลายที่เราได้ห้อยคอ เอาไว้พกก็ดี บูชาก็ดี ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เค้าประสิทธิ์ประสาทด้วยอภิญญาแห่งจิตญาณแล้ว ฌานสมาบัติจิตแล้ว กำลังแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณแล้ว จะมีกำลังมากเพียงใดก็อยู่ที่บุคคลผู้นั้นเอาไปบูชาแล้วมีศรัทธาเพียงใด..ก็จะได้รับกระแสผลานุภาพนั้นเพียงนั้น เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ
เหมือนอุปมาทรัพย์สมบัติที่บิดามารดาเค้าให้แล้ว อยู่ที่ว่าบุญของเรานั้นมีมากเพียงใด..ที่จะสามารถรับทรัพย์นั้นในบุญนั้นที่เราเคยได้ทำไว้ กระแสแห่งพระรัตนตรัย แห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณก็เช่นเดียวกัน จิตเราจะสามารถน้อมรับพลังนั้น ศรัทธานั้น ปาฏิหาริย์นั้น..ก็อยู่ที่ใจของเรามีฤทธิ์เพียงใด เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ
ถ้าจิตเราไม่มีฤทธิ์จิตเราไม่มีความนอบน้อม ไม่เป็นหนึ่งกับสิ่งๆนั้น..มันก็เกิดปฏิสนธิกันไม่ได้ ดังนั้นแล้วการศรัทธาในวัตถุมงคล เราต้องศรัทธาในครูบาอาจารย์..ไม่ได้ศรัทธาในวัตถุ เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ วัตถุนั้นเป็นธาตุ แต่บุคคลที่ปลุกวัตถุนั้นให้เป็นธาตุกายสิทธิ์ขึ้นมา..จึงเรียกว่าเป็นบุคคล ถ้าโยมไม่มีศรัทธาในตัวบุคคลในครูบาอาจารย์ เรียกว่าไม่อาราธนา ไม่ระลึกถึง วัตถุมงคลนั้นมันก็เป็นแค่วัตถุธาตุธรรมดานั่นแล เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น