เมื่อกายเรามีกำลังดีแล้ว..ก็พากายไปเดินจงกรม ไปภาวนาจิต เมื่อกายมันพอมีกำลังดี จิตก็พอตื่นรู้ ไม่นานมันก็จะมีความปัสสัทธิบังเกิด มีความปิติ มีความอิ่มใจ เดี๋ยวมันก็เจริญอิทธิบาท ๔ มีความพอใจมีความเพียรได้ ขอให้เรามีศรัทธา มีวิริยะในการประพฤติปฏิบัติฝึกฝนจิต
นั้นไอ้ที่ว่าความง่วง ความหดหู่ ความเศร้าหมองเหล่านี้ เมื่อจิตเรามีกำลังพอที่จะอธิษฐานจิตอธิษฐานบุญได้..ไม่ว่าจะนั่งก็ดี เดินอยู่ก็ดี ยืนอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดีนี้ ก็สามารถอธิษฐานแผ่บุญกุศลได้
เมื่อเราแผ่ออกไปแล้ว..ไอ้พวกวิญญาณเหล่าใดที่มาครอบงำจิต เมื่อเค้าได้กระแสแห่งบุญกุศล เค้าก็จะได้มาโมทนา กระแสแห่งบุญที่เราแผ่ออกไปนี้ การแผ่ออกไปนี้ย่อมทำให้เรามีพลังกลับคืนมา
ดังนั้นบุญนี้จึงสำคัญนัก..แม้ขณะเราเจริญบุญอยู่ เราก็ต้องอาศัยบุญในปัจจุบันนี้ที่เราทำขึ้นอยู่นี้ กระทำอยู่นี้ อธิษฐานเปิดทางไป หากเราไม่แผ่บุญกุศล..ไม่ต่างอะไรกับเรานั้นนั่งหวงบุญหรือทับบุญอยู่ เมื่อมันทับบุญอยู่อย่างนี้ มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อันใด ทั้งตัวเราเองและก็สรรพวิญญาณทั้งหลาย ไม่ต่างอะไรกับนั่งทับกิเลสอยู่
นั้นเราต้องมาเพียรละอารมณ์หรือที่ว่ากิเลสที่เรายังดับไม่ได้ ดังนั้นบุญกุศลที่เราทำนี้ในขณะปัจจุบันนี้แล อะไรที่มันผ่านมาแล้วก็ยังไม่สำคัญเท่าในปัจจุบัน แม้ขณะที่โยมฟังธรรมอยู่ในขณะนี้..โยมก็มีสติ ก็เอาจิตนั้นแลน้อมจิตไป อธิษฐานบุญกุศลไป..
ว่าในขณะนี้ ราตรีนี้..ข้าพเจ้าได้มาเจริญกรรมฐาน ได้สดับฟังธรรม ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ประพฤติปฏิบัติอยู่ ได้ฟังธรรมอยู่นี้ จงเป็นบุญเป็นกุศลเป็นประโยชน์ สำเร็จประโยชน์ต่อดวงจิตวิญญาณทั้งหลาย เทพเทวา ดวงจิตวิญญาณที่ข้าพเจ้าเคยล่วงเกิน มีความอาฆาตพยาบาทในกาย วาจา ใจก็ดี ทั้งที่ตั้งใจไม่ตั้งใจ มีเจตนาหรือไม่มีเจตนาใดๆก็ตาม
ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยนี้ จงอดอาฆาตพยาบาท ให้ลุแก่โทษภัยทั้งหลาย ขอให้ดวงจิตวิญญาณทั้งหลายที่มีความอาฆาตพยาบาท เป็นคู่อิจฉาริษยาทั้งหลายนี้ จงมาอโหสิกรรมมาโมทนาบุญกับข้าพเจ้า จงอย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย เราก็อธิษฐานบุญแผ่เมตตาออกไป..
เมื่อมันเป็นอย่างนี้ได้ กระแสบุญที่เรานี้ระลึกอยู่..ตัวนี้แลเค้าเรียกว่าการระลึกถึงบุญที่เคยทำมา นั้นการแผ่เมตตานี้ก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง คือการเจริญเมตตาจิต ในขณะจิตที่เจริญเมตตาอยู่ คือจิตนี้ปราศจากการที่จิตมีความอิจฉาริษยา มีความอาฆาตพยาบาท เพราะจิตเรามีความปรารถนาที่จะให้ ไม่คิดจะจองเวร..อย่างนี้
และในขณะจิตอย่างนี้แล..เค้าเรียกจิตที่เป็นกุศล จึงมีกำลังแห่งจิต มีความสว่างแห่งจิต อย่างน้อยมันก็ช่วยให้จิตเรานั้นที่ถูกครอบงำด้วยอวิชชาด้วยวิญญาณก็ดี หรือจะเป็นผีห่าซาตานที่สิงอยู่ก็ดี เค้ายังพลอยได้ประโยชน์
เมื่ออธิษฐานบุญนี้ก็ให้อำนาจแห่งบุญกุศล พระรัตนตรัยที่ข้าพเจ้านั้นที่ระลึกถึงเป็นสรณะอยู่นี้ เป็นธงชัยนี้ จงเป็นแสงสว่างเป็นแสงบุญนำทางให้ทุกดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายที่มีความเกี่ยวพันเกี่ยวข้อง มีบุพกรรมมีวาสนากับข้าพเจ้า..จงไปจุติในภพภูมิที่ดี ในสัมปรายภพ
หากเค้ายังไม่มีกำลังแห่งบุญมากเพียงใดก็ตาม ก็ให้เราอธิษฐานว่าให้เค้ามาร่วมโมทนาบุญกับข้าพเจ้า หรืออธิษฐานมาขึ้นเรือธรรม มาสร้างกุศลบารมีใหญ่ เป็นกำลังเป็นมิตรไมตรีต่อกัน อย่างนี้..ก็ให้เราอธิษฐานไป
นั้นทุกครั้งที่เรามาเจริญกรรมฐานนี้ ถ้าเราแผ่บุญให้เค้า..เขาก็จะมีกำลัง มีแสงบุญ เมื่อมีแสงบุญแล้วเค้าก็พอที่จะมาเจริญบารมีได้..อย่างนี้ อุปมาเหมือนเราให้อาหาร..เค้าก็มีกำลังได้
การแผ่เมตตาอยู่บ่อยๆนี้จะเป็นที่รักของเทวดาและอมนุษย์ ดังนั้นเมื่ออานิสงส์ของการแผ่เมตตานี้ จะทำให้เรานั้น..ศัตรูที่มุ่งอาฆาตมาดร้ายกับเรานั้นจะอ่อนกำลังลง ถ้ามีศัตรูที่ถาวร..เค้าก็จะทำอะไรเรามิได้
เมื่อเราแผ่เมตตาอยู่บ่อยๆอำนาจแห่งกระแสการแผ่เมตตานี้แล ย่อมทำให้ชนะศัตรูหมู่มารได้ อย่างน้อยอันดับแรกก็คือการชนะใจตัวเอง ที่ไม่ให้มีความอาฆาตพยาบาท ผูกอาฆาตผูกใจเจ็บ..อย่างนี้แหล่ะเค้าเรียกว่าการปลดพันธนาการด่านแรกลงเสียได้
เมื่อเราทำอยู่บ่อยๆแล้ว ไม่มีจิตที่จะอาฆาตพยาบาทใคร แรงอาฆาตพยาบาทในจิตของเรานั้น..เมื่อมันลดน้อยลงจนไม่มีแล้วนี้ จะหาความอาฆาตพยาบาทของใครจะมาเบียดเบียน จะมาอาฆาตพยาบาทเราให้เกิดโทษทัณฑ์เกิดภัยนั้น..ก็ทำได้ยาก
เพราะแรงทั้งหลายแห่งกรรมมันเกิดจากใจเรานี้แลที่ไปผูกไปอาฆาต ไปจองเวรไปพยาบาท เมื่อเราลดละความอาฆาตพยาบาทลงเสียได้อย่างนี้ เค้าเรียกเป็นการป้องกันภัยไปในตัว จะไปที่ใดตำบลใดสถานที่ใดแล้วนี้..ให้หมั่นเมตตาเป็นนิตย์ ก็ด้วยอำนาจบุญกุศลหรือจิตเราที่มีความปรารถนาที่จะแผ่เมตตา นั้นการทำสิ่งใดมันก็เรียกจะเป็นการเปิดทาง..ให้สิ่งที่เราทำนั้นมันสมความมุ่งมาดปรารถนาได้ไม่มากก็น้อย..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น