คำว่า "บารมี" :
โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
........ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็จะขอเริ่มต้นเรื่อง บารมี ๓๐ ทัศ เพื่อเป็นการสนองความดีของบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะว่าคำว่า บารมี บรรดาท่านทั้งหลายส่วนใหญ่มักจะมีความหนักใจกัน เมื่อเราพูดกันถึงว่าการปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน หรือปฏิบัติเพื่อความดีในด้านของพระพุทธศาสนา อาตมาได้ยินมาเป็นปกติ ที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้ามักจะกล่าวกันว่า บารมียังไม่ถึงบ้าง บารมียังอ่อนอยู่บ้าง หรือ ยังไม่มีบารมีเพื่อจะปฏิบัติบ้าง
........การที่บรรดาท่านพุทธบริษัทปรารภอย่างนี้ อาตมาก็เห็นใจ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าอาตมาเข้าใจดีในคำว่า บารมี เดิมทีเดียวอาตมาเองก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับบรรดาท่านพุทธบริษัท คิดว่าคนที่จะปฏิบัติเอาดีในศาสนา ขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเข้าถึงความดีสูงสุดได้ต้องมีบารมีมาเต็มแล้ว ตามที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาก็ทรงตรัสแบบนั้น
........ทีนี้คำว่า บารมี นี่เราไม่เข้าใจกัน นี่อาตมาไม่พูดถึงว่า บรรดาพุทธบริษัทไม่เข้าใจ พูดว่าอาตมาเองน่ะมีความไม่เข้าใจเรื่องบารมีมาก่อน แล้วก็บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายอาจจะมีความดีกว่าอาตมามาก คือว่าท่านทั้งหลายอาจจะรู้จักคำว่าบารมีจริง ๆ มาก่อนก็ได้ แต่ว่าเรื่องนี้อาตมาขอยอมประกาศตรงๆ แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ยอมรับว่าอาตมาโง่เรื่องบารมีมามาก แล้วก็โง่มานาน อายุใกล้จะ ๖๐ ปี แล้วจึงได้รู้จักคำว่า บารมี
........ความจริงการปฏิบัติในด้านบารมีอาตมาทำถูก ทั้งนี้ก็ต้องขอประทานโทษ อย่าถือว่าเป็นการยกย่องตัวเองเกินไป ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น คือทำมาแบบชนิดที่เรียกว่าบังเอิญถ่ายอุจจาระตรงร่อง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าการทำไป ไม่รู้หรอกว่าบารมีแปลว่าอะไร
........ตามที่ศึกษากันมา บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายอาตมาเคยเรียนภาษาบาลี ครูท่านก็สอนว่า บารมี แปลว่า เต็ม และ ปรมัง แปลว่า อย่างยิ่ง ก็คือเต็มไม่บกพร่อง ทีนี้เราก็เข้าใจกันว่าเต็ม เต็มกันอยู่เสมอ เลยไม่ทราบว่าบารมีเต็มตรงไหน อาตมาเป็นทั้งนักเรียน เป็นทั้งครู เป็นทั้งนักเทศน์ ก็สอนผิดเทศน์ผิดเข้าใจผิดมาตั้งแต่เป็นนักศึกษา ทั้งนี้อาตมาไม่โทษครูบาอาจารย์ เห็นจะเป็นเพราะว่าอาตมาเลวเกินไป ที่ไม่ได้สนใจไต่ถามครูบาอาจารย์ให้เข้าใจว่า บารมีหมายความว่าอะไร
........อาตมาทราบเอาเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๓ ปีนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมามาอยู่ที่ วัดจันทาราม หรือ วัดท่าซุง นี้แล้ว ก่อนหน้านั้นนิดหนึ่ง อาตมาอยู่กระต๊อบโคนต้นโพธิ์เพราะว่าที่วัดนี้ไม่มีอะไรเป็นหลักเป็นฐาน มีกุฏิโกรงเกรง ๆ อยู่ ๓ หลัง สองหลังที่รื้อไปก็ใช้การอะไรไม่ได้ ฝาก็โปร่งหลังคาก็ผุ พื้นก็ผุ รอดก็ไม่ดี ก็รื้อออกไป ยังเก็บไว้แต่เฉพาะกุฏิที่ท่านเจ้าอาวาสอยู่หลังเดียว คือมีสภาพแข็งแรง ศาลาก็โย้เย้ โบสถ์ก็ร้าว วิหารก็พัง หอสวดมนต์ใช้การไม่ได้ เมื่อท่านเจ้าอาวาสนิมนต์มา ก็ต้องไปปลูกกระต๊อบอยู่โคนต้นโพธิ์
........ปีที่มานั้นเป็นวันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ ย้ายมาจาก วัดสะพาน โดยการอาราธนาของทางเจ้าอาวาสคือ พระครูสังฆรักษ์ (อรุณ อรุโณ) ได้จัดขบวนแห่ไปรับถึงวัด ไปกันเป็นร้อย ๆ คน ไม่ใช่คนสองคน
........ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ปลายปี ท่านพลอากาศตรี หม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ พร้อมด้วยคณะของท่าน ทอดกฐินเป็นปีที่ ๒ คือปีแรกท่าน พลอากาศตรี พะเนียง กานตรัตน์ สมัยนั้นมียศขณะนั้น เวลานี้เป็นพลอากาศเอกแล้วได้มาทอดกฐินถวายโดยการสนับสนุนของ นาวาอากาศเอก อาทร โรจนวิภาต (ปัจจุบันยศพลอากาศเอก) เป็นผู้ติดต่อให้เพราะบวชอยู่ด้วย หลังจากนั้นจึงได้สร้างกุฏิขึ้นมาใหม่เป็นตัวตึก ๒ ชั้น พร้อมด้วยศาลาการเปรียญและวิหาร สำหรับเอาพระที่เห็นควรแก่การบูชาประดิษฐานไว้ที่นั้น
........ปีนั้นพอสร้างเสร็จก็ปรากฏว่าน้ำท่วม ต้องหนีขึ้นชั้นบน ชั้นล่างท่วมหมด ไปดูที่กุฏิเก่า (กระต๊อบที่อยู่) น้ำแค่คอ นี่เป็นบุญแท้ ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท การสร้างกุฏิกับศาลาคราวนี้ มีทุนเดิมอยู่สามพันกับเจ็ดสิบห้าบาทเท่านั้น แต่ต้องใช้เงินทั้งหมดประมาณห้าแสนเศษ แต่ที่ผ่านไปได้ด้วยดีก็เพราะอาศัยบรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีความเคารพในศาสนา ขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ช่วยกันสงเคราะห์ ซึ่งมีท่านพลอากาศตรี หม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ และ คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ผู้เป็นภรรยา เป็นหัวหน้าในการชักชวนพวกเพื่อนทั้งหลายมาร่วมบำเพ็ญกุศล จึงได้อาศัยกุฏิหลังนั้นสอนบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนเนื่องในการปฏิบัติพระกรรมฐาน
........ก่อนจะเข้าถึงเรื่องบารมีกัน ก็มาเล่าเรื่องเบื้องต้นกันเสียก่อน เพื่อความเข้าใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท
........มีคืนวันหนึ่งน้ำท่วมขึ้นมาแล้ว แต่ว่าท่วมไม่มาก ยังไม่ถึงพื้น ขณะนั้นอาตมามีร่างกายไม่ดี ความจริงอาตมานี่ป่วยไข้ไม่สบายมาตลอดชีวิต ร่างกายไม่ปกติกับเขา เพราะเป็นคนสร้างความชั่วไว้ในอดีตมาก คือในชาติที่เป็นอดีตอาตมาสร้างปาณาติบาตไว้มากบรรดาท่านพุทธบริษัท กรรมเก่าเขาก็ตามสนอง อาการความไข้มันเครียดหนัก แต่อาตมาก็ไม่แสดงออกทางกาย เว้นไว้แต่บางครั้งที่ลุกไม่ไหว บรรดาประชาชนทั้งหลายจึงจะทราบว่าป่วยมาก ทั้งนี้เพราะอะไร ไม่ใช่มายาบรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมามีความอดทน ทนต่อกฎของกรรมชั่วที่ทำไว้ในอดีต ถือว่าเป็นการชำระหนี้ความชั่วไป มันจะเบียดเบียนร่างกายเพียงใดก็ช่างมัน เพราะองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ว่า
"ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา
ร่างกายเป็นบ้านเช่าชั่วคราวเท่านั้น"
........นี่กระแสพระพุทธดำรัสขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังก้องอยู่ในโสตประสาทของอาตมาอยู่ตลอดเวลา
........ปรากฏว่าในคืนวันนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัทซึ่งมาขอเรียนพระกรรมฐาน มากันครบถ้วน ถึงเวลาใกล้ ๒๐.๐๐ น. อาตมาก็ขึ้นธรรมาสน์ หวังจะสงเคราะห์บรรดาท่านพุทธบริษัทด้วยบทสอนพระกรรมฐานตามที่มีความรู้ ความจริงความรู้ในด้านนี้ของอาตมาเห็นจะน้อย ยาวไม่แค่หางอึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ดี ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทมีความปรารถนา อาตมาก็สงเคราะห์เท่าที่จะรู้ เท่าที่จะทำได้ อะไรก็ตามถ้าทำไม่ได้สิ่งนั้นไม่สอน เพราะทราบดีว่าถึงสอนก็ผิด
........ทีนี้วันนั้น เมื่อขึ้นไปบนธรรมาสน์แล้ว ก่อนที่จะให้ศีล ได้นำบรรดาท่านพุทธบริษัททำวัตรสวดมนต์ ก็ปรากฏว่าเจ้าร่างกายทรชนที่มันเป็นศัตรูใหญ่ของอาตมา ที่อาตมากล่าวว่าร่างกายนี้มันเป็นศัตรูกับอาตมาก็เพราะว่ามันไม่ดีสักคราว ไม่ว่าวันไหนบรรดาท่านพุทธบริษัท จำได้มาตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี ร่างกายของอาตมานี้มันไม่เคยปกติ มันให้โทษอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งอาตมาเบื่อหน่ายมันเต็มทีแล้ว จึงได้เชื่อองค์สมเด็จประทีปแก้วว่า ร่างกายมันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา อาตมาไม่สนใจมันนัก มันจะดีจะชั่ว มันจะทรงตัว มันจะพัง ก็ช่างหัวมัน ไม่คำนึงถึงมันอีก เพราะเจ้าศัตรูนี่ถ้าขืนคบไว้ก็สร้างแต่ความลำบากกายลำบากใจให้ปรากฏ
........ก่อนที่จะนำบรรดาท่านพุทธบริษัทนมัสการองค์สมเด็จพระบรมสุคต เจ้าร่างกายจอมร้ายมันก็แสดงอาการออก คืออาเจียนอย่างหนัก (นี่ปี พ.ศ. ๒๕๑๓) การอาเจียนไม่ยับยั้งผ่านไปประมาณ ๒ กระโถน รู้สึกหน้ามืด ใจสั่น กายหวิว เกือบจะทรงตัวไม่ไหว ขณะนั้นปรากฏว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่มานั่งอยู่ด้วย ต่างก็พากันรายงานบอกว่า ถ้าร่างกายไม่ดีก็นิมนต์หลวงพ่อลงจากธรรมาสน์ ไม่ต้องสอน เขาจะทำกันเอง แต่อาตมาก็คิดในใจว่า ถ้ายิ่งร่างกายไม่ดีแล้ว อาตมาก็จะคุมกำลังใจให้ดียิ่งขึ้น เพราะไม่แน่ใจว่าการขึ้นมานั่งบนธรรมมาสน์คราวนี้จะเดินลงไปเองหรือว่าจะให้ชาวบ้านเขาอุ้มลงไป เพราะว่ากำลังใจมันสิ้นลมปราณลงไปเสียก่อน
........ในฐานะที่อาตมาประกาศตนเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินวร จึงบอกแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทว่า ท่านไม่ต้องห่วง ถ้าอาตมายิ่งจะตายในขณะนี้ด้วย เรื่องการเจริญพระกรรมฐานจะให้งดนี้ไม่ได้แน่นอน เพราะยิ่งป่วยยิ่งเร่งรัดให้มาก เพราะเบื่อเจ้าร่างกายที่มีความอกตัญญูไม่รู้จักคุณที่เราขุนอยู่ตลอดเวลา อยากจะกินอะไรก็หาให้ ต้องการอะไรก็หาให้ แต่มันไม่เคยตามใจเรา ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้พูดเพราะเจ็บใจร่างกาย แต่เจ็บใจใจของตัวเองที่ไปคบกิเลสเข้าไว้
........วันนั้นเมื่อเสร็จจากการอาเจียน บ้วนปาก ทรงกำลังใจดีแล้ว เห็นว่าร่างกายไม่รวน ก็นำบรรดาท่านพุทธบริษัททำวัตรสวดมนต์ สมาทานพระกรรมฐาน แล้วก็มานั่งพิจารณาตัวเองว่า เวลานี้ใจมันหวิวเกือบจะขาดใจ เสียงที่กล่าวออกไปก็ไม่ค่อยจะออก หน้ามืด มองคนข้างล่างดำไปหมด จำไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่ก็ควบคุมกำลังใจ ทรงสติสัมปชัญญะตามสมควร คิดว่าวันนี้บางทีเราจะไม่ได้ลงเอง จะต้องถูกหามลง เพราะว่าสิ้นลมปราณเสียบนธรรมาสน์ จึงได้ตัดสินใจว่า วันนี้ต้องสอนบรรดาท่านพุทธบริษัทเรียกว่าเอากันเฉือนขั้นสุดท้ายกันเลย เรียกว่าทิ้งทวนหรือว่าทิ้งไพ่ใบสุดท้าย และพุ่งทวนเล่มสุดท้ายที่มีอยู่ นั่นก็คือคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมครูที่เรียกว่า บารมี ๑๐ ทัศ
........วันนั้นสอนบารมี ๑๐ ทัศ แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านทั้งหลายจะมีความเข้าใจหรือไม่เข้าใจเพียงใด อาตมาก็ไม่ทราบ เพราะสอนไม่ค่อยตรงเป้าหมาย เมื่อสอนเสร็จเวลาผ่านไปก็ดับไฟ สั่งให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายพากันเจริญพระกรรมฐานทรงสติสัมปชัญญะ คือว่าตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ให้คำภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย เพราะการภาวนาก็ดีพิจารณาก็ดีนี่ อาตมาไม่ขัดใจใคร ใครเคยทำแบบไหนคล่องมาแล้ว ให้ทำอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง เพราะอะไร...?
........เพราะว่าการภาวนาหรือพิจารณาที่ทำมาแล้ว ถ้าไม่ผิดก็ไม่ควรจะเปลี่ยน เพราะแบบปฏิบัติมีมากด้วยกัน ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำอย่างนั้นทำอย่างนี้จึงจะถูก ทำอย่างไรก็ตาม ถ้าปรารภจิตเป็นสมาธิระงับจากนิวรณ์ หรือปรารภจิตเป็นปฏิปักษ์ขันธ์ ๕ ใช้ได้หมด ถ้าตรงกับแนวคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมสุคตแล้ว อาตมาไม่ปฏิเสธการปฏิบัติของบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน
........เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทเริ่มปฏิบัติ อาตมาก็คิดในใจว่าร่างกายไม่ดีแบบนี้เราจะทนมันอยู่ทำไม ไปเสียจากร่างกายดีกว่า ปล่อยให้มันนั่งอยู่ตรงนี้ พอสัญญาณบอกเวลาปรากฏเราจึงจะกลับมา ฉะนั้นจึงได้ไปเสียจากกาย ไปไหว้พระ จะไปแบบไหนอันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาไม่บอก บอกไม่ได้ ไปอย่างไร ไปโดยวิธีไหน อยากจะรู้ก็ปฏิบัติกันเอาเอง แต่ความจริงมันก็ไม่ใช่ของดีของเด่นอะไรนัก การไปได้ มาได้ ถ้าใจเหลิงเกินไปก็ยังลงนรกได้ ไม่ใช่ของพิเศษ เมื่อออกไปแล้วก็พบองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์
........นี่ขวางกับชาวบ้านเขาแล้ว เขาบอกว่าพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว จะพบกันได้ยังไง นั่นมันเรื่องของเขาบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย นี่มันเรื่องของอาตมา อาตมาพบกันได้ก็แล้วกัน เมื่อพบแล้วก็เข้าไปนมัสการองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว พอเงยหน้าขึ้นมาพระองค์ก็ทรงตรัสถามว่า
"สัมพเกษี วันนี้เธอสอนบารมี ๑๐ ทัศใช่ไหม ...?"
ก็กราบทูลพระองค์ว่า "ใช่พระพุทธเจ้าข้า"
พระองค์จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า
"สัมพเกษี บารมีแปลว่าอะไร...?"
ตอนนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายขอได้โปรดทราบว่า ถ้าอาตมาสอนถูกพระองค์จะไม่ทรงตรัสแบบนั้น อาตมารู้ทันรู้เท่าเข้าใจทันทีว่า การสอนวันนี้ผิดพุทธพจน์บทพระบาลี
........นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทการสอนนี้ไม่ใช่ว่ามันจะถูกเสมอไป มันก็ผิดได้เหมือนกัน เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรมีพระพุทธฎีกาตรัสถามแบบนั้นอาตมาก็ทราบ จึงได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่า "ข้าพระพุทธเจ้าไม่แน่ใจนักพระพุทธเจ้าข้า แต่ที่เรียนกันมา ครูสอนว่าบารมีแปลว่าเต็ม"
........พระองค์จึงทรงตรัสถามว่า "อะไรมันเต็ม และมันเต็มแบบไหน สมมุติว่าเธอจะปฏิบัติในทานบารมี ทำยังไงทานบารมีมันถึงจะเต็ม ถ้าหากว่าจะนำของมาให้เต็มโลก เธอจะไปขนมาจากไหน ถ้าเราจะไม่นำของมาให้ ทำยังไงทานบารมีมันจึงจะเต็ม...?"
........แบบนี้มันก็อยู่ด้วยกันทั้งนั้นแหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าคนอย่างอาตมา ถ้าหากว่าท่านที่เป็นนักปราชญ์ดีกว่าอาตมาก็ไม่เป็นไร ท่านไปได้ เพราะท่านมีความเข้าใจ ท่านมีความฉลาด อาตมาบอกแล้วนี่ว่าอาตมามีความรู้ไม่เท่าหางอึ่ง คือยาวไม่เท่าหางอึ่งหรือไม่แค่หางอึ่งเพราะความโง่มันมาก
เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงตรัสแบบนั้นก็ทูลถามพระองค์ว่า "ข้าพระพุทธเจ้าไม่เข้าใจในบารมีพระพุทธเจ้าข้า"
........พระองค์จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "สัมพเกษี เธอเข้าใจ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่ว่าเธอดีแต่เฉพาะบริโภคเองเท่านั้น แต่การที่จะแบ่งปันให้บุคคลอื่นน่ะ เธอไม่มีความฉลาด การที่เธอตั้งกำลังใจในด้านบารมี ๑๐ ทัศ เป็น ๓๐ ทัศ ด้วยกัน ๓ ชั้น เธอทำได้ แต่ว่าวันนี้เธอสอนบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย เธอทำไม่ถูก เธอจงมีความเข้าใจเสียใหม่ว่า คำว่าบารมีนี้มันแปลว่าเต็ม แต่อะไรมันเต็มตถาคตจะบอกให้ว่า บารมีนี่ควรจะแปลว่ากำลังใจเต็ม"
........นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท จำไว้ให้ดีว่า คำว่าบารมีก็คือกำลังใจ ทำกำลังใจให้เต็ม ตอนนี้ซิชักจะฉลาดขึ้นมาทันที มานึกในใจว่าเรานี่มันแสนจะโง่เสียมาก
กำลังใจเต็มตอนไหนบรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านก็ทรงให้ทวนเรื่องบารมี ๑๐ ทัศ ว่ามีอะไรบ้าง อาตมาก็ถวายคำตอบแก่พระองค์ว่า
๑. ทานบารมี
๒. ศีลบารมี
๓. เนกขัมมบารมี
๔. ปัญญาบารมี
๕. วิริยบารมี
๖. ขันติบารมี
๗. สัจจบารมี
๘. อธิษฐานบารมี
๙. เมตตาบารมี
๑๐. อุเบกขาบารมี
........องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า สัมพเกษี ถูกแล้ว บารมีทั้งหมดนี้ให้ใช้กำลังใจ สร้างกำลังใจให้มันทรงอยู่ในใจทั้งหมด ให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์ไม่มีอะไรบกพร่อง คือ
๑. จิตของเราพร้อมที่จะให้ทานเป็นปกติ
๒. จิตพร้อมในการทรงศีล นี่ซิบรรดาพุทธบริษัท พร้อมในการทรงศีลเป็นปกติ ไม่ใช่ปล่อยให้ศีลมันหล่นไป
๓. จิตพร้อมในการทรงเนกขัมมะเป็นปกติ เนกขัมมะก็แปลว่าการถือบวช บวชผมยาว บวชผมสั้น บวชโกนหัว ไม่โกนหัว ได้ทั้งนั้น
๔. จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหัตประหารอุปาทานให้พินาศไป
๕. วิริยะ มีความเพียรทุกขณะ ควบคุมใจไว้เสมอ
๖. ขันติ มีทั้งอดทั้งทน อดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์
๗. สัจจะ ทรงตัวไว้ตลอดเวลาว่าเราจะจริงทุกอย่าง ไม่มีอะไรในคำว่าไม่จริงสำหรับใจเรา ในด้านของการทำความดี
๘. อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ
๙. เมตตาบารมี สร้างอารมณ์ความดีไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
๑๐. อุเบกขาบารมี วางเฉยเข้าไว้ ในเมื่อร่างกายมันไม่ทรงตัว
อย่างที่เธอเป็นวันนี้ อุเบกขาบารมีตัวนี้ พระองค์ทรงตรัสว่า ตรงกับภาษาไทยที่ใช้กันเป็นปกติว่า "ช่างมัน" ขันติบารมีนี่ก็เหมือนกันใช้คำว่าช่างมัน ตรงตัวดี
........นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า วันนี้ยังไม่สอนอะไรบรรดาท่านพุทธบริษัท เรามาคุยกันในคำว่า บารมี ทั้งหลายได้ทราบชัดว่า บารมีที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ให้เราสร้างให้มันเต็มนั้น ก็คือสร้างกำลังใจปลูกฝังกำลังใจให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์ ไม่ใช่ว่าเราจะมานั่งคิด เราจะมานอนคิด เราจะมาทรงจิตว่า เอ๊...บารมีของเรามันไม่มีนี่ ชาติก่อนบารมีของเรามันไม่พอ บารมีของเรายังไม่เต็ม เราจะเป็นพระโสดาบัน สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ยังไงได้
........ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มีความเข้าใจตามนี้ พอยังจะรู้รึยังว่า เราสามารถจะสร้างบารมีได้ด้วยอาศัยกำลังใจ ความดีของบรรดาท่านพุทธบริษัทมี กำลังใจอย่างเดียวเท่านั้นที่เราจะทำให้มันดีหรือไม่ดี อันนี้ก็ตรงกับพระบาลีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในเรื่อง พระจักขุบาล ว่า...
"มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฎฐา มโนมยา"
ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จด้วยใจ นี่ความจริงเรื่องนี้ก็เรียนกันมาแล้วบรรดาท่านพุทธบริษัท แต่เวลาปฏิบัติจริง ๆ มันทำไมถึงลืมก็ไม่ทราบ
........เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย หวังว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านคงจะเข้าใจคำว่า บารมี แล้วอย่าลืม บารมีแปลว่าเต็ม แต่ส่วนที่เราจะทำให้เต็มนั้นก็คือกำลังใจ ให้กำลังใจมันพร้อม พร้อมที่จะทรงความดีในด้านบารมีไว้ ถ้ากำลังใจของเราพร้อมทรงบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ครบถ้วนเพียงใด บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ความเป็นพระอริยเจ้าเป็นของง่าย
ที่นำบารมีทั้ง ๑๐ ประการมากล่าวในตอนนี้ก็เพราะว่า ในตอนต้นพูดเรื่องพระโสดาบันเข้าไว้ เห็นว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายอาจจะคิดว่า แหม...มันยากเกินไป ถ้ากำลังใจในการสร้างตนเป็นพระโสดาบันมันยังครบถ้วนไม่ได้ ก็หันมาจัดการกับบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ให้มันครบถ้วนบริบูรณ์
ทาน การให้ เป็นการตัดความโลภ
ศีล เราก็ตัดความโกรธ
เนกขัมมะ ตัดอารมณ์ของกามคุณ
ปัญญา ตัดความโง่
วิริยะ ตัดความขี้เกียจ
ขันติ ตัดความไม่รู้จักการอดทน
สัจจะ ตัดความไม่จริงใจ มีอารมณ์ใจกลับกลอก
อธิษฐาน ทรงกำลังไว้ให้สมบูรณ์บริบูรณ์
เมตตา สร้างความเยือกเย็นของใจ
อุเบกขา วางเฉยเข้าไว้ในเรื่องของกายเราไม่ปรารภ
........เท่านี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทสมบูรณ์เพียงใด คำว่า พระโสดาบันนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะรู้สึกว่าง่ายเกินไปสำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัท
........ทำไมจึงว่าอย่างนั้น ก็เพราะว่าคนที่มีบารมีเต็มครบถ้วนบริบูรณ์ มีกำลังใจเต็มทุกอย่างใน ๑๐ ประการนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เรียกว่าพระโสดาบัน แล้วท่านเรียกว่าอะไร ท่านเรียกว่า "พระขีณาสพ" แปลว่า ผู้มี
อาสวะอันสิ้นไปแล้ว หรือเรียกว่า "พระอรหัตผล" เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาอันดับสูงสุดเข้าถึงซึ่ง
พระนิพพาน ได้
เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี
: หมายเหตุ คำว่า "สัมพเกษี" หมายถึงชื่อเดิมขององค์หลวงพ่อท่าน ในสมัยที่หลวงพ่อท่านเป็นพระพรหม ก่อนที่จะจุติลงมาเกิดเป็นองค์หลวงพ่อฤาษี