จากตำนานของหลวงปู่เทพโลกอุดร ซึ่งมีความลี้ลับมหัศจรรย์ในพระพุทธศาสนาลากร้อยหลายพันเรื่องปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นภายใต้ร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนานั้น เรื่องของ "หลวงปู่เทพโลกอุดร" นับเป็นเรื่องหนึ่งที่อยู่ในกระแสแห่งความสนใจของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงนักปฏิบัติกรรมฐาน สำหรับความลี้ลับมหัศจรรย์นี้ เกิดขึ้นแก่ผู้ที่ศรัทธา กล่าวคือ มีฆราวาสท่านหนึ่งได้พบเจอกับปาฏิหาริย์ของ หลวงปู่เทพโลกอุดร นั่นก็คือ "ปู่โทน หลำแพร" ฆราวาสที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องพระกรรมฐาน
ปู่โทน หลำแพร เป็นชาวบ้านโพธิไทร อำเภออินทร์บุรี จังหวัด สิงห์บุรี เมื่อสมัยยังเป็นหนุ่มน้อยไ ด้บวชเป็นสามเณรอยู่ ๓ พรรษา และอุปสมบทเป็นพระภิกษุต่ออ ีก ๒ พรรษา ขณะที่บวชเรียนอยู่นั้น ปู่โทนก็สนใจในวิชาวิปัสสนา กรรมฐาน ได้เคยศึกษาและปฏิบัติ จากพระอาจารย์ผู้มีความรู้ท างด้านนี้หลายรูป ต่อมาแม้เมื่อได้ลาสิกขาออก มาครองเพศฆราวาสแล้ว ปู่โทนผู้นี้ก็ยังสนใจในวิชาวิปัสสนากรรมฐานอยู่ พยายามหาโอกาสออกแสวงหาสถาน ที่วิเวกเพื่อบำเพ็ญธรรม อยู่เสมอ ขณะที่ท่านมีอายุได้ประมาณ ๓๐ ปี ครั้งหนึ่งก็ได้ออกไปแสวงหา สถานที่วิเวกเพื่อบำเพ็ญ และในที่สุดก็ได้พบกับสถานท ี่ที่ต้องการแห่งหนึ่ง คือ ในถ้ำพระ ซึ่งอยู่หลังเขาช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
คืนหนึ่งขณะที่ท่านนั่งสมาธ ิอยู่ พอจิตได้อารมณ์เป็นสมาธิแน่ วนิ่งแล้วก็บังเกิดความประห ลาดขึ้น โดยมีพระภิกษุรูปหนึ่งได้ปร ากฏให้เห็นในนิมิต ตามคำบอกเล่าของปู่โทนบอกว่ า พระภิกษุรูปนั้น มีลักษณะเหมือนคนโบราณ แต่ผิวพรรณผ่องใส มีสง่าราศีน่าเคารพนับถือ ดูจากรูปร่างภายนอกแล้วเห็น ว่ายังหนุ่มแน่นแต่ศีรษะมีห งอกขาวโพลน ครั้นได้เห็นพระภิกษุรูปนั้ น ปู่โทนก็เข้าใจว่าคงจะเป็นพ ระอาจารย์ทางวิปัสสนากรรมฐา นผู้มีญาณวิเศษ สามารถถอดจิตมาสนทนากันได้ใ นนิมิต และการมาของท่านก็คงจะมาเพื่ ่อสนทนาธรรมหรือช่วยชี้แนะข ้อธรรมกรรมฐานที่ท่านติดขัด อยู่ ปู่โทนจึงได้เรียกถามท่านไป (ในนิมิต) ว่า
"พระคุณเจ้าเป็นใคร"
พระภิกษุหนุ่มผู้มีสง่าราศี น่าศรัทธายิ่งรูปนั้น ก็ตอบให้ทราบว่า ท่านคือหลวงปู่เทพโลกอุดร เป็นพระธุดงค์อาศัยอยู่ตามป ่าเขาลำเนาถ้ำเป็นวัตร ที่มานี่ก็เพื่อต้องการจะมา ชี้แนะธรรมปฏิบัติบางอย่าง เพราะเห็นว่าอุบาสกโทนยังปฏ ิบัติไม่ถูกต้อง ปู่โทนได้ทราบอย่างนั้นก็ปล ื้มปิติยิ่งนัก ที่จะได้มีพระอาจารย์ผู้มีค วามรอบรู้มีคุณวิเศษเลิศล้ำ มาเมตตาชี้แนะข้อธรรมให้ ซึ่งบัดนั้นปู่โทนไม่ได้ทรา บว่า หลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ว่านั้นเป็นใครมาจากไหน เพราะว่า ท่านไม่เคยได้พบเจอ หรือได้ยินได้ทราบกิตติศัพท ์มาก่อนว่า ท่านผู้นี้อยู่ที่ไหนแต่ปู่ โทนก็ยินดีที่จะน้อมรับคำแน ะนำเรื่องการวิปัสสนาจากพระ ภิกษุผู้มาอย่างแปลกประหลาด รูปนี้
หลังจากนั้นหลวงปู่เทพโลกอุ ดรก็เมตตาชี้แนะวิธีทำกรรมฐ านให้กับปู่โทนอธิบายจนปู่โ ทนเข้าใจดีแล้ว ก็หายวับไป ปู่โทนกลับคืนอารมณ์ปกติ แต่ก็ยังจำเหตุการณ์นั้นได้ ติดตา และยังปลื้มปิติไม่หาย ปู่โทนได้คำแนะนำนั้นมาปฏิบ ัติจนเห็นผลในเวลาไม่นาน ครั้นบำเพ็ญธรรมกรรมฐานอยู่ ที่นั่นพอสมควรแล้วปู่โทนก็ กลับมายังบ้าน เพื่อประกอบสัมมาอาชีพเลี้ย งครอบครัวต่อไป แต่แม้ว่าปู่จะกลับมาอยู่บ้ าน แต่ก็ไม่เลิกทำกรรมฐานเสียเ ลย ยังคงบำเพ็ญอยู่อย่างสม่ำเส มอ แต่ก็น้อยกว่าเวลาไปบำเพ็ญใ นที่วิเวกตามป่าเขาลำเนาถ้ำ เท่านั้นเอง และหลังจากนั้นปู่โทนก็ได้ห าโอกาสไปบำเพ็ญธรรมที่ถ้ำพร ะนั้นอีก และก็ได้พบพระอาจารย์ในนิมิ ต ที่ท่านรู้จักในนาม หลวงปู่เทพโลกอุดรมาคอยชี้แ นะข้อธรรมะให้อีก และสอนในระดับสูงขึ้น ๆ ปู่โทนไปอยู่ศึกษาวิปัสสนาก รรมฐานกับพระอาจารย์ในนิมิค ที่นั่นอยู่เป็นนานพอสมควร จนกระทั่งวันหนึ่ง พระอาจารย์หลวงปู่เทพโลกอุด รก็ได้บอกให้กับศิษย์คือ ปู่โทนถอดจิตออกจากสมาธิแล้ วลืมตาขึ้น บัดนั้นเอง ปู่โทน ศิษย์ผู้ที่เคยแต่ได้เห็นอา จารย์แต่เพียงในนิมิต ก็ได้เห็นพระอาจารย์หลวงปู่ เทพโลกอุดรด้วยตาเนื้อจริง ๆ
เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนักเ พราะว่ารูปร่างลักษณะของพระ อาจารย์หลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ศิษย์ปู่โทนได้เห็นด้วยต าเปล่าในขณะนั้นเหมือนกับที ่ได้เห็นในนิมิตอย่างไม่ผิด เพี้ยนเลย เพราะเหตุนี้เอง ในเวลาต่อมาปู่โทนจึงเชื่อว ่า หลวงปู่เทพโลกอุดรนั้นท่านย ังไม่ได้มรณภาพ ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่ท่านอยู่ในที่ของท่านและ ท่านไม่ค่อยจะปรากฏให้ใครได ้เห็นง่าย ๆ คนที่จะได้เห็นท่านนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีบุญวาสนา หรือเคยบุญเกี่ยวข้องกันมาแ ต่ชาติปางก่อน ตั้งแต่มานั้นการเรียนการสอ นจึงได้ดำเนินมาทั้งในนิมิต และภาพจริง ๆ วิชาความรู้ที่หลวงปู่เทพโล กอุดรได้ถ่ายทอดให้กับศิษย์ ปู่โทน หลำแพร ในตอนนั้น นอกจากจะเป็นวิชาเกี่ยวกับก ารนั่งวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ท่านยังได้สอนในเรื่องเวทมน ตร์คาถา เพราะท่านสามารถกำหนดจิตทรา บได้ว่า ปู่โทนต้องการจะเด่นในทางทร งฤทธิ์เดชและนอกจากนั้นแล้ว ท่านยังได้สอนวิชาแพทย์แผนโ บราณ การใช้ยาสมุนไพรต่าง ๆ ประกอบยาให้ด้วย
ซึ่งในเวลาต่อมาปู่โทนก็ได้ ใช้วิชาความรู้เหล่านี้มาช่ วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้รอดพ ้นจากการถูกทรมานด้วยโรคร้า ย และนอกจากนั้นแล้ว ท่านยังได้เป็ผู้เชี่ยวชาญแ ละแนะนำการวิปัสสนากรรมฐานใ ห้แก่บุคคลทั่วไป ถือได้ว่า ท่านเป็นวิปัสสนาจารย์ที่เป ็นฆราวาสผู้มีความรอบรู้คนห นึ่ง เมื่อครั้งที่อยู่ศึกษาวิชา ต่าง ๆ กับหลวงปู่เทพโลกอุดรนั่น ปู่โทนได้เปิดเผยถึงประสบกา รณ์ ที่ท่านประทับใจมากอย่างหนึ ่ง และผู้เขียนเห็นว่าเป็นเหตุ การณ์ที่แปลกประหลาดเป็นยิ่ งนัก แต่เมื่อนำมาเล่าแล้วท่านผู ้อ่านจะเชื่อหรือไม่ ก็สุดแต่ท่าน ขอให้ใช้วิจารณญาณพิจารณาเอ าเอง
เรื่องที่ว่านี้ ก็คือ เรื่องที่หลวงปู่เทพโลกอุดร ได้พาศิษย์ คือ ปู่โทนไปท่องป่าหิมพานต์ หลังจากที่ปู่โทน ได้ศึกษาธรรมปฏิบัติกับอาจา รย์หลวงปู่เทพโลกอุดรจนมีคว ามสามารถพอสมควรแล้ว วันหนึ่ง หลวงปู่เทพโลกอุดร ได้บอกกับปู่โทน หลำแพร ผู้เป็นศิษย์ว่า
"อยากจะไปเที่ยวป่าหิมพานต์ไ หม"
ปู่โทนได้ยินดังนั้นก็ให้ตก ใจเล็กน้อย เพราะคิดว่าป่าหิมพานต์มีอย ู่จริงหรือ เพราะเท่าที่ท่านทราบจากการ ศึกษาพระพุทธศาสนาก็พอจะทรา บป่าหิมพานต์ที่ว่านี้ ก็คือป่าในเขตหนาว ซึ่งก็อยู่ในแถวเทือกเขาหิม าลัยโน่น แต่อย่างไรก็ตามท่านยังไม่เ คยได้ยินได้ทราบว่ามีใครได้ เคยไปเที่ยวป่าหิมพานต์นั้น มาก่อน จึงพากันคิดว่าป่าหิมพานต์เ ป็นเพียงแต่ฉลากสถานที่แห่ง หนึ่งที่กล่าวถึงในพระเวสสั นดรชาดก ซึ่งถือเป็นนิยายปรัมปรา หรือ เทพนิยายทางตะวันออกก็ว่าได ้ คิดไม่ถึงว่าจะมีอยู่จริง และสามารถที่จะไปเที่ยวได้ แต่อย่างไรปู่โทน ก็ศรัทธาและเชื่อมั่นในความ เหนือธรรมดาของพระอาจารย์รู ปนี้ ปู่จึงคิดว่าอาจารย์ไม่ได้พ ูดเล่นเป็นแน่ จึงตอบไปว่า
"อยากไปขอรับ"
ถึงแม้ว่าจะตอบรับไปแล้วแต่ ปู่โทนก็ยังไม่วายสงสัยว่า อาจารย์จะพาตนไปที่นั่นได้อ ย่างไร ทั้งนี้ก็เพราะว่าตนยังคิดไ ม่ออกว่า เจ้าป่าหิมพานต์ที่ว่านั้นเ ป็นอย่างไรกันแน่ ต้องไม่ใช่อยู่ใกล้ ๆแน่ และที่สำคัญการเดินทางไปที่ นั่น ต้องไม่มีการคมนาคมสะดวกสบา ยเหมือนกับเดินทางไปสู่ถิ่น เจริญอื่น ๆ เป็นแน่แท้ เพราะว่าถ้าเป็นเช่นนั้นก็ค งจะมีใครต่อใครดั้นด้นเดินท างไปถึงมาแล้ว แล้วคงจะมีคนกลับมาเล่าให้ฟ ังกันบ้างแล้ว ปู่โทนจึงได้ถามหลวงปู่เทพโ ลกอุดรว่า
"จะไปที่นั่นกันอย่างไรหรือข อรับ"
หลวงปู่ตอบว่า "จะให้ปู่โทนขี่หลังท่านไป"
ปู่โทน ก็ยังสงสัยอยู่ว่าจะเป็นไปไ ด้อย่างไร จะให้ศิษย์ขี่หลังเหาะไปอย่ างนั้นหรือ แต่ท่านเชื่อว่า อาจารย์ผู้เลิศด้วยฤทธิ์อภิ ญญา เหนือโลกท่านนี้จะต้องพาตนไ ปยังที่ป่าหิมพานต์นั้นได้อ ย่างแน่นอน จึงไม่ได้ซักไซร้ให้มากความ เมื่อตกลงกันเช่นนั้นแล้วหล วงปู่เทพโลกอุดร ก็ได้นัดแนะวันที่จะนำศิษย์ เอกเดินทางไปชมป่าหิมพานต์ว ่า จะไปกันในอีก ๗ วันข้างหน้า พร้อมกันนั้นท่านก็ได้กำชับ ศิษย์เอกว่า
"ในวันนั้น ให้แต่งกาย นุ่งขาว ห่มขาว และเมื่อเดินทางไปถึงป่าหิม พานต์แล้วก็ให้สำรวมกาย วาจา ใจ อย่างเคร่งครัด อย่าตื่นกลัวและห้ามซักถามใ ด ๆ"
ในที่สุดกำหนดการเดินทางไปท ่องดินแดนมหัศจรรย์ก็มาถึง วันนั้นปู่โทนแต่งกายด้วยชุ ดขาว ตามที่หลวงปู่เทพโลกอุดรสั่ ง หลังจากนั้นก็นั่งสมาธิแผ่เ มตตาไปทั่วสากลโลก ออกจากสมาธิแล้ว ก็ได้นั่งรอการมาของหลวงปู่ เทพโลกอุดร แต่เพียงนึกถึงเท่านั้น หลวงปู่เทพโลกอุดรก็มาปรากฏ กายอยู่ตรงหน้า มาถึงแล้วหลวงปู่เทพโลกอุดร ก็ได้ซักซ้อมความเข้าใจกับศ ิษย์อีกครั้ง โดยถึงการปฏิบัติเมื่อเดินท างไปถึงป่าหิมพานต์ ครั้นซักซ้อมกันเข้าใจดี หลวงปู่ก็เอาผ้าสีดำผืนหนึ่ งมาปิดตาลูกศิษย์เอกจากนั้น ก็ให้เกาะหลังท่าน พาหายไปจากที่นั่นในขณะเดิน ทางอยู่นั้นปู่โทนจึงไม่ได้ เห็นอะไรเลย เพราะมีผ้าปิดตาอยู่ แต่เมื่อพาไปถึงที่หมาย หลวงปู่ก็แก้ผ้าดำที่ปิดตาศ ิษย์อยู่ออก จากนั้นปู่โทนจึงได้เห็นอะไ รต่อมิอะไรในดินแดนมหัศจรรย ์แห่งหนึ่ง ต่อมาปู่ท่านได้นำมาเปิดเผย ว่า
"เห็นต้นไม้ใหญ่ สูงมาก แผ่กิ่งก้านสาขาทึบร่มครึ้ม คล้ายต้นมะม่วง ใบยาวคล้าย ๆ ใบกล้วย ออกดอกออกช่อ ห้อยโตงเตงเป็นร่างผู้หญิงส าวสวยมาก สวยคล้ายนางฟ้า
ดอกหนึ่งมีผู้หญิงสาวสองคนห ้อยโตงเตงอยู่ด้วยกัน บางดอกก็เพิ่งเป็นตัวตน งอตัวคล้ายทารกงอตัวอยู่ในท ้องแม่อย่างนั้นแหละ ท่านพระครู (หลวงปู่เทพโลกอุดร ) ไม่ได้บอกว่าเป็นต้นอะไร แต่ฉันก็รู้ได้ทันทีว่า นี้คือต้นดอกนารีผลในป่าหิม พานต์ เวลานี้ได้มาถึงป่าหิมพานต์ แล้วเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ฉัน (ปู่โทน) ตะลึงลานไปหมด เอามือขยี้ตาตัวเองว่าฝาดไป หรือเปล่า ก็ไม่ได้ตาฝาด หยิกเนื้อหยิกตัวเองดูก็เจ็ บ ไม่ได้ฝันไปเลย นารีผลแขวนโตงเตงดารดาษเต็ม ไปหมดทั้งต้น ส่งกลิ่นหอมตลบไปหมด หอมเหลือเกิน หอมอย่างเครื่องหอมที่ไม่มี ในโลก ฉันเคลิบเคลิ้มงงงวย หัวใจยังงี้รู้สึกเหมือนจะล อยจากร่าง ใต้ต้น (นารีผล) โล่งเตียนสะอาดสะอ้าน คล้ายมีคนมากวาดไว้เรียบร้อ ย อากาศหนาวเย็นมาก รู้สึกว่าเป็นเขากว้างมาก มีภูเขาสูงๆ ล้อมรอบ ยอดเขามีหิมะปกคลุม นารีผลนั้นไม่เห็นพูดแต่รู้ สึกว่ามีชีวิตจิตใจ สวยจริงๆ เคลิบเคลิ้มเกิดอารมณ์เสน่ห ารัญจวนใจจนรู้สึกใจหวิวๆ จะขาดรอนเสียให้ได้ตรงนั้น เลยต้องกลับ"
เรื่องเล่าในตอนนี้ของปู่โท น ได้กล่าวสัมภาษณ์นักเขียนท่ านหนึ่ง คือ คุณ สิทธา เชตวัน
ขอบคุณข้อมูลจาก : เพจ เรื่องเล่าขานตำนานพระเกจิฆราวาส-วัตถุมงคลเครื่องราง" ประชาสัมพันธ์งานบุญ"
ดอกหนึ่งมีผู้หญิงสาวสองคนห
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น