20 ธันวาคม 2560

เมื่อเทวดาเปิดใจกับหลวงปู่มั่น ...ว่ารู้สึกยังไงกับมนุษย์?!!

เมื่อเทวดาเปิดใจกับหลวงปู่มั่น
...ว่ารู้สึกยังไงกับมนุษย์?!!
ครั้งหนึ่ง เมื่อพวกเทวดามาเยี่ยมหลวงปู่มั่น
เพื่อฟังเทศน์ หัวหน้าเทวดาองค์หนึ่ง
พูดกับท่านว่า..
"ท่านมาพักอยู่ที่นี่ทำให้พวกเทวดา
สบายใจไปทั่วกัน เทวดามีความสุขมากผิดปกติเพราะ
กระแสเมตตาธรรมท่านแผ่กระจาย
ครอบท้องฟ้าอากาศและแผ่นดินไปหมด กระแสเมตตาธรรมของท่านเป็นกระแสที่บอกไม่ถูกและอัศจรรย์มาก ไม่มีอะไรเหมือนเลย"
หัวหน้าเทวดาพูดต่อไปว่า..
"ฉะนั้น ท่านพักอยู่ที่ไหน พวกเทวดาต้องทราบกันจากกระแสธรรม
ที่แผ่ออกจากองค์ท่านไปทุกทิศทุกทาง แม้เวลาท่านแสดงธรรมแก่พระเณร
และประชาชน กระแสเสียงของท่าน
ก็สะเทือนไปหมดทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง ไม่มีขอบเขต ใครอยู่ที่ไหนก็ได้เห็นได้ยิน นอกจากคนตายแล้วเท่านั้นที่จะไม่ได้ยิน"
ตอนนี้...จะได้เชิญอาราธนาคำพูดสนทนากัน
ระหว่างหลวงปู่มั่นกับหัวหน้าเทวดา
มาลงอีกเล็กน้อย ส่วนจะจริงหรือเท็จ
ก็เขียนตามที่ได้ยินได้ฟังมา
หลวงปู่มั่นย้อนถามหัวหน้าเทวดาบ้างว่า
"ก็มนุษย์ไม่เห็นได้ยินกันบ้าง...ถ้าว่า
เสียงเทศน์สะเทือนไปไกลดังที่ว่านั้น"
หัวหน้าเทวดารีบตอบทันทีว่า..
"ก็มนุษย์เขาจะรู้เรื่องอะไรและสนใจ
กับศีลกับธรรมอะไรกันท่าน! ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจของเขา เขาเอาไปใช้ในทางบาป
ทางกรรมและขนนรกมาทับถมตัวตลอดเวลา นับแต่วันที่เขาเกิดมาจนกระทั่งเขาตายไป เขามิได้สนใจกับศีลกับธรรมอะไรเท่าที่ควร
แก่ภูมิของตนหรอกท่าน มีน้อยเต็มที...ผู้ที่สนใจจะนำตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ ไปทำประโยชน์คือศีลธรรม ชีวิตเขาก็น้อยนิดเดียว ถ้าเทียบกันแล้ว มนุษย์ตายคนละกี่สิบกี่ร้อยครั้ง เทวดาที่อยู่ภาคพื้นแม้เพียงรายหนึ่ง
ก็ยังไม่ตายกันเลย ไม่ต้องพูดถึงเทวดาบนสวรรค์ชั้นพรหม
ซึ่งมีอายุยืนนานกันเลย
มนุษย์จำนวนมากมีความประมาทมาก ที่มีความไม่ประมาทมีน้อยเต็มที มนุษย์เองเป็นผู้รักษาศาสนา แต่แล้วมนุษย์เสียเองไม่รู้จักศาสนา ไม่รู้จักศีลธรรม ซึ่งเป็นของดีเยี่ยม มนุษย์คนใดชั่วก็ยิ่งรู้จักแต่จะทำชั่วถ่ายเดียว เขายังแต่ลมหายใจเท่านั้นพอเป็นมนุษย์
อยู่กับโลกเขา พอลมหายใจขาดไปเท่านั้น เขาก็จมไปกับความชั่วของเขาทันที
แล้วเทวดาก็ได้ยิน... ทำไมจะไม่ได้ยิน... ปิดไม่อยู่!
เวลามนุษย์ตายแล้วนิมนต์พระท่านมา
สาธยายธรรม 'กุสลา ธัมมา' ให้คนตายฟัง เขาจะเอาอะไรมาฟังสำหรับคนชั่วขนาดนั้น พอแต่ตายลงไปกรรมชั่วก็มัดดวงวิญญาณเขาไปแล้ว เริ่มแต่ขณะสิ้นลมหายใจ จะมีโอกาสมาฟังเทศน์ฟังธรรมได้อย่างไร แม้ขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็ไม่สนใจ
อยากฟังเทศน์ฟังธรรม นอกจากคนที่ยังเป็นอยู่เท่านั้น...พอฟังได้ถ้า
สนใจอยากฟัง แต่เขามิได้สนใจฟังหรอกท่าน
ท่านไม่สังเกตดูเขาบ้างหรือ...เวลาพระท่าน
สาธยายธรรม 'กุสลา ธัมมา' ให้ฟัง เขาสนใจฟังเมื่อไร! ศาสนามิได้ถึงใจมนุษย์เท่าที่ควรหรอกท่าน เพราะเขาไม่สนใจกับศาสนา สิ่งที่เขารักชอบที่สุดนั้นมันเป็นสิ่งที่ต่ำทราม
ที่สัตว์เดรัจฉานบางตัวก็ยังไม่อยากชอบ
นั่นแลเป็นสิ่งที่มนุษย์ที่ไม่ชอบศาสนา ชอบมากกว่าสิ่งอื่นใด และชอบแต่ไหนแต่ไรมา ทั้งชอบแบบไม่มีวันเบื่อ ไม่รู้จักเบื่อเอาเลย ขณะจะขาดใจยังชอบอยู่เลยท่าน
พวกเทวดารู้เรื่องของมนุษย์ได้ดีกว่ามนุษย์จะมาสนใจรู้เรื่องของพวกเทวดาเป็นไหนๆ ... มีท่านนี่แลเป็นพระวิเศษ รู้ทั้งเรื่องมนุษย์ ทั้งเรื่องเทวดา ทั้งเรื่องสัตว์นรก สัตว์กี่ประเภท ท่านรู้ได้ดีกว่าเป็นไหนๆ ฉะนั้น พวกเทวดาทั้งหลายจึงยอมตน
ลงกราบไหว้ท่าน"
พอหัวหน้าเทวดาพูดจบลง หลวงปู่มั่นก็พูดเป็นเชิงปรึกษาว่า..
"เทวดาเป็นผู้มีตาทิพย์ หูทิพย์ แลเห็นได้ไกล ฟังเสียงได้ไกล รู้เรื่องดีชั่วของชาวมนุษย์ได้ดีกว่ามนุษย์จะรู้
เรื่องของตัวและรู้เรื่องของพวกมนุษย์ด้วยกัน จะไม่พอมีทางเตือนมนุษย์ให้รู้สึกสำนึก
ในความผิดถูกที่ตนทำได้บ้างหรือ? อาตมาเข้าใจว่าจะได้ผลดีกว่ามนุษย์ด้วยกัน
ตักเตือนกัน สั่งสอนกัน ... จะพอมีทางได้บ้างไหม?"
หัวหน้าเทวดาตอบว่า..
"เทวดายังไม่เคยเห็นมนุษย์ว่ามีกี่ราย
พอจะมีใจเป็นมนุษย์สมภูมิ
เหมือนอย่างพระคุณเจ้า
ซึ่งให้ความเมตตาแก่ชาวเทพ
และชาวมนุษย์ตลอดมาเลย พอที่เขาจะรับทราบว่าในโลกนี้มีสัตว์
ชนิดต่างๆ หลายต่อหลายจำพวกอยู่ด้วยกัน ทั้งที่เป็นภพหยาบ ทั้งที่เป็นภพละเอียด ซึ่งมนุษย์จะยอมรับว่า เทวดาประเภทต่างๆ มีอยู่ในโลก และสัตว์อะไรๆ ที่มีอยู่ในโลกกี่หมื่นกี่แสนประเภท ว่ามีจริงตามที่สัตว์เหล่านั้นมีอยู่ เพราะนับแต่เกิดมา มนุษย์ไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้มาแต่พ่อแต่แม่ แต่ปู่ย่าตายาย แล้วมนุษย์จะมาสนใจอะไรกับเทวดาเล่าท่าน นอกจากเห็นอะไรผิดสังเกตบ้าง จริงหรือไม่จริงไม่คำนึง
พวกมนุษย์มีแต่พากันกล่าวตู่ว่าผีกันเท่านั้น จะมาหวังคำตักเตือนดีชอบอะไรจากเทวดา แม้เทวดาจะรู้เห็นพวกมนุษย์อยู่ตลอดเวลา แต่มนุษย์ก็มิได้สนใจจะรู้เทวดาเลย แล้วจะให้เทวดาตักเตือนสั่งสอนมนุษย์
ด้วยวิธีใด... เป็นเรื่องจนใจทีเดียว ปล่อยตามกรรมของใครของเรา
ไว้อย่างนั้นเอง แม้แต่พวกเทวดาเองก็ยังมีกรรมเสวยอยู่
ทุกขณะ ถ้าปราศจากกรรมแล้ว เทวดาก็ไปนิพพานได้เท่านั้นเอง ... จะพากันอยู่ให้ลำบากไปนานอะไรกัน"
หลวงปู่มั่นถามว่า..
"พวกเทวดาก็รู้นิพพานกันด้วยหรือ?...
ถึงว่าหมดกรรมแล้วก็ไปนิพพานกันได้ และพวกเทวดาก็มีความทุกข์
เช่นสัตว์ทั้งหลายเหมือนกันหรือ?"
หัวหน้าเทวดาตอบว่า..
"ทำไมจะไม่รู้ท่าน! ก็เพราะพระพุทธเจ้าองค์ใดมาสั่งสอนโลก
ก็ล้วนแต่สอนให้พ้นทุกข์ไปนิพพานกันทั้งนั้น มิได้สอนให้จมอยู่ในกองทุกข์ แต่สัตว์โลกไม่สนใจพระนิพพาน
เท่าเครื่องเล่นที่เขาชอบเลย จึงไม่มีใครคิดอยากไปนิพพานกัน
คำว่า 'นิพพาน' พวกเทวดาจำได้อย่างติดใจจากพระพุทธเจ้า
แต่ละองค์ที่มาสั่งสอนสัตว์โลก แต่เทวดาก็มีกรรมหนาจึงยังไม่พ้นจากภพของเทวดาให้ได้ไปนิพพานกัน จะได้หมดปัญหา ไม่ต้องวกเวียนถ่วงตนดังที่เป็นอยู่นี้ ส่วนความทุกข์นั้น ถ้ามีกรรมอยู่แล้ว ไม่ว่าสัตว์จำพวกใดต้องมีทุกข์ไปตามส่วน
ของกรรมดีชั่วที่มีมากน้อยในตัวสัตว์"
หลวงปู่มั่นถามว่า..
"พระที่พูดกับเทวดารู้เรื่องกันมีอยู่แยะไหม?"
หัวหน้าเทวดาตอบว่า..
"มีอยู่เหมือนกันท่าน แต่ไม่มากนัก ... โดยมากก็เป็นพระซึ่งชอบปฏิบัติบำเพ็ญอยู่ในป่าในเขาเหมือนพระคุณเจ้านี่แล"
หลวงปู่มั่นถามว่า..
"ส่วนฆราวาสเล่า...มีบ้างไหม?"
หัวหน้าเทวดาตอบว่า..
"มีเหมือนกัน แต่มีน้อยมาก และต้องเป็นผู้ใคร่ทางธรรมปฏิบัติ
ใจผ่องใส ถึงรู้ได้ เพราะกายของพวกเทวดานั้นหยาบ
สำหรับพวกเทวดาด้วยกัน แต่ก็ละเอียดสำหรับมนุษย์จะรู้เห็นได้ทั่วไป นอกจากผู้มีใจผ่องใสจึงจะรู้จะเห็นได้
ไม่ยากนัก"
หลวงปู่มั่นถามว่า..
"ที่ท่านว่าพวกเทวดาไม่อยากมาอยู่ใกล้พวกมนุษย์เพราะเหม็นสาบคาวมนุษย์นั้น...เหม็นสาบคาวอย่างไรบ้าง? ขณะที่ท่านทั้งหลายมาเยี่ยมอาตมา
ไม่เหม็นคาวบ้างหรือ? ... ทำไมถึงพากันมาหาอาตมาบ่อยนัก?"
หัวหน้าเทวดาตอบว่า..
"มนุษย์ที่มีศีลธรรมมิใช่มนุษย์ที่ควรรังเกียจ ยิ่งเป็นที่หอมหวนชวนให้เคารพบูชาอย่างยิ่ง และอยากมาเยี่ยมเพื่อฟังเทศน์อยู่เสมอ ไม่เบื่อเลย มนุษย์ที่เหม็นคาวน่ารังเกียจคือมนุษย์ที่
เหม็นคาวศีลธรรม รังเกียจศีลธรรม ไม่สนใจในศีลธรรม มนุษย์ประเภทเบื่อศีลธรรมซึ่งเป็นของดีเลิศ
ในโลกทั้งสาม แต่ชอบในสิ่งที่น่ารังเกียจของท่านผู้ดี
มีศีลธรรมทั้งหลาย มนุษย์ประเภทนี้น่ารังเกียจจึงไม่อยากเข้าใกล้และเหม็นคาวฟุ้งไปไกลด้วย
แต่เทวดามิได้ตั้งข้อรังเกียจ
ชาวมนุษย์แต่อย่างใด ... หากเป็นนิสัยของพวกเทวดามีความรู้สึก
อย่างนั้นมาดั้งเดิมดังนี้"
[ ที่มา :: หนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล หลวงตามหาบัว ญาณสีมปันโน ]

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...