18 ธันวาคม 2560

ประวัติ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี


         เกิดเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ เดิมชื่อสังเวียน เป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายควง นางสมบุญ สังข์สุวรรณ เกิดที่ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี มีพี่น้อง ๕ คน เมื่ออายุ ๖ ขวบ เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาล วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนจบชั้นประถมปีที่ ๔ เมื่ออายุ ๑๕ ปี เข้ามาอยู่กับท่านยายที่บ้านหน้าวัดเรไร อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี ในสมัยนั้น และได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ อายุ ๑๙ ปี เข้าเป็นเภสัชกรทหารเรือ สังกัดกรมการแพทย์ทหารเรือ พออายุครบบวช
อุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ วัดบางนมโค โดยมีพระครูรัตนาภิรมย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิหารกิจจานุการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เล็ก เกสโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อายุ ๒๑ ปี สอบได้นักธรรมตรี อายุ ๒๒ ปี สอบได้นักธรรมโท อายุ ๒๓ ปี สอบได้ นักธรรมเอก
ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๑ ได้ศึกษาพระกรรมฐาน จากครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิเช่นหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค, หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก, พระอาจารย์เล็ก เกสโร วัดบางนมโค, พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน, พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า, หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ, หลวงพ่อเนียม วัดน้อย, หลวงพ่อโหน่ง วัดอัมพวัน (วัดคลองมะดัน) และหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ
พ.ศ. ๒๔๘๑ เข้ามาจำพรรษาที่วัดช่างเหล็ก อำเภอตลิ่งชัน ธนบุรี เพื่อเรียนบาลี ต่อมา สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ได้ย้ายมาอยู่ที่วัดอนงคาราม หลังจากนั้นได้เป็นรองเจ้าคณะ ๔ วัดประยูรวงศาวาส เป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโค และย้ายไปอยู่อีกหลายวัด
พ.ศ. ๒๕๑๑ จึงมาอยู่วัดท่าซุง บูรณะซ่อมสร้างและขยายวัดท่าซุง จากเดิมมีพื้นที่ ๖ ไร่เศษ จนกระทั่งเป็นวัดที่มีบริเวณพื้นที่ประมาณ ๒๘๙ ไร่
พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ "พระสุธรรมยานเถร"
พ.ศ. ๒๕๓๒ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ "พระราชพรหมยาน ไพศาลภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"

มรณภาพ
ตุลาคม ๒๕๓๕ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)ได้ อาพาธด้วยโรคปอดบวมอย่างแรง และติดเชื้อในกระแสโลหิต เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช และมรณภาพที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น.
ตลอดระยะเวลาที่อุปสมบทอยู่ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ได้ทำหน้าที่ของพระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ
ทางด้านชาติ ได้สร้างโรงพยาบาล , สร้างโรงเรียน , จัดตั้งธนาคารข้าว , ออกเยี่ยมเยียน ทหารหาญของชาติและตำรวจตระเวนชายแดนตามหน่วยต่างๆ เพื่อปลุกปลอบขวัญและกำลังใจ และ แจกอาหาร , ยา , อุปกรณ์อำนวยความสะดวก และวัตถุมงคลทั่วประเทศ
ทางด้านพระศาสนา ได้สั่งสอนพุทธบริษัทศิษยานุศิษย์ให้มุ่งพระนิพพานเป็นหลัก โดยให้ประพฤติปฏิบัติกาย , วาจา , ใจ , ในทาน , ในศีลและในกรรมฐาน ๑๐ ทัศ และมหาสติปัฏฐานสูตร ได้พิมพ์หนังสือคำสอนกว่า ๑๕ เรื่อง และบันทึกเทปคำสอนกว่า ๑,๐๐๐ เรื่อง นอกจากนี้ยังได้แสดงธรรม เทศนาทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์เป็นครั้งคราว นอกจากนี้ ยังเดินทางไปสงเคราะห์คณะศิษย์ในต่างจังหวัดและต่างประเทศทุกๆ ปี
ทางด้านวัตถุ ท่านได้ช่วยสร้างพระพุทธรูปและถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนามากกว่า ๓๐ วัด รวมทั้งการบูรณะฟื้นฟูวัดท่าซุงด้วยเงินกว่า ๖๐๐ ล้านบาท ได้สร้างพระไตรปิฎก , หนังสือมูลกัจจายน์ และถวายผ้าไตรแก่วัดต่างๆ ปีละไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ไตร
ทางด้านพระมหากษัตริย์ท่านได้สนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการจัดตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชประสงค์พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ศูนย์ฯ นี้ได้ดำเนินการสงเคราะห์ราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ งานของศูนย์ฯ รวมทั้งการแจกเสื้อผ้า , อาหาร และยารักษาโรคแก่ราษฎรผู้ยากจน , การช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยทางธรรมชาติ , การส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกรักษาพยาบาลราษฎรผู้เจ็บป่วย , การให้ทุน นักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน , การบริจาคทุนทรัพย์ให้แก่มูลนิธิและโรงพยาบาลต่างๆ ฯลฯ
นับได้ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) เป็น ปูชนียบุคคลผู้อยู่ด้วยความกรุณา เป็นปกติ พร่ำสอนธรรมะและสิ่งทีเป็นประโยชน์และสงเคราะห์เกื้อกูลมหาชนด้วยเมตตา มหาศาลสมกับ เป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส แท้องค์หนึ่ง
"ในสมัยที่อาตมา (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) อยู่กับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ปีนั้นจำได้ว่าเป็นปี พ.ศ. ๒๔๘๐ หลวงพ่อปานไม่อยู่ อาตมาเป็นนักค้นแล้วก็คว้าด้วย ท่านวางอะไรไว้ที่ไหนไม่มีใครเขากล้าหยิบ แต่อาตมาคนเดียวกล้าหยิบ สันดานมันเลว เป็นลิงนี่จะให้มันเรียบร้อยได้อย่างไร ค้นไปค้นมาในกุฏิหลวงพ่อปานแล้วก็พบ "สมุดข่อย" เป็นคำพยากรณ์ของพระอรหันต์สมัยกรุงศรีอยุธยา พยากรณ์ไว้ตั้งแต่กรุงเทพยังไม่ปรากฏ แต่สมุดข่อยนั้นเก่าขาดกระรุ่งกระริ่ง ข้อความก็ขาด จึงไปกราบเรียนถามหลวงพ่อปาน หลวง พ่อปานท่านก็บอกว่า เดิมหนังสือเล่มนี้เป็นสมบัติของหลวงปู่คล้าย แต่ทว่ามันเก่าเต็มทีก็เลยจ้างเขาเขียนไว้ในสมุดข่อยอีกเล่มหนึ่ง แล้วหลวงพ่อปานก็สั่งให้ไปหยิบหนังสือเล่มนั้นจากกุฏิของท่านซึ่งซุกไว้ใต้ ตู้นาฬิกา เอาผ้าสีแดงห่อไว้อย่างดีเหมือนกับจะเตรียมไว้ให้เจ้าลิงอ่าน เมื่อเปิดผ้าออกดูแล้วปรากฎว่าหนังสือเล่มนั้นดูราวกับว่าจะมีอายุสัก ๓๐ ปีเศษ ๆ ตัวหนังสืออ่านง่าย เป็นคำทำนายของหลวงพ่อใย ซึ่งเป็นพระอรหันต์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้พยากรณ์กรุงเทพมหานครซึ่งจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าและกล่าวถึงพระเจ้าแผ่นดินของกรุงเทพมหานครไว้ด้วยดังนี้ 

๑.มหากาฬ ผ่านมหายักษ์ ๒.รู้จักธรรม ๓.จำต้องคิด ๔.สนิทธรรม ๕.จำแขนขาด ๖.ราษฎร์ราชาโจร ๗.นั่งทนทุกข์ ๘.ยุคทมิฬ ๙.ถิ่นกาขาว ๑๐.ชาววิไล

รัชกาลที่ ๑ มหากาฬ ผ่านมหายักษ์ หมายถึง สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกผ่านพระเจ้าตากสินไม่ใช่ฆ่า ตามประวัติศาสตร์บอกว่า พระเจ้าตากสินถูกรัชกาลที่ ๑ สั่งปลงพระชนม์ โดยใส่กระสอบแล้วเอาท่อนจันทน์ทุบให้ตายนั้น อันนี้อาตมาเห็นทีจะต้องยอมรับ อาตมานะรับรองว่าคำสั่งก็ต้องเป็นคำสั่งจริง ๆ ประหารก็ต้องประหารจริง ๆ แต่ว่าคนที่ตายนั้นไม่ใช่พระเจ้าตากสิน เป็นคนอื่นเขาตายแทน แล้วพระเจ้าตากสินไปทางไหน ทำไมจึงต้องทำกันอย่างนั้น นี่เป็นเรื่องของการเมือง พระเจ้าตากสินทรงกู้ชาติสมัยที่กรุงศรีอยุธยาแตกในคราวนั้นได้ตีฟันฝ่าข้า ศึกออกมา จะเอาเงินที่ไหนออกมาแล้วในระหว่างกู้ชาติ จะเอาเงินทองที่ไหนมา การบริหารประเทศต้องใช้เงิน นั่งคิดดูซิความลำบากของพระเจ้าตากสินมีเพียงใด เรื่องนี้มันต้องมีการกู้การยืมกัน อาตมาพูดเท่านี้แหละ แต่ขอยืนยันว่าพระเจ้าตากสินไม่ได้ตาย ขอให้นักประวัติศาสตร์สืบค้นกันให้ดี แล้วจะพบจุดสำคัญของประวัติศาสตร์ จะหาว่าพระราชวงศ์จักรีเป็นกบฏต่อพระเจ้าตากสินแล้วขึ้นเถลิงราชย์ไม่ได้ เพราะเป็นพระราชประสงค์ของพระเจ้าตากสินเอง เพื่อหวังจะให้ชาติไทยอยู่รอด ทรงความเป็นชาติไทยต่อไป และเพราะอะไรพระองค์จึงไม่ทรงสละราชสมบัติเฉย ๆ นั่นเป็นเรื่องของการเมือง ทำไม่ได้ พระเจ้าตากสินมหาราชไม่ใช่เป็นกษัตริย์ที่มีความโง่ไม่รู้เท่าทันคน ถ้าพระองค์มีความโง่ไม่รู้เท่าทันคนแล้ว จะทรงกู้ชาติได้อย่างไรภายในปีเดียว ขอให้ท่านพุทธบริษัททั้งหลายช่วยกันพิจารณาด้วยปัญญาที่แท้จริง เอาระบบการเมืองเข้ามาเทียบเคียงกับความจริง แล้วจะทราบความจริงต่อไปในวันข้างหน้า เอากันแค่นี้ก็พอ 

รัชกาลที่ ๒ รู้จักธรรม ให้พระสงฆ์ทั้งหลายค้นคว้าพระธรรมวินัยกันใหญ่ 

รัชกาลที่ ๓ จำต้องคิด พระองค์ทรงคิดหนัก ก่อนจะสวรรคตทรงมีลายพระหัตถ์ ถึงรัชกาลที่ ๔ ว่า ถ้าฉันตาย ฉันไม่ตั้งรัชทายาท เมื่อฉันตายแล้วลูกของฉันถ้าไม่ให้รับราชการ ก็ให้ลงโทษเพียงแค่เนรเทศ อย่าให้ถึง กับต้องฆ่าแกงกันเลย 

รัชกาลที่ ๔ สนิทธรรม ทรงผนวชถึง ๒๗ พรรษาและทรงเชี่ยวชาญด้านธรรมะ 

รัชกาลที่ ๕ จำแขนขาด เสียดินแดนให้แก่พวกฝรั่งเศสและอังกฤษ 

รัชกาลที่ ๖ ราษฎรราชาโจร เป็นยุคที่ไทยเรามีการนิยมของนอก มีการฟุ้งเฟ้อ เอาอย่าง เลียนแบบ วัฒนธรรมตะวันตก โดยเฉพาะในหมู่ข้าราชบริพาร ขุนนางในราชสำนัก มีการแต่งตั้งยศถาบรรดาศักดิ์กันมากเกินไป จนแทบจะไม่มีความหมาย เป็นยุคเริ่มต้นแห่งภัยพิบัติในด้านเศรษฐกิจที่จะตามมาในยุคต่อไป การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการปล้นชาติ ปล้นแผ่นดิน ทำลายแผ่นดินทางอ้อม ในสมัยนี้มีผู้คิดปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเหมือนกัน แต่ทำไม่สำเร็จกลายเป็นกบฏไป (กบฏ รศ.๑๓๐) 

รัชกาลที่ ๗ นั่งทนทุกข์ ทรงเถลิงราชสมบัติในช่วงของเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ต้องให้ข้าราชการออก เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทรงสละราชสมบัติ 

รัชกาลที่ ๘ ยุคทมิฬ เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง และพระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์

รัชกาลที่ ๙ ถิ่นกาขาว คนไทยเห่อตามพวกฝรั่ง ทั้งแฟชั่น เครื่องแต่งกายเพลงร้อง อะไร ๆ ก็ฝรั่งทั้งนั้น ถึงจะดี 

รัชกาลที่ ๑๐ ชาววิไล คือยุคที่บ้านเมืองของไทยเจริญรุ่งเรืองอย่างเต็มที่ แต่ตอนนี้เหตุการณ์ยังมาไม่ถึง ...."ในราวปลายรัชกาลที่ ๙ หรือรัชกาลที่ ๑๐ นี้ ประเทศไทยจะขุดพบแร่สำคัญชนิดหนึ่ง ซึ่งมีกำลังคล้ายแร่ยูเรเนียมแต่ทว่ามีกำลังสูงกว่า ถ้าใช้ทางด้านสันติจะมีความเย็นสามารถเผาโรคได้ด้วยอำนาจของความเย็น ถ้าใช้ทางด้านพลังงาน ก็จะมีพลังงานสูงมาก ถ้าใช้ฆ่าฟันกันก็จะมีพลังงานมากยิ่งกว่าแร่ที่เขาใช้กันในปัจจุบัน เวลานี้ขุดมาได้ก็เหนื่อยเปล่า ๆ ไม่มีประโยชน์ ถึงเวลามันจะปรากฏเอง และเมืองไทยจะมีทรัพยากรต่าง ๆ ปรากฏขึ้นมาอีกมากมาย เริ่มตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นต้นไป และจะค่อยๆ มีมากขึ้นอย่างเต็มที่ เมื่อกลางสมัยรัชกาลที่ ๑๐ ต่อไป ประเทศไทยจะมีความมั่งคั่งสมบูรณ์ ประเทศชาติจะร่ำรวยมาก "
ที่มา http://www.tnews.co.th/

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...