: ต้องการไปพระนิพพาน :
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
ผู้ถาม :- “ลูกขอกราบเรียนถามว่า ถ้าจิตของเราไม่ต้องการเกิดอีก ต้องการไปนิพพานแต่เพียงอย่างเดียว แต่บางครั้งต้องฆ่าสัตว์บ้างเพราะความจำเป็น จะมีผลทำให้จิตของเราไม่ถึงแดนนิพพานใช่หรือเปล่าขอรับ…?”
หลวงพ่อ :- “ถ้าถือว่าการฆ่าสัตว์มีความจำเป็น ก็จำเป็นยังไม่ไปนิพพาน แต่ก็ตั้งใจไว้ก่อนดีกว่า บางทีมีความจำเป็นเกี่ยวกับอาชีพที่ต้องทำ แต่ถ้าเป็นเรื่องการรับราชการหรือรับจ้าง ก็ต้องถือว่านายสั่ง ไม่ใช่เรื่องของเรา กลับมาที่บ้านตั้งใจใหม่ ตั้งใจสมาทานศีล ตั้งใจเจริญภาวนา ให้มันยันกันไปยันกันมา ถ้าเผอิญคนปรารถนามีกำลังใจสูงพอนะ บังเอิญทรงอารมณ์ของพระโสดาบันได้ บาปทั้งหลายก็ตามไม่ทัน ดูตัวอย่าง
"องคุลีมาร" ท่านฆ่าคนถึงพันคนกว่า ท่านก็เป็นพระอรหันต์ได้
"ตัมพทาฐิกะโจร" ฆ่าคนหมื่นคนกว่า ฟังเทศน์จากพระสารีบุตรจบเดียวเป็นพระโสดาบันได้ ไปนิพพานได้
"สันตติมหาอำมาตย์" กลับมาจากรบทัพจับศึก ฆ่าคนไม่รู้เท่าไร ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ยังเป็นพระอรหันต์ได้
.....ทีนี้กำลังใจต้องตั้งอยู่ที่นิพพาน ถ้าตั้งใจจริงแสดงว่ากำลังใจเข้าขั้นปรมัตถบารมี แต่มันยังไม่บรรจบ บุญเก่ายังเข้ามาไม่ครบ ถ้าบุญเก่าเข้ามาครบเมื่อใด ความจำเป็นที่คิดจะต้องฆ่าสัตว์ก็หมดไป อย่างนี้ไปนิพพานได้”
จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม
ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๑๑๐
(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
*** มาดูตัวอย่างที่หลวงพ่อสอนไว้ครับ ***
: อยู่สำนักงานทำแท้ง :
จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม
ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา ลูกทำงานที่สำนักงานทำแท้งแห่งหนึ่ง ที่กรุงเทพฯ มีรายได้ดีพอสมควร หนูเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการรับเงิน ลูกชักใจไม่ดีนัก เพราะมีหุ้นส่วนกับเขาด้วย ขอพึ่งบารมีถามหลวงพ่อว่า ลูกจะมีบาปมีกรรมขึ้นบัญชีพระยายมหรือไม่...
ข้อสอง เอาเงินเดือนจากการทำแท้ง มาทำบุญกับหลวงพ่อจะช่วยได้ไหมคะ...?
หลวงพ่อ : เข้าท่าๆ แหม...ฟังตั้งนาน คิดว่าจะบอกยังงี้เหมือนกัน จิตใจเกาะบุญไว้ พระพุทธเจ้าไม่เคยตำหนิใครเรื่องอาชีพนะ อย่างกับ ลูกศิษย์พระสารีบุตร พระพุทธเจ้าก็รับ และยังแนะนำพระสารีบุตรไปสอนอภิธรรมเพราะชาติก่อนเคยฟังพระอภิธรรมมา พอฟังอภิธรรมย่อๆ จบ ก็เป็นอรหันต์ทั้งหมด ฉะนั้นอาชีพก็ส่วนอาชีพ เรื่องบุญก็เป็นบุญไปแต่ว่าจิตอย่าไปเกาะอาชีพประเภทนั้น เกาะบุญอย่างเดียว มีงานเราถือว่าทำตามหน้าที่นะ หมดเรื่องหมดราวไป
ผู้ถาม : หลวงพ่อตอบแบบนี้ ค่อยสบายใจหน่อย ไม่เช่นนั้นละอึดอัดๆ
หลวงพ่อ : เรื่องของพระพุทธเจ้าท่านไม่เคยตำหนิใคร ท่านก็รับทุกด้าน อย่าง "ตัมพทาฐิกโจร" เห็นไหม... โจรเคราแดงฆ่าคนมาเกินหมื่นคน พอพบพระสารีบุตรเข้า พระสารีบุตรท่านไม่พูดเรื่องฆ่าคน
.....ทีแรกพอกินข้าวเสร็จใช่ไหม... ท่านก็เทศน์เรื่องปาณาติบาตเลย ฆ่าคน ฆ่าปลา ฆ่าสัตว์ ตกนรกขุมไหนว่าเรื่อย ตัมพทาฐิกโจรเหงื่อแตกพลั่กๆ พอเทศน์ไปถึงครึ่งกัณฆ์ พระสารีบุตรท่านฉลาด ท่านเทศน์ไปท่านชำเลืองดูไปเห็นตานั่นเหงื่อแตก ถามโยมไม่สบายหรือ
.....ตัมพทาฐิกโจรบอก จะสบายยังไงครับ ที่พระคุณเจ้าเทศน์มาผมเรียยร้อยหมดทุกขุมเลย ท่านก็เลยถามว่า โยม...โยมฆ่าคนตายใครเขาใช้หรือฆ่าเอง บอกพระราชาใช้ให้ฆ่า พระสารีบุตรท่านฉลาดกว่า ท่านถามว่า โยม...สมมุติว่าโยมเป็นลูกจ้างเขา นายจ้างเขามีนา ๑๐๐ ไร่ เขาใช้ให้โยมทำ เมื่อได้ข้าวในนาเสร็จ ผลของข้าวทั้งหมดจะเป็นของโยม หรือจะเป็นของนายจ้าง...?
โยมก็บอกว่าเป็นของนายจ้างขอรับ นี่ท่านฉลาดกว่า ท่านก็เลยถามว่า พี่พระราชาให้ฆ่า บาปตกอยู่กับใคร อีตานั่นแกโง่ แกนึกว่าบาปตกกับพระราชา พระสารีบุตรเทศน์อานิสงส์ทานเลย เป็นพระโสดาบันเดี๋ยวนั้น
ผู้ถาม : โอ...เหงื่อแตกเลยนะ
หลวงพ่อ ; ไอ้เหงื่อแตกน่ะ เป็นน้ำอาบชำระร่างกายให้สะอาด ชำระถึงจิตใจข้างในเลย
*** มาดูตัวอย่างของท่าน "สันตติมหาอำมาตย์" ***
: ดูปัจจุบันอย่างเดียวไม่ได้ :
.....คนเราจะไปดูกรรมปัจจุบัน ถามความประพฤติปัจจุบัน จะถือว่าเขาดีไม่ดีไม่ได้ ไอ้คนนี้เลวแบบนั้นเลวแบบนี้ เราจะรู้จิตเวลาที่เขาตายได้อย่างไร จุดนี้สำคัญที่สุด เวลาจะตายนี่เราไปดูอดีตไม่ได้ ไปดูอดีตที่เขาปฏิบัติมา ไอ้จะทำชั่วนั่นทำชั่วนี่ ไอ้นี่มันช่วงชีวิตที่ทรงอยู่ แต่นี่พอเวลาจะตายก็เห็นโทษเห็นทุกข์ของการเกิด แก่ เจ็บ ตายขึ้นมา จิตมันตัดตรงนั้น เพราะว่าเขาตายไปแล้วเราไปนั่งถามเขาได้เหรอ
.....เราจะเฮ้ย..เฮ้ย! กลับมาคุยกับกูก่อน อีตอนมึงตายมึงนึกอย่างไรวะ นี่เรารู้เขาไม่ได้หรอก ไอ้จิตตอนที่จะตายเขาคิดอย่างไรนะ อย่างคนที่เรามองเห็นชัดๆ อย่างตอนที่โจรฆ่าคนเป็นหมื่น องคุลีมาล ฆ่าคนเกินพันก็เป็นอรหันต์ได้ นั่นเป็นกฎของอกุศลกรรมมาสนองจิตชั่วคราว อย่างท่าน "สันตติมหาอำมาตย์" ไปรบทัพกลับมา ไปรบทัพชนะนี่ฆ่าคนไปแล้วเท่าไร พอกลับมาแล้วพระเจ้าปเสนทิโกศลไม่ตำหนิ
.....เลื่อนตำแหน่งให้อีก เลยเมาพับไปพับมา พระพุทธเจ้าเดินหลีกไปทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์ถามว่าทรงแย้มพระโอษฐ์เพราะอะไร บอก อีก ๗ วัน สันตติมหาอำมาตย์จะบรรลุอรหันต์ ขี้เมา ฆ่าคนไปแล้วจากกองทัพตอนไปรบศึก กลับมาให้เป็นกษัตริย์ ๗ วัน ไม่ต้องทำอะไรหรอก มีหน้าที่จะเมา จะเมา จะแจกข้าวแจกของ ของในคลังอยากจะให้ใครก็ให้ๆ ไปเหอะ สบายมาก ได้เป็นแค่ ๗ วันนี่ แกก็เมา ๘ วัน นี่ทำหอกอะไรได้ เมาไปเหอะ
.....ดูฟ้อนรำขับร้อง ก็ไอ้คนขี้เมาไปฆ่าคนมา พอกลับมาพระพุทธเจ้าบอกจะเป็นอรหันต์นี่มันต้องคิดเหมือนกันนะ คนในสมัยนั้นเขาต้องแบ่งกันเป็น ๒ พวก ไอ้พวกมิจฉาทิฏฐิก็ถือว่าอีก ๗ วัน เราจะจับโกหกพระสมณโคดม ไอ้พวกที่เขาเป็นสัมมาทิฏฐ เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า อีก ๗ วันเราจะดูลีลาพระพุทธเจ้าทำให้สันตติมหาอำมาตย์เป็นพระอรหันต์ พออีก ๗ วัน เด็กฟ้อนรำที่อยู่ข้างหน้าก็ตาย ตาแกก็เลยสร่างเมา บอกไอ้นี่เด็กรุ่นหลัง
.....เรายังอยู่แต่แกตาย ไอ้เราแก่ขนาดนี้ขืนเมาอย่างนี้ท่าไม่ค่อยดีแล้ว นี่ตัดตรงนี้เอง รู้สึกตัวก็เลยลาพระเจ้าปเสนทิโกศลบวช พอบวชพระพุทธเจ้าเทศน์จบก็ได้อรหันต์เดี๋ยวนั้น ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร
.....นี่ห้ามดูอดีตเขา หมายความว่าอดีตที่เขาผ่านมาแล้วนี่ เราจะไปพยากรณ์ไม่ได้ อีช่วงที่เขาจะตายจิตเขาเป็นอย่างไรเรารู้ไม่ได้ ใช่ไหม บางคนดีแสนดีตายแล้วลงนรก ตอนที่จะตายจิตมัวหมองหน่อยเดียวก็ลงนรกไปก่อน นี่มันเอาแน่ไม่ได้
จาก...หนังสือคำสอน "ทางสายเอก"
โดย..หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น