22 ธันวาคม 2560

ตายแล้ว พลังแห่งญาณ ไม่หายไปไหน

:
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
(หลวงพ่อฤาษี) วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี


ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน? :
เรื่องที่ ๑๐
หลวงพ่อจันทร์ หลวงพ่อใหญ่ หลวงพ่อขนมจีน (เส็ง)
หลวงพ่อเล่งกับหลวงพ่อไล้ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุง
ไปพระนิพพาน
........ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ อาตมาย้ายจากวัดโพธิ์ภาวนาไปอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระครูวิชาญชัยคุณ ได้นิมนต์พระหลายวัดไปในวันไหว้ครู พระอรุณ อรุโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุงสมัยนั้นก็ไปด้วย ได้พบอาตมาก็ชวนให้มาอยู่ที่วัด ขอให้มาช่วยในการก่อสร้าง ท่านรับรองว่าจะให้ความสะดวกทุกอย่าง อาตมาก็ไม่ได้รับปาก ต่อมาอาตมามาฉันเพลที่บ้านนายจัน ที่ตำบลท่าซุง ก็มานิมนต์อีกเป็นครั้งที่ ๒ อาตมาก็ไม่ได้รับปาก ต่อมาอาตมาย้ายไปอยู่ที่วัดสะพาน ก็ไปนิมนต์อีกเป็นครั้งที่ ๓ ก่อนที่เขาจะไปนิมนต์ครั้งที่ ๓ นี้ เวลาตี ๒
........กำลังนั่งพระกรรมฐานอยู่ ก็เห็นพระผู้ใหญ่ท่านหนึ่งอ้วนใหญ่ และก็ไม่สูง เดินตุ๊ต๊ะ ๆ ๆ เข้ามาถึงก็บอกว่า "เขาเรียกผมกันว่า หลวงพ่อใหญ่ อยู่วัดท่าซุง วัดนี้ตั้งมานานแล้วก่อนกรุงศรีอยุธยาตั้งประมาณ ๓๐ ปี สมัยก่อนมีการรบราฆ่าฟันกัน วัดก็สลายตัวเป็นวัดร้าง เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๒ หลวงพ่อใหญ่ท่านธุดงค์มาถึงตอนเช้ามาปักกลดที่นี่ ก็มีชาวบ้านขอให้อยู่ให้เป็นเจ้าอาวาสที่นี่ ท่านจึงเป็นองค์แรกที่ทำนุบำรุงสร้างขึ้นมาใหม่ ชาวบ้านช่วยสร้างกุฏิ ๙ ห้อง ทำด้วยไม้ดีมาก"
........และท่านก็บอกอีกว่า "คุณเคยเป็นน้องของผม คุณเคยทำวัดนี้ให้เจริญรุ่งเรืองมาแล้ว ๒ สมัยในอดีตคือ สมัยพระเจ้าสามพระยากับสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เวลานั้นวัดเจริญรุ่งเรืองมาก แต่ว่าเป็นไม้เวลานี้มันผุพังหมดแล้ว สมัยนี้ขอให้มาช่วยสร้างใหม่ให้เจริญรุ่งเรืองเป็นครั้งที่ ๓ และเป็นครั้งสุดท้าย ต่อไปคุณจะไม่มีโอกาสเกิดมาได้ทำอีกต่อไปแล้ว"
........จึงถามว่า "จะให้สร้างแบบไหน เจริญขนาดไหน" ท่านบอกว่า "ขนาดนี้" แล้วท่านก็ทำภาพให้ดู ปรากฎว่าเหมือนภาพวัดที่เห็นในปัจจุบันนี้เอง" ถามท่านว่า "ผมจะเอาเงินที่ไหนมาสร้างครับ เวลานี้ตัวผมเองก็ยังเอาตัวไม่รอด คนที่มีศรัทธาจริง ๆ ก็มี แต่มีปริมาณน้อย และคนที่มีอคตินอกเหนือจากพระพุทธศาสนามีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าอาวาสก็มีอคตินอกเหนือจากพระพุทธศาสนา" ท่านบอกว่า "ไปอยู่เถอะ ทีแรกมันก็ยุ่งหน่อย ต่อไปมันจะดีเอง ผมจะช่วยและผมจะนิมนต์พระจะเชิญพรหม จะเชิญเทวดา ใครต่อใครก็ตาม ช่วยกันทั้งหมดทำให้เจริญรุ่งเรืองตามภาพที่ทำให้ดูนี้ให้ได้"
........ก็เป็นอันว่ารับปากท่าน ต่อมาอีก ๒-๓ วัน เจ้าอาวาสก็ไปนิมนต์ เวลาที่มานิมนต์ก็อยู่พร้อมหน้ากันหลายคนมี
พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต กับภรรยาคือ คุณสิริรัตน์ โรจนวิภาต รวมอยู่ด้วย หลังจากนั้นจึงมาดูวัด ก่อนที่จะเข้ามาวัดก็อธิษฐานก่อนว่า "ถ้าหากที่นี้ควรจะมาอยู่ ก็ขอมีอะไรสักอย่างใดอย่างหนึ่งให้ปรากฎ" วันนั้นเมื่อฉันเพลเสร็จ หลังเที่ยงแล้วก็ปรากฏมีฝนตกขณะแดดกำลังจัด ไม่มีแต่ฝนเท่านั้นแต่ยังมีลูกเห็บก้อนโตกว่าหัวแม่มือหล่นลงมาเกลื่อนซ้อนกันเต็มบริเวณวัดทั้งหมดเลย พอมาดูสภาพวัดก็มีกุฏิเจ้าอาวาสที่อยู่ได้เพียงหลังเดียว กุฏิอีกหลังหนึ่ง คนเดินมาก็มองเห็นเพราะฝาโปร่ง นกบินมาก็มองเห็นเพราะหลังคาโปร่ง หอสวดมนต์ก็เย้จะพับฐาน ศาลาพ่อก็โย้จะล้ม วิหารก็หลังคาผุ โบส์ก็จะพัง ไม่มีอะไรดีเลยมีสภาพเหมือนกับวัดร้าง ในฐานะที่หลวงพ่อใหญ่ท่านมาบอก จึงยอมรับว่าจะมาช่วยก่อสร้าง
*** หลวงพ่อมาอยู่ที่วัดท่าซุง ***
........วันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ เจ้าอาวาสกับคณะได้เอาเรือยนต์ขนาดใหญ่ไปรับ ช่วยขนของมาอยู่ที่วัดท่าซุง การมาก็มีเณรมา ๒ องค์ มีสุนัข ๑๒ ตัว พอมาถึงวัดตามลีลาที่หลวงพ่อปานท่านไปไหน ต้องเข้าพระอุโบสถก่อน จะไปช่วยสร้างวัดไหนก็ตาม ท่านต้องเข้าพระอุโบสถไปไหว้พระในพระอุโบสถก่อนแล้วจึงขึ้นศาลา ตามระเบียบของท่านอาตมาก็ทำตามนั้น เมื่อเข้าไปไหว้พระแล้วก็อธิษฐานว่า "ถ้าอยู่ที่วัดนี้จะมีความเจริญรุ่งเรือง ก็ขอให้ท่านเจ้าของที่ เทวดาก็ดี พรหมก็ดี หรือพระก็ตาม ที่ท่านคุ้มครองสถานที่อยู่แสดงองค์ให้ปรากฎ"
........ก็ปรากฎว่ามีพระคือหลวงพ่อใหญ่เป็นหัวหน้าและก็มีพระอีกหลายองค์จำนวนมากมานั่งข้างหน้าเต็มไปหมด พอท่านแสดงให้เห็นและก็ยืนยันว่า "ท่านจะช่วย" แต่มีอีกองค์หนึ่งไม่ยอมเข้าโบสถ์เดินไปเดินมาวนอยู่หน้าโบสถ์ ไม่ยอมเข้าประตูมา ก็นึกแปลกใจจึงถามว่า "ท่านองค์นั้นมีความเห็นอย่างไรครับ เห็นว่าผมควรจะมาอยู่หรือไม่ควรมาอยู่ ถ้าท่านเห็นว่าผมควรจะมาอยู่ก็ขอให้เข้ามาในโบสถ์ ถ้าไม่ควรมาอยู่ก็อย่าเข้ามา และผมจะเดินทางกลับทันที"
........ท่านก็เข้ามาและบอกว่า "คุณควรมาอยู่แต่ว่าการอยู่ต้องระวังให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเงินที่นี่ ทั้งคนทั้งพระเขาต้องการเงิน ที่เขาให้คุณมานี่เขาหวังจะได้เงินจากคุณ แต่คุณเป็นคนตรงไปตรงมา จะไม่น้อมใจไปตามเขา ต่อไปเขาจะประกาศตนเป็นศัตรูกับคุณ เขาจะมีความดีกับคุณอยู่ประมาณครึ่งปี หลังจากนั้นก็ไม่มีดีอีกแล้วเพราะว่าเขาไม่ได้รับผลตามที่เขาต้องการ"
........ก็เลยถามท่านว่า "แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป" ท่านก็บอกว่า "ในที่สุดเขาก็จะแพ้ไปเอง คำว่าแพ้หมายถึงเขาจะเลิกราไปเอง เราก็จะเป็นอิสระ" ถามว่า "การจะเป็นอิสระ เขาจะแพ้ไปด้วยอำนาจอะไร" ท่านบอกว่า "จะมีพระผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ วัดไม่โตนักแต่ยศสูง รูปร่างผอม สูงโปร่ง เป็นพระผู้ใหญ่ตรงไปตรงมา เก่งในพระกรรมฐานมาก กำลังใจของพระองค์นี้เป็นพระที่ควรแก่การเคารพอย่างยิ่ง จะเข้ามาอุ้มชูคุณให้เป็นไปตามความจริง" ถามว่า "เป็นเพราะอะไรครับ" ท่านก็บอกว่า "เพราะเขาจะร่วมมือกันฟ้องคุณ" และท่านก็บอกว่า "วัดที่คุณเห็นเวลานี้ ที่มันไม่พอจริง ๆ และที่จริง ๆ มันจดคลองยาง แต่เขาสร้างโรงเรียน ทางวัดกับทายกเลยยกให้เป็นที่ของโรงเรียนไป
........เป็นอันว่าวัดติดโรงเรียนไม่ใช่วัดติดคลองยาง และประการที่สองโบสถ์ชำรุดถ้าคุณจะสร้าง เขาก็ไม่ยอมให้สร้างเพราะเขารู้ว่าคุณสร้างก่อนจ่ายทีหลัง เขาไม่ได้เงินแน่ ต่อไปคุณก็จะซื้อที่ใหม่ฝั่งตรงข้ามถนน แต่ความจริงถนนเขาตัดผ่านที่ของวัด ที่ฝั่งโน้นที่เป็นของชาวบ้านเวลานี้เดิมก็เป็นที่ของวัด แต่บรรดาเจ้าอาวาสที่สึกไปแล้วกับเจ้าอาวาสปัจจุบันร่วมมือกันขายแก่ชาวบ้าน ที่วัดจึงเหลือแค่ ๖ ไร่ เนื้อที่ของวัดจริง ๆ มี ๓๗๐ ไร่" ถามว่า "ผมควรจะอยู่หรือควรจะไม่อยู่" หลวงพ่อใหญ่ ท่านยืนยันว่าควรจะอยู่แล้วเขาจะแพ้พ่ายไปเอง
*** พบหลวงพ่อขนมจีน ***
........ตอนแรกที่มาอยู่ กุฏิที่เจ้าอาวาสให้อยู่มีแต่พื้นกับหลังคา ฝาก็ไม่มี ต่อมาต้องมาสร้างกระต๊อบอยู่โคนต้นโพธิ์ คือแรกที่มาอยู่วัดท่าซุง เขามีลิเกฉลองให้ แต่อาตมามีนิสัยดูลิเก ดูละคร ดูหนัง ไม่สนุกมาตั้งแต่อายุ ๒๕ ปี จึงนอนเฉย ๆ ก็มีพระองค์หนึ่งก้าวเข้ามาทางหน้าต่าง พูดสำเนียงเป็นเจ็กชัด ๆ จึงถามว่า... "ท่านชื่ออะไร" ท่านตอบว่า "ชื่อเส็ง" (ที่อาตมาเรียกว่าหลวงพ่อขนมจีน ในอดีตท่านเคยเป็นน้อง" ถามว่า "ท่านอยู่ที่ไหน" ตอบว่า "ผมเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุง รองจากหลวงพ่อใหญ่ เมื่อหลวงพ่อใหญ่ท่านมาอยู่ที่นี่ ท่านมาธุดงค์ปักกลดที่นี่ ชาวบ้านเขานิมนต์ให้ท่านอยู่เป็นเจ้าอาวาส ผมเป็นคนแจวเรือค้าขายมีความเลื่อมใส จึงมาอยู่กับท่าน ช่วยท่านในฐานะเป็นช่าง ต่อมาก็บวช เมื่อหลวงพ่อใหญ่มรณภาพไปแล้ว ท่านก็เป็นเจ้าอาวาสแทน"
........ท่านบอกอีกว่า "วัดที่ตั้งอยู่เวลานี้ ความจริงตั้งอยู่ในป่าช้าเก่า แม่น้ำสายเดิมจริง ๆ เป็นแม่น้ำสายเล็ก ศาลาการเปรียญตั้งอยู่กลางน้ำ เสาหงส์ก็อยู่กลางแม่น้ำในปัจจุบัน ต่อมามีเรือเมล์วิ่งรอกเข้าออก ลูกคลื่นก็ตีตลิ่งพังแม่น้ำจึงกว้างขึ้น เขาจึงต้องย้ายกุฏิมาอยู่ที่นี่ และเมื่อก่อนแม่น้ำสะแกกรังตอนหลังแล้ง น้ำก็แห้ง ก็ต้องกินน้ำในบึงเล็ก ๆ ใกล้ ๆ ท่านก็ชี้ให้ดู เวลานี้คือตึกกลางน้ำสมัยนั้นเป็นบึงเล็ก ๆ" ถามว่า "ที่วัดนี้เคยมีพระอริยเจ้าบ้างไหม" ท่านตอบว่า "มี" ถามว่า "ตอนก่อนมีใครบ้าง" ท่านบอกว่า "ท่านไม่ทัน แต่ตอนหลัง ๆ หลวงพ่อใหญ่เป็นพระอริยเจ้า ท่านเป็นพระอนาคามี แต่ว่าก่อนจะตายท่านเป็นพระอรหันต์" ถามว่า "หลวงพ่อละเป็นอะไร" ท่านบอกว่า "ข้าไม่รู้ หลวงพ่อใหญ่ไปไหนข้าก็ไปที่นั่นแหละ"
........ก็เป็นอันว่าท่านยอมรับว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ถามว่า "หลังจากนั้นมีใครบ้างเป็นพระอริยเจ้า" ท่านบอกว่า "นับเรื่อยมาหลายสมัยจนกระทั่งถึงหลวงพ่อเล่งกับหลวงพ่อไล้ สององค์พี่น้องในขณะที่ทรงชีวิตอยู่เป็นผู้ทรงฌาณ แต่ก่อนจะตายทั้งสององค์เป็นพระอรหันต์ เพราะทุกขเวทนามันหนัก เห็นโทษของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เห็นโทษของร่างกายจึงเป็นพระอรหันต์ไป หลังจากนั้นต่อมาก็เป็นภิกขุพาณิช หมายความว่า ขายกินกัน คือ ขายกุฏิ ขายฝากุฏิ ขายที่วัด รวมความว่าวัดนี้มีคนขโมยของวัดมาก"
........เมื่ออาตมามาอยู่ที่วัดท่าซุงแล้ว เจ้าอาวาสไม่ยอมให้สร้างพระอุโบสถที่ทรุดโทรมมากแล้วที่ฝั่งเดิม ในที่สุดก็มาซื้อที่ฝั่งตรงข้าม ๑๒ ไร่ และก็ซื้อเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้มีที่ทั้งหมดจริง ๆ ประมาณ ๒๐๐ ไร่เศษ คนนั้นซื้อบ้าง คนนี้ซื้อบ้าง การสร้างวัดท่าซุงดังที่เห็นในเวลานี้ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโปรดทราบว่า อาตมาไม่ได้มีเงินก้อนมาจากไหน แต่มาจากศรัทธาของบรรดาท่านทั้งหลายมากบ้างน้อยบ้างตามกำลังศรัทธาที่ร่วมทำบุญกันมา
*** หลวงพ่อจันทร์เจ้าของชื่อวัดจันทาราม (ท่าซุง)
ท่านอยู่บนพระนิพพาน ***
........เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ เวลาเย็นเกือบ ๑๘.๐๐ น. อาตมาป่วยมากมีอาการปวดและอืดอาเจียนเป็นเสมหะ ได้มีพระเนื้อเต็มรูปร่างสูงท่านหนึ่งมานั่งด้านขวามือ ท่านเอามือมาลูบที่อกไปมา ๒-๓ ครั้ง แล้วท่านกพูดว่า "ร่างกายอย่ามีอันตรายนะ" จึงถามพระท่านนี้ว่า "ท่านชื่ออะไร" ท่านตอบว่า "ผมชื่อจันทร์" เจ้าของชื่อวัดจันทาราม (ท่าซุง) นั่นเอง
........หลวงพ่อจันทร์ท่านเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๓ ของวัดนี้ สมัยนั้นวัดนี้เจริญรุ่งเรืองและมีชื่อเสียงมากจึงให้นามว่า "วัดจันทาราม" สมัยก่อนนั้นชื่อวัดอะไรไม่ทราบเพราะว่าหลวงพ่อจันทร์ท่านเป็นพระยาและเป็นนักรบเก่ามาก่อน คงจะแก่ถึงบวช เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็สอนวิชาความรู้ต่าง ๆ สอนกระทั้งวิชาการรบให้แก่ชาวบ้าน และมีผ้ายันต์สีแดง หนังเหนียวมาก ถ้าทหารไปพักที่วัดท่านจะแจกผ้ายันต์สีแดง พอแจกเสร็จก็ให้แทงกันเดี๋ยวนั้นทั้งกองทัพ โดยถอดเสื้อก่อน จะเห็นว่าคนสมัยนั้นไม่ว่าชาวบ้านหรือทหารคลุกคลีตีโมงอยู่กับวัด และวัดก็เต็มไปด้วยธรรมวินัย พระส่วนใหญ่ก็เป็นพระดี เพราะถ้าไม่ดีจริง ๆ ก็อดตาย พระสมัยนั้นมีดีอยู่ ๒ อย่าง คือ
๑) ดีเพราะสมณธรรมดี โดยมากคนเขาชอบฤทธิ์

๒) ถ้าสมณธรรมไม่ดี ก็ต้องมีวิชาความรู้พิเศษดี ความรู้พิเศษก็เช่น ทำน้ำมนต์เก่ง ทำอิทธิฤทธิ์เก่ง ด้วยวิชาการ ต้องเก่งอย่างใดอย่างหนึ่ง
การเก่งอย่างนั้นก็เกิดจากอารมณ์สมาธิ คืออารมณ์จิตต้องเป็นสมาธิ หลวงพ่อจันทร์ท่านบอกอาตมาว่า "ต่อมาภายหลังท่านได้เป็นพระอริยเจ้า คือเป็นพระอรหันต์"
*** พระสงฆ์สององค์สมัยหลวงพ่อเล่งกับหลวงพ่อไล้เป็นพระอรหันต์ก่อนตาย ***
.........วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ ตอนสายอาตมานอนภาวนา เห็นพระสงฆ์มายืนห่าง ๆ ๒ องค์เป็นพระหนุ่มผิวคล้ำทั้งคู่ คิดว่าผีจึงทำเฉย ๆ ต่อมาคิดว่าผีพระจะมาทำไม จึงถามท่านว่า "ท่านเป็นใคร" ท่านตอบว่า "ผมไม่ใช่ผี ผมเป็นพระ" ถามท่านว่า "ท่านอยู่ที่ไหน" ท่านตอบว่า "ท่านเป็นพระอรหันต์ก่อนตาย" ถามว่า "ท่านเป็นพระสมัยไหน" ท่านตอบว่า "สมัยหลวงพ่อเล่งหลวงพ่อไล้"
........เมื่อพูดถึงหลวงพ่อทั้งสององค์ก็ปรากฎ หลวงพ่อเล่งท่านพูดว่า "คุณอย่าหนักใจคนแถวนี้เลยว่ามันขโมยของวัด เพราะว่ามันขโมยมาเป็นปกติอยู่แล้ว สมัยผมมันก็ขโมยไม่เลือก" ถามพระหนุ่ม ๒ องค์ว่า "สมัยหลวงพ่อทั้งสององค์มีพระอรหันต์ ทำไมวัดไม่เจริญ เพราะพระอรหันต์มีที่วัดไหน วัดนั้นจะเจริญถึงที่สุด เป็นกฎธรรมดา" พระทั้งสององค์ก็ตอบว่า "วัดเจริญครับ มีกุฏิ ๘ หลัง เรียงกับหอสวดมนต์ และมีกุฏิ ๙ หลังอยู่หนึ่งหลัง ศาลา พระอุโบสถ วิหาร สมัยนั้นเจริญ แต่เมื่อสิ้นพระอรหันต์แล้ว พวกเจ้าอาวาส ทายก ชาวบ้านช่วยกันขายหมด..."

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...