เวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิต
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
เวลาที่สำคัญที่สุดของนักเรียน นักศึกษา คือตอนสอบไล่
เวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิตคนเรา คือ อารมณ์จิตก่อนตาย
จะไปสวรรค์ พรหม พระนิพพาน หรือแดนอบายภูมิ
ก็อยู่ที่จิตก่อนตายของท่านจะผ่องใสหรือเศร้าหมอง
เวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิตคนเรา คือ อารมณ์จิตก่อนตาย
จะไปสวรรค์ พรหม พระนิพพาน หรือแดนอบายภูมิ
ก็อยู่ที่จิตก่อนตายของท่านจะผ่องใสหรือเศร้าหมอง
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และพระคุณเจ้าที่เคารพ
ที่กล่าวมาแล้ว กล่าวถึงความตาย ความจริงเรื่องความตาย
มีเรื่องเล่าสู่กันฟัง บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านบอกว่า
" คนเราจะตาย จะเห็นนิมิตก่อน "
ตามที่หนังสือโบราณท่านเขียนไว้ แล้วก็คนโบราณ
โบราณสมัยนี้ สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็เขียนไว้
ท่านบอกว่าลอกมาจากตำรา ก็ไม่ทราบว่า ตำราเล่มไหน
เหมือนกัน ท่านบอกว่า คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต
เรื่องนี้สำคัญบรรดาท่านพุทธบริษัท
ที่กล่าวมาแล้ว กล่าวถึงความตาย ความจริงเรื่องความตาย
มีเรื่องเล่าสู่กันฟัง บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านบอกว่า
" คนเราจะตาย จะเห็นนิมิตก่อน "
ตามที่หนังสือโบราณท่านเขียนไว้ แล้วก็คนโบราณ
โบราณสมัยนี้ สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็เขียนไว้
ท่านบอกว่าลอกมาจากตำรา ก็ไม่ทราบว่า ตำราเล่มไหน
เหมือนกัน ท่านบอกว่า คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต
เรื่องนี้สำคัญบรรดาท่านพุทธบริษัท
คนจะตายต้องเห็นนิมิต คือ
๑. เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นไฟ กองไฟ หรือดวงไฟ
แสดงว่า คนนั้นตรงไปนรกทันที ไม่ผ่านสำนักของพระยายม
๒. ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
๓. ถ้าเห็นก้อนเนื้อ จะเกิดเป็นคน
๔. ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล ของที่เคยให้ทานหรือ
วัดที่เคยทำบุญ พระที่เคยไหว้ จะเป็นพระพุทธรูปก็ตาม
พระสงฆ์ก็ตาม เป็นอันว่า สิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล อย่างนี้
ก็จะไปเกิดบนสวรรค์ ไปสู่สุคติ
๑. เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นไฟ กองไฟ หรือดวงไฟ
แสดงว่า คนนั้นตรงไปนรกทันที ไม่ผ่านสำนักของพระยายม
๒. ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
๓. ถ้าเห็นก้อนเนื้อ จะเกิดเป็นคน
๔. ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล ของที่เคยให้ทานหรือ
วัดที่เคยทำบุญ พระที่เคยไหว้ จะเป็นพระพุทธรูปก็ตาม
พระสงฆ์ก็ตาม เป็นอันว่า สิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล อย่างนี้
ก็จะไปเกิดบนสวรรค์ ไปสู่สุคติ
ตามที่ท่านเขียนมาอย่างนี้ อาตมาก็ไม่ใช่ต้องการพิสูจน์
แต่ก็เข้าไปประสบโดยคาดไม่ถึง นั่นก็คือ มีอยู่ว่า มีเพื่อน
อยู่คนหนึ่ง ชื่อ จวน นามสกุลว่าอย่างไรก็จำไม่ได้ อยู่
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อเวลาสมัยสงครามโลก
ครั้งที่ ๒ สมัยท่านจอมพลแปลก เป็นนายก ฯ เวลานั้น
ก็เกณฑ์คนไปทำงานที่เพชรบูรณ์
แต่ก็เข้าไปประสบโดยคาดไม่ถึง นั่นก็คือ มีอยู่ว่า มีเพื่อน
อยู่คนหนึ่ง ชื่อ จวน นามสกุลว่าอย่างไรก็จำไม่ได้ อยู่
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อเวลาสมัยสงครามโลก
ครั้งที่ ๒ สมัยท่านจอมพลแปลก เป็นนายก ฯ เวลานั้น
ก็เกณฑ์คนไปทำงานที่เพชรบูรณ์
ตามลีลาที่เขาเล่ากันบอกว่า ตั้งใจจะต่อต้านญี่ปุ่น
ว่าอย่างนั้นชาวบ้านพูด แต่ท่านจอมพลแปลกไม่ได้
พูดให้ฟัง แต่ท่านมาแถลงการณ์ทางวิทยุทีหลัง
ก็คล้ายคลึงแบบนี้ ต้องการจะเอาคนงานทั้งหมด
เป็นทหารต่อต้านญี่ปุ่น จะเอานักเรียนนายร้อยไปไว้ที่นั่น
เป็นผู้บังคับหมวด อย่างนี้เป็นต้น
ว่าอย่างนั้นชาวบ้านพูด แต่ท่านจอมพลแปลกไม่ได้
พูดให้ฟัง แต่ท่านมาแถลงการณ์ทางวิทยุทีหลัง
ก็คล้ายคลึงแบบนี้ ต้องการจะเอาคนงานทั้งหมด
เป็นทหารต่อต้านญี่ปุ่น จะเอานักเรียนนายร้อยไปไว้ที่นั่น
เป็นผู้บังคับหมวด อย่างนี้เป็นต้น
ก็เป็นอันว่า เมื่อเลิกสงคราม เธอเลิกงานมาแล้ว ก็ปรากฎ
ว่าเป็นโรค เป็นไข้ ต่อมาก็เป็นวัณโรค คือ เป็นโรคฝีในท้อง
เป็นโรคปอด วันหนึ่ง เป็นวันสุดท้ายของชีวิตของเธอ
อาตมาไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ก็พอดีกลับมา
เขาบอกว่า จวนป่วยหนัก เป็นเวลาเย็น ประมาณสัก
๔ โมงเย็น ก็นิมนต์พระไปเป็นเพื่อน ๔ องค์ อาตมา
ด้วย ๑ องค์ เป็น ๕ องค์
ว่าเป็นโรค เป็นไข้ ต่อมาก็เป็นวัณโรค คือ เป็นโรคฝีในท้อง
เป็นโรคปอด วันหนึ่ง เป็นวันสุดท้ายของชีวิตของเธอ
อาตมาไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ก็พอดีกลับมา
เขาบอกว่า จวนป่วยหนัก เป็นเวลาเย็น ประมาณสัก
๔ โมงเย็น ก็นิมนต์พระไปเป็นเพื่อน ๔ องค์ อาตมา
ด้วย ๑ องค์ เป็น ๕ องค์
ที่ไปเป็นเพื่อนไม่ใช่คิดว่ากลัวใครจะทำร้าย ที่นำไป
แบบนั้นก็คิดว่าคนป่วยหนัก ถ้าเห็นพระอาจจะเป็นมงคล
ก็ได้ เพราะว่าตามตำราท่านบอกว่า ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นกุศล
คนนั้นจะไปสวรรค์ พอไปถึงเข้าจริง ๆ จวน ก็อาการหนัก
จริง ๆ หายใจเบา หายใจช้า ๆ แล้วก็เบาลง ๆ แต่ว่าอาตมา
ไปนั่งข้าง ๆ ก็เรียกชื่อ "จวน จำฉันได้ไหม? "
เธอเหลียวหน้ามา ก็พยักหน้าตอบว่า
" จำได้ " เสียงเบามาก
ก็ถามเธอว่า " เวลานี้เห็นอะไรไหม? ไม่ใช่เห็นฉัน
มีภาพอะไรลอยข้างหน้าบ้าง? "
เธอก็ตอบว่า " เวลานี้มีภาพไฟลอยข้างหน้า "
เธอก็แสดงอาการหวาดกลัวมาก กลัวไฟ
เมื่อฟังเท่านั้นก็ตกใจ คิดว่า ท่าจะไม่ได้การแล้ว
นิมิตตามที่ท่านเขียนไว้ปรากฏ นึกในใจ ไม่พูด
คิดว่า นิมิตอย่างนี้ ถ้าเห็นไปนรกทันที ก็คิดอะไรไม่ถูก
ถามว่า " จวน ภาวนา พุทโธ ไหม? "
เธอส่ายหน้าบอกว่า " คิดไม่ออก "
แบบนั้นก็คิดว่าคนป่วยหนัก ถ้าเห็นพระอาจจะเป็นมงคล
ก็ได้ เพราะว่าตามตำราท่านบอกว่า ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นกุศล
คนนั้นจะไปสวรรค์ พอไปถึงเข้าจริง ๆ จวน ก็อาการหนัก
จริง ๆ หายใจเบา หายใจช้า ๆ แล้วก็เบาลง ๆ แต่ว่าอาตมา
ไปนั่งข้าง ๆ ก็เรียกชื่อ "จวน จำฉันได้ไหม? "
เธอเหลียวหน้ามา ก็พยักหน้าตอบว่า
" จำได้ " เสียงเบามาก
ก็ถามเธอว่า " เวลานี้เห็นอะไรไหม? ไม่ใช่เห็นฉัน
มีภาพอะไรลอยข้างหน้าบ้าง? "
เธอก็ตอบว่า " เวลานี้มีภาพไฟลอยข้างหน้า "
เธอก็แสดงอาการหวาดกลัวมาก กลัวไฟ
เมื่อฟังเท่านั้นก็ตกใจ คิดว่า ท่าจะไม่ได้การแล้ว
นิมิตตามที่ท่านเขียนไว้ปรากฏ นึกในใจ ไม่พูด
คิดว่า นิมิตอย่างนี้ ถ้าเห็นไปนรกทันที ก็คิดอะไรไม่ถูก
ถามว่า " จวน ภาวนา พุทโธ ไหม? "
เธอส่ายหน้าบอกว่า " คิดไม่ออก "
จึงหันไปหาภรรยาเขา อาตมาก็จำชื่อภรรยาไม่ได้
ลืมเสียแล้ว ถามว่า " มีสตางค์ไหม? "
เธอก็บอกว่า " มี " ก็เลยบอกว่า " ถ้ามีละก็ ขอสัก
๒๐ บาทได้ไหม? " เธอก็นำธนบัตรใบละ ๒๐ บาท
มาให้ อาตมาก็ไปใส่มือจวน เอามือทั้งสองประกบกัน
ในท่าพนมมือ บอกว่า " จวน เอาอย่างนี้นะ ชีวิตเป็น
ของไม่เที่ยง แต่ความตาย เป็นของเที่ยง เราจะตาย
หรือไม่ตายนั้น ไม่มีความสำคัญ
ลืมเสียแล้ว ถามว่า " มีสตางค์ไหม? "
เธอก็บอกว่า " มี " ก็เลยบอกว่า " ถ้ามีละก็ ขอสัก
๒๐ บาทได้ไหม? " เธอก็นำธนบัตรใบละ ๒๐ บาท
มาให้ อาตมาก็ไปใส่มือจวน เอามือทั้งสองประกบกัน
ในท่าพนมมือ บอกว่า " จวน เอาอย่างนี้นะ ชีวิตเป็น
ของไม่เที่ยง แต่ความตาย เป็นของเที่ยง เราจะตาย
หรือไม่ตายนั้น ไม่มีความสำคัญ
ตั้งใจทำบุญก็แล้วกันนะ เวลานี้ฉันมาพร้อมกัน ๔ องค์
ขอจวน ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ คิดว่าของต่าง ๆ ในวัดทั้งหลาย
ที่มีพระสงฆ์ก็ดี หรือไม่มีพระสงฆ์ เป็นวัดร้างมีพระพุทธรูปก็ดี
หรือว่าเป็นวัดร้างไม่มีพระพุทธรูปก็ตาม หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์
ไม่มีสภาพเป็นวัดก็ตาม เราไปนำอะไรมาจากที่นั่นก็ตาม
จะเป็นของหนักก็ดี ของเบาก็ดี ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม
มีค่ามากก็ตาม มีค่าน้อยก็ตาม ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงิน ๒๐ บาท "
ขอจวน ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ คิดว่าของต่าง ๆ ในวัดทั้งหลาย
ที่มีพระสงฆ์ก็ดี หรือไม่มีพระสงฆ์ เป็นวัดร้างมีพระพุทธรูปก็ดี
หรือว่าเป็นวัดร้างไม่มีพระพุทธรูปก็ตาม หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์
ไม่มีสภาพเป็นวัดก็ตาม เราไปนำอะไรมาจากที่นั่นก็ตาม
จะเป็นของหนักก็ดี ของเบาก็ดี ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม
มีค่ามากก็ตาม มีค่าน้อยก็ตาม ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงิน ๒๐ บาท "
เธอก็พูดเบา ๆ ตาม แล้วก็น้อมทำท่าผงกศีรษะนิดหน่อย
ก็เลยบอกพระท่านบอกว่า " คุณทั้งหลาย ถ้าเห็นชอบ
ให้ สาธุ พร้อมกันนะ " พระทั้งหลายก็ " สาธุ " พร้อมกัน
พอพระสงฆ์ สาธุ พร้อมกัน รู้สึกว่า จิตใจของเธอสดชื่น
ขึ้นมามาก ถามว่า " จวน เวลานี้เห็นภาพอะไร ไฟหาย
ไปแล้วหรือยัง " เธอก็ตอบ " ไฟหายไปแล้ว "
ถามว่า " เธอเห็นภาพอะไร "
เธอบอก " เห็นภาพพระประธานในอุโบสถวัดบางนมโค "
เพราะว่าเธอบวชวัดนั้น เธอก็ไปทำวัตรเป็นประจำ
ถามว่า " เห็นชัดไหม "
เธอก็บอก " เห็นชัด อยู่ใกล้มาก "
ก็บอก " จวน นึกในใจก็ได้นะ ออกเสียงมันจะเหนื่อย
นึกภาวนาในใจว่า พุทโธ "
ก็เลยบอกพระท่านบอกว่า " คุณทั้งหลาย ถ้าเห็นชอบ
ให้ สาธุ พร้อมกันนะ " พระทั้งหลายก็ " สาธุ " พร้อมกัน
พอพระสงฆ์ สาธุ พร้อมกัน รู้สึกว่า จิตใจของเธอสดชื่น
ขึ้นมามาก ถามว่า " จวน เวลานี้เห็นภาพอะไร ไฟหาย
ไปแล้วหรือยัง " เธอก็ตอบ " ไฟหายไปแล้ว "
ถามว่า " เธอเห็นภาพอะไร "
เธอบอก " เห็นภาพพระประธานในอุโบสถวัดบางนมโค "
เพราะว่าเธอบวชวัดนั้น เธอก็ไปทำวัตรเป็นประจำ
ถามว่า " เห็นชัดไหม "
เธอก็บอก " เห็นชัด อยู่ใกล้มาก "
ก็บอก " จวน นึกในใจก็ได้นะ ออกเสียงมันจะเหนื่อย
นึกภาวนาในใจว่า พุทโธ "
แทนที่เธอจะนึกในใจ เธอก็ออกเสียงว่า " พุทโธ ๆ ๆ ๆ "
เบา ๆ เธอว่าไปสัก ๓ - ๔ ครั้ง รู้สึกว่าหายใจเบาลง แต่ว่า
มีเสียงเล็กน้อย ถามว่า " จวน เวลานี้เห็นพระไหม "
เธอตอบว่า " เห็นพระ " ถามว่า " ชัดขึ้นไหม "
เธอก็ตอบว่า " ชัดเจนแจ่มใสมาก สุกสว่างมาก
ใหญ่กว่าเดิมมาก " บอก " ถ้าอย่างนั้น นึกถึงพระ
เป็นที่พึ่งนะ นึกถึงเวลานี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า
ภาพที่เห็น คือ ภาพพระพุทธเจ้า
เบา ๆ เธอว่าไปสัก ๓ - ๔ ครั้ง รู้สึกว่าหายใจเบาลง แต่ว่า
มีเสียงเล็กน้อย ถามว่า " จวน เวลานี้เห็นพระไหม "
เธอตอบว่า " เห็นพระ " ถามว่า " ชัดขึ้นไหม "
เธอก็ตอบว่า " ชัดเจนแจ่มใสมาก สุกสว่างมาก
ใหญ่กว่าเดิมมาก " บอก " ถ้าอย่างนั้น นึกถึงพระ
เป็นที่พึ่งนะ นึกถึงเวลานี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า
ภาพที่เห็น คือ ภาพพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้ามาสงเคราะห์ จะหายจากโรค ถ้าจำเป็น
ต้องตายก็ไปสวรรค์ " เธอยิ้มนิดหนึ่ง เธอตอบว่า
พอพูดจบก็มีวิมานลอยมาอยู่ข้างหน้า พระก็ชี้ แสดงว่า
วิมานนี้เป็นของเธอ " จึงถามเธอว่า " เวลานี้ ต้องการ
อยู่บ้านหรือต้องการอยู่วิมาน "
เธอก็ตอบเบา ๆ ว่า " ต้องการวิมานครับ "
ก็ไม่ต้องการรบกวนให้เหนื่อยต่อไป ก็บอกว่า
" ตั้งใจไปวิมานนะ ภาวนาว่า พุทโธ "
เธอก็ภาวนาเบา ๆ ว่า " พุทโธ ๆ ๆ ๆ "
ต้องตายก็ไปสวรรค์ " เธอยิ้มนิดหนึ่ง เธอตอบว่า
พอพูดจบก็มีวิมานลอยมาอยู่ข้างหน้า พระก็ชี้ แสดงว่า
วิมานนี้เป็นของเธอ " จึงถามเธอว่า " เวลานี้ ต้องการ
อยู่บ้านหรือต้องการอยู่วิมาน "
เธอก็ตอบเบา ๆ ว่า " ต้องการวิมานครับ "
ก็ไม่ต้องการรบกวนให้เหนื่อยต่อไป ก็บอกว่า
" ตั้งใจไปวิมานนะ ภาวนาว่า พุทโธ "
เธอก็ภาวนาเบา ๆ ว่า " พุทโธ ๆ ๆ ๆ "
ในที่สุดก็เงีบบไปพร้อมกับคำภาวนา และลมหายใจ
เข้า - ออก รวมความว่า เธอตายคู่กับพุทโธ
เป็นอันว่า นิมิตเครื่องหมายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท
มีจริง อาตมาผ่านแบบนี้มาหลายสิบราย ที่พบมาเองนะ
ไม่ใช่หลายราย หลายสิบราย และวิธีแก้ของอาตมา
ก็มีวิธีเดียววิธีนี้ เพราะว่าอย่างอื่นเวลานั้น มันแก้กันไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินชำระหนี้สงฆ์
เข้า - ออก รวมความว่า เธอตายคู่กับพุทโธ
เป็นอันว่า นิมิตเครื่องหมายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท
มีจริง อาตมาผ่านแบบนี้มาหลายสิบราย ที่พบมาเองนะ
ไม่ใช่หลายราย หลายสิบราย และวิธีแก้ของอาตมา
ก็มีวิธีเดียววิธีนี้ เพราะว่าอย่างอื่นเวลานั้น มันแก้กันไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินชำระหนี้สงฆ์
ถ้าบังเอิญไม่เป็นหนี้สงฆ์ ก็เป็นสังฆทานและวิหารทาน
รวมความว่า เป็นบุญใหญ่ที่เขาจะพึงได้รับ นี่เป็นอันว่า
มนุษย์เราที่ตายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ทุกคนจะเห็น
นิมิตก่อน
รวมความว่า เป็นบุญใหญ่ที่เขาจะพึงได้รับ นี่เป็นอันว่า
มนุษย์เราที่ตายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ทุกคนจะเห็น
นิมิตก่อน
จากหนังสือ ตายแล้วไม่สูญ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น