ธรรมะก่อนนนอน..
ประวัติ
โดย - หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ
อธิษฐานยกพระศรีอาริย์
หลวงพ่อปานเล่มเก่าประวัติ
โดย - หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ
อธิษฐานยกพระศรีอาริย์
ทีนี้ต่อไปฉันจะเล่าเรื่องอีกอย่างหนึ่งซึ่งมันเป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่สำหรับปฏิปทา ของหลวงพ่อปาน เล่ากันแต่เพียงบางเรื่องนะเพราะว่าเทปมันจะหมดเสียแล้ว เหลืออีกประมาณ ๒ หน้าครึ่งก็จะหมด
ทีนี้ก็จะเล่ากันบางตอน ถ้าเล่ากันไปจริง ๆ มันไม่จบหรอกเพราะเรื่องของหลวงพ่อปานเยอะแยะ
ทีนี้ปฏิปทาอีกอย่างหนึ่งก็คือเมื่อสมัยฉันบวช เห็นจะเป็นย่างเข้าพรรษาที่ ๒ ฉันจำได้ ระหว่างนั้นเป็นเวลาตีสอง คือในตอนต้นทางวัดไลย์ จ.ลพบุรี มีรูปหล่อพระศรีอาริยเมตไตรย เขากล่าวกันว่าพระศรีอาริย์มาเกิด แล้วเวลาตายก็กระดูกเป็นทองแดง
เขาก็เลยตั้งใจจะหล่อรูปปั้นท่าน หล่อเท่าไหร่หลอมเท่าไร ๆ ทองแดงก็ไม่ละลายจนกระทั่งถึงเวลาฉันเพล พระก็ไปฉันเพล ก็มีช่างคนหนึ่งมาอาสาหล่อ พอพระไปฉันเพลกลับลงมาปรากฏว่ารูปท่านหล่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาว่าอย่างนั้นตามประวัตินะ
แล้วนายช่างที่รับอาสานี้ท่านกล่าวว่าเป็น วิษณุกรรมเทพบุตร เป็นนายช่างของพระอินทร์ ข้อนี้จะเป็นข้อเท็จจริงประการใดฉันไม่ทราบ ประวัติเขาเขียนไว้อย่างนั้น ทีนี้เขานำรูปพระศรีอาริยเมตไตรยไปที่วัดบางนมโค รูปหล่อของ
พระศรีอาริย์นี่หนักมาก เฉพาะแท่นต้องยกถึง ๔ คน ๔ คนนี่ก็หลังยืดไม่ไหว เพราะเขาหล่อเป็น ๒ ตอน องค์ท่านเขาก็หามไปถึง ๔ คน คนเดียวไม่มีทางจะขยับ
อธิษฐานยกพระศรีอาริย์
แต่คืนวันนั้นเวลาตีสอง หลวงพ่อปานให้ตาเชิดคนรับใช้ไปปลุกฉัน เพราะว่าตอนนั้นฉันอยู่ในป่าช้า ตาเชิดบอกว่าหลวงพ่อปานต้องการพบตัว เวลานี้ท่านนั่งอยู่ที่ศาลาการเปรียญที่เขาตั้งพระศรีอาริยเมตรไตร ฉันก็ไปหาท่าน ห่มสบงทรงจีวรพาดสังฆาฏิเรียบร้อย พอไปถึงก็ไปกราบท่าน ท่านก็ถามว่า เอาธูปเทียนมาหรือเปล่า
บอกว่า เอามาครับ เพราะว่าสงสัยถ้าหลวงพ่อสั่งเวลา ดึก ๆ ฉันมักจะถือดอกไม้ธูปเทียนมาด้วย เท่าที่พึงจะหาได้ ท่านก็บอกจุดธูปบูชาพระรัตนตรัยสิ ฉันจะทำอะไรให้ดู เมื่อจุดธูปเสร็จท่านก็อธิษฐานว่า
ด้วยเดชะบารมีที่ข้าพระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญบารมีมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งบัดนี้ ถ้าหากต่อไปข้าพเจ้าจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลแล้ว ขออำนาจพระศรีรัตนตรัยและเทพเจ้าทั้งหลาย จงบันดาลให้ข้า
พระพุทธเจ้ายกพระศรีอาริย์นี้ขึ้นและให้เบา รู้สึกเบา ( ไม่หนัก ) และถ้าข้าพเจ้าจะไม่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ขออย่าให้ยกพระศรีอาริย์นี้ขึ้นเลย
พอท่านอธิษฐานเสร็จท่านก็นั่งคุกเข่า ใช้สองมือช้อนแท่น ยกขึ้นได้ เบาที่สุดคล้าย ๆ กับยกหมอนนุ่นเบา ๆ เมื่อท่านอธิษฐานเสร็จท่านก็บอกให้ฉันอธิษฐานบ้าง ให้อธิษฐานตามแบบท่าน ฉันอธิษฐานแล้วฉันก็นั่งช้อนแต่ไม่ขึ้น พอยกไม่ขึ้นท่านก็บอกว่าลุกยืนขึ้นบารมีแกมันยังตํ่ากว่าข้า พอลุกยืนขึ้นพอจับสองมือนิดเดียวก็ขยับขึ้นมาเบาเหวง ชูขึ้นชูลงได้ตามสบาย
ท่านก็บอกว่า เอ้า..แกปรารถนาพระโพธิญาณอีกครั้งหนึ่งเพื่อความมั่นใจ ฉันก็ว่าตามท่าน แล้วท่านก็บอกว่า เอ้..ไอ้แกอายุเท่าไรมันจะตาย นี่แกลองอธิษฐานยกพระศรีอาริย์สิ ความจริงท่านรู้แต่ว่ามันยังไม่มีเหตุที่จะบอกว่าฉันจะต้องตาย
แต่แล้วในที่สุดท่านก็ให้อธิษฐานเมื่ออธิษฐานแล้วก็ยกขึ้นไปตั้งแต่ ๑, ๒, ๓ จนกระทั่ง ๒๑, ๒๒, ๒๓, ๒๔, ๒๕, ๒๖ ยกไม่ขึ้น ถ้าจะตายปีไหนอายุเท่าไรให้ยกขึ้น พอถึงอายุ ๒๗ ยกขึ้นเบาเหวงเลยทีเดียว ปรากฏว่าต้องตายอายุ ๒๗ แน่
ท่านก็ถามว่า เสียดายชีวิตไหม
ก็บอกว่า ไม่เสียดายครับ ผมพอใจแล้ว ผมคิดว่าอายุ ๒๗ ก็พอแล้ว อีกตั้งหลายปี เวลานี้ผมได้ฌานสมาบัติพอ สมควรแล้วครับ ผมพอใจ
ท่านก็บอกว่ามันยังน้อยนัก ยังไม่ควรจะตาย ถ้าเรามีชีวิตมากขึ้นไปอีกเราก็สามารถบำเพ็ญบารมีขึ้นสูงกว่านี้
ให้เร่งสะสมบารมี
การบำเพ็ญบารมีเพื่อพุทธภูมิเราจะหวังไปบำเพ็ญบารมีต่อในการเกิดเป็นเทวดา หรือว่าพรหมน่ะไม่มีทาง ไม่เหมือนกับสาวกภูมิ สาวกภูมิสามารถบำเพ็ญบารมีต่อบนสวรรค์หรือพรหมโลกได้ แต่ว่าถ้าบำเพ็ญบารมีเพื่อพุทธภูมิแล้ว จะบำเพ็ญบารมีนอกจากความเป็นมนุษย์ไม่ได้
ฉะนั้นก่อนที่เราจะตายถ้าบารมีใดที่ยังอ่อนอยู่ ก็ควรจะส่งเสริมให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ถึงแม้ว่าจะไม่เต็มก็ให้ใกล้เต็มเข้าไป ทนลำบากเอา เพื่อพระพุทธภูมิเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า เพราะการปฏิบัติเพื่อการเป็นพระพุทธเจ้าก็เพื่อทำลายความทุกข์ บำรุงสุขให้แก่บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก หรือชี้ช่องบอกทางให้พ้นอบายภูมิเป็นอย่างน้อย แล้วก็แนะนำให้เข้าถึงพระนิพพานเป็นที่สุด
ในที่สุดก็อธิษฐานตามท่าน คือไม่ใช่อธิษฐานนะ ตั้งใจจะปฏิบัติตามท่าน ท่านก็บอกว่าเอาอย่างนี้ พออายุ ๒๗ แกต้องตายแน่ ความจริงฉันรู้ แต่มันไม่มีเหตุที่จะพึงบอก แต่พอดีเขาเอาพระศรีอาริย์มา ฉันก็ให้แกยก ถ้าจะบอกเฉย ๆ เธออาจจะไม่เชื่อก็ได้
ทีนี้วิธีต่ออายุทำอย่างนี้นะ ให้ปล่อยปลา เพราะกรรมมันไม่หนักนัก ให้ปล่อยปลา ปลาที่จะถูกฆ่านี่ เขาเอามาขาย เขาจับมาแล้วเขาจะมาแกง เราก็ซื้อปล่อย ตัวหนึ่งต่อชีวิตได้ ๑ ปี ท่านว่าอย่างนั้น
พอรุ่งขึ้นเช้าฉันก็ไปซื้อปลามา ๑๐ ตัว ฉันว่า ๑๐ ปีก็พอแล้ว เพราะ ๓๗ มันก็ชักแก่เต็มทีแล้ว ฉันไม่เอาหรอก มากเกินไปฉันไม่ต้องการ ก็ปล่อยไป ๑๐ ตัว
เล่าเรื่องความตาย
ตอนนี้ก็จะขอเล่าถึงเรื่องตายเลยที เดียว มันเป็นเรื่องติดต่อกัน ทีนี้ต่อมาเมื่ออายุ ๒๗ ปี อีตอนนั้นฉันไปอยู่ที่วัดประยูรวงศาวาส ไปเป็นเจ้าคณะ ๔ สมเด็จฯ ท่านย้ายไป ก็เป็น พ.ศ. ๒๔๘๗ ปีนั้นญี่ปุ่นขึ้นมาแล้ว ลูกระเบิดลงตูมตาม ๆ กำลังหนัก
ฉันก็ป่วย ป่วยอยู่วันเดียวไม่ได้ป่วยนาน ป่วยตอนเช้าเป็นโรคท้องร่วง รู้สึกว่าไม่ใช่อหิวาต์ แต่เป็นโรคท้องร่วงธรรมดา โรคทางท้องเขาเรียกว่าโรคท้องร่วง แต่พอถ่าย ๓ ครั้งก็รู้สึกว่าหมดสิ้นแรง ฉันก็นอน สมเด็จฯ รู้ข่าวก็มาเยี่ยม พระเยี่ยมกันมาก มีเณรของฉัน ๒ องค์นั่งอยู่ข้าง ๆ
ไอ้คนจะตายนี่มันเป็นอย่างนี้คือสายตามันก็สั้นเข้ามา มันฟางน่ะ มองเห็นไกลมันสั้นเข้ามา ๆ จนกระทั่งเณรของฉัน ๒ องค์ที่นั่งข้าง ๆ นี่ฉันไม่เห็นตัว
แต่ว่าเวลาป่วยตอนนั้นจิตใจของฉันเป็นอย่างไร ฉันเคยตายมาแล้ว ๒ วาระ เห็นจะไม่ต้องอธิบายกัน เพราะว่าตามปกติฉันจะไปอยู่ที่ไหนก็ตามเรื่องกรรมฐานนี่ฉันไม่ลดตัว ฉันพยายามทำเป็นปกติ อารมณ์ของฉันเป็นฌาน
ในที่สุดฉันก็รู้สึกตัวว่าฉันมานั่งอยู่ในโพรง ๆ หนึ่ง มันใหญ่โตเหลือเกินเหมือนกับถํ้า มองไปดูว่าไอ้ถํ้านี้มันถํ้าอะไร มองไปมองมาเห็นซี่โครง เห็นอะไรต่ออะไร เอ้าก็มันร่างกายนี่เอง ไอ้นี่มันร่างกายเดิมของเรานี่ เราเข้ามานั่งอยู่ เอ๊ะ ทีแรกทำไมมันไม่โตนี่ ทำไมถึงโตอย่างนี้ แล้วไปดูตัวก็เห็นตัวเหลืองอร่าม มีเครื่องประดับเหลืองอร่ามผิวเนื้อเป็นแก้ว แต่อาศัยรัศมีของ เครื่องประดับเข้าไปจับกายแลดูเป็นทองคำไปหมด
ฉันก็รู้ได้ทันทีว่าฉันตาย ถ้าฉันไปจากร่างกายเวลานี้ฉันก็เป็นพรหม ร่างกายฉันเป็นพรหมครบถ้วนบริบูรณ์ มีชฎา สวยสดงดงาม แต่ก็ยังไม่ตัดสินใจที่จะไป นั่งมันกำลังสบาย โปร่ง สบายมาก ก็นึกในใจว่านี่เราควรจะไปหรือควรจะอยู่ และการจะตัดสินใจเองก็ยังไม่ดีนัก ก็จึงอธิษฐานถึงบารมีพระพุทธเจ้าว่า
เดชะบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นบรมครูของข้าพระพุทธเจ้า ถ้าข้าพระพุทธเจ้าควรจะละอัตภาพนี้ก็ขออย่าให้มีอะไรปรากฏขึ้น ถ้าหากข้าพระพุทธเจ้ายังไม่ควรจะละอัตภาพนี้ขอให้เห็นฉัพพรรณรังสีรัศมีทั้ง ๖ ประการขององค์สมเด็จพระพิชิตมารพวยพุ่งมาเป็นเพดานให้ข้าพระพุทธเจ้าได้นมัสการ
เห็นฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ
พออธิษฐานเสร็จก็ปรากฏว่ามีสี ๖ สี เป็นรัศมีของพระพุทธเจ้าพุ่งพรืดมา แผ่เป็นเพดานอยู่ประมาณ ๕ นาที ฉันก็นมัสการ แล้วก็หายไป ทีนี้ฉันยังไม่แน่ใจว่าการอยู่นี่มันจะดีกว่าเก่าหรือเท่าเก่า ถ้าเท่าเก่านี่ฉันไม่เอา อันนี้หมายถึงสมณธรรมนะ ยศถาบรรดาศักดิ์ฉันไม่ต้องการ ถ้าฉันต้องการฉันได้นานแล้ว
ฉันอธิษฐานต่อไปว่า ข้าพระพุทธเจ้าอยู่ต่อไปจะเจริญสมณธรรมได้ดีกว่านี้ เพราะเวลานั้นก็ได้ฌาน ๘ แล้วจบฌานโลกีย์ ก็ขอให้ฉัพพรรณรังสีรัศมีทั้ง ๖ ประการขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพุ่งมาและวนเป็นทักษิณาวัตร ให้ข้าพระพุทธเจ้าได้นมัสการอีกวาระหนึ่ง แต่ว่าถ้าข้าพระพุทธเจ้าอยู่ไปแล้วจะไม่ได้ดีกว่านี้ เสมอนี้หรือตํ่ากว่านี้ ขอฉัพพรรณรังสีรัศมีทั้ง ๖ ประการจงอย่าปรากฏแก่ข้าพเจ้า
พออธิษฐานเสร็จก็ปรากฏว่ารัศมีทั้ง ๖ ประการพุ่งมาอีก วนเป็นทักษิณาวัตร ก็นมัสการ เลยตัดสินใจอยู่ คิดว่าถ้าอยู่แล้วดีกว่าจะอยู่ ถ้าอยู่แล้วไม่ดีกว่าก็จะไป จะมีประโยชน์อะไรในการอยู่เพราะสภาพเมืองมนุษย์ไม่มีอะไรดีมีแต่ของเลว พบคนก็คนเลว พบวัตถุก็วัตถุเลว เพราะมันมีสภาพไม่คงทนถาวรมีความเปลี่ยนแปลงและมีการสลายตัวไปในที่สุด
แม้แต่อารมณ์ของคนวันนี้ดีพรุ่งนี้เขาอาจจะรัก วันนี้เขาด่าเราพรุ่งนี้เขาอาจจะชม วันนี้เขาชมเราพรุ่งนี้เขาอาจจะนินทาเรา เอาดีอะไร วันนี้เขาเป็นมิตรพรุ่งนี้อาจจะเป็นศัตรู เรื่องของคนเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ รวมความว่าอารมณ์ของคนธรรมดามีแต่ความเลว ไม่มีความดี สิ่งที่ปรารภก็ปรารภความเลว อยากจะฆ่าคนนั้น อยากจะฆ่าสัตว์ตัวนี้ อยากจะกินอย่างนู้น อยากจะรวยอย่างนี้ อยากจะยื้อแย่งทรัพย์สมบัติ อยากจะยื้อแย่งความรัก อยากจะพูดปด อยากจะดื่มสุราเมรัย อะไรต่ออะไรอย่างนี้เป็นต้น หาความดีไม่ได้ นี่เรื่องของโลกจริง ๆ
แต่คนที่ปนความดีนี่หมายถึงคนที่เข้าถึงธรรมะ คนประเภทนี้น่าคบ น่าเลื่อมใส น่าไหว้น่าบูชา แต่เราไม่ค่อยจะพบนัก ส่วนมากเราก็ไปพบคนจัญไรประเภทนั้นน่ะมากที่สุด ทีนี้ความเบื่อหน่ายมันเกิดขึ้น เมื่อตัดสินใจจะอยู่ ถึงแม้ว่าคนเขาจะเลวเขาจะดีประการใดก็ช่างเขา เราจะสร้างตัวของเราให้ดี เราจะสร้างที่พึ่งของเราให้มั่นคง หมายความว่าเราจะทำตนของเราให้ดีกว่านี้ สร้างบุญบารมีให้ดีกว่านี้
พบพระอินทร์
พอตัดสินใจเท่านี้แล้วก็ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่ง นุ่งขาวห่มขาว ถือยามาก้อนหนึ่ง คล้าย ๆ ก้อนดิน พอเดินเข้ามาใกล้ก็จำได้ว่าเป็นโยมนั่นเอง คือ พระอินทร์ เข้ามาส่งยาให้ แล้วบอกว่า คุณ! ฉันยาอันนี้เสีย แล้วร่างกายจะปกติ
จึงรับยามาฉัน รสชาติเหมือนดินแต่หอม พอฉันยาเสร็จแล้ว ท่านก็บอกว่าเทศน์วันมะรืนนี้ที่รับไว้ที่ จ.สมุทรสงคราม คุณไม่ต้องให้ใครไปแทนนะ คุณไปได้ร่างกายจะปกติ แล้วท่านก็ลากลับ เมื่อลากลับแล้วฉันก็รู้สึกตัว ลืมตาแล้วก็เห็นสมเด็จฯ อยู่ที่ด้านศีรษะ ท่านถามว่า กลับแล้วหรือคุณไม่ไปหรือ
บอกว่า ไม่ไปขอรับ
ถามว่า หลวงพ่อรู้หรือขอรับ
ท่านบอก ทำไมฉันจะไม่รู้ ( สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอนงค์ ) ท่านเก่งเหมือนกัน โดยมากฉันก็เป็นคนโชคดี เมื่อออกจากหลวงพ่อปานแล้วก็ไปพบสมเด็จพระ พุฒาจารย์ วัดอนงค์ ท่านเก่งกรรมฐานอย่างเดียวกับหลวงพ่อปานไม่ผิด ปฏิปทาทุกอย่างเหมือนกัน เหมือนกับลอกแบบกันไว้ทีเดียว นี่เป็นโชคดีของฉัน
แต่ว่าท่านก็เป็นพระปกปิด หมายความว่าท่านไม่เปิดเผย ถ้าใครไม่เข้าถึงท่านจริง ๆ ย่อมจะไม่รู้อะไรจากท่านเลย เมื่อกลับมามีชีวิตคราวนั้นแล้ว ฉันก็ไม่เห็นจะต้องเล่าเรื่องอะไรมาก ก็จะเล่าต่อไปเลยถึงเรื่องท้าย ๆ เพราะมันมีตายอีกครั้งหนึ่ง แต่เป็นตายครั้งที่ ๓ ฉันก็เร่งรัดปฏิบัติในกรรมฐานหนักขึ้น
การตายอีกวาระหนึ่ง
ตอนนี้ว่ากันเรื่องตายอีกทีหนึ่งมันจะได้ติดต่อกันไปซะ นี่ฟังเรื่อย ๆ พอถึงอายุ ๓๙ ปลายปี ปีนั้น ฉันสร้างโบสถ์ ๒ หลังซ้อน หมายความว่าสร้างควบกัน ๒ หลัง วางศิลาฤกษ์เดือนเมษายน เมื่ออายุ ๓๘ พออายุ ๓๙ เดือนเมษายน ฉันก็ฝังลูกนิมิตทั้ง ๒ หลัง โบสถ์คราวนั้นสร้างหลังหนึ่งราคา ๑,๓๐๐,๐๐๐ บาท ที่ จ.ราชบุรี หลังหนึ่ง จ.สมุทรสาครหลังหนึ่ง เมื่อฝั่งลูกนิมิตโบสถ์เสร็จ ฉันป่วย เมื่อกำลังสร้างโบสถ์หลังนั้นฉันป่วยหนักแล้ว
หลวงพ่อปานเคยมาเตือนฉันบอกว่าอีก ๓ ปีนะคุณ จะทนไม่ไหว คือร่างกายจะทนไม่ไหว ให้พักก่อสร้าง ฉันก็พักไม่ได้ ในที่สุดมันป่วยหนัก เมื่อฝังลูกนิมิตเสร็จฉันก็ต้องเดินเข้าโรงพยาบาล คือเข้ากรมแพทย์ทหารเรือ
ทำไมจึงเข้าที่นั่น ก็เพราะว่ามันเป็นที่เก่าของฉัน หมอก็ยังรู้จักกันมาก ไอ้เพื่อนเก่า ๆ ก็ยังพออยู่ เดี๋ยวนี้ก็ไปกันหลายคนแล้ว เหลือแต่เด็ก ๆ แต่มันก็รู้จักกัน ไอ้รุ่นเดียวกันเขาก็เป็นนายพลไปหลายคนเต็มที ที่ออกไปแล้วก็มี เป็นผู้ชำนาญการไปเสียบ้างก็มีเพราะว่าต้องหลีกทางให้หลังขึ้น
เพราะว่าแพทย์ในสมัยนั้นถ้าเป็น พลตรีแล้วก็ไปไม่ได้อีก ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้เขาขยับขึ้นเป็นพลโท นี่ใครเป็นพลตรี พลโท พอกินเงินเดือนเต็มขั้นก็ลาออกไป ถ้าขืนอยู่บำนาญมันก็ไม่ได้มากไปกว่านี้ ออกดีกว่า จะได้เพิ่มไปก็นิดหน่อยไม่มีความหมาย
จึงเข้าไปในกรมแพทย์ทหารเรือ เข้าไปทีแรกก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร พอตกกลางคืนเข้าสิอาการมันหนัก พอดีก็ยังไปพบหลวงสุวิชาญ แล้วก็หลวงประกอบ ซึ่งเป็นคนเก่า ๒ คนนี้ฉันนับถือท่านเหมือนน้า เพราะว่าเป็นเพื่อนเก่าของน้า เพราะน้าก็เป็นนายทหารหมอเหมือนกัน ท่านรับเป็นอุปการะ
พบท่านสหัมบดีพรหม
อาการมันแน่นขึ้นมา พอถึงตี ๓ ฉันตัดสินใจเจริญวิปัสสนาญาณเข้าฌานเต็มที่แล้วเจริญวิปัสสนาญาณ ปรากฏการณ์พิเศษ คือพอเข้าฌานเต็มที่ด้วยอำนาจวิปัสสนาญาณเบื้องต้นแล้ว พอฌานเข้าถึงระดับสูงสุด ปรากฏว่าเห็นพรหมองค์หนึ่ง เป็นพรหมไม่ใช่เทวดา แต่งตัวสวยมาก ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน มายืนอยู่ข้างหน้า แล้วเรียกว่า สัมพเกษีไปกับฉัน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เธอไปเยี่ยม
ฉันแปลกใจ คำว่าสัมพเกษีนี่เป็นชื่อพรหม ฉันเป็นพรหมนี่เขาเรียกกันว่าสัมพเกษี ฉันก็เดินตามท่านไป สภาพของฉันที่ไปเวลานั้นก็ไปแบบเป็นพระ ผิวกายผ่องใส เนื้อละเอียดอ่อนมาก เป็นแก้วบางที่สุด ท่านพาไปตามลำดับถึงสวรรค์ ๖ ชั้นแล้วก็กลับย้อนมาขึ้น พรหมชั้นที่ ๑ ถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ พอถึงพรหมชั้นที่ ๑๖
ท่านก็บอกว่าเธอไปคนเดียวเถิด ฉันไม่ไปด้วยแล้ว
จึงถามว่า ทำไมไม่ไปล่ะ
ท่านบอก ไม่ไป
ถามว่า ไปไหน
ท่านบอก ไปทางนี้ ท่านชี้ทางให้ เป็นทางสวยระรื่น น่าเดิน เป็นแก้วระยิบระยับ แพรวพราว ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ก็ไปตามทางนั้น ฉันไม่รู้ว่าไปไหนหรอก ทีแรกฉันรู้แค่พรหม แต่นิพพานนี่ฉันไม่เคยเห็น เห็นแค่พรหมชั้นที่ ๑๖ ไอ้เรื่องพรหมนี่ฉันเที่ยวเป็นปกติฉันรู้
ทีนี้ก็จะเล่ากันบางตอน ถ้าเล่ากันไปจริง ๆ มันไม่จบหรอกเพราะเรื่องของหลวงพ่อปานเยอะแยะ
ทีนี้ปฏิปทาอีกอย่างหนึ่งก็คือเมื่อสมัยฉันบวช เห็นจะเป็นย่างเข้าพรรษาที่ ๒ ฉันจำได้ ระหว่างนั้นเป็นเวลาตีสอง คือในตอนต้นทางวัดไลย์ จ.ลพบุรี มีรูปหล่อพระศรีอาริยเมตไตรย เขากล่าวกันว่าพระศรีอาริย์มาเกิด แล้วเวลาตายก็กระดูกเป็นทองแดง
เขาก็เลยตั้งใจจะหล่อรูปปั้นท่าน หล่อเท่าไหร่หลอมเท่าไร ๆ ทองแดงก็ไม่ละลายจนกระทั่งถึงเวลาฉันเพล พระก็ไปฉันเพล ก็มีช่างคนหนึ่งมาอาสาหล่อ พอพระไปฉันเพลกลับลงมาปรากฏว่ารูปท่านหล่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาว่าอย่างนั้นตามประวัตินะ
แล้วนายช่างที่รับอาสานี้ท่านกล่าวว่าเป็น วิษณุกรรมเทพบุตร เป็นนายช่างของพระอินทร์ ข้อนี้จะเป็นข้อเท็จจริงประการใดฉันไม่ทราบ ประวัติเขาเขียนไว้อย่างนั้น ทีนี้เขานำรูปพระศรีอาริยเมตไตรยไปที่วัดบางนมโค รูปหล่อของ
พระศรีอาริย์นี่หนักมาก เฉพาะแท่นต้องยกถึง ๔ คน ๔ คนนี่ก็หลังยืดไม่ไหว เพราะเขาหล่อเป็น ๒ ตอน องค์ท่านเขาก็หามไปถึง ๔ คน คนเดียวไม่มีทางจะขยับ
อธิษฐานยกพระศรีอาริย์
แต่คืนวันนั้นเวลาตีสอง หลวงพ่อปานให้ตาเชิดคนรับใช้ไปปลุกฉัน เพราะว่าตอนนั้นฉันอยู่ในป่าช้า ตาเชิดบอกว่าหลวงพ่อปานต้องการพบตัว เวลานี้ท่านนั่งอยู่ที่ศาลาการเปรียญที่เขาตั้งพระศรีอาริยเมตรไตร ฉันก็ไปหาท่าน ห่มสบงทรงจีวรพาดสังฆาฏิเรียบร้อย พอไปถึงก็ไปกราบท่าน ท่านก็ถามว่า เอาธูปเทียนมาหรือเปล่า
บอกว่า เอามาครับ เพราะว่าสงสัยถ้าหลวงพ่อสั่งเวลา ดึก ๆ ฉันมักจะถือดอกไม้ธูปเทียนมาด้วย เท่าที่พึงจะหาได้ ท่านก็บอกจุดธูปบูชาพระรัตนตรัยสิ ฉันจะทำอะไรให้ดู เมื่อจุดธูปเสร็จท่านก็อธิษฐานว่า
ด้วยเดชะบารมีที่ข้าพระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญบารมีมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งบัดนี้ ถ้าหากต่อไปข้าพเจ้าจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลแล้ว ขออำนาจพระศรีรัตนตรัยและเทพเจ้าทั้งหลาย จงบันดาลให้ข้า
พระพุทธเจ้ายกพระศรีอาริย์นี้ขึ้นและให้เบา รู้สึกเบา ( ไม่หนัก ) และถ้าข้าพเจ้าจะไม่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ขออย่าให้ยกพระศรีอาริย์นี้ขึ้นเลย
พอท่านอธิษฐานเสร็จท่านก็นั่งคุกเข่า ใช้สองมือช้อนแท่น ยกขึ้นได้ เบาที่สุดคล้าย ๆ กับยกหมอนนุ่นเบา ๆ เมื่อท่านอธิษฐานเสร็จท่านก็บอกให้ฉันอธิษฐานบ้าง ให้อธิษฐานตามแบบท่าน ฉันอธิษฐานแล้วฉันก็นั่งช้อนแต่ไม่ขึ้น พอยกไม่ขึ้นท่านก็บอกว่าลุกยืนขึ้นบารมีแกมันยังตํ่ากว่าข้า พอลุกยืนขึ้นพอจับสองมือนิดเดียวก็ขยับขึ้นมาเบาเหวง ชูขึ้นชูลงได้ตามสบาย
ท่านก็บอกว่า เอ้า..แกปรารถนาพระโพธิญาณอีกครั้งหนึ่งเพื่อความมั่นใจ ฉันก็ว่าตามท่าน แล้วท่านก็บอกว่า เอ้..ไอ้แกอายุเท่าไรมันจะตาย นี่แกลองอธิษฐานยกพระศรีอาริย์สิ ความจริงท่านรู้แต่ว่ามันยังไม่มีเหตุที่จะบอกว่าฉันจะต้องตาย
แต่แล้วในที่สุดท่านก็ให้อธิษฐานเมื่ออธิษฐานแล้วก็ยกขึ้นไปตั้งแต่ ๑, ๒, ๓ จนกระทั่ง ๒๑, ๒๒, ๒๓, ๒๔, ๒๕, ๒๖ ยกไม่ขึ้น ถ้าจะตายปีไหนอายุเท่าไรให้ยกขึ้น พอถึงอายุ ๒๗ ยกขึ้นเบาเหวงเลยทีเดียว ปรากฏว่าต้องตายอายุ ๒๗ แน่
ท่านก็ถามว่า เสียดายชีวิตไหม
ก็บอกว่า ไม่เสียดายครับ ผมพอใจแล้ว ผมคิดว่าอายุ ๒๗ ก็พอแล้ว อีกตั้งหลายปี เวลานี้ผมได้ฌานสมาบัติพอ สมควรแล้วครับ ผมพอใจ
ท่านก็บอกว่ามันยังน้อยนัก ยังไม่ควรจะตาย ถ้าเรามีชีวิตมากขึ้นไปอีกเราก็สามารถบำเพ็ญบารมีขึ้นสูงกว่านี้
ให้เร่งสะสมบารมี
การบำเพ็ญบารมีเพื่อพุทธภูมิเราจะหวังไปบำเพ็ญบารมีต่อในการเกิดเป็นเทวดา หรือว่าพรหมน่ะไม่มีทาง ไม่เหมือนกับสาวกภูมิ สาวกภูมิสามารถบำเพ็ญบารมีต่อบนสวรรค์หรือพรหมโลกได้ แต่ว่าถ้าบำเพ็ญบารมีเพื่อพุทธภูมิแล้ว จะบำเพ็ญบารมีนอกจากความเป็นมนุษย์ไม่ได้
ฉะนั้นก่อนที่เราจะตายถ้าบารมีใดที่ยังอ่อนอยู่ ก็ควรจะส่งเสริมให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ถึงแม้ว่าจะไม่เต็มก็ให้ใกล้เต็มเข้าไป ทนลำบากเอา เพื่อพระพุทธภูมิเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า เพราะการปฏิบัติเพื่อการเป็นพระพุทธเจ้าก็เพื่อทำลายความทุกข์ บำรุงสุขให้แก่บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก หรือชี้ช่องบอกทางให้พ้นอบายภูมิเป็นอย่างน้อย แล้วก็แนะนำให้เข้าถึงพระนิพพานเป็นที่สุด
ในที่สุดก็อธิษฐานตามท่าน คือไม่ใช่อธิษฐานนะ ตั้งใจจะปฏิบัติตามท่าน ท่านก็บอกว่าเอาอย่างนี้ พออายุ ๒๗ แกต้องตายแน่ ความจริงฉันรู้ แต่มันไม่มีเหตุที่จะพึงบอก แต่พอดีเขาเอาพระศรีอาริย์มา ฉันก็ให้แกยก ถ้าจะบอกเฉย ๆ เธออาจจะไม่เชื่อก็ได้
ทีนี้วิธีต่ออายุทำอย่างนี้นะ ให้ปล่อยปลา เพราะกรรมมันไม่หนักนัก ให้ปล่อยปลา ปลาที่จะถูกฆ่านี่ เขาเอามาขาย เขาจับมาแล้วเขาจะมาแกง เราก็ซื้อปล่อย ตัวหนึ่งต่อชีวิตได้ ๑ ปี ท่านว่าอย่างนั้น
พอรุ่งขึ้นเช้าฉันก็ไปซื้อปลามา ๑๐ ตัว ฉันว่า ๑๐ ปีก็พอแล้ว เพราะ ๓๗ มันก็ชักแก่เต็มทีแล้ว ฉันไม่เอาหรอก มากเกินไปฉันไม่ต้องการ ก็ปล่อยไป ๑๐ ตัว
เล่าเรื่องความตาย
ตอนนี้ก็จะขอเล่าถึงเรื่องตายเลยที เดียว มันเป็นเรื่องติดต่อกัน ทีนี้ต่อมาเมื่ออายุ ๒๗ ปี อีตอนนั้นฉันไปอยู่ที่วัดประยูรวงศาวาส ไปเป็นเจ้าคณะ ๔ สมเด็จฯ ท่านย้ายไป ก็เป็น พ.ศ. ๒๔๘๗ ปีนั้นญี่ปุ่นขึ้นมาแล้ว ลูกระเบิดลงตูมตาม ๆ กำลังหนัก
ฉันก็ป่วย ป่วยอยู่วันเดียวไม่ได้ป่วยนาน ป่วยตอนเช้าเป็นโรคท้องร่วง รู้สึกว่าไม่ใช่อหิวาต์ แต่เป็นโรคท้องร่วงธรรมดา โรคทางท้องเขาเรียกว่าโรคท้องร่วง แต่พอถ่าย ๓ ครั้งก็รู้สึกว่าหมดสิ้นแรง ฉันก็นอน สมเด็จฯ รู้ข่าวก็มาเยี่ยม พระเยี่ยมกันมาก มีเณรของฉัน ๒ องค์นั่งอยู่ข้าง ๆ
ไอ้คนจะตายนี่มันเป็นอย่างนี้คือสายตามันก็สั้นเข้ามา มันฟางน่ะ มองเห็นไกลมันสั้นเข้ามา ๆ จนกระทั่งเณรของฉัน ๒ องค์ที่นั่งข้าง ๆ นี่ฉันไม่เห็นตัว
แต่ว่าเวลาป่วยตอนนั้นจิตใจของฉันเป็นอย่างไร ฉันเคยตายมาแล้ว ๒ วาระ เห็นจะไม่ต้องอธิบายกัน เพราะว่าตามปกติฉันจะไปอยู่ที่ไหนก็ตามเรื่องกรรมฐานนี่ฉันไม่ลดตัว ฉันพยายามทำเป็นปกติ อารมณ์ของฉันเป็นฌาน
ในที่สุดฉันก็รู้สึกตัวว่าฉันมานั่งอยู่ในโพรง ๆ หนึ่ง มันใหญ่โตเหลือเกินเหมือนกับถํ้า มองไปดูว่าไอ้ถํ้านี้มันถํ้าอะไร มองไปมองมาเห็นซี่โครง เห็นอะไรต่ออะไร เอ้าก็มันร่างกายนี่เอง ไอ้นี่มันร่างกายเดิมของเรานี่ เราเข้ามานั่งอยู่ เอ๊ะ ทีแรกทำไมมันไม่โตนี่ ทำไมถึงโตอย่างนี้ แล้วไปดูตัวก็เห็นตัวเหลืองอร่าม มีเครื่องประดับเหลืองอร่ามผิวเนื้อเป็นแก้ว แต่อาศัยรัศมีของ เครื่องประดับเข้าไปจับกายแลดูเป็นทองคำไปหมด
ฉันก็รู้ได้ทันทีว่าฉันตาย ถ้าฉันไปจากร่างกายเวลานี้ฉันก็เป็นพรหม ร่างกายฉันเป็นพรหมครบถ้วนบริบูรณ์ มีชฎา สวยสดงดงาม แต่ก็ยังไม่ตัดสินใจที่จะไป นั่งมันกำลังสบาย โปร่ง สบายมาก ก็นึกในใจว่านี่เราควรจะไปหรือควรจะอยู่ และการจะตัดสินใจเองก็ยังไม่ดีนัก ก็จึงอธิษฐานถึงบารมีพระพุทธเจ้าว่า
เดชะบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นบรมครูของข้าพระพุทธเจ้า ถ้าข้าพระพุทธเจ้าควรจะละอัตภาพนี้ก็ขออย่าให้มีอะไรปรากฏขึ้น ถ้าหากข้าพระพุทธเจ้ายังไม่ควรจะละอัตภาพนี้ขอให้เห็นฉัพพรรณรังสีรัศมีทั้ง ๖ ประการขององค์สมเด็จพระพิชิตมารพวยพุ่งมาเป็นเพดานให้ข้าพระพุทธเจ้าได้นมัสการ
เห็นฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ
พออธิษฐานเสร็จก็ปรากฏว่ามีสี ๖ สี เป็นรัศมีของพระพุทธเจ้าพุ่งพรืดมา แผ่เป็นเพดานอยู่ประมาณ ๕ นาที ฉันก็นมัสการ แล้วก็หายไป ทีนี้ฉันยังไม่แน่ใจว่าการอยู่นี่มันจะดีกว่าเก่าหรือเท่าเก่า ถ้าเท่าเก่านี่ฉันไม่เอา อันนี้หมายถึงสมณธรรมนะ ยศถาบรรดาศักดิ์ฉันไม่ต้องการ ถ้าฉันต้องการฉันได้นานแล้ว
ฉันอธิษฐานต่อไปว่า ข้าพระพุทธเจ้าอยู่ต่อไปจะเจริญสมณธรรมได้ดีกว่านี้ เพราะเวลานั้นก็ได้ฌาน ๘ แล้วจบฌานโลกีย์ ก็ขอให้ฉัพพรรณรังสีรัศมีทั้ง ๖ ประการขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพุ่งมาและวนเป็นทักษิณาวัตร ให้ข้าพระพุทธเจ้าได้นมัสการอีกวาระหนึ่ง แต่ว่าถ้าข้าพระพุทธเจ้าอยู่ไปแล้วจะไม่ได้ดีกว่านี้ เสมอนี้หรือตํ่ากว่านี้ ขอฉัพพรรณรังสีรัศมีทั้ง ๖ ประการจงอย่าปรากฏแก่ข้าพเจ้า
พออธิษฐานเสร็จก็ปรากฏว่ารัศมีทั้ง ๖ ประการพุ่งมาอีก วนเป็นทักษิณาวัตร ก็นมัสการ เลยตัดสินใจอยู่ คิดว่าถ้าอยู่แล้วดีกว่าจะอยู่ ถ้าอยู่แล้วไม่ดีกว่าก็จะไป จะมีประโยชน์อะไรในการอยู่เพราะสภาพเมืองมนุษย์ไม่มีอะไรดีมีแต่ของเลว พบคนก็คนเลว พบวัตถุก็วัตถุเลว เพราะมันมีสภาพไม่คงทนถาวรมีความเปลี่ยนแปลงและมีการสลายตัวไปในที่สุด
แม้แต่อารมณ์ของคนวันนี้ดีพรุ่งนี้เขาอาจจะรัก วันนี้เขาด่าเราพรุ่งนี้เขาอาจจะชม วันนี้เขาชมเราพรุ่งนี้เขาอาจจะนินทาเรา เอาดีอะไร วันนี้เขาเป็นมิตรพรุ่งนี้อาจจะเป็นศัตรู เรื่องของคนเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ รวมความว่าอารมณ์ของคนธรรมดามีแต่ความเลว ไม่มีความดี สิ่งที่ปรารภก็ปรารภความเลว อยากจะฆ่าคนนั้น อยากจะฆ่าสัตว์ตัวนี้ อยากจะกินอย่างนู้น อยากจะรวยอย่างนี้ อยากจะยื้อแย่งทรัพย์สมบัติ อยากจะยื้อแย่งความรัก อยากจะพูดปด อยากจะดื่มสุราเมรัย อะไรต่ออะไรอย่างนี้เป็นต้น หาความดีไม่ได้ นี่เรื่องของโลกจริง ๆ
แต่คนที่ปนความดีนี่หมายถึงคนที่เข้าถึงธรรมะ คนประเภทนี้น่าคบ น่าเลื่อมใส น่าไหว้น่าบูชา แต่เราไม่ค่อยจะพบนัก ส่วนมากเราก็ไปพบคนจัญไรประเภทนั้นน่ะมากที่สุด ทีนี้ความเบื่อหน่ายมันเกิดขึ้น เมื่อตัดสินใจจะอยู่ ถึงแม้ว่าคนเขาจะเลวเขาจะดีประการใดก็ช่างเขา เราจะสร้างตัวของเราให้ดี เราจะสร้างที่พึ่งของเราให้มั่นคง หมายความว่าเราจะทำตนของเราให้ดีกว่านี้ สร้างบุญบารมีให้ดีกว่านี้
พบพระอินทร์
พอตัดสินใจเท่านี้แล้วก็ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่ง นุ่งขาวห่มขาว ถือยามาก้อนหนึ่ง คล้าย ๆ ก้อนดิน พอเดินเข้ามาใกล้ก็จำได้ว่าเป็นโยมนั่นเอง คือ พระอินทร์ เข้ามาส่งยาให้ แล้วบอกว่า คุณ! ฉันยาอันนี้เสีย แล้วร่างกายจะปกติ
จึงรับยามาฉัน รสชาติเหมือนดินแต่หอม พอฉันยาเสร็จแล้ว ท่านก็บอกว่าเทศน์วันมะรืนนี้ที่รับไว้ที่ จ.สมุทรสงคราม คุณไม่ต้องให้ใครไปแทนนะ คุณไปได้ร่างกายจะปกติ แล้วท่านก็ลากลับ เมื่อลากลับแล้วฉันก็รู้สึกตัว ลืมตาแล้วก็เห็นสมเด็จฯ อยู่ที่ด้านศีรษะ ท่านถามว่า กลับแล้วหรือคุณไม่ไปหรือ
บอกว่า ไม่ไปขอรับ
ถามว่า หลวงพ่อรู้หรือขอรับ
ท่านบอก ทำไมฉันจะไม่รู้ ( สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอนงค์ ) ท่านเก่งเหมือนกัน โดยมากฉันก็เป็นคนโชคดี เมื่อออกจากหลวงพ่อปานแล้วก็ไปพบสมเด็จพระ พุฒาจารย์ วัดอนงค์ ท่านเก่งกรรมฐานอย่างเดียวกับหลวงพ่อปานไม่ผิด ปฏิปทาทุกอย่างเหมือนกัน เหมือนกับลอกแบบกันไว้ทีเดียว นี่เป็นโชคดีของฉัน
แต่ว่าท่านก็เป็นพระปกปิด หมายความว่าท่านไม่เปิดเผย ถ้าใครไม่เข้าถึงท่านจริง ๆ ย่อมจะไม่รู้อะไรจากท่านเลย เมื่อกลับมามีชีวิตคราวนั้นแล้ว ฉันก็ไม่เห็นจะต้องเล่าเรื่องอะไรมาก ก็จะเล่าต่อไปเลยถึงเรื่องท้าย ๆ เพราะมันมีตายอีกครั้งหนึ่ง แต่เป็นตายครั้งที่ ๓ ฉันก็เร่งรัดปฏิบัติในกรรมฐานหนักขึ้น
การตายอีกวาระหนึ่ง
ตอนนี้ว่ากันเรื่องตายอีกทีหนึ่งมันจะได้ติดต่อกันไปซะ นี่ฟังเรื่อย ๆ พอถึงอายุ ๓๙ ปลายปี ปีนั้น ฉันสร้างโบสถ์ ๒ หลังซ้อน หมายความว่าสร้างควบกัน ๒ หลัง วางศิลาฤกษ์เดือนเมษายน เมื่ออายุ ๓๘ พออายุ ๓๙ เดือนเมษายน ฉันก็ฝังลูกนิมิตทั้ง ๒ หลัง โบสถ์คราวนั้นสร้างหลังหนึ่งราคา ๑,๓๐๐,๐๐๐ บาท ที่ จ.ราชบุรี หลังหนึ่ง จ.สมุทรสาครหลังหนึ่ง เมื่อฝั่งลูกนิมิตโบสถ์เสร็จ ฉันป่วย เมื่อกำลังสร้างโบสถ์หลังนั้นฉันป่วยหนักแล้ว
หลวงพ่อปานเคยมาเตือนฉันบอกว่าอีก ๓ ปีนะคุณ จะทนไม่ไหว คือร่างกายจะทนไม่ไหว ให้พักก่อสร้าง ฉันก็พักไม่ได้ ในที่สุดมันป่วยหนัก เมื่อฝังลูกนิมิตเสร็จฉันก็ต้องเดินเข้าโรงพยาบาล คือเข้ากรมแพทย์ทหารเรือ
ทำไมจึงเข้าที่นั่น ก็เพราะว่ามันเป็นที่เก่าของฉัน หมอก็ยังรู้จักกันมาก ไอ้เพื่อนเก่า ๆ ก็ยังพออยู่ เดี๋ยวนี้ก็ไปกันหลายคนแล้ว เหลือแต่เด็ก ๆ แต่มันก็รู้จักกัน ไอ้รุ่นเดียวกันเขาก็เป็นนายพลไปหลายคนเต็มที ที่ออกไปแล้วก็มี เป็นผู้ชำนาญการไปเสียบ้างก็มีเพราะว่าต้องหลีกทางให้หลังขึ้น
เพราะว่าแพทย์ในสมัยนั้นถ้าเป็น พลตรีแล้วก็ไปไม่ได้อีก ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้เขาขยับขึ้นเป็นพลโท นี่ใครเป็นพลตรี พลโท พอกินเงินเดือนเต็มขั้นก็ลาออกไป ถ้าขืนอยู่บำนาญมันก็ไม่ได้มากไปกว่านี้ ออกดีกว่า จะได้เพิ่มไปก็นิดหน่อยไม่มีความหมาย
จึงเข้าไปในกรมแพทย์ทหารเรือ เข้าไปทีแรกก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร พอตกกลางคืนเข้าสิอาการมันหนัก พอดีก็ยังไปพบหลวงสุวิชาญ แล้วก็หลวงประกอบ ซึ่งเป็นคนเก่า ๒ คนนี้ฉันนับถือท่านเหมือนน้า เพราะว่าเป็นเพื่อนเก่าของน้า เพราะน้าก็เป็นนายทหารหมอเหมือนกัน ท่านรับเป็นอุปการะ
พบท่านสหัมบดีพรหม
อาการมันแน่นขึ้นมา พอถึงตี ๓ ฉันตัดสินใจเจริญวิปัสสนาญาณเข้าฌานเต็มที่แล้วเจริญวิปัสสนาญาณ ปรากฏการณ์พิเศษ คือพอเข้าฌานเต็มที่ด้วยอำนาจวิปัสสนาญาณเบื้องต้นแล้ว พอฌานเข้าถึงระดับสูงสุด ปรากฏว่าเห็นพรหมองค์หนึ่ง เป็นพรหมไม่ใช่เทวดา แต่งตัวสวยมาก ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน มายืนอยู่ข้างหน้า แล้วเรียกว่า สัมพเกษีไปกับฉัน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เธอไปเยี่ยม
ฉันแปลกใจ คำว่าสัมพเกษีนี่เป็นชื่อพรหม ฉันเป็นพรหมนี่เขาเรียกกันว่าสัมพเกษี ฉันก็เดินตามท่านไป สภาพของฉันที่ไปเวลานั้นก็ไปแบบเป็นพระ ผิวกายผ่องใส เนื้อละเอียดอ่อนมาก เป็นแก้วบางที่สุด ท่านพาไปตามลำดับถึงสวรรค์ ๖ ชั้นแล้วก็กลับย้อนมาขึ้น พรหมชั้นที่ ๑ ถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ พอถึงพรหมชั้นที่ ๑๖
ท่านก็บอกว่าเธอไปคนเดียวเถิด ฉันไม่ไปด้วยแล้ว
จึงถามว่า ทำไมไม่ไปล่ะ
ท่านบอก ไม่ไป
ถามว่า ไปไหน
ท่านบอก ไปทางนี้ ท่านชี้ทางให้ เป็นทางสวยระรื่น น่าเดิน เป็นแก้วระยิบระยับ แพรวพราว ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ก็ไปตามทางนั้น ฉันไม่รู้ว่าไปไหนหรอก ทีแรกฉันรู้แค่พรหม แต่นิพพานนี่ฉันไม่เคยเห็น เห็นแค่พรหมชั้นที่ ๑๖ ไอ้เรื่องพรหมนี่ฉันเที่ยวเป็นปกติฉันรู้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น