นางวิสาขาตั้งใจถวายสังฆทานกับพระพุทธเจ้า
ตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ แล้วกลับลงมาเกิดเป็นลูกมหาเศรษฐี
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
ตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ แล้วกลับลงมาเกิดเป็นลูกมหาเศรษฐี
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
"...องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "เรื่องของความรํ่ารวยมาจากทานการให้" คนที่เคยให้ทานมาแล้วในกาลก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็น สังฆทาน และให้ด้วยความเลื่อมใสแม้เพียงครั้งเดียวในชีวิต คนนั้นจะเกิดไปสักกี่ชาติก็ตามเขาจะมีแต่ความรํ่ารวยตลอดกาล จะหาความยากจนเข็ญใจไม่ได้ จนกว่าจะเข้านิพพาน
ตัวอย่างคือ พระนางวิสาขามหาอุบาสิกา ในสมัยชาติก่อนโน้นคือ ในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "วิปัสสีทศพล" พระนางวิสาขามหาอุบาสิกาคนนี้เป็นคนจน แต่จนไม่มาก ไม่ใช่คนรวย พอทำมาหากินได้ สมัยนั้นพระพุทธเจ้ามีบริวารเป็นแสน เวลานั้นมีเพื่อนหญิงของท่านคนหนึ่งเป็นคนรํ่ารวยมาก สร้างวิหารเลี้ยงพระพุทธเจ้า เลี้ยงพระสงฆ์ จัดของถวายตามที่เธอประสงค์ ถ้าพระสงฆ์มาในเขตนั้น ความบกพร่องทุกอย่างไม่ยอมให้มี
พระนางวิสาขาในสมัยนั้นก็มีความตั้งใจอยากจะรวยแบบนั้นบ้าง อยากจะเลี้ยงพระในพระพุทธศาสนาบ้าง อยากจะมีทรัพย์สินที่นับไม่ได้หมายถึงใช้เท่าไรก็ไม่หมดบ้าง วันหนึ่งท่านจึงเข้าไปหาพระพุทธเจ้า เข้าไปกราบทูลอาราธนาพระองค์พร้อมด้วยพระสงฆ์อีก ๔ รูป ให้ไปรับสังฆทานที่บ้าน จะถวายมากก็ไม่ได้เพราะเป็นคนจน ทรัพย์สินไม่มีมาก พระพุทธเจ้าก็ทรงรับ ท่านก็กลับบ้านมาจัดภัตตาหารตามที่จะหาได้
องค์สมเด็จพระจอมไตรก็เสด็จพร้อมด้วยพระอีก ๔ รูป ท่านถวายสังฆทานเสร็จ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงโมทนาแล้ว ท่านก็เข้าไปกราบแทบพระบาทของพระพุทธเจ้ากล่าวคำ ตั้งมโนปณิธานปรารถนาว่า "ด้วยอำนาจบุญบารมีที่หม่อมฉันได้ถวายสังฆทานครั้งนี้ ขอปัจจัยที่ทำแล้วในคราวนี้ จงเป็นผลให้หม่อมฉันได้มีโอกาสเป็นคนบำรุงพระพุทธศาสนา มีพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ทุกรูป อย่างชนิดที่ไม่มีสิ่งใดมีโอกาสที่จะบกพร่องได้เลย"
องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงตรวจดูด้วยอำนาจพระพุทธญาณก็ทรงทราบชัดว่า อีกประมาณแสนกัปข้างหน้าจะมีองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "พระสมณโคดม" ทรงอุบัติขึ้นในโลก หญิงผู้นี้เมื่อตายจากชาตินี้ไปแล้วจะท่องเที่ยวอยู่บนสวรรค์ เมื่อองค์สมเด็จพระทรงธรรม์องค์นั้นเสด็จมาอุบัติขึ้นในโลก เธอก็จะมาเกิดพร้อมๆ กันในสมัยนั้น และจะมีโอกาสเลี้ยงดูพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา มีทรัพย์นับไม่ได้ มีบิดามีนามว่า "ธนัญชัยเศรษฐี" มีปู่มีนามว่า "เมณฑกเศรษฐี" พระองค์ได้ทรงพยากรณ์ตามนั้นให้ท่านฟัง
มาในชาตินี้เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงตรัสรู้ และประกาศพระศาสนาไปถึงกรุงราชคฤห์มหานคร และก็เมืองเวสาลี พระนางวิสาขาคนนี้อายุได้ ๗ ขวบ เมื่อฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าครั้งเดียวก็บรรลุพระโสดาปัตติผล
ต่อมาท่านก็บำรุงพระพุทธศาสนาอย่างที่คนอื่นบำรุงได้ยาก เพราะว่าตระกูลนี้มีทรัพย์มากนับไม่ถ้วน เวลาที่ท่านวิสาขาแต่งงาน ท่านพ่อท่านแม่ให้ของไปใช้ชั่วคราวไม่พอขอใหม่ได้ เช่น ให้เงิน ๕๐๐ เล่มเกวียน ทองคำ ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะทองคำสำหรับใช้ ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะเงิน ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะทองแดง ๕๐๐ เล่มเกวียน เป็นต้น แล้วบอกว่าถ้าไม่พอใช้พอจ่าย ก็มาเอาใหม่ได้นะลูก
บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่เราเห็นคนเขารํ่ารวยอยู่เวลานี้ นั่งรถยนต์คันสวยๆ มีบ้านสวยๆ มีทรัพย์สินมากๆ ก็เพราะอำนาจการถวายทานเป็นสำคัญ แต่การถวายทานนี้จำเป็นจะต้องถวายด้วยจิตบริสุทธิ์ ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทนัก การถวายสังฆทานเป็นการทำง่าย ถ้าเรามีทรัพย์น้อยก็แกงถ้วยหนึ่ง กับถ้วยหนึ่ง ขนมถ้วยหนึ่ง ข้าวถ้วยหนึ่งไม่ต้องมาก นำไปถวายบอกพระว่าถวายเป็นสังฆทาน เมื่อถวายไปแล้วก่อนจะหลับนึกถึงทานการให้ ตื่นขึ้นใหม่ๆ นึกถึงทานกองนั้นไว้ อันนี้แหละจะเป็นปัจจัยให้ไปเกิดภายหน้ามีทรัพย์สินมากเหมือนอย่างคนรํ่ารวยที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "กัมมัง สัตเต วิภชติ" แปลว่า "กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์" คนที่เขารวยมากเพราะว่าเขาให้ทานด้วยเจตนาสูงมาก ไม่ได้หมายถึงวัตถุมาก แต่ถ้าวัตถุมากด้วยเจตนาเป็นกุศลมากด้วยก็รวยใหญ่ ถ้าวัตถุมากแต่เจตนาเป็นโลกเกินไป ทำเพื่ออวดชาวบ้านว่า บุญเล็กฉันไม่ทำจะทำแต่บุญใหญ่ให้สมกับฐานะของฉัน ให้สมกับศักดิ์ศรีที่มี การทำบุญแบบนี้มีอานิสงส์น้อยเรียกว่าทำบุญแล้วมีผลไม่คุ้มค่า
ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจะมีทรัพย์มากก็ตาม มีทรัพย์น้อยก็ตาม ทำด้วยกุศลเจตนาจริงๆ ไม่ปรารภโลกเป็นสำคัญ อย่างนี้ทุกท่านไปเกิดใหม่กี่ชาติก็ตามที จะหาความยากจนไม่ได้.."
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น