13 กุมภาพันธ์ 2561

"หลวงพ่อฤาษีพบพระพุทธเจ้าครั้งแรก" เกร็ดชีวิตอริยสงฆ์


พระราชพรหมญาณ (พระมหาวีระ ถาวโร) หรือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง เคยถูกกล่าวหาว่า อวดอุตริมนุสสธรรม ! เรื่องสอนมโนมยิทธิ นรก สวรรค์และพระนิพพาน
ท่านกล่าวว่า.. ไม่ได้อวด ... ถ้าพูดจริงแล้ว เขายังนินทาว่าร้าย ก็เป็นเรื่องของเขา รับฟังแล้วอย่าโกรธทำใจเฉย ๆ และคำสรรเสริญก็เหมือนกันไม่มีความหมาย เพราะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ..นินทา ปสังสา.. นินทา และสรรเสริญ เป็นธรรมดาของโลก ..เราเกิดมาในโลกแล้วจะพ้นการนินทาและสรรเสริญไปไม่ได้
.....
หลวงพ่อฤาษีเล่าถึงการพบองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและได้ฟังคำสอนจากพระพุทธองค์หลายครา อันเป็นประจักษ์พยานถึงพระพุทธบารมีแห่งพระพุทธองค์ ซึ่งหากเปิดใจออกรับ..ย่อมยังรับพระพุทธบารมีได้...มิได้แตกต่างไปจากเมื่อทรงดำรงพระชนม์อยู่...
*******
" หลวงพ่อฤาษีพบพระพุทธเจ้าครั้งแรก
ด้วยตาเนื้อ ที่วัดบางนมโค"
….
"... ระยะต่อมา วันที่สอง ตอนเช้าก็ออกมาบิณฑบาตกับเขา ทำวัตรทำวาเสร็จก็เข้าป่าช้าไป เงียบ บ้านใครบ้านมัน คิดว่า เราตั้งใจจะบวช จำศัพท์ได้ว่า "นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คเหตวา"
หลวงพ่อปานท่านแปลว่า ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาพัสตร์
มาเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
...
เราต้องการนิพพาน นิพพานจะอยู่ที่ไหน.. ท่านบอกว่า ถ้าทำถึงเมื่อไรจะพบเมื่อนั้น เวลานี้เรายังมองไม่เห็น พูดไปก็ไร้ประโยชน์
เราต้องทำให้พบ เวลาก่อนภาวนาก็นึกถึงนิพพาน นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระอริยสงฆ์ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป นึกถึงหลวงพ่อปาน นึกถึงหลวงพ่อเล็ก นึกถึงหลวงพ่อจง หลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อปั้น ว่ากันเรื่อยตามชอบอกชอบใจว่าตามสบาย นึกในใจไว้ แล้วขอให้ช่วยลงท้าย ช่วยให้พบความเป็นมาของนิพพานหรือนิพพานจริง ๆ
แล้วมาตอนเวลาประมาณสัก ๔ โมงเย็นเศษ จิตมันนึกขึ้นมาหลังจากสรงน้ำเสร็จว่า พระพุทธเจ้าเมื่อสมัยที่ทรงพระชนม์อยู่มีพระรูปพระโฉมเป็นอย่างไร ถ้าบุญบารมีของเรามีจริง ถ้าชาตินี้จะพึงไปนิพพานได้จริง
ขอให้เห็นภาพพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่ความจริงไม่จำกัดแต่วันนั้นนะว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
จนกว่าจะตาย ขอให้ได้เห็นรูปพระพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนม์อยู่
ในสมัยที่มีชีวิต
.....
หลังจากนั้น ทำวัตรสวดมนต์เสร็จ ๕ โมงเย็นเศษ ๆ
ก็นั่งเล่นอยู่หน้ากระท่อม เอาหลังพิงกอไผ่ ที่ถางเสียเตียนแล้ว นั่งอยู่โคนกอไผ่ ลมพัดเย็น ๆ สบาย ๆ หันหน้าไปทิศตะวันตก ภาวนาว่า พุทโธบ้าง
คิดถึงพระนิพพานบ้าง ก็คิดในใจว่า ป่าช้าเขาเป็นที่เก็บผี ไม่ช้าเราก็เป็นผีเหมือนเขา เมื่อคิดมาคิดไปตามนั้น
.
ต่อมาก็ภาวนาว่า พุทโธ จิตก็สงบ ตอนหลังนี่ไม่เอาแล้ว ไม่คิดแล้ว เอาพุทโธอย่างเดียวจิตสงบ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ขอไปที่นั่น ตั้งใจตามนี้
คิดไว้ก่อน คิดว่า ..พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ขอไปที่นั่น ..อย่างไร ๆ เราก็ตายกันแน่ แล้วก็ภาวนาว่า พุทโธ ๆๆๆ หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ ลมหายใจอ่อนลงไป ทีละน้อย ๆ ๆ มีความรู้สึกน้อย
จนกระทั่งมีอารมณ์วูบ อารมณ์วูบ วื้ด คล้าย ๆ กับตกจากที่สูง มีอารมณ์สงัด มีอารมณ์โปร่ง เบา มีความสุขมากปรากฏมีอาการสว่างมาก ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ลืมตา สว่างจ้าข้างหน้า รู้สึกชื่นใจ พอมองไปข้างหน้า
เห็นแท่นใหญ่สวยมาก เป็นแท่นทองประดับแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ สวยสดงดงามมาก แล้วก็มีพระนั่งอยู่บนแท่นองค์หนึ่ง
แล้วก็มีคนนั่งใกล้ ๆ แท่นคนหนึ่ง เป็นผู้ชาย ผิวดำ
รูปร่างทรวดทรงตามปกติ หมายความว่า ทรวดทรงธรรมดา ๆ ไม่อ้วน แล้วก็ไม่ผอม แต่ว่าผิวดำ เสียงพระท่านเรียกว่า มหาพุฒ ๆ
คำว่า มหาพุฒ เป็นชื่อของคน ๆ นั้น
...
เมื่อมองดูพระองค์นั้น.. ท่านก็ยิ้ม สวยจริง ๆ ผิวเหลือง เหลืองมาก จีวรท่านก็เหลือง คล้ายสีทอง ส่วนสัดต่าง ๆ สมบูรณ์ทุกอย่าง สวยจริง ๆ
แขนก็กลมบ่อง นิ้วก็กลมบ่อง จะมีริ้วรอยสักนิดหนึ่งก็ไม่มี สวยจริง ๆ
พระเนตร คือ ลูกตาก็สวย คิ้วก็สวย คางก็สวย ปากก็สวย
แหม...อีตอนนี้ลืมคนรัก ลืมสาวที่เคยรักว่า เคยสวย
มันเทียบกันไม่ได้เลย ความสวยทำให้จิตใจปลื้มมีอารมณ์ปีติ
เวลานั้นกำลังหลับตาอยู่ แต่นึกในใจว่า คำว่าอุปาทานนี่ ชาวบ้านเขาชอบพูดกัน แต่ว่า การเห็นภาพแบบนี้ หลวงพ่อปาน ก็ไม่เคยห้าม
แต่ก็ยังไม่แนะนำให้จับภาพ ในวันแรกเลยไม่รู้เรื่อง
เห็นภาพ ก็อยากดูภาพนั่น ดูเสียชื่นใจ นาน
หลับตา..ลองลืมตาขึ้นมาก็เห็นแฮะ หลับตากับลืมตาก็เห็นเท่ากัน
เสียงท่านบอกว่า ลืมตาก็ได้ หลับตาก็ได้
....
แล้วเสียงท่านถามว่า ..ต้องการนิพพานรึ
ก็กราบเรียนบอกว่า..ต้องการนิพพาน
ถามท่านว่า ท่านเป็นใคร กราบท่านก่อนนะ
ตอนนั้นก็เหมือนกับคุยกับคนธรรมดานี่แหละ แต่โอ้โฮ...แท่น หน้าตักท่านประมาณสัก ๘ ศอก แล้วที่บริเวณเวลานั้นมันไม่ใช่กอไผ่นี่
เวลาที่เห็นท่าน มันเหมือนกับนั่งอยู่ในวิหารใหญ่ ๆ เหมือนในวังอะไรก็ไม่รู้หรอก เหมือนธรรมดา ๆไม่มีกอผ่งกอไผ่ ความจริงเรานั่งอยู่ที่กอไผ่
….
ถามว่า ท่านเป็นใคร?
ท่านถามว่า เธอนึกถึงใครล่ะ? ขณะที่ภาวนานึกถึงใคร
ตอนท้ายนี่ ก็เลยบอกท่านว่า..ก่อนที่ชีวิตจะตาย
อยากจะมาพบพระพุทธเจ้า ..
อยากจะเห็นพระรูปพระโฉมของท่าน สมัยที่มีพระชนม์อยู่
ท่านก็เลยบอกว่า
“เธออยากเห็นใคร ฉันก็คือบุคคลคนนั้น”
พอท่านพูดอย่างนั้น ก็มีความเข้าใจจริงว่า นี่คือ “พระพุทธเจ้า” ลุกขึ้นกราบอีก ๓ ครั้ง ท่านบอกว่า แต่กราบเฉย ๆ นี่ดีมาก
ถ้าจิตใจยังคิดอยากกราบอยู่ ถ้านึกอยากจะกราบ แต่ยังไม่ทันจะกราบ ก็มีบุญแล้ว เวลาตายก็ตกนรกไม่ได้ แต่ความจริง
ถ้าอยากจะให้มีคุณจริง ๆ มีอานิสงส์จริง คือ ไม่ต้องกราบด้วยกายก็ได้
นึกกราบในใจไว้เรื่อย ๆ เมื่อนึกถึงตถาคตเมื่อไร ก็ตั้งใจกราบ แล้วก็จงจำภาพนี้ไว้ ภาพนี้จะปรากฏให้เธอเห็นชัดทั้งหลับตา และลืมตา
เป็นครั้งแรกในชีวิตจำภาพนี้ไว้ให้ดี ต่อไปจะไม่เห็นอีกละ
แต่ว่าถ้านึกเมื่อไร ภาพนี้จะปรากฏกับใจของเธอทันที ให้เธอ จำภาพนี้ไว้ ถ้าเธอจำภาพนี้ไว้เพียงใด คำที่อาจารย์ของเธอสอนว่า.. นิพพานมีจริง
แต่ไม่สามารถจะบอกได้ ภายในไม่ช้านัก เธอจะพบนิพพาน
ก็ถามท่านว่า จะพบนี่ จะพบเมื่อตายแล้วหรือยังไม่ตาย ท่านบอกว่า คำว่า ตายแล้วมันไม่มีความหมาย ต้องพบกันก่อนตายซิ ของมีจริงนี่
.
เมื่อเราทำจริง ตั้งใจจริง แต่ก็อย่าลืมนะ อันดับแรก สังโยชน์ ๓ บารมี ๑๐ ต้องครบ สังโยชน์ ๓ ต้องตัดให้ได้ และตัดเรื่อย ๆ ไปจนกว่าจะถึงสังโยชน์ ๑๐ แต่จะตัดได้หรือไม่ได้ นี่ไม่เป็นไร
ถ้ากำลังใจมีความมั่นคงในพระพุทธเจ้า เธอมีความมั่นคง ในบารมี ๑๐ ประการ เธอจะพบนิพพานในชาตินี้
......
ขอบคุณภาพประกอบจาก คุณอานนท์ ชมสูงเนิน
ขอบคุณผู้บันทึกเรื่อง ให้นำมาถ่ายทอดต่อสาธุชนผู้ปรารถนาในนิพพาน

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...