วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ น้อมรำลึกวันครบรอบมรณภาพ ๗๖ ปี (๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๕) พระครูวิเวกพุทธกิจ (หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล) ผู้เป็นบูรพาจารย์สายพระป่าในประเทศไทย ท่านเป็นอาจารย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
๏ ประวัติ ๏
หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล เป็นผู้มีอัธยาศัยน้อมไปในทางสมถะวิปัสสนา มีความเพียรเป็นเลิศ มีความสงบเสงี่ยม กิริยามารยาทเรียบร้อย สุขุม พูดน้อย และพอใจแนะนำสั่งสอนผู้อื่นในทางนั้นด้วย เป็นผู้ใฝ่ใจในธุดงควัตรหนักแน่นในพระธรรมวินัย ชอบวิเวกและไม่ติดถิ่นที่อยู่ เดินธุดงค์ไปหาสถานที่เจริญสมณธรรมตามชายป่าดงพงไพรภูเขาต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและประเทศลาว
หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล นามเดิมชื่อ เสาร์ ถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๐๒ ณ บ้านข่าโคม เมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไล ประเทษราช หรือเดิมรู้จักกันในชื่อ บ้านข่าโคม ตำบลหนองขอน ในปัจจุบันคือ บ้านข่าโคม ตำบลปะอาว อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี บิดาชื่อ พ่อทา มารดาชื่อ แม่โม่ นามสกุล พันธ์สุรี ท่านเป็นบุตรคนแรกในจำนวนพี่น้อง ๕ คน
๏ บรรพชาและอุปสมบท ๏
ปี พ.ศ. ๒๔๑๗ เมื่ออายุ ๑๕ ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดใต้ เมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไล ประเทษราช ปัจจุบันคือ วัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ท่านมีความวิริยอุสาหะขยันขันแข็ง ตั้งใจทำกิจการงานของวัด ทั้งการท่องบ่นสาธยายมนต์ เรียนมูลน้อย มูลใหญ่ มูลสังกัจจายน์ ศึกษาทั้งการอ่านการเขียนอักษร ไทยน้อย ไทยใหญ่ และอักษระขอม จนชำนาญคล่องแคล่วทุกอย่าง
ปี พ.ศ. ๒๔๒๒ เมื่ออายุ ๒๐ ปี ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดใต้ เมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไล ประเทษราช ปัจจุบันคือ วัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี และพำนักอยู่ที่วัดใต้ ซึ่งเป็นคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย และเมื่อพรรษา 10 ได้ศึกษาเล่าเรียนจนได้เป็น ญาคู คือครูสอนหมู่คณะทั้งพระภิกษุและฆราวาส ชาวบ้านเรียกท่านว่า ญาคูเสาร์
ต่อมา หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของ ท่านเทวธมฺมี (ม้าว) พระเถระฝ่ายธรรมยุติกนิกาย สำนักวัดศรีทอง และได้ขอ ทัฬหิกรรม ญัตติบวชใหม่เป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุตินิกาย ณ อุโบสถวัดศรีทอง ปัจจุบันคือ วัดศรีอุบลรัตนาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี พระครูทา โชติปาโล ซึ่งต่อมาได้รับสมณศักดิ์ที่ พระครูสีทันดรคณาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระอธิการสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ทั้งนี้ยังได้นำคณะสงฆ์พระภิกษุสามเณรใน วัดใต้ ทั้งหมด ญัตติกรรม เป็นคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ด้วยเหตุนี้ วัดใต้ หรือ วัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ จึงกลายเป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกายนับแต่นั้นเป็นต้นมา
๏ ชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์และการศึกษาธรรม ๏
หลังจาก หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้ญัตติเป็นพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตแล้ว ท่านได้ศึกษาธรรมและข้อวัตรปฏิบัติจาก ท่านเทวธมฺมี (ม้าว) พระเถราจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระแห่งเมืองอุบลราชธานีในขณะนั้น และได้รีบเร่งประกอบความเพียรในด้านวิปัสสนาธุระ ยึดมั่นในหลักธุดงควัตร ๑๓ บำเพ็ญเพียรสมณธรรม
ปี พ.ศ. ๒๔๓๔ - พ.ศ. ๒๔๓๕ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้สร้างสำนักสงฆ์ วัดเลียบ ขึ้น ซึ่งเดิมเป็นบริเวณป่าด้านหน้าวัดใต้ อันเป็นที่สงบเงียบเหมาะสำหรับการบำเพ็ญเพียรภาวนา ได้รับพระทานวิสุงคามสีมา ตามพระราชโองการที่ ๘๗/๓๐๓ เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๔ ตรงกับ ร.ศ. ๑๑๕ อันเป็นปีที่ ๒๙ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ และหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้สร้าง พระพุทธจอมเมือง เป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดเลียบ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
ต่อมา หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้ออกธุงค์ไปพำนักปักกลดที่กุดเม็ก บ้านคำบง อำเภอโขงเจียม ในขณะนั้น ปัจจุบันคือ อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี ได้เทศนาสั่งสอน พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต สมัยยังเป็นฆราวาส จนเกิดศรัทธาเลื่อมใสและได้มอบตัวเป็นศิษย์ อยู่ฝึกสมาธิกัมมัฏฐานและติดตามอุปัฏฐากรับใช้ท่าน
ปี พ.ศ. ๒๔๓๖ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ขณะนั้นบวชเป็นพระภิกษุได้ ๑๔ พรรษา ก็ได้นำศิษย์เอกจากบ้านคำบง ที่ชื่อว่า "มั่น แก่นแก้ว" เข้ารับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุในคณะธรรมยุต ณ วัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม) โดยมี พระอริยกวี (อ่อน ธมฺมรกฺขิโต) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย ญาณสโย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๖ ได้รับสมณฉายาว่า ภูริทตฺโต หลังจากอุปสมบทแล้ว หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้ไปพำนักฝึกอบรมด้านสมถะและวิปัสสนากรรมฐานอยู่กับหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ณ วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี และจุดนี้เป็นความยิ่งใหญ่ของวงศ์พระกรรมฐานตราบจนถึงปัจจุบัน วงศ์พระกรรมฐานจึงขนานนามหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ว่า พระปรมาจารย์สายพระกรรมฐาน
ปี พ.ศ. ๒๔๔๐ หลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ได้พาศิษย์ของท่านคือ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งยังเป็นพระนวกะบวชได้ ๔ พรรษา ออกเดินธุดงค์จากวัดเลียบ ไปปฏิบัติภาวนาที่ภูหล่นซึ่งอยู่ในเขตอำเภอโขงเจียมในขณะนั้น ปัจจุบันคือ วัดภูหล่น อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงตรงข้ามกับฝั่งประเทศลาว และได้ออกธุดงค์ไปตามลำแม่น้ำโขงทั้งฝั่งประเทศไทยและประเทศลาว
ปี พ.ศ. ๒๔๔๓ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และหลวงปู่หนู ฐิตปญฺโญ ต่อมาก็คือ พระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ) ได้มาพำนักจำพรรษา ณ พระธาตุพนม ซึ่งพระธาตุพนมในสมัยก่อน ประชาชนไม่รู้ถึงความสำคัญจึงไม่มีใครสนใจเท่าใดนัก เมื่อคณะของหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล มาพำนักจำพรรษา ได้บอกให้ชาวบ้านญาติโยมทราบว่า พระธาตุพนม องค์นี้เป็นพระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นพระธาตุที่บรรจุอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้า เมื่อชาวบ้านได้รู้เช่นนั้นแล้ว ก็พากันบังเกิดปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงช่วยกันทำความสะอาดบริเวณพระธาตุพนม ครั้นถึงวันเพ็ญเดือน ๓ ก็พาญาติโยมทั้งหลายทำบุญ จนเป็นประเพณีสืบต่อกันมา และกาลต่อมาจึงได้มีการบูรณะขึ้นกลายเป็นปูชนียวัตถุที่สำคัญของภาคอีสาน และประเทศไทย ปัจจุบันคือ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
ปี พ.ศ. ๒๔๕๙ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล พำนักจำพรรษาที่ถ้ำจำปา ภูผากูด ตำบลหนองสูง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร และได้จำพรรษาอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ด้วย วันหนึ่งหลวงปู่เสาร์นั่งอยู่ในที่สงัดองค์เดียว ท่านพิจารณาถึงอริยสัจ ได้รู้ได้เห็นตามความเป็นจริง ได้ตัดเสียซึ่งความสงสัยได้อย่างเด็ดขาด จวนจะถึงกาลปวารณาออกพรรษา ท่านก็ทราบชัดถึงความเป็นจริงทุกประการ จึงได้บอกกับท่านพระอาจารย์มั่นว่า เราได้เลิกการปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว และเราก็ได้เห็นธรรมตามความเป็นจริงแล้ว พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้ยินดังนั้นก็เกิดปีติเป็นอย่างมากและได้ทราบทางวาระจิตว่าหลวงปู่เสาร์พบวิมุตติธรรมแน่แล้วในอัตภาพนี้ หลังจากนั้นหลวงปู่ใหญ่เสาร์ก็ได้ธุดงค์วิเวกไปตามเขตจังหวัดนครพนม จังหวัดสกลนคร จังหวัดอุดรธานี จังหวัดหนองคาย เป็นต้น
ปี พ.ศ. ๒๔๗๙ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้ปรารภถึงการเดินทางกลับจังหวัดอุบลราชธานี คณะศิษย์ทั้งหลายจึงได้จัดประชุมคณะสงฆ์และร่วมทำบุญในวันมาฆบูชา ณ วัดป่าอ้อมแก้ว หรือ วัดเกาะแก้วอัมพวัน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เป็นวัดที่หลวงปู่ใหญ่เสาร์สร้างไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ซึ่งการประชุมคณะสงฆ์ครั้งนี้ถือเป็นภารกิจสุดท้ายของหลวงปู่ใหญ่เสาร์ที่จังหวัดนครพนมและถือเป็นการให้โอวาทครั้งสุดท้ายแก่คณะศิษย์ที่ไม่ได้เดินทางติดตามไปที่จังหวัดอุบลราชธานี การประชุมในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการประชุมพระธุดงค์กรรมฐานครั้งใหญ่ที่สุดของจังหวัดนครพนมในสมัยนั้น
คณะศิษย์ได้เดินทางติดตาม หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ไปพำนักที่จังหวัดอุบลราชธานี ในครั้งนั้นมีพระภิกษุสามเณรไม่น้อยกว่า ๗๐-๘๐ รูป หลวงปู่ใหญ่เสาร์จึงแบ่งคณะศิษย์ออกเป็นหลายกลุ่มหลายคณะ โดยมีศิษย์อาวุโสรับเป็นหัวหน้าแต่ละคณะ พร้อมทั้งกำหนดหมู่บ้านต่างๆ ที่แต่ละคณะจะไปพำนักเพื่อโปรดญาติโยมชาวเมืองอุบลราชธานี เช่น หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ไปพำนักจำพรรษาที่บ้านข่าโคม บ้านเกิดของท่าน พระอาจารย์ทองรัตน์ กนฺตสีโล ศิษย์อาวุโสฝ่ายมหานิกาย ไปตั้งวัดจำพรรษาอยู่ที่บ้านชีทวน พระอาจารย์บุญมาก ฐิติปุญโญ ไปอยู่บ้านท่าศาลา พระอาจารย์ทอง อโสโก ไปอยู่บ้านสวนงัว และพระอาจารย์ดี ฉนฺโน ไปอยู่บ้านกุดแห่ ซึ่งเป็นบ้านของท่าน เป็นต้น
ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ในขณะที่ดำรงสมณศักดิ์เป็น พระพรหมมุนี และดำรงตำแหน่งเป็น เจ้าอาวาสวัดสุปัฏนารามวรวิหาร และ เจ้าคณะมณฑลนครราชสีมา ด้วย ได้ขอให้ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล พิจารณาสร้างวัดป่ากรรมฐานขึ้นที่อำเภอพิบูลมังสาหาร ด้วยปรากฏว่า ญาติพี่น้องของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)ได้อพยพมาจากบ้านแคน ดอนมดแดง มาปักหลักตั้งถิ่นฐานที่บ้านโพธิ์ตาก อำเภอพิบูลมังสาหาร เป็นจำนวนมาก จึงอยากให้ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ไปตั้งวัดป่าเพื่ออบรมกรรมฐานให้ลูกหลานชาวอำเภอพิบูลมังสาหารเพื่อจะได้รู้และเข้าใจในการศึกษาปฏิบัติสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน
หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล จึงได้ธุดงค์เดินทางไปยังอำเภอพิบูลมังสาหาร และได้มอบหมายให้ พระอาจารย์ดี ฉนฺโน และ พระอาจารย์เสงี่ยม -ไม่ทราบฉายา- ตั้งสำนักปฏิบัติธรรมอบรมจิตภาวนาที่อำเภอพิบูลมังสาหาร บริเวณ ป่าช้าโคกภูดิน ซึ่งเป็นเนินภูเขาสูง โดยมีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)และชาวอำเภอพิบูลมังสาหารได้ให้การอุปถัมภ์สนับสนุน ชาวบ้านเรียกสำนักแห่งนี้ว่า วัดป่าภูดิน หรือ วัดป่าภูเขาแก้ว ซึ่งในปัจจุบันก็คือ วัดภูเขาแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล พระอาจารย์ดี ฉนฺโน และคณะศิษย์ชาวอำเภอพิบูลมังสาหาร ได้ธุดงค์สำรวจเกาะแก่งน้อยใหญ่ในลำแม่น้ำมูลทางตอนใต้ของเมืองพิบูลมังสาหาร จนมาถึงเกาะดอนธาตุจึงได้ขึ้นพำนักปักกลดที่เกาะแห่งนี้ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้ปรารภว่าอยากสร้าง เกาะดอนธาตุ แห่งนี้ขึ้นเป็นวัดป่ากรรมฐานเพราะมีความเหมาะสม จึงมอบหมายให้ พระอาจารย์ดี ฉนฺโน และคณะศรัทธาญาติโยมชาวอำเภอพิบูลมังสาหาร รับหน้าที่ดูแลการสร้างวัดและเสนาสนะขึ้น
ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้กำหนดเอาตรงลานบริเวณศาลาชั่วคราวในขณะนั้นเป็นที่สร้าง พระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) โดยให้เหตุผลว่าตรงที่กำหนดจะสร้างพระนั้นเป็นพระธาตุอังคารพระบรมศาสดาแต่เดิมที่ทรุดลงไปและพังทลายแล้ว จึงได้ให้สร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ครอบเอาไว้เป็นสัญลักษณ์สำหรับกราบไหว้บูชาต่อไป โดยมี พระอาจารย์ดี ฉนฺโน เป็นช่างปั้น พระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) ในการนี้ และต่อมา หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้ตั้งชื่อ เกาะดอนธาตุ แห่งนี้ว่า วัดเกาะแก้วพระนอนคอนสวรรค์วิเวกพุทธกิจศาสนา ครูบาอาจารย์ในสมัยนั้นเรียกสั้นๆว่า วัดเกาะแก้ว ต่อมากรมการศาสนาได้เปลี่ยนชื่อให้เป็น วัดดอนธาตุ ดังปรากฏในปัจจุบัน
ซึ่งในช่วงปัจฉิมวัยขององค์หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้พำนักจำพรรษา ณ วัดดอนธาตุ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี แห่งนี้เป็นวัดสุดท้ายก่อนละสังขาร
๏ มรณภาพ ๏
.ท่านได้มรณภาพในอิริยาบถขณะกราบครั้งที่ ๓ ในอุโบสถวัดอำมาตยาราม อำเภอวรรณไวทยากรณ์ นครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๕ ตรงกับ วันอังคาร แรม ๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะเมีย คณะศิษย์ได้เชิญศพของท่านกลับมา ณ วัดบูรพา อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี และได้ประกอบพิธีฌาปนกิจในวันที่ ๑๕ - ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๖ สิริอายุ ๘๒ ปี ๓ เดือน ๑ วัน ๖๒ พรรษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น