31 มีนาคม 2563

การปฎิบัติให้สิ้นภพชาติ

"...จะปฏิบัติถึงขั้นไหน...จึงจะตัดวัฏสงสารให้สิ้นภพสิ้นชาติได้..."
พระมหาเถระผู้ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากัมมัฎฐาน สนทนาธรรมะขั้นปรมัตถ์กับหลวงปู่หลายข้อ แล้วลงท้ายด้วยคำถามว่า พระเถระนักปฏิบัติบางท่าน มีปฏิปทาดี น่าเชื่อถือ แม้พระด้วยกันก็ยอมรับว่า ท่านเป็นผู้มั่นคงในพระศาสนา แต่ในที่สุดก็ไปไม่รอด ถึงขั้นต้องสึกหาลาเพศไปก็มี หรือไม่ก็ทำให้ไขว้เขว ประพฤติตัวมัวหมองอยู่ในพระธรรมวินัยก็มี จึงไม่ทราบว่าจะปฏิบัติถึงขั้นไหนอีก จึงจะตัดวัฏสงสารสิ้นภพสิ้นชาติได้ ฯ
หลวงปู่กล่าวว่า...

"...การสำรวมสำเหนียกในพระวินัยอย่างเคร่งครัด และสมาทานถือธุดงค์นั้น เป็นปฏิปทาที่ดีงามอย่างยิ่ง น่าเลื่อมใส แต่ถ้าเจริญจิตไม่ถึงอธิจิต อธิปัญญาแล้ว ย่อมเสื่อมลงได้เสมอ เพราะยังไม่ถึงโลกุตรภูมิ ที่จริงพระอรหันต์ท่านไม่ได้รู้อะไรมากมายเลย เพียงแต่เจริญจิตให้รู้แจ้งในขันธ์ห้า แทงตลอดในปฏิจจสมุปบาท หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาจิต มันก็จบแค่นี้ เหลือแต่บริสุทธิ์ สะอาด สว่าง ว่าง มหาสุญญตา ว่างมหาศาล..."

จากหนังสือ "(หลวงปู่ฝากไว้" บันทึกคติธรรมและธรรมเทศนา ของ พระรมชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุก ๆ ท่าน

การรักษาอารมณ์ใจ ๑๐ ประการ

ลูกหลานที่รัก จงจำปฏิปทานี้ไว้ "ถ้ามีความจำเป็นเราต้องเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย แม้แต่ชีวิตก็ต้องยอม"

เท่าที่พ่อนำเอาเรื่องของพระเจ้าพรหมมหาราชมาพูดก็ดี หรือนำเอาเรื่องของพระราชาองค์เก่าๆ ตั้งแต่พระราชบิดาของพระเจ้าอชุตราช มาพูดก็ดี และก็มาพุดถึงการรบก็ดี พ่อมีความมุ่งหมายอยู่ว่า "ต้องการให้ลูกรักของพ่อทุกคนรู้จักความจริง" ความจริงที่เราหนีไม่ได้ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า "สัจจธรรม" คือธรรมะที่พระอริยเจ้าทรงไว้ หรือ ธรรมะที่ทำให้คนเป็นพระอริยเจ้า

พ่อขอเตือนลูกรักทั้งหลาย จงจำไว้เสมอว่า ขณะที่ฟังพ่อพูดให้ตั้งใจไว้ในสมาธิ ศีล สมาธิ ปัญญา ฟังไปด้วย ใช้ศีล สมาธิ ปัญญา รวมตัวกันเข้าไว้ในใจจุดเดียวกันจะทำให้สะอาด

ศีล ขัดเกลาภาคพื้นของใจให้ดี

สมาธิ จับอารมณ์ใจให้นิ่ง

ปัญญา ชำระล้างความสกปรกของจิต จิตมีอารมณ์ผ่องใส

เมื่อจิตมีอารมณ์ผ่องใส กำลังใจก็เป็นทิพย์ เมื่อกำลังใจเป็นทิพย์อยากจะรู้อะไรก็รู้ได้ทันทีทันใด ที่เราเรียกกันว่า ใช้ทิพย์จักขุญาณ หรือจุตูปปาตญาณ เจโตปริยญาณ อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ปัจจุบันนังสญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ และยถากรรมมุตาญาณ โดยเฉพาะลูกรักของพ่อทุกคนได้อภิญญาเล็ก คือ มโนมยิทธิ หมายถึงมีฤทธิ์ทางใจ คำว่า ฤทธิ์ทางใจ ก็คือ ใจมีฤทธิ์ คำว่า ฤทธิ์ หมายถึง เก่ง คือ ใจเก่งกว่าใจธรรมดา สามารถถอดจิตออกจากร่างไปสู่ภพต่างๆ ได้ เราจะไปเที่ยวเมืองสรรค์ก็ได้ ไปเที่ยวพรหมโลกก็ได้ ไปเที่ยวเมืองนิพพานก็ได้ ไปเที่ยวเมืองนรกก็ได้ สู่แดนเปรต อสุรกายก็ได้ และในโลกมนุษย์นี่จะไปมุมไหนก็ได้ ประเทศไหนๆ ก็ไปได้ บ้านใครสำนักงานไหนเขาหวงเราก้ไปได้ นี่การมีฤทธิ์ทางใจเป็นของดี

แต่ทว่ามีบางคน ตำหนิพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าไม่น่าจะสอนหลักวิชชาสาม อภิญญาหก ปฏิสัมภิทาญาณ เพียงสอนขั้นสุขวิปัสโกอย่างเดียวก็พอ คำว่า สุขวิปัสโก หมายความว่า จิตสะอาดปราศจากกิเลส ไม่มีความรักในเพศ ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง จิตมีอารมณ์เป็นสุข จิตมีความเยือกเย็น ไม่มีทุกข์ มีอารมณ์สบาย นี่ความเป็นพระอรหันต์

เตวิชโช (วิชชาสาม) สามารถทำทิพย์จักขุญาณให้ปรากฏ และหมดกิเลสสามารถระลึกชาติได้ มีวิชชาแปดอย่างที่เรียกว่า ญาณ ๘

ฉฬภิญโญ หมายถึงอภิญญาหก สามารถเนรมิตอะไรก็ได้ มีหูเป็นทิพย์ มีทิพย์จักขุญาณ มีญาณแปดครบเช่นเดียวกับ เตวิชโช และมีอิทธิฤทธิ์ มีฤทธิ์ทางใจ เป็นต้น และ จิตหมดกิเลส

ปฏิสัมภิทาญาณ หมายถึงความรู้พิเศษ สามารถรู้ธรรมะทุกอย่าง ทรงพระไตรปิฏก คำว่า ไม่รู้ ไม่มี และสามารถรู้ภาษาสัตว์ และภาษาทุกภาษา ได้โดยไม่ต้องศึกษา แต่ทว่าเนื้อแท้จริงๆ ก็คือ ความเป็นพระอรหันต์ มีความรู้ทั้ง เตวิชโช และฉฬภิญญโญด้วย

เป็นอันว่าบางท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่น่าจะสอนแบบนี้ เสี่ยงภัยเกินไป แต่พ่อก็ขอเตือนลูก ถ้ามีใครเขาถามวา "ทำไมต้องเรียน อภิญญาสมาบัติ ทำไมจะตองมีทิพย์จักขุญาณ เห็นผี เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ เห็นนรกได้ ทำไมต้องมีการยกจิตปท่องเที่ยวภพต่างๆ ได้ การรู้ว่าคนและสัตว์นี่ ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหน เจโตปริยญาณ รู้วาระนำจิตของคนและสัตว์ว่า มันชอบอะไร คิดอะไร คิดดี คิดชั่ว มีกิเลสตัวไหนอยู่บ้าง ปุพเพนิวาสานุสติญาณ สามารถระลึกชาติต่างๆ ได้ ถอยหลังไปดูว่าเราเกิดมาแล้วกี่ชาติ เคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีต อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอนาคต ปัจจุบันนังสญาณ ว่าเวลานี้ใครอยู่ที่ไหน ใครกำลังทำอะไรอยู่ ยถากรรมมุตาญาณ รู้ว่าเขามีสุข มีทุกข์เพราะผลจากอะไรเป็นสำคัญ ความจริงรู้แบบนี้ ถึงแม้ว่าเราไม่เป็นพระอรหันต์ เราก็รู้ได้ถ้าใครเขาถามว่า ศึกษาทำไม" ก็ควรตอบว่า "ศึกษาเพื่อกันความสงสัย จะได้ไม่สงสัยคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้ไม่ประมาทในชีวิต"

ถ้าใครเขาแย้งว่า "ดูอย่างพระเทวทัตเพราะอาศัยได้อภิญญาสมาบัติจึงลงอเวจีมหานรก อยางนี้ก็ต้องย้อนถามเขาไปว่า "ท่านที่ได้อภิญญาสมาบัติ....

(เหตุผลของหลวงพ่อ ต่อไปนี้ ลุง.ศ ใช้ประกอบการเเผยแพร่ธรรมะหมวดฉฬภิญโญมาเป็นสิบๆ ปี ได้ผลดีมากครับ) 

ถ้าใครเขาจะแย้งว่า "ดูอย่างพระเทวทัตเพราะอาศัยได้อภิญญาสมาบัติจงอเวจีมหานรก" อย่างนี้ก็ต้องย้อนถามเขาลงไปว่า "ท่านที่ได้อภิญญาสมาบัติในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่หรือว่าปรินิพพานไปแล้วก็ตาม คนที่ได้อภิญญาสมาบัติลงนรกกี่คน และคนที่ได้อภิญญาสมาบัติไปนิพพานเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเทวทัต ถ้าไม่อภิญญาสมาบัติความยับยั้งก็ไม่มี ต้องลงอเวจีตามกฏของกรรมคือ ๑ กัป แต่นี่พระเทวทัตลงอเวจีเพียงแค่ไม่ถึง ๑ วันอเวจี เพราะผลความดีที่มีความรู้ด้านอภิญญา มีการยับยั้ง... 

..."เหมือนกับคนตาดี เดินไปในกลุ่มหนามหรือเดินไปบนลานแก้วแตก จะวางเท้าลงไปก็ค่อยๆ วาง เพราะมองเห็นหนามและแก้วแตก เกรงว่าจะบาดเท้า ตำเท้า จะเจ็บบ้างก็เล็กน้อย" ...

"ไม่เหมือนกับคนตาไม่ดี ไม่เห็นว่าที่นั้นมีอันตราย เดินสวบๆ เข้าไป ผลที่สุดก็โดนทั้งแก้วแตกทั้งหนามตำเต็มกำลัง"...

ข้อนี้ฉันใด แม้คนที่ได้ "อภิญญาสมาบัติ" และ "วิชชาสาม" ก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่ากฏของกรรมบางอย่างจะบีบบังคับ ก็มีการยับยั้ง รู้ผิดรู้ชอบ เหมือนคนที่รู้กฏหมายกับคนที่ไม่รู้กฏหมาย คนที่เขารู้กฏหมายเขาทำผิดก็จริงแหล่ แต่ทว่าเขารู้ทางออกจะรับโทษก็รับไม่มาก ไม่เหมือนคนไม่รู้กฏหมาย อยากจะทำอะไรก็ทำตามใจชอบ ดีไม่ดีติดคุกติดตะราง คิดว่าของมันเล็กน้อย แต่ที่ไหนได้ของมันใหญ่ เช่น คิดจะฆ่าควายตัวมันโหญ่โทษจะมาก ฆ่าคนดีกว่าตัวเล็กกว่า แต่ที่ไหนได้ฆ่าคนมีโทษมากกว่า ฆ่าควายมีโทษน้อย (นี่ในแง่ของกฏหมายน่ะ) เช่น ฆ่าไม่เอาหนักไป ด่าดีกว่า แอบไปด่าพระมหากษัตริย์เข้า เจ๊งไปเลย ถูกลงโทษหนักฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือด่าศาลว่าศาลคด ศาลโกง ศาลไม่ยุติธรรม นี่ถือว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มีโทษหนัก

อันนี้ คนมีความรู้ แม้จะมีโทษหนัก ก็มีการยับยั้งในการทำความผิด ซึ่งผิดกับคนที่ไม่รู้อะไรเลย ทำก็ทำลงไปเต็มอัตราศึก ไม่รู้บาปบุญ คุณโทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์เป็นอันว่า ที่พ่อให้ลูกศึกษาวิชาความรู้อันนี้ ต้องระมัดระวัง รักษาไว้ด้วยดี อย่าไปอวดเขา "รักษาไว้เพื่อชำระจิตใจของเราให้เป็นสุข"

เวลานี้ลูกรักของพ่อกำลังรบกับสงครามสำคัญ คือ กิเลส สงครามภายนอกน่ะมันเรื่องเล็ก สงครามครามกิเลสมีความสำคัญมาก เจตนาของพ่อก็มีอยู่ว่า "ความเกิดมันเป็นทุกข์" ลูกทุกคนนี่ต่างคนต่างมีความทุกข์กันหมด แต่ว่า "ให้ทุกข์มันมีเพาะขันธ์ ๕ จิตเราจงอย่าทุกข์" บรรดาลูกรักของพ่อทุกคนต่างคนต่างมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา พ่อดีใจ เวลาฟังพ่อพูดพยายามใช้สมาธิให้คล่องตัว สำหรับอภิญญาสมาบัติ อิทธิฤทธิ์ ยกจิตไปตามที่ต่างๆ ให้คล่อง ทิพย์จักขุญาณทำให้แจ่มใส ศีล สมาธิ ปัญญา ดีแล้วจะเห็นชัดเจน จุตูปปาตญาณ มองหน้าคน มองหน้าสัตว์ อยากรู้ว่าก่อนเกิดมาจากไหนจะรู้ได้ทันที ตายแล้วไปไหนก็รู้ได้ทันที เจโตปริยญาณ ถ้าเราอยากรู้วาระน้ำจิตของคนอื่น ให้รู้กระแสจิตของตนเองไว้เสมอก่อน เรารู้ได้ไม่ยากคนมีกิเลสหนามีความชั่ว ใจจะมีสีดำบ้าง แดงบ้าง ขาวบ้าง แต่เป็นเนื้อ ถ้าใจดีปานกลาง ใจจะเป็นแก้ว แต่คนที่ดีจริงๆ จะเป็นแก้วประกายทั้งดวงเหมือนดาว นี่ไม่ยาก แต่รู้แล้วก็นิ่งเสีย ปุปเพนิวาสาสติญาณฝึกให้คล่อง นึกถอยหลังเราเกิดมาแล้วกี่ชาติ แต่อย่าไปไล่ทีละชาติเลย เห็นอะไรก็นึกว่าเราเคยเกิดไหม เช่น เห็นสัตว์เรานึกว่า เราเคยเกิดเป็นสัตว์ชนิดนี้ไหมกี่ชาติ ภาพจะปรากฏชัด เป็นอันว่า ธรรมะ ส่วนนี้มีความสำคัญ พ่อให้ลูกไว้ชำระจิตของลูกให้บริสุทธิ์ ถอยหลังไปดูการเกิดแต่ละคราวเต็มไปด้วยความทุกข์ ดูบรรดาบรรพบุรุษกษัตริย์ทั้งหลาย ที่พ่อพูดมา และคนทั้งหลายที่กล่าวถึง ต่างคนต่างตายไปหมดแล้ว

"ผืนแผ่นดินที่เราเดินอยู่นี่ ถ้าเราใช้ อตีตังสญาณ รู้ว่าเราเดินอยู่บนร่างกายและเลือดเนื้อของบรรดาบรรพบุรุษของเรา ฉะนั้น ถ้าใครเขาจะมาเชือดเฉือนเอาร่างกายเลือดเนื้อบรรพบุรุษของเราไป เราก็ไม่ควรยอม นี่พูดอย่างเป็นทางโลก คือ โลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย"

สำหรับกิเลสที่เราจะชนะได้ ต้องทำกำลังใจตามนี้

ถ้าเรื่องของความรักชาติ เรื่องของความสามัคคี จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมี สังคหวัตถุ ๔

๑. ทาน การให้เกื้อกูลซึ่งกันและกัน

๒. ปิยะวาจา พูดจาไพเราะ

๓. อัตถจริยา ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น ช่วยกิจการงาน

๔. สมานัตตตา ไม่ถือตัว ไม่ถือตน

นี่แค่ ๔ ประการ ถ้าเราทำกันไม่ได้ เรามีความสุขไม่ได้ ฉะนั้น ชาติเราจะมีความสุข จะมีความสามัคคีก็ต้องทำ ๔ ประการนี้ได้ นี่กิเลสหยาบที่เราต้องละให้ได้ จะมีความสุข คำว่า สุข นี่อย่าเอาสุขกายนะ เอาสุขใจก็แล้วกัน 

เรื่องของร่างกายเราต้องคิดว่า ชาติปิทุกขาความเกิดมันเป็นทุกข์ ชราปิทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มรณัมปิทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ เป็นอันว่าขันธ์ ๕ มันเป็นทุกข์ แต่ใจของเราจงอย่าทุกข์ ใจเราจงอย่าทุกข์ทำยังไง รักษาอารมณ์ใจไว้ ๑๐ ประการ...

๑. ทาน การให้ คิดวไว้เสมอว่า "เราจะมีจิตเมตตาสงเคราะห์ผู้อื่นให้มีความสุข" โดยการให้ ให้ของ ให้ความคิด ให้กำลังกายช่วยกิจการงาน เป็นเสน่ห์ใหญ่ทำให้มีความสุข ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้รับ

๒. ศีล แปลว่า ปกติ อารมณ์ของเราจะทรงความดี ๕ ประการไว้เสมอ คือ ไม่ละเมิดศีล ๕ ประการ

๓. เนกขัมมะ แปลว่า การถือบวช คือบวชใจ คำว่า บวช นี่ไม่จำเป็นต้องโกนหัว ถ้าโกนหัวแล้วจิตไม่ดี ก็ไม่ถือว่าเป็นนักบวช เราบวชใจ คือ 

๓.๑. ไม่มัวเมาในกามคุณ ๕ ให้คิดไว้เสมอว่า ไอ้รูปสวยน่ะประเดี๋ยวมันก็พัง เสียงไพเราะผ่านหูแล้วก้หายไป กลิ่นหอมผ่านจมุกแล้วก็หายไป รสอร่อยกระทบลิ้นแล้วก็หายไป สัมผัสระหว่างเพศจับแล้ว พอพ้นแล้วห็หายไป และเป็นปัจจัยนำมาซึ่งความทุกข์ รักมากทุกข์มาก รักน้อยทุกข์น้อย ไม่รักเลยไม่ทุกข์เลย

๓.๒. ไม่ถือความโกรธความพยาบาทเป็นบรรทัดฐาน ตัดกำลังใจให้อภัยอยู่เสมอ ขึ้นชื่อว่าคนเกิดมาในโลกนี้ ไม่ทำความผิดเลยไม่มี ก็น่าเห็นใจ เพราะความพลั้งพลาดของงาน เขาจะด่าจะว่าก็ช่างเขา ไม่ช้าต่างคนก็ต่างตาย

๓.๓. ป้องกันการง่วงหาวนอนขณะที่จิตจะทำความดี

๓.๔. ระงับความฟุ้งซ่าน ก็พยายามตั้งไว้ในยามปกติ นึกถึงความดีจุดใดจุดหนึ่ง เราจะไม่ยอมให้อารมณ์อื่นเข้ามาแทรก

๓.๕. เราจะไม่สงสัยในธรรมะปฏิบัติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน คนที่บวชห่มผ้าเหลืองน่ะ ถ้าระงับเหตุ ๕ ประการที่ว่ามานี่ไม่ได้ เขาเรียกว่า "เถนะ" เถน แปลว่า หัวขโมย ขโมยเอาเพศของสมณมานุ่ง นี่นักบวชจริงๆ อันดับแรกต้องระงับนิวรณ์ ๕ ประการได้ ขอลูกจงระงับใจตามนี้ให้เป็นะรรมดา พิจารณาหาความจริงว่า นี่มันเป็นปัจจัยของความสุขหรือความทุกข์ ทำงานตามหน้าที่ ถือว่าชาตินี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะต้องทำงาน ชาติใหม่ไม่มีสำหรับเรา เราไปนิพพาน ถ้าสงสัยนิพพาน ก็ต้องใช้วิปัสสนาญาณให้เข้มข้น ใช้มโนมยิทธิแป๊บเดียวก็ถึงนิพพาน จับอารมณ์นิพพานได้ว่า มีความสุขแค่ไหน

๔. ปัญญา มีความรอบรู้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะเป็นโทษ ทำสิ่งที่เป็นโทษแล้ว ใช้ปัญญาหาความจริงว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย จริงไหม ถ้ายังเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่อย่างนี้จะไม่หมดทุกข์ เราจะมีความสุขก็คือ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายอีกต่อไป ได้แก่รักษาธรรมะ ๑๐ ประการนี้ให้ครบถ้วน

๕. วิริยะ มีความเพียร ทำกิจการงานฝ่ายโลกและธรรม ต้องอดทนทุกอย่าง เพื่อรักษาความดีให้คงอยู่ เรียกว่า เพียร พังให้มันทะลุไปเลย

๖. ขันติ ความอดใจ อดทนต่อความเหนื่อย อดทนต่อความร้อน อดทนต่อความหนาว อดทนต่อความขัดข้องใจ

๗. สัจจะ ความจริงใจ ตั้งใจไว้แบบไหนก็ทรงกำลังใจแบบนั้น เช่น ตั้งใจไว้ว่า จะรักษาศีล เราก็ทำจริง ใครมาชวนด่าเราก็ไม่ด่า

๘. เมตตา เราจะมีเมตตา ความรักคนและสัตว์เสมอด้วยตัวเรา ใครเขามาชวนโกรธเราก็ไม่โกรธ

๙. อธิษฐาน ตั้งใจไว้ว่า การทำอย่างนี้เพื่อทรงคุณธรรมอะไร จะไปไหนมีเมตตาอยู่เสมอ เหมือนคิดว่าเป็นถิ่นของเรา

๑๐. อุเบกขา วางเฉยในอารมณ์ต่างๆ ที่ไม่เป็นที่ถุกใจเรา หมายความว่าอะไรก็ตาม ถ้าไม่เป็นที่ถูกใจเรา เราก็เฉยๆ เขาจะด่า เขาจะว่า เขาจะนินทาอะไรก็ช่างเขาประเดี๋ยวก็ตาย จะไปยุ่งอะไรกัน

กำลังใจ ๑๐ ประการนี่ลูกรัก ถ้าทรงไว้ได้ความสุขจะเกิด ทำเสมอๆ นะลูกเพื่อความไม่ประมาท

เวลานี้ชีวิตของพ่อก็ดี ชีวิตของลูกก็ดี อยู่ในช่วงของอันตราย จะเห็นว่าปี พ.ศ. ๒๕๒๐ มีบุคคลบางกลุ่มไม่ทราบมาจากไหน ส่งมือปืนมาจะยิงพ่อที่วัดเกิน ๑๐ ครั้ง และหาทางก่อวินาศกรรมเกิน ๕ ครั้ง บางครั้งส่งมือปืนมาเวลากลางคืน ๒ คันรถปิ๊กอัพ เพื่อทำลายทั้งสถานที่วัดและทำลายทั้งชีวิตพ่อ และการไปที่ไหนก็ถูกติดตาอยู่เสมอ ทั้งนี้เพราะเขาว่าพ่อขัดคอเขา เรื่องอะไรรึ "งานสาธารณประโยชน์" ความจริงพ่อทำเพื่อการสงเคราะห์ในฐานะที่เป็น "สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้คนไทยทั้งชาติมีความสุขมีความสามัคคีกัน" แต่พ่อไม่มีวาสนาบารมีจะให้คนไทยทั้งชาติสามัคคีกันได้ แต่ก็ได้ทำเป็นกลุ่มเล็ก กลุ่มน้อย กระจายไปทั่วๆ ประเทศไทย เขาก็ไม่ชอบใจ "การแจกของสงเคราะห์คนยากจนก้ได้อาศัยบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณดปรดเกล้าฯ พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ และเงินโดยเสด็จพระราชกุศล ของโดยเสด็จพระราชกุศลและได้รับความเมตตาปราณีจากท่าน พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และกองบัญชาการทหารสูงสุดก็มี พลเอก ทวนทอง สุวรรณทัต เป็นกำลังใหญ่ และก็มีบรรดาประชาชนชาวไทยทั่วไป คณะของเราทั้งหมดต่างคนต่างก็ช่วยกัน" การทำอย่างนี้ลูกรัก "เขาเห็นว่าเป็นศัตรูของเขา" พ่อไม่รู้จะทำยังไง

"ฉะนั้น ชีวิตของพ่อ พ่อไม่แน่ใจนักว่าจะอยู่ไปนานหรือไม่นาน เพียงแต่สังขารมันก็แย่อยู่แล้ว มันคอยจะตายอยู่แล้ว และยิ่งมาถูกคิดประหัตประหารแบบนี้เข้าอีก พ่อไม่มั่นใจว่าชีวิตพ่อจะอยู่นานสักเท่าใด" ...

โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

(คัดลอกเฉพาะบางตอนจากหนังสือ เรื่องจริงอิงนิทานพิเศษตั้งแต่ย่อหน้า ๒ ของหน้า ๘๔-๑๐๐)

ยุคแห่งศิวิไลซ์Civilize

"ใครคือผู้ได้อยู่ยุคนี้"
#ยุคศรีวิไล
กล่าวถึงยุคใหม่ศรีวิไล
ยุคแห่งศิวิไลซ์
Civilize ✨
อาวุธที่งามสง่าจากแดนศรีวิไลไกลโพ้น นั่นคือความดีงาม

ศรีวิไล,ศิวิไลซ์ (เขียนได้หลายอย่างแต่ความหมายคือสิ่งเดียวกัน) ความจริงในยุคนี้ 
เป็นความเจริญอารยธรรม ทั้งกายวาจาและจิตใจ 

     ความเจริญที่ประเสริฐของเหล่ามนุษย์ผู้ประเสริฐ
คือ ความเป็นอริยะ หรือผู้ที่มีอริยสัจสี่ก็เช่นกัน เพราะเป็นความเจริญที่ประเสริฐแท้

#ในขณะที่โลกของเรายังอยู่ในปัจจุบันใบเดิม 
แต่ประชากรต่างๆจะมีอยู่ด้วยกันคือ ผู้ที่เข้าสู่มิติที่5
และผู้ที่ติดอยู่ในมิติต่ำที่3
#โลกเรายังไม่ถึงเวลาคัดทิ้งทั้งหมด โดยการเทกระจาดคว่ำบาตรมนุษย์และสัตว์ที่อยู่ในมิติต่ำกว่าพลังงานโลก
เพราะยังไม่ถึงเวลาล้างโลก
แบบเหลือแต่คนดีเท่านั้น 
ยัง..ยังก่อน"
ความคิด.
ความเพ้อ..
ความมโนหมู่...
ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกฏธรรมชาติที่แท้จริงได้!!!'
โลกของคุณยังคงต้องมีประชากรต่างมิติอยู่ปะปนกันไป เพราะพวกเขายังต้องอยู่ชดใช้กรรม 
และอยู่มอบโอกาสสร้างกรรมดีให้กับตนเอง(ถ้ามีจิตสำนึกได้)ก็เพื่อชำระล้างจิตวิญญาณภายในของตนเองให้เบายิ่งขึ้น. !!...
..สะอาดบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น!'
ไม่ต้องกังวลว่าพลังงานต่ำ
จะเข้ามาทำลายระบบโลก
ของเราได้อีก?เพราะอิทธิพลของฝ่ายมืดหมดอำนาจแล้ว
พลังงานบุคคลเหล่านี้ที่อยู่มิติ3
จะหมดอำนาจเสื่อมลงทันทีเพราะโลกใบนี้"อัพเกรด..
พลังงานใหม่แล้ว"
#เหล่ามิติที่3จะไร้พลัง
ในการกระทำสิ่งเลวร้าย
ต่อโลกแลประชากรหมู่มากได้อีก
พวกเขาถึงแม้จะยังอาศัยโลกเดียวกันกับเรา
 แต่ความรู้สึกสภาวะแวดล้อม
 หรือการใช้ชีวิตพวกเขา
จะเปลี่ยนไปดั่งพิรามิดหัวคว่ำลง
 ชีวิตที่ไม่ศิวิไลซ์เหมือนบุคคลในมิติที่5. 

ถึงแม่จะร่ำรวยหรือจน
หรือมีฐานะใด ??
แต่การใช้ชีวิตก็หาความสุขแท้จริงไม่ได้...
เพราะชีวิตจะต้องคอยแข่งขัน..
หาผลประโยชน์.. ชีวิตที่จะต้องดิ้นรนเอาชนะทุกสิ่ง ..
#ชีวิตจะจมทุกข์อยู่กับความคิดของตน
#และการกระทำของผู้อื่น..
..ที่ตนไม่พึงพอใจ
#นี่คือคนที่อยู่ในมิติที่3อย่างแท้จริง
นิสัยและภายในจะหยาบหนาไม่มีความละเอียด ถึงแม้จะบดบังด้วยความงามภายนอกความสุขุมดูดี แต่ภายในเต็มไปด้วยไฟนรกห่อหุ้มจิตใจ จึงเป็นทุกข์มาก เพราะทำกรรมไม่ดีไว้มากทั้งอดีตมาสมทบกับปัจจุบัน
คุณจะเห็นว่าทำไมอยู่โลกใบเดียวกัน แต่เขากับปลอดภัยและมีความสุขกว่า
เพราะมิติคนละทางกัน

#ซึ่งโลกของเราในตอนนี้
#ได้เข้าสู่ยุคพลังใหม่แล้ว
#นั่นคือพลังงานมิติที่5ซึ่งแต่เดิมแท้โลกของพวกเราพื้นฐานเดิมคือพลังงานมิติที่5ขึ้นไป
แต่ด้วยถูกครอบงำจากอำนาจมืดปีศาจร้าย กิเลสความโลภโกรธหลง ความมักใหญ่ใฝ่สูงและอยากมีอำนาจ ชอบก่อสงครามสร้างความเกลียดชังในหมู่มนุษย์ด้วยกัน
จึงทำให้เผ่าพันธุ์
#มนุษย์ส่วนใหญ่ตกลงสู่มิติต่ำลงไปเป็นมิติที่3

โลกของเรายังคงหมุนต่อไป
มนุษย์ก็เช่นกัน ยังคงต้องชดใช้ผลการกระทำของตน
#กงล้อแห่งกรรมก็ขับเคลื่อนไปตามพลังบวกและลบที่ตนก่อ
#สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมการกระทำ
❄ผู้ที่อยู่มิติที่5.จะใช้ชีวิตอยู่กับสติปัญญาตื่นรู้ ชีวิตจะมีแต่ความสุขมากกว่าทุกข์(ถ้าไม่สร้างพลังงานลบขึ้นมาใหม่อีก )ก็จะอยู่อย่างสุขกายสุขใจปลอดภัยไม่ประมาท

🌸ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่าน
ที่เข้ามาอ่าน🌸
✨ผู้สร้างสรรค์
✨ผู้สื่อสาร
✨ผู้ส่งแสง

ที่มา
ราชินีแห่งแสง อัญมณีแห่งเอกภพ ❄❄❄❄❄

การเริ่มต้นของ Atlantis ใหม่

New
 แอตแลนติสใหม่หรือแอตแลนติสที่ 3 จะกลายเป็นรากฐานสำหรับโลกใหม่  แอตแลนติสที่ 3 จะเป็นจุดเริ่มต้นของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่จะนำมนุษยชาติสู่ความสูงใหม่ในพลังงานฟรีการรักษาขั้นสูงการขนส่งทางอากาศการเดินทางในอวกาศการแพทย์ใหม่เช่นการถดถอยอายุเทคโนโลยีแสงขั้นสูงและการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกโดยรวมในสังคม  การแข่งขันแบบครบวงจร  Light Spheres จาก The Galactic Central Race ได้เปิดใช้งานไปทั่วโลกผ่านจุดแสงทั้งหมดและประสานกันอย่างต่อเนื่องและยกระดับจิตสำนึกร่วมกับ Stardust บริสุทธิ์และแสงบริสุทธิ์

 เมืองแห่งแสงสว่างและหมู่เกาะแห่งแสงอันล้ำสมัยจะได้รับการเข้าถึงพรมแดนใหม่และสร้างโลกใหม่  แสงแห่งเมืองจะเข้ามาแทนที่ส่วนใหญ่ของเมืองใหญ่ทั่วโลก  Islands of Light เป็นชุมชนแห่งยุคใหม่ที่กำลังจะมาถึงของเราและกระบวนการที่กลุ่ม Ascension สามารถเกิดขึ้นได้

  พวกเขาเป็นหนึ่งในกุญแจของเราในการทำลายให้เป็นอิสระจากการเขียนโปรแกรมเดอะเมทริกซ์และความเป็นคู่  เกาะแห่งแสงแต่ละแห่งจะถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของเรขาคณิตศักดิ์สิทธิ์และวิทยาศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์โดยมีความเข้าใจในตารางจุด / Leylines พลังงานแสงของโลก 

 พวกเขาจะถูกพักอาศัยโดยสมาชิกของตระกูลวิญญาณเดียวกัน  เมื่อวิญญาณครอบครัวเริ่มใช้ชีวิตในหมู่เกาะแห่งแสงสถานที่เหล่านี้จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการติดต่อครั้งแรกดังนั้นจึงพร้อมที่จะพร้อมสำหรับการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมกับการแข่งขันในจักรวาลอื่น ๆ อารยธรรม Breakaway ขั้นสูงและเครือข่าย Agartha

 Global Mass Landings จะเกิดขึ้น  สำหรับหลาย ๆ คนที่ต้องการกลับไปสู่โลกดั้งเดิมของพวกเขาตอนนี้จะสามารถเข้าถึงการเดินทางในอวกาศหรืออยู่บนเรือแม่แสง Galactic  การเป็นดวงดาวของยานอวกาศของ Light

 นั้นมหาศาลตั้งแต่หลายสิบถึงหลายพันไมล์ในขณะที่บางส่วนมีขนาดเท่าดาวเคราะห์  ยานอวกาศบางลำสามารถจุคนได้มากกว่าล้านคนในขณะที่ยานอวกาศอื่น ๆ สามารถยึดครองผู้โดยสารหลายพันล้านคนเพื่อการท่องเที่ยวสากล  เลือกปลายทางของคุณ

 เรากำลังเพิ่มขึ้นเป็นสังคมใหม่ที่ซึ่งเรากำลังฝัน / ทอดสมอและเผยแสดงและเปิดใช้งานไทม์ไลน์สวรรค์สูงสุดสำหรับทุกคน  มีเทวดาและนางฟ้า 144,000 คนมาที่นี่เพื่อช่วยนำแสงรุ้งแห่งสวรรค์มาสู่มนุษยชาติทั้งหมด

  ตารางดอกไม้แห่งชีวิตครอบคลุมโลกทั้งหมดดังนั้นกริดคริสตัลแสงสามารถเปิดใช้งานได้อย่างเต็มที่สำหรับแอตแลนติสใหม่  สมาคมกาแล็กซี่หลายแห่งจากการแข่งระดับดาวและระบบสตาร์ได้รับการรวบรวมรอบโลกและที่นี่ตอนนี้  ตัวเลขของพวกเขาอยู่ในจำนวนล้านเพื่อเป็นพยานและสนับสนุนความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สากล  เราจะเป็นสหกับดาราของพี่สาว & น้องสาวแห่งแสง

 การกลับมาของเทพธิดานั้นหล่อเลี้ยงความรักความเมตตาและอ่อนโยนในธรรมชาติขณะที่เอสเซ้นต์ศักดิ์สิทธิ์ของเธอนำสะพานแห่งความสามัคคีรวมถึงการขยายความรักขณะที่แสงสว่างเติมโลกให้ทุกคนอยู่ในความสมดุล  อายุของกุมภ์นำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่เรา "จุดจบของโลกเก่า" และจุดเริ่มต้นของโลกใหม่ 

 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และเป็นระเบียบในพลังงานที่มีให้กับเรานี้เป็นขั้นตอนต่อไปในวิวัฒนาการของมนุษยชาติ  การมาถึงของยุค Aquarian ในฐานะมนุษย์เริ่ม "ทางเข้าสู่สวรรค์" ของเรา

 โลกนี้จะขึ้นสู่และจะกลายเป็นอาณาจักรแห่งวิญญาณจุดเริ่มต้นของสวรรค์บนโลก  ด้วยการกำเนิดยุคของกุมภ์การเปลี่ยนแปลงใหม่ภายในโลกของเราจะเริ่มเกิดขึ้นในระดับโลกเมื่อเวลาผ่านไปซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในสังคมใหม่ของเรา 

 การเริ่มต้นของยุคทองอยู่ในขณะนี้และด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สูงขึ้นประหยัดและมีความก้าวหน้าแบบเสมือนจริงที่จะพาเราไปสู่อนาคต  การตื่นขึ้นครั้งใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้นและมนุษยชาติทั้งหมดจะเริ่มเห็น  เรากำลังร่วมสร้างโลกใหม่นี้ด้วยกัน ...

สัปดาห์ที่สำคัญที่สุดของชีวิต

สัปดาห์ที่สำคัญที่สุดของชีวิตของเราจนถึงตอนนี้เริ่มต้น
 ในช่วงเริ่มต้นของสัปดาห์ใหม่นี้ให้ฉันพูดต่อไปนี้:

 - Earth ไม่ใช่ดาวเคราะห์ที่ลอยอยู่ในอวกาศ
 ระบบของโลกประกอบด้วยวงแหวน / อาณาจักรที่มีดาวเหนืออยู่ตรงกลางพวกมันทั้งหมด
 แหวนทุกวงมีดินแดนอื่น
 เสียงกริ่งเหล่านี้แต่ละปฏิทินต่างกัน
 แต่ละยุคสมัยหรืออารยธรรมที่เป็นที่รู้จักของมนุษยชาติประกอบขึ้นเป็นหนึ่งในแต่ละวง
 

เส้นทางไปสู่การASCENSIONคือขั้วเหนือผ่านดาวเหนือ
 เส้นทางไปยังวงนอก / อาณาจักรคือขั้วโลกใต้
 มนุษย์ต่างดาวจำนวนมากมาจากวงแหวนรอบนอกของแผ่นดิน

 สิ่งที่เราคิดผิดคือพื้นที่
 ทั้งระบบมีประตูที่เชื่อมต่อวงแหวนเข้าด้วยกัน
 เมื่อเวลามาถึงก็จะมีสะพานสายรุ้งเชื่อมต่อวงแหวนด้วย

 เรามีแง่มุมของตัวเองในวงแหวนรอบนอกเหล่านี้หลายคนได้พบพวกเขาและรวมเข้ากับพวกเขา
 คนงานแสงส่วนใหญ่มองเห็นโลกเป็นดาวเคราะห์กลม
 สิ่งนี้จะเปลี่ยนไปในที่สุดเมื่อม่านถูกยกขึ้น

 - สัปดาห์ระหว่างวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคมถึง
 วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายนเป็นสัปดาห์ที่สำคัญที่สุดของ
 ชีวิตของเราจนถึงปัจจุบันเป็นคลื่นลูกใหม่ของแสงที่มาจากดวงอาทิตย์กลางผ่านขั้วโลกเหนือจะมีผลกระทบและเปลี่ยนทุกคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
 เราทุกคนเป็นผู้ประสานความสามัคคีสากล!

 - ผู้ชนะพร้อมที่จะก้าวไปสู่ขั้นต่อไป
 ร่างกายส่วนใหญ่ของพวกเขากำลังจะตายและ
 พวกเขาจะรวบรวมร่างกายแสงของพวกเขามากขึ้น
 แม้แต่การสื่อสารทางจิตวิญญาณภายในตามปกติก็เริ่มลดลงเรื่อย ๆ เมื่อเราขยับเข้าใกล้เวลาที่เปลี่ยน
 นี่จะเป็นประสบการณ์ร่างกายโดยรวมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

 ไม่มีใครควรรู้ว่าเมื่อไหร่และอย่างไร!
 ร่างกายของผู้เบิกทางจะโปร่งใสมากขึ้นและ
 ประสบการณ์ครั้งแรกของการสื่อสารที่แท้จริงด้วยความหมายของวิญญาณจะรู้สึก
 บ้านที่แท้จริงจะได้รับประสบการณ์เช่นกัน

 - เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะเปลี่ยนขั้วแม่เหล็ก
 (ขะมักเขม้นพวกเขามีมาตั้งแต่เดือนมกราคมปีที่แล้ว)
 แล้วก็

 ทุกคนจะเห็นวงแหวน / อาณาจักรเพราะม่าน (โซนบรรยากาศ) จะถูกยกขึ้นเป็นระยะเวลาหนึ่งจนกระทั่งเสาแม่เหล็กกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้งเฉพาะเวลานี้ทิศเหนือจะอยู่ทางทิศใต้และทิศใต้ทางทิศเหนือ

 - เมื่อถึงเวลาเพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้น
 สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมดจะต้องหยุดเป็นระยะเวลาหนึ่ง

 - เมื่อถึงเวลาสำหรับผู้บุกเบิกที่จะออกจากเครื่องบินแห่งการดำรงอยู่จากนั้นผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
 จะผ่านความท้าทายที่ยิ่งใหญ่
 ผู้เบิกทางจำนวนมากจะสามารถย้ายไปมาเพื่อช่วยผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหน้าเพื่อขึ้นไปข้างบนเช่นกัน!

 - ขนาดความกังวลเกี่ยวกับ 2.000.000 พระเจ้า / เทพธิดามากกว่าวิญญาณ
 ส่วนหนึ่งของมนุษยชาติคือเศษส่วนของสิ่งเหล่านี้เหนือวิญญาณและอีกส่วนหนึ่งของมนุษยชาติเป็นเพียงลูกผสมโฮโลแกรมหรืออนัตตาการปล่อยวาง

 บางส่วนของจิตวิญญาณเหล่านี้อาจเลือกที่จะไม่ขึ้นไปอย่างเต็มที่ แต่เพื่อย้ายไปยังหนึ่งในวงนอก / อาณาจักร / ปฏิทินหรืออยู่ที่นี่ซึ่งสิ่งต่างๆจะกลายเป็นเรื่องยากมาก
 ที่ใดที่หนึ่งย้ายไปขึ้นอยู่กับทางเลือกของพวกเขา

 - ความจริงทั้งหมดตลอดเหตุการณ์เหล่านี้จะถูกเปิดเผย แต่ยัง
 การโกหกและเหตุการณ์ปลอมก็กำลังจะเกิดขึ้นเช่นกัน
 มันจะแยกแยะได้ดี

 - เปลวไฟคู่แห่ง True Eros จาก 5D มาที่นี่เพื่อช่วยให้ทุกคนขึ้นไป!  พวกเขาสอนความสมดุลของพลังงานหญิงและชายภายใน
 นี่หมายถึงการบรรลุความเป็นกลางทั้งหมดอย่างน้อยก็ซักพัก
 นี่คือจุดศูนย์

 - คำแนะนำที่แท้จริงอยู่ในตัวเองและการป้องกันตลอดกระบวนการทั้งหมดอยู่ที่นี่จากพ่อแม่ศักดิ์สิทธิ์ของเราจาก 5D ที่ยืนอยู่ตรงนั้นรอเราอยู่

 - โปรดระลึกไว้ว่าในขณะที่ขึ้นไปถึงแก่นแท้ของมนุษยชาตินั้นก็คือเทพตรีเอกานุภาพ
 พระมารดาพระบิดาและลูกศักดิ์สิทธิ์

 -Divine โลโก้ได้พูดและเราทุกคนได้รับแจ้งเกี่ยวกับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น

 - เราทุกคนได้รับคำแนะนำอย่างนุ่มนวลและช่วยให้บรรลุ
 การให้อภัยความทรงจำและความรักต่อตนเองโดยรวม

 ยอมแพ้และ

 ปล่อยไปปล่อยไปปล่อยไปปล่อยไปปล่อยไปปล่อยไป .......

 การอวยพรแห่งความรักให้กับทุกคน!
 Eirini Huna Ma Anata Kumara
 Elianthe Olar & Olian Solar
 Amalthea & Athor
 คริสตัลและสีครามนำทางสู่กาแลคซี

หลักการเพิ่มพลังบุญ

ของท่านหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ..."
เคล็ดวิชานี้ เป็นของท่านหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านสอนไว้ว่า

เวลาตื่นเช้ามาขณะล้างหน้าหรือดื่มน้ำ ให้ท่องว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อชีวิตในวันใหม่
ก่อนกินข้าว ก็ให้นึกถวายข้าวแด่พระพุทธเจ้า
ออกจากบ้าน เห็นคนอื่นเค้ากระทำความดี เป็นต้นว่าเห็นเค้าใส่บาตรพระ จูงคนแก่ข้ามถนน ก็ให้นึกอนุโมทนากับเขาด้วย
เดินผ่านเห็นดอกไม้บูชาพระวางขายอยู่ ก็ให้เอาจิตนึกอธิษฐานขอถวายดอกไม้เหล่านั้นเป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัย โดยระลึกว่า พุทธัสสะ ธัมมัสสะ สังฆัสสะ ปูเชมิ แล้วอย่าลืมอุทิศบุญให้พ่อค้า แม่ค้าดอกไม้นั้นด้วย
เวลาไปไหนมาไหน เห็นไฟข้างทางก็ให้นึกน้อมถวายไฟเหล่านั้นบูชาพระรัตนตรัย โดยระลึกว่า โอม อัคคีไฟฟ้า พุทธบูชา ธัมมะบูชา สังฆบูชา

การเพิ่มพลังบุญด้วยเงินน้อย แต่ได้อานิสงส์ยิ่งใหญ่
การสร้างบุญที่เป็นมหากุศล อาทิเช่น การสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ พระมหาเจดีย์ สร้างยอดฉัตรหรือสร้างศาสนสถานอื่นใดก็ตาม รวมถึงธรรมทานด้วย เพื่อลดวิบากกรรมหนัก ๆ สามารถทำได้ แม้แต่ผู้ที่มีเงินน้อย การทำบุญนี้ ไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินมาก เหมือนที่หลาย ๆ คนในปัจจุบันเข้าใจและติดเป็นค่านิยมกัน การทำบุญทุกอย่าง ไม่ว่าจะบุญเล็ก บุญใหญ่ ให้ทำตามแต่กำลังของเราที่สามารถจะทำได้ และต้องไม่เดือดร้อนตัวเอง แม้แต่เงินสลึงเดียวก็สามารถสร้างมหากุศลได้ ขอให้เพียงเงินนั้นบริสุทธิ์ ไม่ได้ไปเบียดเบียนของใครมาก็พอ และที่สำคัญเจตนาตอนที่ทำ ต้องบริสุทธิ์ มีความยินดีในบุญที่ทำ เกิดความสุขและความอิ่มเอมใจ นั่นแหละมหากุศลทั้งสิ้น

แต่ถ้าไม่มีเงินจริง ๆ ก็ยังสร้างมหากุศลได้ โดยการใช้แรงกายแรงใจในการช่วยก่อสร้าง หรือแม้แต่การไปชักชวน ป่าวประกาศให้คนมาร่วมสร้างบุญ และขออนุโมทนาบุญกับคนเหล่านั้นด้วยทุกครั้ง ก็จะได้บุญมากเช่นเดียวกัน อยู่ที่เจตนาและความตั้งใจเป็นที่ตั้ง สรุปสั้น ๆ ว่าการทำบุญนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าใดก็ได้บุญเช่นกัน ยิ่งการทำบุญใด ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อคนจำนวนมากมากหรือสังคม บุญนั้นก็จะมากขึ้นทวีคูณ ไม่มีวันหมด อาทิเช่น สังฆทาน สร้าง โรงทาน วิหาร อุโบสถ ถนน เป็นต้น จนกว่าสิ่งก่อสร้างหรือศาสนสถานนั้น ๆ ที่ร่วมสร้างจะพังทลายไป

การสวดภาวนา ให้ได้บุญมากขึ้น
การสวดภาวนา คาถาศักดิ์สิทธิ์ หรือมนตราอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ถ้าได้ทำอย่างถูกวิธีนั้น จะเป็นการเพิ่มบุญให้กับตัวเอง เพราะพลังบุญ พลังอำนาจของพระคาถาและมนตรานั้น จะถูกดึงเข้าสู่ตัวผู้สวดด้วย

เคล็ดวิธีมีอยู่ว่า ก่อนสวดนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิที่พร้อมจะสวดแล้ว ขอให้ตั้งจิตให้มั่นแล้วอุทิศบุญทั้งหมดที่ตนเคยทำมานั้น ส่งให้แด่ครูบาอาจารย์ ผู้เป็นเจ้าของคาถาหรือมนตรานั้น ๆ ด้วย ซึ่งเป็นการเชื่อมบุญรูปแบบหนึ่ง และหลังจากนั้น ก็อธิษฐานขอมีส่วนร่วมในบุญของท่าน และขอมีส่วนร่วมในบุญของผู้อื่นที่ได้สวดคาถาและมนตราศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย เมื่อใดตามที่มีคนอื่นสวดและกระทำเหมือนกับเรา เราก็ได้บุญเพิ่มทุกครั้ง

การทำบุญด้วยการต่อชีวิตสัตว์ ให้ได้บุญมากขึ้น
การทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์หรือต่อชีวิตสัตว์นั้น หลายคนเรียกว่า เป็นการสะเดาะเคราะห์ ซึ่งก็แล้วแต่จิตจะพาไป แต่ในความเป็นจริงก็คือ เป็นการทำบุญใหญ่ เป็นการช่วยต่อชีวิต ต่อโชคชะตา ให้เวลากับสัตว์ที่กำลังจะถึงตายให้ได้มีชีวิตอีกครั้ง และเคล็ดลับสำคัญก็คือ ก่อนที่จะปล่อยสัตว์นั้นๆ เมื่อได้ซื้อมาหรือเจอ ณ ที่ใดก็ตาม ให้นำไปถวายกับพระสงฆ์เสียก่อน เพื่อเพิ่มบุญให้มากขึ้น เหตุเพราะว่าพระสงฆ์ที่รับนั้นท่านบริสุทธิ์ และมีศีลมากกว่าเรา ท่านย่อมมีบุญมากกว่าเรา ยิ่งเป็นพระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญมากแล้ว บุญนั้นจะเพิ่มเป็นหลายเท่า จากนั้นก็ขอผาติกรรมชำระหนี้สงฆ์ซื้อคืนมาจากท่าน ด้วยเงินเท่ากับจำนวนที่เราซื้อสัตว์นั้นๆมา วิธีนี้เป็นการเพิ่มบุญอีกเท่าตัว ได้ทั้งทำบุญต่อชีวิตสัตว์ และชำระหนี้สงฆ์ด้วย หลังจากนั้นก็นำไปปล่อยในที่อันสมควร

อานิสงส์ของการทำบุญด้วยวิธีนี้ ถ้าใครที่ทำได้ตามนี้ บุญที่ได้จะเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่า จากการที่ไปซื้อมาแล้วก็ไปปล่อยตามยถากรรม วิธีนี้นอกจากได้บุญน้อยแล้ว แถมยังได้บาปกลับมาด้วย ดังนั้นจะทำบุญทั้งที ควรฉลาดในการทำบุญด้วย

การทำสังฆทานให้ได้อานิสงส์บุญมากขึ้น
การทำสังฆทานควรทำให้ครบทั้งปัจจัยสี่ มีอาหาร (คาว-หวาน-ผลไม้-น้ำ), เครื่องนุ่งห่ม (ผ้าไตรจีวร หรือ ผ้าขนหนูสีสุภาพ), ยารักษาโรค, ที่อยู่อาศัย (บ้านหลังเล็ก ๆ ซื้อได้ตามร้านสังฆภัณฑ์ เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยทิพย์ให้กับเจ้ากรรมนายเวร เค้าจะได้มีที่พักพิง ไม่มารบกวนเราอีก) และควรเพิ่มหนังสือธรรมะเข้าไปด้วยเพื่อให้จิตใจของเจ้ากรรมนายเวรซึ้งในรสพระธรรม มีจิตใจที่เย็นสบายพ้นทุกข์

เคล็ดลับสำคัญ เครื่องสังฆทานและอาหารเหล่านี้ เราควรที่จะต้องไปถวายแด่พระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญสูง แต่ถ้าหาไม่ได้หรือไม่ทราบ ให้เรานั้นตั้งจิตอธิฐานถวายแด่พระพุทธเจ้าโดยตรงและ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือครูบาอาจารย์ที่เรานับถือ เพื่อให้อานิสงส์ของบุญจะได้มากขึ้นทบทวี และหลังจากนั้นก็ให้อุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งหมด และควรกรวดน้ำหลังทำบุญทุกครั้งเพื่อให้พระแม่ธรณีและเทพเทวาทั้งปวงท่านเป็นพยานในการทำบุญครั้งนี้

สรุป…
เมื่อท่านได้ทราบว่า ทำบุญอะไร แล้วได้รับอานิสงส์ของการทำบุญเป็นอย่างไร สมควรช่วยประชาสัมพันธ์ให้ผู้อื่นได้ทราบด้วย เพราะเป็นการให้คนได้รู้ถึงอานิสงส์ของทำบุญในแต่ละอย่าง จะได้จำสืบต่อกันไปอย่างถูกต้อง

ดังนั้น จึงสรุปว่า การทำบุญอะไรก็ตาม เมื่อได้ทำบุญแล้ว ก็ได้รับผลบุญในทันที กล่าวคือ ขณะที่ทำบุญนั้น สภาพจิตของเราตรงนั้นเป็นอย่างไร สุขใจไหม สบายใจไหม ภูมิใจไหม ตรงนี้ไม่ต้องถาม หวังว่า ท่านที่เคยทำบุญมาแล้วก็จะตอบตนเองได้อย่างแจ่มแจ้งทีเดียว

เมื่อเราได้ทำบุญ ผลของการทำบุญ จะให้อานิสงส์ไม่เหมือนกัน บุญบางอย่าง ก็ให้ผลโดยตรง แต่บุญบางอย่าง ก็ให้ผลโดยอ้อมไม่ตรงทีเดียว ในเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่า อานิสงส์แห่งการทำบุญนั้นไม่เหมือนกัน และผลบุญที่เราได้ทำนั้น รอให้ผลอยู่ตลอดเวลาแก่ผู้ที่ได้ทำบุญไว้ ตราบเท่าที่ยังมีผลบุญอยู่ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำบุญไว้ ถ้าไม่ประมาท ถึงแม้ไม่มีอะไรจะทำบุญ เพียงแต่เห็นคนอื่นเขาทำบุญ แล้วทำใจให้เลื่อมใส ก็เป็นอันได้ทำบุญเหมือนกัน บุญชนิดนี้ เรียกว่า บุญด้านปัตตานุโมทนามัย (บุญจากการอนุโมทนาบุญ)

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุก ๆ ท่าน

การฝึกจิต ของดีในตัว

"...ฝึกจิต... "
...จิต ต้องรับภาระทันที ดี ชั่ว ผิด ถูก
หนัก เบา เศร้าโศกเพียงใด
บางเรื่องแทบเอาชีวิตไปด้วย
ขณะนั้นจิตใจยังกล้าเอาตัวเข้าเสี่ยง
แบกหามจนได้
มิหนำซ้ำยังหอบเอามาคิดเป็นการบ้านอีก
จนนอนไม่หลับ รับประทานไม่ได้ก็มี
คำว่าหนักเกินไป ยกไม่ไหว เกินกำลังใจจะคิดและต้านทานนั้นไม่มี

งานทางกาย ยังมีเวลาพักผ่อนนอนหลับ
และยังรู้ประมาณว่าควรหรือไม่ควร
แก่กำลังของตนเพียงใด
ส่วนงานทางใจไม่มีเวลาได้พักผ่อนเอาเลย
พักได้เล็กน้อยขณะนอนหลับเท่านั้น
แม้เช่นนั้น จิตยังอุตส่าห์ทำงานด้วยการละเมอเพ้อฝัน
ต่อไปอีก
ไม่รู้จักประมาณว่าเรื่องต่างๆ นั้นควรแก่กำลังของใจเพียงใด
เมื่อเกิดอะไรขึ้น ทราบแต่ว่าทุกข์เหลือทน
ไม่ทราบว่าทุกข์เพราะงานหนัก
และเรื่องเผ็ดร้อนเหลือกำลังใจจะสู้ไหว

ใจคือนักต่อสู้ ดีก็สู้ ชั่วก็สู้ สู้จนไม่รู้จักหยุดยั้งไตร่ตรอง
สู้จนไม่รู้จักตาย หากปล่อยไปโดยไม่มีธรรมเป็นเครื่องยับยั้ง
คงไม่ได้รับความสุข แม้จะมีสมบัติก่ายกอง

ธรรม เป็นเครื่องปกครองสมบัติและปกครองใจ
ถ้าขาดธรรมเพียงอย่างเดียว ความอยากของใจ
จะพยายามหาทรัพย์ได้กองเท่าภูเขา ก็ยังหาความสุขไม่เจอ
ไม่มีธรรมในใจเพียงอย่างเดียว จะอยู่ในโลกใด กองสมบัติใด
ก็เป็นเพียงโลกเศษเดน
และกองสมบัติเดนเท่านั้น
ไม่มีประโยชน์อะไรแก่จิตใจแม้แต่นิด
ความทุกข์ทรมาน ความอดทน ทนทานต่อสิ่งกระทบกระทั่งต่างๆ
ไม่มีอะไรจะแข็งแกร่งเท่าใจ

ถ้าได้รับความช่วยเหลือที่ถูกทาง
ใจจะกลายเป็นของประเสริฐ
ให้เจ้าของได้ชมอย่างภูมิใจ
ต่อเรื่องทั้งหลายทันที

จิต เป็นสมบัติสำคัญมากในตัวเรา
ที่ควรได้รับการเหลียวแล
ด้วยวิธีเก็บรักษาให้ดี ควรสนใจรับผิดชอบต่อจิตอันเป็นสมบัติ
ที่มีค่ายิ่งของตน
วิธีที่ควรกับจิตโดยเฉพาะก็คือ ภาวนา..."

.... ของดีมีอยู่กับตัว

"...ของดีมีอยู่กับตัวเราทุกคน
ก็พากันปฏิบัติเอา ทำเอา
เมื่อเวลาตายแล้วจึงวุ่นวาย
หานิมนต์พระมากุสลามาติกา
ไม่ใช่เกาถูกที่คัน ต้องรีบแก้เสียบัดนี้
คือ เร่งทำความดี(ภาวนา)แต่บัดนี้
จะได้หายห่วง อะไรๆ ที่เป็นสมบัติของโลก
มิใช่สมบัติอันแท้จริงของเรา ตัวจริง(ศพ)ไม่มีใครเหลียวแล
สมบัติในโลกเราแสวงหามา หามาทุจริตก็เป็นไฟเผา
เผาตัวทำให้ฉิบหายได้จริงๆ
ข้อนี้ขึ้นอยู่กับความฉลาดและความโง่เขลา
ของผู้แสวงหาแต่ละราย

ท่านผู้พ้นทุกข์ไปด้วยความอุตส่าห์
สร้างความดีใส่ตน
จนกลายเป็นสรณะของพวกเรา
ท่านไม่เคยมีสมบัติเงินทองเครื่องหวงแหน
เป็นคนร่ำรวย สวยงามเฉพาะสมัย
จึงพากันรัก พากันห่วง จนไม่รู้จักเป็น รู้จักตาย
สำคัญตนว่าจะไม่ตาย
และพากันประมาทจนลืมตัว
เพลิดเพลินตักตวงเอาแต่สิ่งไม่เป็นท่า
ใส่ตนแทบหาบไม่ไหว..."

โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

ทำไมต้องยกมิติที่ 3 ไปสู่มิติที่ 5 ของโลก

"The Ascension"
ทำไมโลก"มิติที่ 3" ที่พวกเราอยู่กันนี้ 
จึงจำเป็นต้องเปลื่ยนหรือเลื่อนระดับไปเป็น "มิติที่ 5" 

ที่ผ่านมาโลกเป็นโรงเรียนให้จิตวิญญาณของเราทุกคน
ให้มาเล่น มาเรียนรู้ มาหาประสบการณ์ชีวิตการเป็นมนุษย์
แต่ปัญหาคือพวกเราหลงลืมตัวของพวกเราจนเกินไป 
หลงทางหาทางกลับบ้านไม่ถูก ยึดติดกับวัตถุมากกว่าจิตวิญญาณ 
ความสันสะเทือนของโลกจึงลดต่ำลงมาสู่มิติที่ 3 
จากที่เคยอยู่ในมิติที่ 5 มาก่อนเมื่อครั้งกระโน้น

กระทั่งโลกมิติที่ 3 ไม่สามารถจะดำเนินต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะมนุษย์ส่วนมากในอดีตขาดจิตสำนึกทำลายวงจรธรรมชาติอย่างรุนแรง แต่แทนที่จะปล่อยให้โลกถูกทำลายลงไปน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเอง จากสงครามและภัยพิบัติที่ไม่ใช่ธรรมชาติสร้างขึ้น

จักรวาลได้ทำการเปลื่ยนแผนใหม่ ด้วยการร้องขอจากผู้ดูแลรักษาโลก ที่ขอให้เก็บโลกนี้ไว้ เพื่อให้เป็นห้องเรียนของจิตวิญญาณต่อไป ซึ่งมันก็มีทางเดียว คือการเปลื่ยนโลกนี้ให้เป็นมิติที่ 5 ให้เป็นโลกแห่งความรักที่ปราศจากเงื่อนไข...จึงมีการวางแผนและเตรียมการมายาวนานพอสมควร  (แต่ในความเป็นจริง อดีต-อนาคตเกิดขึ้นพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน) 

ในขณะที่โลกค่อยๆเคลื่อนที่ผ่าน Photon Belt หรือแถบของพลังงานแกมม่าบริสุทธิ์ที่เข้มข้น เพื่อฟื้นฟู หรือทำการ format disc ใส่ข้อมูลใหม่ และกำจัดพลังงานด้านลบให้หมดสิ้นไป

ร่างกายมนุษย์กำลังได้รับการป้อนข้อมูลใหม่ตามรหัสพิมพ์เขียวดั้งเดิม ผลกรรมจะได้รับการชำระผ่านตระแกรงร่อน (คัดหยกออกจากหิน) รวมทั้งร่างกายเราก็จะถูกเปลื่ยนจากธาตุ Carbon based ไปเป็น silica และ Crystal liquid-light ใปสู่ในมิติที่สูงขึ้นไป เป็นการเปลื่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป เหมือนอัฐฐิธาตุของพระปฎิบัติที่เปลื่ยนเป็นแก้วใส (ในมิติที่มีความหนาแน่นเบาบางเราจะไม่ได้หายใจทางจมูกกันแล้ว แต่จะหายใจกันทางกระหม่อมแทน)

มีบางท่านสงสัยว่า ทำไมต้องกระโดดข้ามจากมิติที่ 3 ไปมิติที่ 5 เลย มิติที่ 4 หายไปไหน ขออธิบายดังนี้นะครับ "มิติ"เป็นเรื่องความหนาแน่น ( Density) และระดับความสั่นสะเทือน ไล่เรียงแบบย่อๆได้ประมาณนี้ครับ

โลกมิติที่ 1 โลกของแร่ธาตุและคริสตัล
โลกมิติที่ 2 โลกของสรรพสัตว์และพืช 
โลกมิติที่ 3 โลกที่พวกเราอาศัยอยู่ในตอนนี้ ( รูปธรรมมนุษย์)
โลกมิติที่ 4 ตระหนักรู้ เกี่ยวกับความสงบสุข  (โลกแห่งความฝัน มิติคู่ขนาน)
โลกมิติที่ 5 ตระหนักรู้  เกี่ยวกับความรักอย่างไร้เงื่อนไข (รูปธรรมแห่งแสงสว่าง)
โลกมิติที่ 6 ตระหนักรู้ ว่าทุกสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน  (เป็นมิติของการวางแผนก่อนที่จะลงมาเกิด)
โลกมิติที่ 7 ตระหนักรู้ ถึงตัวตนรวม การเข้าถึงความเป็นพระเจ้าภายใน   (Nirvana)

ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามิติที่ 4 เป็นเหมือนช่องว่างระหว่างภพภูมิ จิตวิญญาณที่หลงทางมักจะติดอยู่แถวๆนี้ เป็นจุดประสานมิติ ตาเรามองไม่เห็นแต่มีอยู่

ในความเป็นจริง มิติต่างๆเหล่านี้ไม่ใช่ข้อจำกัด อย่าไปติดที่เรื่องมิติกันนะครับ เพราะแม้ร่างกายของพวกเราอยู่ในมิติที่ 3 หรือมิติที่ 5 แต่ใจของเราจะอยู่ในมิติใดๆก็ได้ ไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อจำกัดของมิติที่ 3 หรือ 5 เช่นพระพุทธเจ้า หรือพระเยซูร่างกายท่านดำรงอยู่ในมิติที่ 3 แต่ใจของท่านอยู่ในโลกมิติที่ 7 หรือสูงกว่านั้นขึ้นไป คือเป็นอิสระจากทุกๆมิตินั่นเอง

มิติที่ 5 จึงมิใช่จุดหมายสูงสุด ยังมีสูงกว่านั้น....
มิติที่สูงกว่านั้นจะเป็นจิตสำนึกระดับจักรวาล ระบบสุริยะ/กาแล็คซี่ มิติของการสร้างการกำกับดูแล (ซึ่งจะไม่พูดถึงตรงนั้นครับ) 

เราทุกคนต่างก็เป็นเสี้ยวหนึ่งของแสงสว่าง 
ขอแต่เรามองเห็นแสงที่งดงามตามความเป็นจริง ให้ถือเป็นหน้าที่ทีจะดูแลแสงสว่างของตนเอง หาประกายฝันของตัวเองให้พบแล้วฉายแสงให้สว่างสุกใส  อย่าพยายามเยียวยาโลก อย่าพยายามเปลี่ยนทุกอย่างที่เป็นอยู่  ปล่อยให้เป็นขั้นตอนต่างๆเพื่อเดินหน้าหรือถอยหลัง หากมันจะต้องเป็นไปเช่นนั้น จงฉายแสงให้เจิดจ้า กล้าที่จะกระพริบแสง อยากเป็นแสงสีอะไรก็จัดการไปเลย เอาให้สดใสงดงาม...นั่นคือพลังของเราทุกๆคน 

หมายเหตุ* ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นความรู้ที่ได้จากข้อความต่างมิติที่ทีมงานช่วยกันแปลมาตั้งแต่ปี 2008 และที่ได้ศีกษาด้วยตัวเองอีกส่วนนึงครับ

******************************
การมีชีวิตที่เราเป็นเจ้าของนั้น เหมือนเรือในทะเล 
เธอไม่มีลิมิตชีวิตจะทำอะไรก็ได้
 แต่ความรับผิดชอบเป็นตัวรักษาสมดุลที่มากับชีวิตอิสระนี้ 
เธอต้องรับผิดชอบกับน้ำกระเด็นหลังเรือว่าไปโดนใคร 
คือเธอต้องรักษาสมดุลย์ระหว่างการใช้พลังของเธอในขณะที่ใช้ชีวิต 
ให้สอดคล้องกับนาวาชีวิตลำอื่นของผู้อื่นด้วย

ครายออน
******************************

เทคโนต่างดาวในโลกใหม่

ก้าวเข้าสู่โลกใหม่ (ตอนที่ 2)
หลังจากเหตุการณ์เปิดเผยถึงการมีอยู่ของชาวต่างดาวเสร็จอย่างสมบูรณ ์(Galactic Disclosure) จะมียานบินมากมายซึ่งจะมาพร้อมกับผู้เขี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ลงจอดตามเมืองใหญ่ที่สำคัญๆของโลก  รูปธรรมต่างดาวที่มาเยือน มีผิวสีต่างๆกัน รูปร่างลักษณะหลากหลาย นักวิศวะโมเลกุลจะถูกส่งไปยังเมืองต่างๆ พวกเขาจะทำการสำรวจสิ่งแวดล้อมทั้งหมด

ผู้คนในเมืองจะได้รับการแนะนำและย้ายไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติในชนบทและป่าเขา วิศวการเหล่านี้จะช่วยสอนให้
พวกเขาใช้จินตนาการที่สร้างสรรค์ ทำการสร้างบ้าน มีรูปทรงต่างๆตามความคิดสร้างสรรค์ของเจ้าของบ้าน  ซึ่งบ้านแต่ละหลังจะมีเครื่องสร้างพลังงานฟรีโดยไม่ก่อมลภาวะในโลกใหม่นี้บ้านแต่ละหลังจะไม่มีรั้วและไม่มีใครพยายามบุกรุกหรือครอบครองสิ่งของของคนอื่น

เมื่อมีเครื่องสร้างพลังงานฟรีก็จะทำให้การผลิตสิ่งต่างๆถูกลง การใช้เงินในสังคมก็จะเริ่มหายไปเพราะเทคโนโลยีใหม่ๆที่เกิดขึ้นจะทำให้สร้างอะไรได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้แรงงานมาก ทำให้ผู้คนใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น มีความสุขกับชีวิตที่เรียบง่าย ใช้ชีวิตแบบสร้างสรรค์เพราะไม่ต้องห่วงในการทำมาหากิน เพราะทุกคนมีอาหารฟรี ที่อยู่อาศัยฟรี มีเครื่องอำนวยความสะดวกให้ใช้สอยทั่วถึงกันทุกคน

ด้วยความช่วยเหลือของนักพฤกษศาสตร์ และวิศวกรด้านการผลิตอาหาร  เกษตรกรจะใช้โรงเรือนระบบอัตโนมัติปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน และพวกเขาจะมีเครื่องผลิตปุ๋ย ซึ่งสามารถสร้างสารอาหารที่เหมาะสมต่อพืช ทำให้สามารถปลูกพืชได้ทั้งปีและได้ผลผลิตจำนวนมาก
พืชผักผลไม้มีรสชาติอร่อยและอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ พวกเขาจะแบ่งปันอาหารที่ผลิตได้แก่ครอบครัวอื่น 
ทุกบ้านจะมีเครื่องผลิตน้ำจากอากาศ แม้อยู่ในทะเลทรายก็ทำได้ และมีถังเก็บน้ำไว้ใช้ตามความต้องการ

ด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์
พวกเขาปรับเปลี่ยนมลพิษในสิ่งแวดล้อมให้ไม่มีอันตราย จีโนมส่วนที่ถูกปิดจะได้รับการกระตุ้นให้ทำงานได้ตามปกติ โรคภัยที่เป็นอยู่จะหายไป และดีเอ็นเอที่มีสองสายจะค่อยๆเพิ่มเป็นสี่สาย และปิดจีโนมส่วนที่ทำให้เจ็บป่วยบนสายดีเอ็นเอ จนทุกคนไม่มีใครที่จะเจ็บป่วย  หากอวัยวะส่วนใดเสียหายสามารถปลูกถ่ายขึ้นใหม่ได้จากดีเอ็นเอของบุคคลนั้นและปรากฏขึ้นในร่างกายโดยไม่ต้องผ่าตัด อายุขัยของมนุษย์จะเพิ่มขึ้นเป็นพันปีหรือมากกว่านั้นถ้าหากต้องการขยายออกไปเพื่อทำประโยชน์

ในโลกใหม่สมาชิกคณะกรรมการฝ่ายปกครองจะได้รับการแต่งตั้งจากบุคคลที่ตื่นรู้แล้วและทรงปัญญามากที่สุด
จากสาขาต่างๆเช่นวิทยาศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม และการผลิต ทำงานเพื่อประโยชน์แก่ชุมชน คณะกรรมการฝ่ายปกครองมีหน้าที่ตัดสินใจในเรื่องสำคัญที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชุมชนท่านั้น

การเดินทางขนส่งจะใช้อุโมงค์ขนส่งใต้ดินแบบใหม่โดยมี แคปซูลโดยสารที่สามารถ วิ่งได้ความเร็วสูงซึ่งจะไม่รู้สึกถึงแรงจี (G) หรือแรงเฉื่อยของการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าราวกับว่านั่งอยู่ภายในห้องที่ไม่มีการเคลื่อนที่ และอุโมงถูกทำให้เป็นสุญญากาศเพื่อความปลอดภัยและเดินทางได้เร็วกว่ารถไฟที่สร้างขึ้นบนพื้นผิวของโลกในปัจจุบัน ด้วยระบบการขนส่งประเภทนี้คุณสามารถเดินทางจากกรุงเทพไปยังญี่ปุ่นได้ภายใน 30 นาที ส่วนการเดินทางระยะสั้นจะมีรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติคอยให้บริการเพียงแค่กดปุ่มเรียก
เนื่องจากระบบขนส่งแบบนี้จึงสามารถเคลื่อนย้ายได้ไม่ใช่แค่ผู้คน แต่ยังรวมถึงสินค้าทุกประเภท

จากน้อง***Jonathan Yoo***26/02/2020
โลกยุคใหม่น่าตื่นเต้นขึ้นทุกขณะครับ

การปริวรรตปรับเปลี่ยนโลก

ก้าวเข้าสู่โลกใหม่   ตอนที่ 3 ( จบ )
ในช่วงของการฟื้นฟูโลกชาวต่างดาวที่จะมาเป็นผู้ชี้แนะเรา พวกเขาจะมาเพื่อให้ความรู้แก่เราทุกคน การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลจะเริ่มลดลงเนื่องจากอุปกรณ์พลังงานฟรีจะถูกนำมาใช้ในการขนส่งและการใช้งานภายในบ้านเรือน นอกจากนี้จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆจะมาช่วยในการให้ความรู้เกี่ยวกับหัวข้อต่างๆ เช่น ศาสนาหรือประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของโลกและอื่น ๆ

เมื่อมนุษย์โลกได้รับการฟื้นฟูร่างกายและตื่นรู้ขึ้นมาเป็นจำนวนมากพอ มิติคู่ขนานจะเปิดให้เห็นภาพของดาวเคราะห์ที่มีลักษณะเหมือนดาวโลกจำนวนเจ็ดดวง ในมิติคู่ขนานที่อยู่ใกล้กับดาวโลก ดาวเหล่านี้คือสถานที่เตรียมไว้ให้ สำหรับผู้ที่ต้องการย้ายถิ่นฐานไปยังโลกใหม่ มีชีวิตใหม่ มีสถานที่ใหม่ที่ท้าทายและรอคอยการสำรวจ

อาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่ผู้คนส่วนใหญ่จะอาสาไปเป็นผู้บุกเบิกบนดาวเหล่านั้น และขั้นตอนการย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ตามแผนการก็จะเริ่มต้นขึ้น

นี้คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางกลับไปยังดาวเคราะห์ต้นกำเนิดซึ่งมันถูกบันทึกรหัสในดีเอ็นเอของเรา เช่น ถ้าต้นกำเนิดคุณเป็น Pleiadian คุณสามารถกลับไปยังดาว Pleaides ได้ ถ้าคุณเป็น Arcturian คุณสามารถกลับไปที่ดาว Arcturus ได้ หรือถ้าคุณมาจาก Sirius, Lemur และอื่น ๆ คุณจะได้รับอนุญาตให้กลับไปที่ดาวต้นกำเนิดของคุณหรือคุณสามารถไปอาศัยอยู่บนดาวในมิติคู่ขนานที่เตรียมไว้ได้ ซึ่งประชากรบนโลกจะเหลือแค่ 500 ล้านคนเท่านั้นเพราะ ส่วนมากจะเดินทางไปไปอาศัยบนดาวอื่น 

สิบปีหลังจากการเคลื่อนย้ายผู้คนเสร็จสิ้นดาวโลกจะได้รับอนุญาตให้ทำความสะอาดพื้นผิวโลกซึ่งจะลบสิ่งต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้นและมลพิษบนโลก จะเกิดแผ่นดินไหวเกินกว่าระดับที่จะวัดค่าได้ แต่ก่อนปีนี้มนุษย์ทุกคนและสัตว์ที่อยู่บนโลกจะถูกย้ายไปอยู่ที่ดาวอื่น รวมถึงยานอวกาศที่โคจรรอบโลก

หลังจากการเคลื่อนย้ายประชากรโลกไปยังดาวอื่นได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ช่างเทคนิคจากสมาพันธ์กาแลคติก จะเปลี่ยนเมืองใหญ่ที่สกปรกและแออัด ให้กลายเป็นป่าเขาและระบบนิเวศน์ที่บริสุทธิ์สะอาดอย่างที่เคยเป็นก่อนที่จะมีการพัฒนาเป็นเมือง

ในการเปลี่ยนแปลงนี้ต้องใช้ยานขนาดใหญ่จำนวนหลายร้อยลำ ส่งลำแสงลงมาครอบคลุมตัวเมืองเพื่อเปลี่ยนรูปสสาร ลำแสงนี้จะจัดเรียงโมเลกุลให้กลับไปเป็นพลังงานบริสุทธิ์ จากนั้นจะเปลี่ยนพลังงานกลับไปเป็นวัตถุ ในรูปของป่าเขาและธรรมชาติเดิมของพื้นที่ ซึ่งยังคงถูกเก็บไว้ในความจำของดาวเคราะห์โลก

สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ เพราะดาวโลกก็เป็นรูปธรรมพลังงานที่มีชีวิต 
พวกเขาทำให้เมืองใหญ่ละลายไปในระดับโมเลกุล แล้วสร้างขึ้นมาใหม่ให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมธรรมชาติที่เคยมีอยู่ก่อนการสร้างเมือง บริเวณพื้นที่เพาะปลูกบนดาวโลก จะไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงมากนัก  บ้านเรือนในชนบทจะถูกเปลี่ยนให้เป็นบ้านที่อยู่อาศัยรูปโดม มีสระว่ายน้ำอยู่ภายใน 

อาวุธนิวเคลียร์ และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ได้รับการเปลี่ยนสภาพให้เป็นแหล่งพลังงานอิสระที่ไม่เป็นอันตราย  สายไฟฟ้าและระบบบำบัดของเสีย จะถูกเปลี่ยนเป็นปุ๋ยที่ดีต่อพืช ภายใต้บ้านทุกหลัง และในฟาร์ม จะมีแทงค์ช่วยเปลี่ยนของเสียจากคน และสัตว์ให้เป็นปุ๋ยที่ไม่มีกลิ่น

ระบบการเงินและภาษี ตำรวจและทหาร ไม่มีอีกต่อไป 
เพราะผู้คนล้วนมีความตื่นรู้ และช่วยเหลือสังคมในทางสร้างสรรค์ ไม่มีการสะสมเงินทองทรัพย์สมบัติ 
ทุกคนมีทุกอย่างที่จำเป็นต่อการมีชีวิตอย่างเพียงพอ 
ไม่มีใครต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ  แต่พวกเขาจะทำในสิ่งที่พวกเขารัก และสร้างสรรค์พัฒนาให้ดียิ่งขึ้นโลกจะกลายเป็นเหมือนสวรรค์อีกครั้ง

***Jonathan Yoo *** 
******1/3/2020******

ทุกสรรพสิ่งคือพลังงาน

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2020
 จัดทำโดย: สเตฟานีนิโคล
 สวัสดีที่รักเราภูมิใจในความก้าวหน้าของคุณที่นี่ใน gaia และเราสามารถรับรองได้ว่างานของคุณจะส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อจิตสำนึกส่วนรวม

  คุณที่รักของฉันคือเหตุผลที่ว่าที่มืดในตอนนี้ไม่มีสถานที่บนโลกนี้การสั่นสะเทือนของ Gaia จะมากเกินไปสำหรับความมืดที่เหลืออยู่เพื่อทนต่อ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะยังคงไม่ทิ้งสุดท้าย  พยายามรักษาแหล่งพลังงานที่เก็บไว้ที่นี่  แหล่งพลังงานนี้เป็นของคุณมนุษย์

  สิ่งที่ฝ่ายมืดไม่คาดคิดก็คือการที่มวลจิตสำนึกจะไปถึงมวลที่สำคัญซึ่งตอนนี้พวกเขาไม่มีทางที่จะกำจัดดาวเคราะห์ดวงนี้ออกจากเส้นเวลาของยุคทองและสำเนียง  พวกเขารู้แล้วว่าพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนเส้นเวลา  

พวกเขาไม่มีแหล่งที่มาหรือพลังงานที่จะทำเช่นนั้นอีกต่อไป แต่สิ่งที่พวกเขามีคือความกลัวที่พวกเขาสามารถสร้างด้วย "โรคระบาด" นี้ได้  นี่คือเหตุผลที่มันสำคัญมากที่คุณทุกคนยังคงทำงานที่นี่ต่อไปในการใช้ชีวิตด้วยความรักและแสงสว่างที่สมบูรณ์และการบริการสำหรับผู้ที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเบื้องหลังของไวรัสนี้  พาตัวเองไปสู่มิติที่ 5 ระหว่างสมาธิของคุณและยึดมั่นในไทม์ไลน์ใหม่นี้ 

 คนที่ยังไม่ทราบถึงความมืดที่ควบคุมมนุษยชาติเป็นพัน ๆ ปีจะอยู่ในสถานที่แห่งความกลัวและความสิ้นหวังขึ้นอยู่กับคุณในฐานะนักแสงและดาวเพื่อบรรเทาความกังวลและเสนอความรักและความเข้าใจเช่นเดียวกับคุณเช่นกัน  สิ่งที่พวกเขาเห็นคือสื่อและความกลัวของคนรอบข้าง

  สำหรับพวกเขาพวกเขาเห็นเวลาเหล่านี้ว่าเป็นวันสิ้นโลก  มันคือจุดจบของโลกในแง่หนึ่ง แต่ในตอนท้ายของโลกตามที่เจ้ารู้  จะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายในโลกและการเปิดเผยของคุณ  การเปิดเผยจะไม่ได้รับการปล่อยตัวทั้งหมดในครั้งเดียวเนื่องจากจะมากเกินไปสำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบที่จะดำเนินการและจะส่งพวกเขาไปสู่อารมณ์ที่จะไม่ช่วยให้ความคืบหน้าในระยะเวลาเช่นความโกรธสำหรับความโหดร้ายที่กระทำโดยฝ่ายมืด ฯลฯ 

 การพูดไม่ว่าจะมืดหรือไม่นั้นความมืดจะเพิ่มความพยายามในการกระจายความกลัวผ่านสื่อหรือถ้าพวกเขาจะพยายามกลับมามีชีวิตก่อนที่โรคระบาดนี้จะกลับไปที่กระดานวาดรูปและคิดออกว่าทำไมแผนของพวกเขาจึงไม่ทำงาน

  เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาพยายามทำมันจะสายเกินไปเพราะการสั่นสะเทือนของ Gaia จะมากเกินไปสำหรับพวกเขาที่จะทนต่อ  คนดำสามารถคาดการณ์ระยะเวลา แต่พวกเขาไม่ได้คาดการณ์การแทรกแซงจากสวรรค์และการตื่นขึ้นของมวลชนบนโลกในเวลานี้  

พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงแผนของพวกเขาในการสร้างความหวาดกลัวโดยรวมเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการตื่นขึ้น  แผนการอันศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ทราบว่ามันจะออกมาได้อย่างไร แต่มันจะแสดงออกมาเพื่อผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของ Gaia และมนุษยชาติ

  มีความเชื่อมั่นในแผนการอันสูงส่งเพราะนี่เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นและสิ่งที่คุณทุกคนมามีส่วนร่วม  คุณกำลังจะเปิดใช้งาน DNA ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เฉยๆของคุณพร้อมกับระลึกถึงความทรงจำที่ถูกระงับเหล่านี้  สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวคุณคนที่รักอาจดูเหมือนจุดจบของโลกหรือว่า Darkhas ชนะ แต่ที่อยู่ไกลจากความจริง 

 คุณทุกคนมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการนำไทม์ไลน์นี้ไปสู่มิติที่ 3 แม้ว่าคุณจะได้รับความช่วยเหลือจากเราในการส่งคลื่นแกมม่าที่เปิดใช้งาน DNA ของพระเจ้าและอัปเดตคุณทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ต้องทำ

  คุณเป็นส่วนหนึ่งของ starseeds และ lightworkers  คุณทุกคนต้องแสดงไทม์ไลน์นี้ในมิติที่ 3 ด้วยกัน  จำไว้ว่านี่เป็นเพียงภาพโฮโลแกรมของจิตสำนึกส่วนรวม  เมื่อสิ่งที่มืดทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อจิตสำนึกเช่นการทำร้ายเด็กทารกที่ควบคุมมนุษยชาติและในความยากจนและการต่อสู้หรือโหมดการบินอยู่เสมอวันหนึ่งจะปรากฏขึ้นบนโลกเพื่อดูความจริงที่น่าเกลียด

  มันก็ต่อเมื่อความจริงที่น่าเกลียดนี้ถูกเปิดเผยว่าคุณทุกคนสามารถก้าวไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าในฐานะที่เป็นกลุ่ม  สองสามสัปดาห์ถัดไปจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเนื่องจากการเปิดเผยจะเกิดขึ้นและสวรรค์บนสวรรค์จะเป็นเช่นไร 

 คุณจะได้สัมผัสกับความอุดมสมบูรณ์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเพื่อสันติภาพและความสามัคคีบนโลกใบนี้  การระบาดใหญ่ครั้งนี้มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงมันได้ยุติความทุกข์ทรมานของสัตว์ที่ทำอะไรไม่ถูกมากมายในประเทศจีนและทำให้มนุษยชาติตระหนักว่าพวกเขาจะต้องมารวมกันเป็นเอกภาพ  เรารู้ว่าการอยู่บนเส้นทางที่ตื่นขึ้นในขณะที่คนรอบข้างไม่ยาก แต่เคยสงสัยความจริงภายในของคุณและสิ่งที่สะท้อนกับคุณเป็นวิธีที่จิตวิญญาณของคุณบอกคุณในเส้นทางที่ถูกต้อง 

 ผู้ที่ยังคงปรับอากาศก็จะไม่เห็นมุมมองของคุณในขณะที่คุณกำลังดูพวกเขาจากเครื่องบินของการดำรงอยู่ที่สูงขึ้นคุณเป็นเพียงการสังเกตความกลัวและความสับสนวุ่นวายแทนการเป็นส่วนหนึ่งของมัน  คนรอบข้างคุณจะตระหนักถึงความจริงเช่นเดียวกับคุณบางคนอาจจะเร็วกว่าคนอื่น ๆ แต่ทั้งหมดในเวลาที่กำหนดที่รัก

  คุณทุกคนกลับมาที่กระดานวาดภาพเมื่อคุณออกจากร่างกายของคุณในตอนกลางคืนพวกคุณส่วนใหญ่ไม่จำความทรงจำเหล่านั้นที่คุณจำได้ว่าเป็นจริงและเป็นจริงเหมือนชีวิตของคุณบนโลกนี้โลกนี้เป็นโรงเรียนที่ทันสมัยที่สุด  วิญญาณในกาแลคซี  มันเกี่ยวกับการถูกตัดการเชื่อมต่อจากแหล่งที่มาและดูว่าจิตวิญญาณของคุณมีวิวัฒนาการมากพอที่จะสัมผัสกับความรู้สึกอื่น ๆ ของคุณเกี่ยวกับการควบคุมและคุกจิตที่คุณอยู่ทั้งหมดและเอาชนะความจำเสื่อมเสมือนจริง 

 เมื่อวิญญาณตระหนักถึงการจำคุกของจิตใจที่เมื่อโลกนี้กลายเป็นสนามเด็กเล่นสำหรับคุณที่จะทำในสิ่งที่คุณต้องการ  คุณไม่ได้ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ของคุณอีกต่อไปเพราะคุณเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นพลังงาน  พลังงานไม่มีที่สิ้นสุดและสามารถแสดงออกในปริมาณมาก  การช่วยเรายึดไทม์ไลน์นี้จะเป็นเรื่องง่ายเมื่อเทียบกับความจำเสื่อมแบบเสมือนจริงที่คุณต้องเอาชนะให้ได้  จนกว่าข้อความต่อไปของเรา  เรารักคุณทุกคนมาก

 ความรักและแสง🙏💙

การรีเซ็ตโลกยุคมืดสู่ยุคศรีวิไล กำลังสิ้นสุด

โลกของเราจะ"มืด"ก่อนที่มันจะ"สว่าง" 
จุดจบของความมืดนั้นใกล้เข้ามาแล้ว 

เรากำลังก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งแสงสว่างและความเป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นหมายความว่า จะมีการแสดงหลายอย่างที่ทำให้เราได้เห็นถึงความเป็นจริงของความมืด และเมื่อความมืดได้ผ่านพ้นไป เราทุกคนจะมีอิสระะอย่างแท้จริง

เรามีโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่ด้วยการ "รีเซ็ต"

ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับว่่า เราจะมีเงินเท่าไหร่?...หรือมีข้าวของอะไรอยู่ในมือ? แต่มันเกี่ยวกับ "ความรัก"ที่เรามีต่อคนจำนวนมากที่จะทำให้เราและเขามีความสุข เหมือนที่เรารักตัวเองรักพ่อแม่พี่น้อง และจูงมือมาร่วมกันสร้างสวรรค์บนดินเหมือนที่เคยตั้งใจไว้

อนาคตนั้นช่างน่าอัศจรรย์ ...

มีสัญญาณที่เป็นรูปธรรม ที่บ่งบอกว่าโลกนี้กำลังจะกลายเป็นสถานที่ที่ดีกว่าเดิมสำหรับมนุษยชาติมากขึ้นเป็นลำดับ

เชื่อมั่นว่าปีนี้ น่าจะเป็นปีที่ยิ่งใหญ่จากการเขย่าตัวครั้งใหญ่ของโลกที่กำลังสลัดปัดฝุ่นตัวเองออกมาจากความมืดมนเหล่านั้น..

ดวงดาวในจักรวาลกำลังตั้งค่าเพื่อนำพลังงานความสมดุลที่สมบูรณ์แบบ ส่งมอบให้กับเราในการเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่จะมาถึง....

ผู้คนส่วนมากกำลังรู้สึกหดหู่ ยากลำบาก หรือหงุดหงิด ทุกข์ใจกับความเครียด  ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับเวลาที่หมดไป เพื่อความหวังสำหรับการอยู่รอดในอนาคต 

แต่บางคนที่รู้สึกตัวและตื่นขึ้นมาแล้ว เขาจะรู้สึกถึงพลังงานระดับที่สูงขึ้น มีสติและความตระหนักรู้เพิ่มขึ้น พวกเขาจะเข้าใจถึงการมาอาศัยอยู่ที่นี่ภายใต้กฎพื้นฐานของมิตินี้ 

พวกเขาจะรู้สึกถึงความสุขในการเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางใหม่ที่ร่าเริงเบิกบาน พวกเขาจะรู้สึกได้ถึงคำมั่นสัญญาที่ได้เลือกไว้ พร้อมกับมีความรับผิดชอบต่อตัวเลือกที่สร้างไว้ในอดีต รวมทั้งสิ่งที่ทำอยู่ในขณะนี้ และที่จะปรากฎขึ้นในอนาคต

แน่นอนว่า สิ่งต่างๆกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยหรือรอบวัฐจักร  ซึ่งโลกและเราทังหมดกำลังถูกแช่อิ่มอยู่ในพลังงานอันดีงาม เพื่อชะล้างให้สะอาดสดใสยิ่งกว่าเดิมด้วย"ไฟ"หรือ"แสงสว่าง" 

ที่มันจะทำให้ภาพลวงตาทั้งหลายค่อยๆจางหายไป เนื่องจากเรากำลังถูกผลักดันและขับเคลื่อนให้เข้าไปใกล้กับแหล่งพลังงานต้นกำเนิดมากขึ้น ท่ามกลางความวุ่นวายบนโลกที่เกิดขึ้น

เราอยู่ ณ.จุดหนึ่งของประวัติศาสตร์ ที่ "ทองคำ"กำลังมีค่ามากกว่าเงิน สำหรับบางคนแล้ว "ทองคำ" อาจไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าหินสีเหลืองๆ แต่มันก็เปรียบเสมือนตัวแทนของสิ่งที่มีคุณค่า เช่นเดียวกับการรับรู้ถึงความอุดมสมบูรณ์และความมั่งคั่งทั้งหมดที่เป็นรากฐานแห่งความมั่นคงนั่นเอง

คำว่า "อุดมสมบูรณ์" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความมั่งคั่งหรือร่ำรวยเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึง ความสุขอันเรียบง่ายเป็นปกติ เป็นความรักความเมตตาความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อันไม่มีที่สิ้นสุด 

มนุษย์จะได้สังเกตเห็นหรือมีความรู้สึกที่ชัดเจนขึ้น ในการเชื่อมต่อกับความนิ่งสงบภายในที่เกิดขึ้นในจิตใจ และจะค้นหามันได้ง่ายขึ้นเมื่อทุกอย่างได้รับการ "เคลียร์ "

เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด

กับเหตุการณ์มากมายที่กำลังก่อตัวและปรากฎขึ้น...

- การดำเนินงานเพื่อเปิดเผยข้อมูลระดับโลกเกี่ยวกับการหลอกลวงครั้งใหญ่ การควบคุม หรือวาระการทำลายล้าง

- กองกำลังฝ่ายมืดที่ปกครองโลกมายาวนานกำลังถูกจำกัดอิทธิพลอย่างหนัก ใกล้ถึงเวลาล่มสลายและหมดเวลาของพวกเค้าอย่างถาวร

- สมบัติแก่แก่ดึกดำบรรพ์ทั้งหลายอีกมากกว่า 90% กำลังจะนำมาพัฒนาเปลื่ยนแปลงและฟื้นฟูโลก เริ่มจากการยกเลิกหนี้สิน และแก้ไขปัญหาความยากจนทั้งหลายบนโลกให้หมดสิ้นไป..

- เทคโนโลยีลึกลับที่เคยถูกซุกช่อนไว้และพลังงานฟรี จะถูกนำออกมาใช้สำหรับทุกคน

- อายุขัยของมนุษย์จะยืนยาวขึ้นจาก DNA ที่ได้รับการฟื้นฟูใหม่ตามพิมพ์เขียวต้นฉบับ หรือกลับเป็นหนุ่มสาวอีกครั้งด้วย Med Bed  เพื่อจะได้เรียนรู้และพัฒนาทางจิตวิญญาณต่อไป โดยไม่ต้องเวียนกลับมาเกิดกันหลายๆภพชาติ

- ผู้คนจะมีเวลาและได้ทำในสิ่งที่ใจรักอย่างแท้จริง

- ผู้คนทุกที่บนโลกไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถเชื่อมต่อกับอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้หากเขาปรารถนา

- การเปิดเผย First Contact กับรูปธรรมต่างๆในจักรวาล... ทั้งแฟ้มลับและอื่นๆสุดตระการตา

เรากำลังเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงที่ยิ่งใหญ่ตระการตาที่สุดในโลกและจักรวาลเลยก็ว่าได้ ขอให้สนุก เบิกบาน รอชมความงดงามและการเฉลิมฉลองที่จะเกิดขึ้นกันครับ 

😉😉😉
ที่มา
Mead Nations

การรักษาศีลและการสวดมนต์ป้องกันและรักษาโรคได้

ถ้าโยมมีศีลจิตโยมมีธรรม โรคที่เป็นกาฬโรคก็ดี อหิวาตกโรคก็ดี เรียกว่าไม่สามารถที่จะเข้ามาให้โทษให้คุณได้กับผู้ที่มีศีล
เพราะศีลนี้มันจะป้องกัน หรือเรียกว่ามีภูมิป้องกันโรค หากโยมไม่มีกรรมที่ไปเกี่ยวข้อง แม้โยมจะโดนหรือรับเชื้อมาก็ตาม..แต่ร่างกายสังขารมีภูมิต้านทานโรค มันก็สามารถจะผลักดันป้องกันได้
.
แต่ถ้าโยมนั้นมีกรรมที่จะต้องรับ..ติดเชื้อในโรคระบาดนี้ แม้โยมจะไปอยู่ที่ไหน อยู่ในห้องที่มีอะไรป้องกันที่ว่าปลอดภัยก็ดี ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากภัยจากโรคระบาดนี้ไปได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
.
มันไม่ได้เป็นเฉพาะบุคคล เค้าเรียกว่ามันเป็นทั้งโลก แล้วการที่เราเจริญศีลเจริญภาวนาจิตนี้ เมื่อเราปรับสมดุลแห่งธาตุและเลือดก็ดี..ให้มันสามารถมีภูมิต้านทานในสิ่งที่ดี นั้นโรคหรือสิ่งที่ไม่ดี..เมื่อเราปรับจิตมันดี ร่างกายสังขารธาตุเราก็ดีแล้ว ไอ้สิ่งที่ไม่ดีมันจะเข้ามา..มันก็จะถูกผลักออกไป นั่นก็หมายถึงมันต้องมีแต่สิ่งที่ดีๆเข้ามา เข้าใจมั้ยจ๊ะ หรือเมื่อเรามีสิ่งที่ไม่ดี เมื่อมันมีสิ่งที่ไม่ดีมันก็จะดึงดูดกับสิ่งนั้น
.
นั้นการใช้ชีวิตก็อย่าได้วิตก อย่าได้ประมาท เมื่อเรากลัวจนเกินไปนั้นมันก็จะขาดสติได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไอ้เรื่องโรคระบาดนี้มันยังไม่ได้จบเท่านี้ เดี๋ยวมันจะมีโรคอื่นมาอีก มันเป็นยุคของโรคที่มันจะระบาด..เรียกว่ามันถึงเวลา เพราะมันเพาะเชื้อมานานแล้ว มันก็เป็นภัยอย่างหนึ่ง
.
แต่นี่โยมถือศีลภาวนาสวดมนต์อธิษฐานจิตแผ่เมตตากันอยู่อย่างนี้ มันก็จะเป็นพลังต้านทานกับสิ่งเหล่านี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วการที่โยมสาธยายมนต์ ก็จะมีเทพเทวดาท้าวจตุโลกบาลก็ดีเสด็จมารับสดับฟังธรรม พวกมารก็ดีพวกภูติผีปีศาจที่จะเอาโรคห่าโรคอะไรมาก็ดี เมื่อเทพเทวดาเค้ามาสถิตมาชุมนุม ณ ที่แห่งนั้น สิ่งเหล่านี้ก็ต้องอันตรธานหายไป หลีกหนีหลบหนีไป เหมือนครั้งหนึ่งที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสด็จไป ก็จะมีเทพเทวดาเสด็จตามมาสถิตมารับเสด็จ..
.
แต่ในยุคนี้แล้วแม้ไม่มีองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน ในขณะใดที่โยมสาธยายมนต์ก็ดี จิตเรานอบน้อมในพระรัตนตรัยทำการนมัสการ เมื่อเราตั้งนะโมก็ดี ก็คำสวดนั้นก็จะเป็นตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน เทพเทวดาทั้งหลายได้ยินได้สดับแล้วด้วยญาณด้วยจิตวิถีก็จะเสด็จเข้ามาน้อมทำอัญชลี กราบนมัสการบังคมต่อบทคำสวดนั้น ก็จะเป็นชื่อเป็นมงคลกับสถานที่แห่งนั้น ก็จะทำให้ที่แห่งนั้นสะอาดสว่าง
.
นั้นหมายถึงว่าสถานที่ใดมีการชุมนุมแห่งบุคคลที่มีการเจริญศีล เจริญภาวนา เจริญมนต์ สถานที่นั้นย่อมเป็นที่กำจัดโรคไปในตัว เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วการสวดมนต์นี้เป็นการขับไล่สิ่งอัปมงคล ภูติผีปีศาจชั่วร้ายที่สิงสู่ก็ดีก็จะอันตรธานหายไป แม้โรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่ อำนาจแห่งการสวดมนต์ย่อมขับพิษไข้ ขจัดปัดเป่าให้บรรเทาไม่มากก็น้อย..หากไม่เกินวิสัยแห่งกรรม
.
ดังนั้นไอ้โรคระบาดเหล่านี้ที่มันเกิดขึ้น หากว่าไม่มีใครมีวิบากมีกรรมที่ไปพัวพันด้วย..ก็ไม่สามารถจะรับกรรมนั้นได้ แม้จะติดเชื้อมาก็ดีก็จะมีภูมิต้านทาน ไม่ทำให้ถึงกับชีวิต แต่ผู้ที่มีกรรมภูมิต้านทานนั้นที่อ่อนแอ เมื่อรับเชื้อเหล่านี้เข้าไปแล้ว..ก็เรียกว่ามันก็มีกรรมเพิ่มเป็นสองเท่า
.
นี้โรคระบาดเหล่านี้ก็เรียกว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรอย่างหนึ่ง ที่ตามหาคู่เวรคู่พยาบาทคู่อาฆาต ดังนั้นเมื่อเราสวดมนต์ภาวนาเจริญเมตตาจิต จนจิตเรานั้นเกิดความสงบตั้งมั่นแล้ว เกิดสมาธิ เกิดปัญญา เมื่อเราภาวนาจิตเกิดปัญญา เจริญเมตตาคือการอภัยทานแล้ว ไม่มีความอาฆาตพยาบาทกับใคร จิตเรานี้เมื่อไม่มีเวรพยาบาท เค้าเรียกว่าอกุศลกรรมก็ดีเมื่อไม่เกิดขึ้นในจิตแล้ว ดวงจิตดวงวิญญาณเหล่าใดก็ตามที่จะพยาบาทเรานั้น ที่จะมาให้ผลมากระทำมาจองเวรมาอาฆาตก็ดี ณ ขณะนั้น กระแสแห่งพระรัตนตรัยก็ดีในบุญกุศลก็ดีในขณะนั้นมันยังปกปักรักษาเราอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
.
เมื่อเราทำอยู่บ่อยๆ มันก็ห่างไกลจากสิ่งเหล่านั้น เมื่อจิตเรานั้นให้อภัยอยู่บ่อยๆ มันก็จะห่างไกลจากสิ่งเหล่านั้น แต่การให้อภัยทานก็ดี..แม้เราจะให้อภัยทานใครก็ตามร้อยหนสักกี่หนพันหนก็ตาม มันก็ยังสู้ธรรมทานไม่ได้ เพราะการให้อภัยทานนี้แม้เราให้อภัยทานเค้าไปแล้ว ถ้าเค้ายังมีการสร้างเวรสร้างพยาบาทอีก เค้าก็ไม่รอดพ้นจากคมหอกคมดาบหรือทุกข์ภัยได้
.
แต่การให้ธรรมทาน..หากเราให้สติเค้าได้ ให้ปัญญาเค้าได้ เค้าจะได้คุ้มครองเอาตัวรอดได้ แต่การให้อภัยทานของเรานั้นเป็นการไม่สร้างเวรสร้างพยาบาท แต่เค้านั้นจะไปสร้างเวรสร้างพยาบาทกับใคร อันนั้นก็เพราะวิบากกรรมของเค้า นั้นไม่ว่าใครจะทำให้เรานั้นเจ็บช้ำน้ำใจ หรือมีความผูกโกรธอาฆาตพยาบาท แต่ถ้าเราไม่พยาบาทตอบ..กรรมนั้นก็ไม่อยู่ที่เราแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ
.
เมื่อกรรมนั้นไม่อยู่ที่เราแล้ว เรานั้นก็ไม่มีเวรมีกรรมกับเค้า แสดงว่าถ้าเค้านั้นยังจองเวรอยู่ แสดงว่าเค้านั่นแหล่ะเป็นผู้มีกรรม เป็นผู้ที่รับผลแห่งกรรม เป็นผู้ต้องเสวยกรรม ความทุกข์จะอยู่กับผู้ใดเล่าถ้าเป็นอย่างนั้น ก็อยู่กับผู้ที่มีเวรมีพยาบาทมีกรรม เมื่อผู้ที่ไม่มีเวรพยาบาทแล้ว เค้าจะมีกรรมได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่มีค่ะ) เมื่อไม่มีแม้เค้าจะอยู่ใกล้กับคนแบบนั้น เมื่อเค้าไม่เอาความทุกข์ไม่เอาพยาบาทแล้ว เค้าอภัยแล้ว เค้าจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ล่ะจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เป็นสุขค่ะ)
.
ไอ้พวกโรคภัยไข้เจ็บก็เหมือนกัน แม้เราจะอยู่ใกล้ก็ดี แต่เรานั้นไม่มีกรรมร่วมก็ดี ก็จะหลีกหนีกันไปได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไอ้เรื่องหนีความตาย ถ้าโยมจะไปหลีกหนีความตาย ความเจ็บไข้ ความป่วยไข้..มันก็หนีกันไม่ได้ เมื่อถึงเวลาถึงที่ที่ไหนก็ตามมันก็ต้องตาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

.
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
เพจ : ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี

โอกาสที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนานั้นแสนยาก

“…พระพุทธเจ้าท่านทรงรู้แจ้งว่า โลกนี้จะพ้นโง่มันก็ยาก การที่จะได้เกิดเป็นคนนี่ยากที่สุด แล้วเป็นคนจะเอาคนชนิดไหน คนมีบุญ คนลำบาก คนพิการง่อยเปลี้ย จะหาคนสบายมีกี่คน ถ้าเทียบจำนวนทั้งหมด อย่างเดียรัจฉานนี่มันกินกันเอง กัดกันเอง คนบ้าฆ่ากันเอง

กระดูกของแต่ละคนนี้ ท่านว่า กองเท่าภูเขา น้ำตาและเลือดของแต่ละชีวิต ที่ผ่านมามีมากกว่าน้ำในมหาสมุทร ! ดูซิ มันยาวนานแค่ไหน การจะเกิดเป็นคนนั้นมันยากมาก ยาก ! อย่างที่ท่านเปรียบว่า

“เต่าตาบอด” มันจะว่ายน้ำเข้าฝั่ง แต่ทะเลมีตาข่ายกั้นอยู่ และมีรู เท่าตัวเต่าอยู่รูเดียว ถ้าหัวไปโดนตาข่าย มันจะจมลงไปอีก ๑๐๐ ปี จึงจะได้โผล่มาใหม่ คือ จะลอดได้ มันต้องฟลุ๊คที่สุด แต่อย่างนั้น โอกาสก็ยังง่ายกว่าโอกาสจะได้เกิดมาเป็นคน และเป็นคนอยู่ในพระพุทธศาสนามันยาก ไม่พ้นวัฏสงสารไปได้…”

หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต

หนีนรกแบบง่ายๆ

"ใช้วิธีบูชาพระเป็นประจำ" 
การบูชาพระ การสวดมนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสวดมนต์ก็ไม่มีความจำเป็นต้องสวดมากถ้าว่าอะไรไม่ได้มากก็ว่า อิติปิ โสฯ 
บทเดียวก็พอ ว่า นะโม ตัสสะ แล้วว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง เสร็จ อิติปิ โสฯ บทเดียวก็พอ หลังจากนั้นถ้ามีเวลาติดต่อกันเลยนั่งภาวนาพุทโธสัก ๒ -  ๓ นาที เท่านี้พอแล้ว

ถ้าทำอย่างนี้ทุกวันตามเวลากำหนดไว้ 
ว่าเวลาไหนเป็นเวลาที่เราว่าง  เราควรจะมีการบูชาพระ ให้ทำประจำเวลา แล้วก็ทำไปอย่างนี้เรื่อยๆ จนกว่าต่อไปในวันหน้าถ้าถึงเวลานั้นแล้วไม่ได้บูชาพระใจไม่สบาย อย่างนี้

 "ถือว่าเป็นฌานในพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ" 

คือพอถึงปั๊บต้องบูชาพระถ้าไม่ได้บูชาพระรำคาญใจ ต้องทำ ถ้าอย่างนี้ตายแล้วลงนรกไม่ได้ต้องไปสวรรค์ก่อน อีกประการหนึ่ง ถ้าจะยิ่งไปกว่านั้น ก็จัดการ "ถวายอาหารแก่พระพุทธรูปทุกวัน" การถวายอาหารนี่ความจริงไม่ใช่ท่าน เป็นการบูชา จะเป็นอาหารหวานอาหารคาวก็ได้ เป็นผลไม้ก็ได้ เป็นประจำวัน ถ้าถึงเวลาแล้วต้องถวายท่าน ถ้าไม่ถวายไม่สบายใจ อย่างนี้ถือว่าเป็นฌานในพุทธานุสสติ เป็นฌานในจาคานุสสติด้วย ถ้าอย่างนี้ทุกคนเวลาตายลงนรกไม่ได้ นี่เอาหนีนรกแบบเบาๆ

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
________________
จากหนังสือ "ธรรมปฏิบัติ ๔๕" หน้า ๗๘ คัดลอกโดย คณะบุญสุประวีณ์
FB : กุลปราการ นันทิกานต์

30 มีนาคม 2563

วิธีวางใจขณะทำสมาธิ

"...นักปฏิบัติถ้าจะปฏิบัติกันให้ดีล่ะก็ จงอย่าสนใจว่าเวลานี้มันจะได้ฌานอะไร จะเข้าถึงฌานหรือจะเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ จะเป็นฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็ช่าง ไม่สนใจ

นี่เราพูดกันถึงว่าในแง่ของการปฏิบัติที่เอาดีกัน ถือว่าวันนี้ได้ดีเพียงใด พอใจเท่านั้น เราทำตามอารมณ์สบายของเรา มันได้แค่ไหนพอใจแค่นั้น เมื่อวานนี้ดีกว่าวันนี้ วันนี้เลวกว่าเมื่อวานนี้หน่อยก็่ช่างคิดว่าเราเป็นผู้สะสมความดีจะทรงอารมณ์จิตให้อยู่ในด้านของสมาธิตามความพอใจที่เราต้องการเท่านี้พอ

ถ้าจิตตั้งอยู่อย่างนี้ อารมณ์จะเป็นสุข ไม่มีอาการดิ้นรน
จงอย่าสนใจกับภาพที่เห็น จงอย่าสนใจกับอารมณ์ของจิต
ว่าเมื่อวันก่อนนี้มันเลวกว่าวันนี้ หรือว่าวันนี้ดีกว่าวันก่อน
ถ้าไปสนใจอย่างนั้น จิตจะไม่ทรงตัว จะหาอารมณ์ที่แนบสนิทไม่ได้

ฉะนั้น ขอท่านทั้งหลายพึงตั้งใจไว้โดยเฉพาะ เพื่อผลของความดี นั่นก็คือเวลาที่เจริญสมาธิจิต จะด้านอานาปานุสสติก็ตาม กรรมฐานกองอื่นใดก็ตาม
จงทราบว่า เวลานี้จะตกอยู่ในสภาพของฌานอะไรก็ช่าง
อย่าไปตั้งหน้าตั้งตาว่าเราต้องการได้ฌานนั้น เราต้องการทรงฌานนี้ มันจะเกิดอารมณ์กลุ้ม

ถ้าอารมณ์กลุ้มเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ตัดความดีทั้งหมด
ผลที่สุด วันนั้นเราจะไม่ได้อะไรเลย เป็นอันว่าขณะใดที่ทำไปขณะนั้นเรามีความพอใจได้แค่ขณิกสมาธิคือสมาธิเล็กน้อยเราก็พอใจ ได้ถึงอุปจารสมาธิเราก็พอใจ จิตตกอยู่ในฌานใดฌานหนึ่งเราก็พอใจ พอใจเสียทั้งหมด

ถ้าทำจิตอย่างนี้ อารมณ์จิตจะสบาย ก็ได้แก่การฝึกจิตเข้าถึงอุเบกขารมณ์นั่นเอง เมื่อการฝึกจิตแบบนี้แล้ว ต่อไปจิตจะเป็นเอกัคคตารมณ์และอุเบกขา คือจิตจะทรงฌาน ๔ ได้ง่าย..."

พระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

คำอธิษฐานธรรม "ทำบุญ"

🌼
"พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง สังฆัง นิพพานัง"

🔸ข้าพเจ้าได้ทำบุญ....(ตักบาตร/ถวายปัจจัย/....) ข้าพเจ้าขอแผ่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้แก่บรรดาสัตว์ มีดิน น้ำ ลม ไฟ และเทวดารักษาอายุของ นาย/นาง/นางสาว..... 

🔹เมื่อท่านรับแล้ว จงดลบันดาลให้ นาย/นาง/นางสาว..... หายจากโรค และมีอายุยืนนานตลอดอายุขัย ให้ได้รับความสุขกาย สุขใจ ตลอดกาลด้วยเทอญ นิพพานะปัจจะโยโหตุ

คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
🙏🙏🙏
Cr.SaRaN WiKi

การเจริญสติปัฏฐาน4

คือการพัฒนาสติ ปลุกสภาวะรู้ขึ้นมา
ซึ่งเป็นทางสายเดียวที่จะพาพวกเราทุกคน
ก้าวพ้นจากฝั่งวัฏสงสาร ฝั่งที่มีปัจจัยปรุงแต่ง
.
เข้าสู่ฝั่งพระนิพพาน
ฝั่งที่พ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวง
พบความสุขที่แท้จริงของชีวิตได้
.
ดั่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า...
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
ความระงับแห่งสังขารทั้งปวงเป็นสุข
พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

เริ่มจากจิตของผู้ที่ยังไม่รับการฝึกสติ
ก็จะไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ
เกิดความชอบ ความชัง ความทุกข์
ความกังวลความเร่าร้อน ทุกข์กาย ทุกข์ใจต่างๆ
เกิดตัวตน เกิดภพ เกิดชาติ ในทุกๆขณะจิต

#สัมมาสติ / #สติ

แต่เมื่อมารู้จักการเจริญสติ รู้สึกกาย รู้สึกใจ
ระลึกรู้สึกตัวขึ้นมา เมื่อสภาวะรู้ เริ่มตื่นขึ้น
ในขณะที่สภาวะรู้ตื่นขึ้น
กระแสของจิตที่ไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ
ก็จะถูกตัดลงไป ถูกละลงไป
อุปาทาน ความยึดมั่น
ตัณหา ความยึดติด
ก็จะถูกละออกไป ณ ขณะนั้นๆ ที่สภาวะรู้ ตื่นขึ้นมา
.
ใหม่ๆ สภาวะรู้ตื่นขึ้นมา เดี๋ยวจิตมันก็ไหล
ไปกับอารมณ์ต่างๆ
นึกคิดปรุงแต่ง เพลิดเพลินอยู่กับอารมณ์ต่างๆ
เมื่อผู้ปฏิบัติหมั่นเจริญสติระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอ
สภาวะรู้ก็จะเริ่มตื่นขึ้น ตื่นได้บ่อยขึ้น
ต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ
.
ณ ขณะที่สภาวะรู้ตื่นขึ้น จิตที่ไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ
ก็จะถูกละลงไป ธรรมชาติของจิตในชั้นของ
กามาวาจร ก็จะเกิดตามอายตนะต่างๆ
เกิดทางตา เกิดการเห็น
เกิดทางหู เกิดการได้ยิน
เกิดทางจมูก เกิดการได้กลิ่น
เกิดทั้งลิ้น เกิดการลิ้มรส
เกิดทางกาย เกิดสัมผัสทางกายขึ้นมา
เกิดผัสสะ เกิดเวทนา
เกิดความชอบ ความชัง ความติดใจ ความไม่พอใจ
.
ในขณะที่มีสติ สภาวะรู้ตื่นขึ้นมา
กระแสของจิตเมื่อเกิดตามอายตนะต่างๆ
ก็จะถูกละลงไป
ไม่เกิดความชอบ ไม่เกิดความชัง
เหลือแค่รู้ แค่รู้สึก ณ ขณะนั้นๆขึ้นมา

#สัมมาสมาธิ / #สมาธิ

เมื่อผู้ปฏิบัติเพียรเจริญสติ ทำความรู้สึกตัวอยู่เสมอ
สภาวะรู้ก็จะเริ่มตื่นขึ้น มีกำลังขึ้น
เมื่อสภาวะรู้มีความตั้งมั่น
มีกำลังพอ จิตก็จะถูกละออกไป ไม่ส่งออกไปในอารมณ์ต่างๆ
เกิดที่อายตนะใจอย่างเดียว
ก็จะเข้าสู่สภาวะของชั้นสมาธิรูปาวาจร
สติมั่นคง จิตตั้งมั่น
.
กระแสของปฏิจจสมุปบาทก็จะถูกละลงไป
เหลือแค่เกิดตามอายตนะต่างๆ
เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เกิดจิตตั้งมั่นขึ้นมา
.
เมื่อสภาวะรู้มีกำลังทรงตัวพอ
ก็จะเกิดสภาวะของความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
เกิดจิตตั้งมั่นขึ้นมา
กระแสของปฏิจจสมุปบาทก็จะถูกทวนกระแส
ออกมาเรื่อยๆ
จากปกติที่จิตไหลไปกับอารมณ์
เกิดตัณหาอุปาทาน ตัณหาอุปาทานก็ถูกละออกไป
จากจิตที่เกิดตามอายตนะ
ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
อายตนะทั้ง 5 ก็ถูกละลงไป เกิดที่ใจอย่างเดียว
ในสภาวะของสัมมาสมาธิ ชั้นรูปาวจร

#สัมมาญาณ / #ปัญญา

เมื่อผู้ปฏิบัติพัฒนากำลังสติไปเรื่อยๆ
สภาวะรู้มีกำลังทรงตัวพอ
จิตซึ่งเกิดจากอวิชชา ซึ่งบดบังสภาวะรู้อยู่
ก็จะเริ่มเกิดการหลุดออก แยกออกจากกัน
.
เมื่อสภาวะรู้มีกำลังพอ เมื่อจิตกับสภาวะรู้
ถูกแยกออกจากกัน
สิ่งที่บดบังสภาวะรู้อยู่ถูกละออกไป
ธรรมทั้งหลายก็จะปรากฏตามความเป็นจริง
เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
รูปนามขันธ์ 5 ก็จะเกิดการแตกดับตามความเป็นจริง
เห็นจิตเกิดดับตามความเป็นจริง
เข้าสู่วิปัสสนาญาณเกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง

#สัมมาวิมุตติ / #วิชชาวิมุตติ

เมื่อเกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริงอยู่เนืองเนือง
เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา
ย่อมเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด
จากสิ่งที่ยึดที่หลงอยู่
ก็จะคืนสู่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เข้าถึงสภาวะรู้ที่บริสุทธิ

เมื่อสภาวะรู้มีความละเอียดถึงขีดสุด
ย่อมเห็นปฐมเหตุ
ที่ทำให้อวิชชาเกิดขึ้น เป็นอนุภาคอิสระเคลื่อนที่
ท่ามกลางความว่างแห่งสภาวะรู้
ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง สลัดคืนจากทุกสิ่ง
คืนสู่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เข้าถึงสภาวะรู้ที่บริสุทธิ์
ที่พ้นจากการปรุงแต่งทั้งปวง

เมื่อสภาวะรู้มีความละเอียดถึงขีดสุด
ย่อมเห็นปฐมเหตุ
ที่ทำให้อวิชชาเกิดขึ้น เป็นอนุภาคอิสระเคลื่อนที่
ท่ามกลางความว่างแห่งสภาวะรู้
ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง สลัดคืนจากทุกสิ่ง
คืนสู่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เข้าถึงสภาวะรู้ที่บริสุทธิ์
ที่พ้นจากการปรุงแต่งทั้งปวง

เมื่ออยู่กับสภาวะรู้ ก็สามารถใช้ชีวิตได้ปกติ
ภายนอกจะวุ่นวายขนาดไหนก็ตาม
ภายใน นิ่ง ว่าง สงบอยู่ ไร้อัตตาตัวตน

ทุกข์เพราะจิต ความจริงแท้ในอริยสัจ ๔

"...เมื่อจิตกระทบเข้ากับอารมณ์ภายนอกอย่างไร ก็ให้หยุดอยู่แค่นั้น อย่าไปทะเลาะวิวาทโต้แย้ง อย่าไปเอออวยเห็นดีเห็นงาม ให้จิตได้โอกาสก่อรูปก่อร่างเป็นตุเป็นตะ เป็นเรื่องเป็นราวยืดยาวออกไป

อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ต่อไป อย่าไปใส่ใจอีกต่อไป พอกันเพียงรู้อารมณ์เท่านี้เอง หยุดกันเพียงเท่านี้..."

จิตส่งออกนอก เป็น สมุทัย

ผลอันเกิดจากที่ จิตส่งออกนอก เป็น ทุกข์

จิตเห็นจิต อย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค

ผลอันเกิดจาก จิตเห็นจิต อย่างแจ่มแจ้ง เป็น นิโรธ

อนึ่ง ตามสภาพที่แท้จริงของจิต

ย่อมส่งออกนอก เพื่อรับอารมณ์นั้น ๆ โดยธรรมชาติของมันเอง

ก็แต่ว่า ถ้าจิตส่งออกนอก ได้รับอารมณ์แล้ว

จิตเกิดหวั่นไหวหรือกระเพื่อมตามอารมณ์นั้น เป็นสมุทัย

ผลอันเกิดจาก จิตหวั่นไหวหรือกระเพื่อม ไปตามอารมณ์นั้น ๆ เป็นทุกข์

ถ้าจิตที่ส่งออกนอกได้รับอารมณ์แล้ว

แต่ไม่หวั่นไหวหรือกระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้น ๆ มีสติอยู่อย่างสมบูรณ์ เป็นมรรค

ผลอันเกิดจากจิตไม่หวั่นไหว หรือ ไม่กระเพื่อม เพราะมีสติอย่างสมบูรณ์ เป็นนิโรธ

พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีจิตไม่ส่งออกนอก จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อม เป็นวิหารธรรม

จบอริยสัจ ๔ ..


หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

27 มีนาคม 2563

อย่าอ้างธรรมะใครถูกใครผิด

ตรัสห้ามว่า “อย่าเลย ภิกษุทั้งหลาย พวกท่านอย่าได้ทำการแตกร้าวกัน” ดังนี้เป็นต้นแล้ว ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการแตกร้าว การทะเลาะ การแก่งแย่งและการวิวาทนั่น ทำความฉิบหายให้,

     ....................................................................

พระวินัยธรกับพระธรรมกถึกเถียงกันเรื่องวินัย   
            
               ความพิสดารว่า ภิกษุสองรูป คือพระวินัยธรรูป ๑ พระธรรมกถึกรูป ๑ มีบริวารรูปละ ๕๐๐ ได้อยู่ที่โฆสิตาราม ใกล้เมืองโกสัมพี. วันหนึ่ง ในภิกษุ ๒ รูปนั้น พระธรรมกถึก ไปถาน(ส้วมของพระ) แล้ว เว้นน้ำชำระที่เหลือไว้ในภาชนะ ที่ซุ้มน้ำแล้วก็ออกมา. ภายหลัง พระวินัยธรเข้าไปที่ซุ้มน้ำนั้น เห็นน้ำนั้น ออกมาถามพระธรรมกถึกนอกนี้ว่า “ผู้มีอายุ ท่านเหลือน้ำไว้หรือ?” 
               ธ. ขอรับ ผู้มีอายุ. 
               ว. ท่านก็ไม่รู้ว่าอาบัติ ในเพราะการเหลือน้ำไว้นี้หรือ? 
               ธ. ขอรับ ผมไม่ทราบ. 
               ว. ไม่รู้ก็ช่างเถิด ผู้มีอายุ เป็นอาบัติในข้อนี้. 
               ธ. ถ้าอย่างนั้น ผมจักทำคืนอาบัตินั้นเสีย. 
               ว. ผู้มีอายุ ก็ถ้าว่าข้อนั้นท่านไม่แกล้งทำ เพราะความไม่มีสติ, อาบัติไม่มี. 
               พระธรรมกถึกนั้นได้เป็นผู้มีความเห็นอาบัตินั้นว่ามิใช่อาบัติ. 
               ฝ่ายพระวินัยธรได้บอกแก่พวกนิสิตของตนว่า “พระธรรมกถึกรูปนี้ แม้ต้องอาบัติก็ไม่รู้” พวกนิสิตพระวินัยธรนั้น เห็นพวกนิสิตของพระธรรมกถึกนั้นแล้ว ได้กล่าวว่า “พระอุปัชฌาย์ของพวกท่าน แม้ต้องอาบัติแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ” พวกนิสิตของพระธรรมกถึกนั้นไปแจ้งแก่พระอุปัชฌาย์ของตนแล้ว. 
               พระธรรมกถึกนั้นพูดอย่างนี้ว่า “พระวินัยธรรูปนี้ เมื่อก่อนพูดว่า ‘ไม่เป็นอาบัติ’ เดี๋ยวนี้พูดว่า ‘เป็นอาบัติ,’ พระวินัยธรนั้น พูดมุสา;” พวกนิสิตของพระธรรมกถึกนั้นไปกล่าวว่า “พระอุปัชฌาย์ของพวกท่านพูดมุสา.” พวกนิสิตของพระวินัยธรและพระธรรมกถึกนั้น ทำความทะเลาะกันและกันให้เจริญแล้ว ด้วยประการอย่างนี้. 
               ภายหลัง พระวินัยธรได้โอกาสแล้ว จึงได้ทำอุกเขปนียกรรม๑- แก่พระธรรมกถึก เพราะโทษที่ไม่เห็นอาบัติ. จำเดิมแต่กาลนั้น แม้พวกอุปัฏฐากผู้ถวายปัจจัยของภิกษุ ๒ รูปนั้น ก็ได้เป็น ๒ ฝ่าย. พวกภิกษุณีผู้รับโอวาทก็ดี พวกอารักขเทวดาก็ดี๒- ของภิกษุ ๒ รูปนั้น พวกอากาสัฏฐเทวดา๓- ผู้เพื่อนเห็น เพื่อนคบของพวกอารักขเทวดาเหล่านั้นก็ดี พวกปุถุชนทั้งปวงก็ดี ได้เป็น ๒ ฝ่ายตลอดจนพรหมโลกก็โกลาหลกึกก้องเป็นเสียงเดียว. ได้ขึ้นไปจนถึงอกนิฏฐภพ. 
____________________________ 
๑- กรรมที่สงฆ์จะพึงทำแก่ภิกษุที่สงฆ์สมควรจะยกเสีย 
๒- เทวดาผู้คุ้มครองรักษา 
๓- เทวดาผู้สถิตอยู่ในอากาศ

               พระศาสดาตรัสสอนให้สามัคคีกัน       
        
               ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระตถาคตเจ้า กราบทูลการที่พวกภิกษุผู้ยกวัตรถือ๑- ว่า “พระธรรมกถึกรูปนี้ สงฆ์ยกเสียแล้วด้วยกรรมที่ประกอบด้วยธรรมแท้.” และการที่พวกภิกษุผู้ประพฤติตามพระธรรมกถึกผู้ที่สงฆ์ยกเสียแล้วถือว่า “พระอุปัชฌาย์ของพวกเรา สงฆ์ยกเสียแล้ว ด้วยกรรมซึ่งมิได้ประกอบด้วยธรรม.” และการที่พวกภิกษุผู้ประพฤติตามพระธรรมกถึก ผู้ที่สงฆ์ยกวัตรเหล่านั้น แม้อันพวกภิกษุผู้ยกวัตรห้ามอยู่ ก็ยังขืนเที่ยวตามห้อมล้อมพระธรรมกถึกนั้น. 
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงส่งโอวาทไปว่า “นัยว่า ภิกษุทั้งหลายจงพร้อมเพรียงกัน” ถึง ๒ ครั้ง ทรงสดับว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุทั้งหลายไม่ปรารถนาจะเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน.” ครั้นหนที่ ๓ ทรงสดับว่า “ภิกษุสงฆ์แตกกันแล้ว ภิกษุสงฆ์แตกกันแล้ว” ดังนี้ จึงเสด็จไปสู่สำนักของเธอทั้งหลายแล้ว ตรัสโทษในการยกวัตรของพวกภิกษุผู้ยกวัตร และโทษในการไม่เห็นอาบัติของพวกภิกษุนอกนี้แล้ว ทรงอนุญาตสังฆกรรมทั้งหลายมีอุโบสถเป็นต้น ในสีมาเดียวกันที่โฆสิตารามนั่นเอง แก่เธอทั้งหลายอีกแล้ว ทรงบัญญัติวัตรในโรงฉันว่า “ภิกษุทั้งหลายพึงนั่งในแถวมีอาสนะหนึ่งๆ ในระหว่างๆ๒- ดังนี้เป็นต้น แก่เธอทั้งหลาย ผู้เกิดการแตกร้าวในสถานที่ทั้งหลาย มีโรงฉันเป็นต้น แล้วทรงสดับว่า “ถึงเดี๋ยวนี้ ภิกษุทั้งหลายก็ยังเกิดการแตกร้าวกันอยู่” จึงเสด็จไปที่โฆสิตารามนั้นแล้ว ตรัสห้ามว่า “อย่าเลย ภิกษุทั้งหลาย พวกท่านอย่าได้ทำการแตกร้าวกัน” ดังนี้เป็นต้นแล้ว ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการแตกร้าว การทะเลาะ การแก่งแย่งและการวิวาทนั่น ทำความฉิบหายให้, 
               แท้จริง แม้นางนกลฏุกิกา๓-. อาศัยการทะเลาะกัน ยังอาจทำพระยาช้างให้ถึงความสิ้นชีวิต” ดังนี้แล้ว ตรัสลฏุกิกชาดก๔- แล้วตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลายขอพวกท่านจงพร้อมเพรียงกันเถิด อย่าวิวาทกันเลย, เพราะว่า แม้นกกระจาบตั้งหลายพัน อาศัยความวิวาทกัน ได้ถึงความสิ้นชีวิต”

"สัมมาสติ,สัมมาสมาธิ"มีกำหนดด้วยฌานเป็นบาทฐาน

แม้สัมมาสติ ชื่อว่าต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะความต่างกันแห่งจิตกำหนดกายเป็นต้น. ส่วนในขณะแห่งมรรค สติอย่างเดียวย่อมเกิดขึ้น ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์อยู่ด้วยสามารถให้สำเร็จกิจในฐานะ ๔ เหล่านี้ นี้ชื่อว่าสัมมาสติ. 
               พึงทราบในฌานเป็นต้น ในส่วนเบื้องต้น สัมมาสมาธิต่างกันด้วยสามารถสมาบัติ ในขณะแห่งมรรคด้วยสามารถมรรคที่ต่างกัน. 
               จริงอยู่ ปฐมมรรคของฌานอย่างหนึ่งย่อมมีปฐมฌาน แม้ทุติยมรรคเป็นต้นมีปฐมฌานหรือมีฌานอย่างใดอย่างหนึ่งในทุติยฌานเป็นต้น ปฐมมรรคของฌานอย่างหนึ่งย่อมมีฌานอย่างใดอย่างหนึ่งแห่งทุติยฌานเป็นต้น. แม้ทุติยมรรคเป็นต้นมีฌานอย่างใดอย่างหนึ่งแห่งทุติยฌานเป็นต้นหรือมีปฐมฌาน. มรรคแม้ ๔ จะเหมือนกัน ไม่เหมือนกันหรือเหมือนกันบางอย่าง ย่อมมีด้วยสามารถแห่งฌานอย่างนี้แล. 
               ส่วนความต่างกันแห่งมรรคนี้ ย่อมมีด้วยการกำหนดฌานที่เป็นบาท. 
               จริงอยู่ มรรคที่เกิดขึ้นแก่ผู้ได้ปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้วเห็นแจ้งอยู่ ย่อมมีปฐมฌานด้วยการกำหนดฌานที่เป็นบาท. ส่วนในฌานนี้ย่อมมีองค์แห่งมรรคโพชฌงค์และฌานบริบูรณ์แล้วแล. 
               มรรคที่เกิดขึ้นแก่ผู้ออกจากทุติยฌานแล้วเห็นแจ้งอยู่ ย่อมมีทุติยฌาน. ส่วนในฌานนี้ องค์มรรคมี ๗. มรรคที่เกิดขึ้นแก่ผู้ออกจากตติยฌานเห็นแจ้งอยู่ ย่อมมีตติยฌานก็ในฌานนี้มีองค์มรรค ๗ โพชฌงค์มี ๖. ตั้งแต่จตุตถฌานจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะก็มีนัยนี้. 
               จตุกกฌานและปัญจมกฌานในอรูปฌานย่อมเกิดขึ้น และฌานนั้น ท่านกล่าวว่า เป็นโลกุตระหาเป็นโลกิยะไม่ ดังนี้. 
               แม้ในบทว่า กถํ นี้ในบทนั้น มรรคนั้นเกิดขึ้นแล้วในอรูปฌาน เพราะออกจากปฐมฌานเป็นต้นได้โสดาปัตติมรรคเจริญอรูปสมาบัติ. มรรค ๓ แม้มีฌานนั้น ย่อมเกิดขึ้นในอรูปฌานนั้นของฌานนั้น. 
               ฌานที่เป็นบาท ย่อมกำหนดอย่างนี้แล. 
               ส่วนพระเถระบางพวกย่อมกล่าวว่า ขันธ์เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาย่อมกำหนด. บางพวกกล่าวว่า อัธยาศัยของบุคคลย่อมกำหนด. บางพวกย่อมกล่าวว่า วุฏฐานคามินีวิปัสสนาย่อมกำหนด. 
               การวินิจฉัยในวาทะของพระเถระเหล่านั้น พึงทราบโดยนัยอันกล่าวไว้แล้วในอธิการว่าด้วยวุฏฐานคามินีวิปัสสนา ในวิสุทธิมรรค. 
               บทว่า อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว สมฺมาสมาธิ ดังนี้ นี้เป็นโลกิยะในส่วนเบื้องต้น ในส่วนเบื้องปลายเป็นโลกุตระ ท่านเรียกว่า สมาธิ.

                 อรรถกถาวิภังคสูตรที่ ๘

คุณต้องการเรียกคืนความเป็นมนุษย์26 มีนาคม 2563โดย Rachel Horton White

พลังงานของโลกเมื่อไม่นานมานี้รู้สึกหนัก แต่สิ่งต่าง ๆ กำลังก่อตัวอยู่ใต้พื้นผิว เราได้รับพลังงานจำนวนมากที่ร่างกายของเราต้องการพักผ่อนและเราอาจเจ็บป่วยเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของเราอ่อนแอลงเนื่องจากร่างกายของเราทำงานหนักเพื่อช่วยให้เราขยาย
มีหลายอย่างที่เราไม่ได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเราในฐานะมนุษย์เกี่ยวกับว่าเรามาจากไหนและเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของโลก (ใช่สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการมาจากกาแลคซี / ดาวเคราะห์อื่น ๆ หรือที่รู้จักกันว่า“ มนุษย์ต่างดาว”) พวกเราหลายคนแบ่งปันแสงพยายามปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความคิดเพื่อช่วยให้ผู้คนตื่นขึ้นและขยายตัว แต่โดยปกติเราต้องทำ เพื่อไม่ให้ครอบงำอัตตา (ซึ่งจะปฏิเสธสิ่งที่ดูเหมือนไกลเกินกว่าที่เชื่อว่าเป็นจริง)

ในสัปดาห์ที่ผ่านมาฉันรู้สึกว่าสัญชาตญาณของฉันขยายตัวอย่างรวดเร็ว ฉันได้อ่านข้อมูลของ Akashic Records ด้วยรายละเอียดจำนวนมหาศาลที่ทำให้ฉันประหลาดใจ ตอนแรกฉันคิดว่ามันเป็นแค่ลูกค้าคนเดียว แต่แล้วมันก็เกิดขึ้น และการซิงโครไนซ์และตัวเลขและการแทรกแซงจากสวรรค์ก็เกิดขึ้นเช่นกัน สำหรับฉันและเพื่อคุณ สำหรับพวกเราทุกคนแม้ว่าบางคนเลือกที่จะไม่สนใจก็ตาม
พลังงานมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนตื่นขึ้นมา พวกเราจำนวนมากกำลังเปิดเผยความลึกของเวทมนตร์ภายในจิตวิญญาณของเรา เราเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในฐานะเผ่าพันธุ์มนุษย์และเราได้ปลดปล่อยตัวเองจากคุกที่สั่นสะเทือนที่เราเคยทำ
ภารกิจของฉันที่นี่บนโลกในชีวิตนี้คือการช่วยแบ่งปันแสงสว่างความจริงและการรักษา ฉันยอมรับภารกิจนี้ที่ท้าทายอย่างมากและฉันคิดว่ามันเป็นสิทธิพิเศษและเกียรติสำหรับคุณที่จะได้ยินสิ่งที่ฉันแบ่งปัน ฉันเป็นหนึ่งในหลาย ๆ คนเช่นคุณหลายคนที่อ่านข้อความนี้ที่นี่เพื่อช่วยในการเปิดใช้งาน
วิธีที่ฉันทำคือการช่วยให้ผู้คนเพิ่มการสั่นสะเทือนของพวกเขาเพื่อเปิดเผยแสงและพลังภายในตัวเองเคลื่อนย้ายความกลัวในอดีตข้อสงสัยและเลเยอร์ทั้งหมดของอัตตาที่พยายามทำให้เราอยู่ในที่ปลอดภัย ฉันชอบที่จะสอนและช่วยให้ผู้คนเข้าไปข้างในเพื่อดึงความจริงออกมาเป็นสิ่งมีชีวิตทางวิญญาณที่ทรงพลัง (ผ่านการอ่านการสะกดจิตการถดถอยการถดถอยและแค่คำพูดและพลังงาน)!

แล้วมันเกี่ยวกับอะไร? ฉันจะแบ่งปันกับคุณในสิ่งที่ฉันเชื่อ คุณสามารถทำสิ่งที่คุณชอบและปฏิเสธส่วนที่เหลือ ฉันขอให้คุณระงับการไม่เชื่อและเก็บใจที่เปิดกว้างไว้ (แม้ว่าฉันจะสงสัยว่าบางครั้งมันเป็นเรื่องจริง แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาความรู้สึกของฉันแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น)
ฉันเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตหลายมิติอาศัยอยู่เป็นพัน ๆ ปีบนโลกและมีส่วนเกี่ยวข้องกับสังคมยุคแรก ๆ ก่อนที่ฉันจะดำเนินการต่อฉันอยากจะบอกว่าคุณจะ "ออก" หากนี่มากเกินไปสำหรับคุณฉันขอเชิญคุณให้หยุดอ่าน หากส่วนหนึ่งของคุณอยากรู้อยากเห็นฉันขอเชิญคุณเพื่อดำเนินการต่อ
เราเห็นหลักฐานของสิ่งมีชีวิตหลายมิติเหล่านี้ในภาพวาด "นก - พระเจ้า" ของชาวอียิปต์ในปิรามิดในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ลึกลับเช่นสโตนเฮนจ์และเกาะอีสเตอร์ในวงกลมและอื่น ๆ เราเห็นหลักฐานในความรู้ที่เหลือเชื่อและเทคโนโลยีขั้นสูงของ Mayans, Incans และ Aztecs และในสังคมพื้นเมืองอื่น ๆ อีกมากมายเช่นชนพื้นเมืองอเมริกันในอเมริกาเหนือ เราเห็นหลักฐานของสังคมยุคแรก Atlantis และ Lemuria ในทวีปที่ถูกฝังเช่น Azores นอกชายฝั่งโปรตุเกส (ซึ่งฉันได้รับพรจากการเยี่ยมชมในปี 2011)
คุณอาจสงสัยว่าทำไมเราไม่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้? ก็เพราะมี "จิตสำนึกแทรกแซง"ที่เข้ายึดครองโลก สิ่งมีชีวิตอื่นที่ต้องการควบคุมโลก วิธีที่ดีที่สุดที่พวกเขาสามารถควบคุมมนุษย์ (หรือสิ่งที่พัฒนาไปสู่มนุษย์) คือการยกเลิกการเปิดใช้สัญชาตญาณของเรา สิ่งนี้ทำโดยการรื้อ DNA ของเราเพื่อที่เราจะได้ไม่มีวิธีรับความถี่จากกาแลคซีอื่น ๆ ที่จะช่วยให้เรารู้ความสามารถที่แท้จริงของเรา (กระแสจิต, พลังจิต, การรักษาแบบธรรมชาติ ฯลฯ ) พวกเขาต้องการตาที่สามของเราซึ่งเป็นที่นั่งของสัญชาตญาณของเราที่จะบล็อกอยู่ดังนั้นเราจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และสิ่งนี้ใช้ได้นานนับพันปี พลังงานแห่งความกลัวและความโกรธถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาความรู้สึกทางจิตของเราฟุ้ง
ตราบใดที่เรายังคงต่อสู้ซึ่งกันและกันเราสามารถแบ่งออกและเบี่ยงเบนความสนใจและพวกเขาสามารถทำให้เราเป็นทาสได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือการควบคุมจิตใจที่ควบคุมอย่างชาญฉลาดและชาญฉลาดมาก เราเห็นหลักฐานของสิ่งนี้ตลอดเวลา - เพียงพิจารณาสงครามที่ไม่มีที่สิ้นสุดที่ทำให้ผู้คนต่อสู้และรักษาผลกำไรเอาไว้ คิดเกี่ยวกับสื่อกระแสหลักที่แบ่งปันข่าวร้ายเพื่อทำให้เรารู้สึกกลัวและโกรธและโฆษณาทางโทรทัศน์ที่ออกแบบมาเพื่อทำให้เรารู้สึกไม่เพียงพอเพื่อให้เราใช้จ่ายเงินมากขึ้น ดูที่อุตสาหกรรมยาที่ออกแบบมาเพื่อให้เราชากับยาเม็ดดังนั้นเราจึงไม่สามารถเปิดใช้สัญชาตญาณของเราและระบบการศึกษา / สถานที่ทำงานของฟาร์มฟาร์ม“ ในกล่อง” ซึ่งทำให้แน่ใจว่าเราไม่ได้คิดอย่างสร้างสรรค์ แต่ทำงานเหมือนเครื่องจักรอัตโนมัติ อาหารของเราเป็นพิษต่อเราและทำให้เราป่วย เติมเชื้อเพลิงให้กับความต้องการการรับรู้ของยาในอุตสาหกรรมยา - รายการนี้ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ และผู้คนที่ดำเนินการสิ่งเหล่านี้เป็นผู้นำรัฐบาลและผู้บริหารองค์กรที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก ชั้นวางซ้อนกันกับเราค่อนข้างหนัก
แต่นี่คือการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด หากตอนนี้ฉันไม่ได้หายจากคุณไปฉันจะแบ่งปันข้อความแห่งความหวัง ชาวมายันทำนายการเปลี่ยนแปลงในปี 2012 ยุคของการตื่น เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในตอนนี้ ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนรักกาแล็คซี่อย่าง Pleaidians (ที่ฉันติดต่อด้วยอย่างลึกซึ้ง), Arcturians และ Sirians รวมถึงบางอย่างที่อาจอยู่ที่นี่บนโลกในขณะนี้เรากำลังได้รับการช่วยเหลือให้ตื่นขึ้นมา
ใช่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงและเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ใช่จะมีสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว นี่เป็นส่วนหนึ่งของโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับเรา การทำลายล้างพิษของกองกำลังควบคุมโลกกำลังลดลง แต่ก่อนอื่นเราจะเห็นพวกเขาสำหรับสิ่งที่พวกเขาเป็นจริง เราเห็นแล้วว่าสิ่งที่ได้ทำไปแล้วสำหรับเรา - ไม่ใช่โดยพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่งไม่ทำผิด แต่โดยทั้งระบบ เราเห็นความจริงเจ็บปวดและโศกเศร้าเสียใจและน่าเหลือเชื่อเหมือนเดิม
ผู้คนทุกที่กำลังทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อรักษาโลก, รักษาสัตว์ด้วยความรักและความเคารพมากขึ้นและเรียนรู้วิธีการเข้าถึงจิตวิญญาณการรักษาแบบการรักษาเช่นเรกิ, ชาแมน, การอ่านกายสิทธิ์และอื่น ๆ เราต้องการมีชีวิตที่เรียบง่ายขึ้นและติดต่อกับเพื่อนบ้านของเรา การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องจริงและพลังงานได้ย้ายไปยังสถานที่แห่งแสงและการรักษา โปรดจำไว้ว่าคนที่อ่านหรือดูสื่อกระแสหลักมากเกินไปอย่างต่อเนื่องส่วนใหญ่อาจไม่เห็นสิ่งนี้อย่างง่ายดาย พวกเขาจะไม่สามารถเปิดใช้งานได้เพราะพลังงานแห่งความกลัวและความโกรธจะปิดกั้นการรู้โดยสัญชาตญาณ โชคดีที่แสงยังคงลอดผ่านอยู่ทุกขณะ (ตรวจสอบเครือข่ายข่าวดีสำหรับสิ่งที่ดีและความรักที่เกิดขึ้นทั่วโลก)
หากคุณรู้สึกเช่นนี้คุณไม่ได้อยู่คนเดียว การเชื่อมต่อกับผู้ที่มีแสงสว่างในกลุ่มของการสนับสนุนสามารถประเมินค่าได้เพื่อช่วยเราในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้เมื่อพลังงานมีการเปลี่ยนแปลงและเติบโต
คุณต้องการ มันเป็นเรื่องจริงคุณพูดถูกและถึงเวลาแล้ว ทำตามสิ่งที่ใจคุณอยากทำ

https://wakeup-world.com/2020/03/26/you-are-needed-reclaiming-humanitys-light/

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...