26 มีนาคม 2563

การศึกษาพลังจิต ของนักวิทยาศาสตร์

พลังจิตแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบตามลักษณะการใช้งาน ดังต่อไปนี้

อนิมัล ไซ (Animal Psi) - ความสามารถในการพูดคุยกับสัตว์

แอนตี้ ไซ (Anti Psi) - สามารถรับการโจมตีโดยใช้พลังจิตป้องกัน

แอสตรัลโปรเจคชั่น (Astral Projection) - การถอดกายทิพย์

ไบโอ คอนโทรล (Biocontrol) - สามารถควบคุมการทำงานอวัยวะภายในร่างกายได้ เช่น ระบบการหมุนเวียนของเลือด
รักษา บรรเทาอาการเจ็บปวด

แชนเนลลิ่ง (Channeling) - ติดต่อกับวิญญาณหรือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในมิติที่ละเอียดกว่า

ไมนด์ชีลด์ (Mindshield) - ป้องกันการโจมตีจากพลังจิต

พรีคอคนิชั่น (Precognition) - ความสามารถหยั่งรู้อนาคต

ไซคิค ฮีลลิ่ง (Psychic Healing) - การรักษาด้วยพลังจิต

ไซคิค ฮิปโนซิส (Psychic Hypnosis) - การสะกดให้นอนหลับโดยใช้พลังจิตเข้าช่วย

ไซคิค อินวิซิบิลิตี้ (Psychic Invisibility) - การล่องหนหายตัวโดยใช้พลังจิต

ไซคิค แวมไพริซึ่ม (Psychic Vampirism) - ความสามารถในการดูดซับพลังชีวิตของคนอื่น

ไซโคเมทรี (Psychometry) - รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตโดยการจับต้องสิ่งของ เช่น
การค้นหาผู้สูญ หายโดยการจับรูปถ่ายหรือของใช้ของเขา

ไซโคพอร์เทชั่น (Psychoportation) - พลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุ/ตนเอง ไปยังจุดหมายที่ต้องการ

ซีเนอร์จี (Synergy) - ความสามารถในการผสมผสานพลังจิตเข้าด้วยกัน

เทเลพาธี (Telephathy) - การติดต่อผ่านทางจิต

เอ็มพาธี (Empathy) - รับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นได้

เลวิเตชั่น (Levitation) - การลอยตัวโดยใช้พลังจิต

ไซ-บอล (Psi-Ball) - การสร้างบอลพลังจิต เพื่อใช้ประโยชน์ตามที่ผู้ใช้ต้องการ

ไมนด์คอนโทรล (Mindcontrol) - ควบคุมจิตใจผู้อื่น

การค้นคว้าของตระกูลคิเนซิส

เทเลคิเนซิส (Telekinesis) - การควบคุม/เคลื่อน วัตถุสิ่งของโดยใช้พลังแห่งจิต

ไพโรคิเนซิส (Pyrokinesis) - ควบคุมเปลวเพลิง สร้างไฟขึ้นมาได้

ครายโอคิเนซิส (Cryokinesis) - ควบคุมธาตุน้ำ ทำน้ำให้กลายเป็นน้ำแข็ง

แอโรคิเนซิส (Aerokinesis) - ควบคุมอากาศ สร้างสายลม

โครโนคิเนซิส (Cronokinesis) - ควบคุมกาลเวลา สามารถเดินทางไปยังอดีตหรืออนาคตได้

*** วิทยาศาสตร์ทางใจ ในแง่พระพุทธศาสนา คือ วิชชา ๓ วิชชา ๘ และอภิญญา ๖ เลิศเลอกว่านะครับ

แค่วิทยาศาสตร์ทางใจ ของบรรดาวิทยาธรหลากสายพันธุ์ ก็ล้ำหน้านักวิทยาศาสตร์เป็นโกฏิกัปปีแล้วนะครับ

 

ร่างกายของมนุษย์เรานั้น เป็นแหล่งผลิตพลังงานที่ทรงประสิทธิภาพมากชนิดหนึ่ง ดังนั้นจึงมีพลังในรูปแบบต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นในร่างกายของเรา แหล่งพลังงานหรือวัตถุดิบที่เรานำมาใช้เพื่อผลิตพลังงานนั้นล้วนเป็นสิ่งที่เราหยิบยืมแบ่งสรรมาจากธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเราทั้งสิ้น เช่น นำมาจากดิน จากน้ำ จากอากาศ จากพืช สิ่งที่ได้มาก็คือแร่ธาตุต่างๆ ส่วนจากไฟ สิ่งที่ได้มาคือพลังงานความร้อน สิ่งเหล่านี้เมื่อเข้ามาประชุมรวมกันในร่างกายของเรา โดยการกิน การดื่ม การหายใจแล้ว กระบวนการในร่างกายของเราก็จะเปลี่ยนสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นโครงสร้าง เป็นอวัยวะของร่างกาย และเป็นพลังงานเพื่อทำให้อวัยวะและโครงสร้างของเราเกิดการเคลื่อนไหว เกิดการทำงานเพื่อทำให้ชีวิตเราดำรงอยู่ได้

พลังงานที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตพลังงานในร่างกายของเรานั้นมีอยู่หลายประการด้วยกัน ที่สำคัญคือ พลังความร้อน พลังไฟฟ้า พลังแม่เหล็ก พลังแม่เหล็กไฟฟ้าหรือแสงสว่าง พลังเหล่านี้มันไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเรา แทรกซึมอยู่ทุกอวัยวะ แล้วทุกอวัยวะนั้นประกอบด้วยเซลล์ เซลล์ประกอบขึ้นจากสารประกอบ สารประกอบประกอบขึ้นจากโมเลกุล โมเลกุลประกอบขึ้นจากธาตุ ธาตุประกอบขึ้นจากอะตอม อะตอมประกอบขึ้นจากอนุภาคที่เล็กกว่า คือ อิเลคตรอน โปรตอน และ นิวตรอน

พลังงานที่ร่างกายผลิตขึ้นมา มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ เพื่อให้อิเลคตรอนใช้เป็นพลังงานในการเคลื่อนไหว ทั้งในการเคลื่อนไหวหมุนรอบนิวเคลียส ทั้งการเคลื่อนที่ไปสู่อะตอมอื่น การเคลื่อนไหวของอิเลคตรอนในร่างกายของเรามีความหมายอย่างยิ่ง เพราะมันหมายถึงชีวิตและสุขภาพของเราเลยทีเดียว เนื่องจากการเคลื่อนไหวของอิเลคตรอนจะทำให้ อะตอม โมเลกุล เซลล์ อวัยวะ เกิดการเคลื่อนไหวทำงาน มันคือการทำงานจากระดับเล็ก สู่ระดับใหญ่ หมุนเวียนส่งต่อกันไป

พลังความร้อน พลังไฟฟ้า พลังแม่เหล็ก พลังแสงสว่าง ที่ร่างกายผลิตขึ้นเพื่อให้อิเลคตรอนใช้เคลื่อนที่นั้น จะเป็นพลังงานที่มีความเข้ม ความถี่ อยู่ในช่วงที่พอเหมาะแก่ร่างกายของเราช่วงหนึ่ง และในทางกลับกัน การเคลื่อนไหวของอิเลคตรอนก็ทำให้ได้ พลังความร้อน พลังไฟฟ้า พลังแม่เหล็ก พลังแสงสว่าง ออกมาเช่นกัน ซึ่งร่างกายของคนที่สุขภาพแข็งแรงเป็นปกติ อิเลคตรอนย่อมจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วและความถี่ที่เหมาะสมค่าหนึ่ง พลังที่ออกมาก็จะมีความเข้ม ความถี่ ที่ใกล้เคียงหรือเท่ากับที่ให้เข้าไป พลังที่มีความสำคัญมากคือ พลังแสงสว่าง เพราะมันเป็นพลังที่เป็นต้นกำเนิดของพลังอื่นๆ และพลังเหล่านี้ที่เกิดขึ้นแล้ว มันสามารถเปลี่ยนรูปกันได้ กลับไปกลับมา เมื่อเราทานอาหาร นอกเหนือจากได้รับแร่ธาตุแล้ว เรายังได้รับพลังแสงเข้าไปอีกด้วย โดยได้รับโดยทางอ้อม กล่าวคือ เราอาศัยพืชเก็บพลังงานแสงให้เรา โดยกระบวนการสังเคราะห์แสง (Photo synthesis) จากดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแสงสว่าง เก็บพลังงานแสงไว้ในรูปของสารอาหารที่พืชผลิตขึ้น เพื่อรอให้กระบวนการย่อยอาหารของเราปลดปล่อยพลังงานแสงออกมาให้เราใช้งาน เพื่อเป็นพลังให้แก่อิเลคตรอนเคลื่อนที่

ร่างกายของคนที่สุขภาพแข็งแรงเป็นปกติ อิเลคตรอนจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วและความถี่ที่จะทำให้ได้พลังานแสงที่อยู่ในช่วงคลื่นของแสงสีเหลือง แสงสีเหลืองที่ออกมาจากเซลล์ ออกมาจากอวัยวะของเรานี้ อาจสามารถมองเห็นได้เมื่อเราสำรวมจิตใจให้สงบ หลับตาลง ปิดเปลือกตาลงแล้วลืมตาขึ้นข้างในมองไปที่ผนังตา ยิ่งจิตเราสงบมากเท่าใด ก็จะเห็นชัดขึ้นเท่านั้น แต่หากร่างกายหรืออวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดของเราปล่อยปล่อยพลังแสงที่อยู่ในช่วงคลื่นที่ต่ำกว่าหรือสูงกว่าออกมา เช่น มืดดำ แดงเข้ม น้ำเงิน ม่วง แสดงว่าร่างกายหรืออวัยวะตรงนั้นทำงานผิดปกติ เพราะอิเลคตรอนบริเวณนั้นวิ่งช้าลง หรือได้อาจได้รับคลื่นรังสีที่มีความถี่สูงเกินกว่าที่เซลล์จะรับได้และเป็นอันตรายต่อเซลล์เข้ามามาก นั่นคือ เราเกิดความเจ็บป่วยขึ้น อาการของความเจ็บป่วยก็จำแนกออกเป็นโรคชนิดต่างๆ

เมื่อเราเจ็บป่วย ร่างกายของเราก็จะพยายามปรับสภาพให้อวัยวะที่ทำงานผิดปกติกลับคืนมาสู่สภาพปกติเท่าที่ร่างกายเราจะทำได้ โดยพยายามนำพลังงานและแร่ธาตุที่มีอยู่มารักษาซ่อมแซม แต่หากร่างกายเจ็บป่วยมากจนเกินความสามารถที่ร่างกายจะซ่อมแซมตัวเองได้ ก็จะต้องรักษาด้วยการใช้ยาหรือวิธีทางการแพทย์

นอกจากอาหารและยาแล้ว สิ่งที่สามารถฟื้นฟูร่างกายได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ แสงในช่วงคลื่นความถี่ที่เหมาะสม คือแสงที่อยู่ในช่วงคลื่นแสงสีเหลือง พลังแสงสีเหลืองนี้มีชื่อเรียกขานมานานว่า ปราณ หรือ ลมปราณ ถือเป็นพลังชีวิตที่สำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ ซึ่งโดยปกติจะเข้าสู่ร่างกายของเราโดยการ กินอาหาร ดื่มน้ำ และการหายใจ ซึ่งนอกเหนือจาก การกิน ดื่ม และหายใจแล้ว การใช้พลังจิตดึงกระแสลมปราณเข้าสู่ร่างกายก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่สามารถกระทำได้ เป็นการนำพลังเข้าสู่ร่างกายโดยตรงไม่ต้องผ่านตัวกลางอื่น ดังจะพบได้ในศาสตร์ตะวันออกแขนงต่างๆที่มีมาแต่โบราณ สำหรับในยุคปัจจุบัน เนื่องจากสภาวะแวดล้อมและชั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยพลังงานเสียและปราณพิษ ไม่บริสุทธิ์เหมือนในอดีต ดังนั้นการใช้พลังจิตดึงพลังต่างๆ เข้าสู่ร่างกายโดยตรง จึงอันตรายเป็นอย่างยิ่ง (ปัจจุบัน พระอาจารย์ไม่แนะนำให้ใช้พลังจิตดึงพลังเข้าสู่ร่างกายโดยตรง แต่มีวิธีการอื่นในการนำพลังต่างๆ เข้าสู่ร่างกายโดยผ่านอุปกรณ์พีรามิด - ศึกษารายละเอียดได้จาก องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ ในหนังสือทางรอด)

การที่แสงสว่างหรือปราณสามารถฟื้นฟูร่างกายได้ ก็เพราะว่า พลังงานแสงนั้นนอกจากจะประพฤติตนเป็นคลื่นแล้ว ยังสามารถประพฤติตนเป็นอนุภาคได้อีกด้วย โดยมีชื่อเรียกว่าอนุภาคโฟตอน (Photon) จัดเป็นกลุ่มอนุภาคเสมือน ซึ่งต่างจากอนุภาคจริงตรงที่เป็นอนุภาคที่ไม่มีมวล แต่สามารถแสดงคุณสมบัติของอนุภาคจริงได้ คือการมีโมเมนตัม (Momemtum) คือสามารถถ่ายทอดพลังงานจากการชนได้ ปรากฎการณ์ที่แสงประพฤติตนเป็นได้ทั้งคลื่นและอนุภาคนี้ เรียกว่าทวิภาคของคลื่นและอนุภาค การที่แสงสามารถฟื้นฟูร่างกายได้ ก็เพราะ การประพฤติตนเป็นอนุภาค เข้ามาชนกับอิเลคตรอนในอะตอมของเซลล์ในร่างกายให้มันเพิ่มพลังขึ้น

กระบวนการที่ทำให้อิเลคตรอนเคลื่อนที่เข้าสู่ระดับพลังงาน หรือระดับวงโคจรที่สูงกว่าเดิม โดยใช้พลังงานแสงเป็นตัวเพิ่มพลังนั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "ปรากฏการณ์โฟโตอิเลคทริค" เป็นปรากฏการณ์ของแสงที่ประพฤติตนเป็นอนุภาค เมื่อเข้ามาชนอนุภาคอิเลคตรอนแล้วจะเกิดการถ่ายทอดพลังจากการกระทบให้แก่อิเลคตรอน เมื่ออิเลคตรอนได้รับพลังงานแล้วก็จะเคลื่อนที่เข้าสู่ระดับพลังงานที่สูงกว่าเดิม โดยระดับพลังงานที่เคลื่อนที่เข้าไปสู่นั้นจะแปรผันตรงกับความถี่ของแสงที่เข้ามาตกกระทบด้วย

 

สำหรับคนทั่วไปที่ไม่เคยรู้จักหรือใช้พลังจิตมาก่อน พลังจิตเป็นสิ่งลี้ลับที่คนทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ นอกจากผู้ที่มีการฝึกจิต(แบบที่มนุษย์ทั่วไปไม่มีทางทำได้)จนแก่กล้าแล้วเท่านั้น จึงใช้พลังจิตได้

แต่รู้ไหมครับ คนที่ใช้พลังจิตได้แล้วไม่คิดว่าอย่างนั้น

พลังจิตนั้น แท้ที่จริงเป็นเรื่องธรรมดามากๆ คนธรรมดาทั่วไปทุกคน(และผมหมายถึงคุณด้วย!)เกิดมาพร้อมศักยภาพในการใช้พลังจิตอยู่แล้วครับ เหมือนกับที่คนปกติทุกคนเกิดมาพร้อมกับศักยภาพที่จะสามารถขับรถหรือพูดภาษาอังกฤษได้นั่นแหละครับ ซึ่งในทางกลับกัน ถ้าเราไม่เคยพูดภาษาอังกฤษ มันก็พูดไม่ได้ หรือไม่ได้พูดนานๆสักสิบปี มันก็พูดไม่ได้

พลังจิตก็เหมือนกันแหละครับ ถ้าเราไม่เคยใช้ หรือไม่ได้ใช้นานๆ มันก็ใช้ไม่ได้ แค่นั้นเองจริงๆ ซึ่งความจริงแล้วถ้าคุณยังไม่เคย ผมกำลังจะให้คุณลองใช้พลังจิตตอนนี้เลย พร้อมใหมครับ ถ้าพร้อมแล้ว ไปเลย!

1.นั่งหลังตรง ทำใจให้สบาย ผ่อนคลาย
2.หายใจช้าๆ ลึกๆ เบาๆ นุ่มนวล
3.ค่อยๆเอานิ้วชี้มือขวาแตะที่กลางฝ่ามือซ้าย ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือที่ถูกแตะ มันจะยังไม่พบอะไรเป็นพิเศษตรงนี้ ไม่ต้องกังวล
4.ค่อยๆเปลี่ยน เอานิ้วชี้ซ้ายแตะที่กลางฝ่ามือขวาลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือที่ถูกแตะ เช่นกัน
5.เอามือมาใกล้ๆกันคล้ายกับประคองลูกบอล(ตามรูปนี้)

 

ให้มือห่างกันประมาณ1ฟุต ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือแล้วค่อยๆ เอามือเข้าใกล้กันช้าๆ สังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือเสมอ คุณอาจรู้สึกคล้ายสัมผัสอะไรจางๆ บางคนอาจรู้สึกถึงความร้อน ความหนา หรือบางคนอาจรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว ยินดีด้วย คุณได้ใช้พลังจิตสำเร็จไปแล้ว!! ในวงการเราเรียกสิ่งนี้ว่า PSI BALL

เห็นใหมครับ พลังจิตไม่ยาก...เอ่อ เอาล่ะ ที่ยากมันก็มีครับ แต่ที่ผมอยากให้คุณรู้ในครั้งแรกนี้ก็คือ ทุกคนสามารถใช้พลังจิตได้ คุณสามารถใช้พลังจิตได้ ก่อนที่จะบอกคุณว่าพลังจิตคืออะไร ผมอยากให้คุณรู้ว่า พลังจิตไม่ใช่ปาฏิหาริย์ เท่านั้นแหละ

เอาล่ะ ผมยังไม่ลืมหรอกครับ บทนี้ชื่อว่า พลังจิตคืออะไร ครับผมคงอธิบายได้แล้ว พลังจิตก็คือความสามรถตามธรรมชาติของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นจากศักยภาพของจิตครับ แค่นั้นเอง หมายความว่าถ้ามีคนอ่านใจคนอื่น เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนมองเห็นพลังออร่า เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนมองเห็นเพื่อนคุณที่อยู่คนละจังหวัดกับคนที่ทำการมอง เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนใช้เวทย์มนต์คาถา เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนกำหนดเหตุการณ์ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ เขากำลังใช่พลังจิต

โดยเฉพาะอันสุดท้าย การกำหนดให้สิ่งต่างๆเป็นไปตามที่เราต้องการ เป็นพลังจิตครับ ที่จริงทุกคนเคยใช้พลังจิตมาแล้วทั้งนั้น เวลาเราสอบ เรากำลังใช้พลังจิตทำให้ตัวเราทำข้อสอบได้ เวลาเราเตะฟุตบอล เรากำลังใช้พลังจิตทำให้เราเตะได้ดี แต่พวกเราไม่รู้ว่านั่นเป็นพลังจิต เราไม่รู้ว่าเรากำลังใช้พลังจิตได้แล้ว เราเลยไม่เคยพัฒนาพลังจิตแบบต่างๆนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ในสายตาคนทั่วไป พลังจิตอาจแบ่งออกไปได้อีกหลายอย่าง เช่นการอ่านใจ การรักษา การบังคับวัตถุ การมองเห็นในระยะใกล การหยั่งรู้อนาคต หูทิพย์ ตาทิพย์ สัมผัสทิพย์ การสะกดจิต ฯลฯเหล่านี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นพลังจิตครับ และผมหวังว่า บล็อกนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจและอาจจะสามารถทำสิ่งเหล่านี้,พลังจิต,ได้ ซึ่งผมจะอธิบายต่อไปแบบstep by step ...แล้วเจอกันครับ

สรุป
1.พลังจิตไม่ใช่ปาฏิหาริย์ มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะใช้พลังจิตได้
2.พลังจิตฝึกได้ พัฒนาได้ และลืมได้

 

จะเริ่มเรียนรู้การทำงานของพลังจิต โดยเริ่มจาก รู้จักกับจิตใต้สำนึก(subconscious mind)

คำว่าจิตใต้สำนึกนี้ เราจะพบในหนังสือ เวบไซต์ และสถาบันที่ศึกษาเรื่องพลังจิตแทบทุกที่ ว่ากันว่า จิตใต้สำนึกของเรานั้นมีพลังไร้ขีดจำกัด และว่ากันว่า ถ้าเราไม่รู้จักจิตสำนึกแล้วเราใช้ความสามารถเพียง7% แล้วก็ว่ากันว่า(อีกแล้ว!) ว่าในการใช้พลังพิเศษ เราต้องใช้พลังจากจิตใต้สำนึก สรุปแล้วจิตใต้สำนึกมันทำไมสำคัญนัก มันคืออะไรกันแน่ ในครั้งนี้เราจะคุยกันถึงเรื่องนี้กัน

1.เรื่องของจิตและจิตสำนึก
ก่อนอื่น เราต้องทำความเข้าใจว่าจิตคืออะไรกันแน่ เพราะจริงๆแล้ว จิตเองมีการใช้กันอย่างสับสน บางทีเราจะพูดว่าจิตแข็ง นั่นแสดงถึงระดับความมานะและความดื้อรั้น จิตตก นั่นหมายถึงกำลังใจ จิตหลอนนั่นหมายถึงการรับรู้ข้อมูลซึ่ง(คนอื่นแน่ใจว่า)ไม่มีจริง เริ่มงงหรือยังครับ ว่าจิตคืออะไรกันแน่
หมายถึงอะไรก็แล้วแต่คนพูดน่ะสิครับ บางทีเขาอาจจะหมายถึงน้องสาวเพื่อนที่ชื่อจิตก็ได้ แต่เรื่องของเรื่องสิ่งที่เราต้องจำไว้ก็คือ สำหรับบทความนี้ เราจะพูดถึงจิตที่หมายถึงสิ่งที่เรารับรู้
จริงๆแล้ว รอบๆตัวเรานี้เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆมากมายที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่าง บางอย่างพบเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น หรือรับรู้ได้ง่ายๆ เช่นหน้าจอคอมนี้ มือของคุณ และคีย์บอร์ด เป็นสิ่งที่จิตเรารับรู้ได้ง่ายๆ ซึ่งก็คือจิตของเราสามารถสำนึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้ง่าย แต่ในทางกลับกัน มีบางอย่างที่รับรู้ยาก เช่นการเต้นของหัวใจ การไหลของพลาสม่าบนจอมอนิเตอร์ วิญญาณ และความรู้สึกของคนอื่นที่อยู่รอบๆเรา ที่ปกติเราจะไม่รู้สึก และนั่นหมายความว่า จิตของเราไม่ได้สำนึกถึงสิ่งเหล่านั้น
ดังนั้นจิตสำนึก ก็คือการรับรู้ของจิต ถ้าเราสำนึกผิด แสดงว่าเรารับรู้กระบวนการต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่เราพลาด แต่ถ้าเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราทำอะไรผิด เรายังไม่สำนึกผิดเลย( เอาล่ะ ผมไม่ได้บอกว่าคุณทำอะไรผิดหรอกครับ ไม่ต้องร้อนตัวไป!)
และเดี๋ยวนี้ เราเรียกสิ่งที่อยู่นอกจิตสำนึกซึ่งเราจะไม่รู้สึก ว่าเป็นเรื่องที่อยู่ใต้จิตสำนึก หรือจิตใต้สำนึกนั่นเอง เช่นเวลาที่เราไม่รู้สึกถึงการเต้นของชีพจร การเต้นของชีพจรก็อยู่ในเขตจิตใต้สำนึก เวลาที่เราเกิดโกรธใครโดยไม่รุ้ตัว เราก็โกรธจากจิตใต้สำนึก

ระวังอย่าเข้าใจผิด!

หลายๆคนและหนังสือหลายๆเล่มพยายามจัดประเภทของกิจกรรมและเรื่องราวต่างๆแต่ละอย่างว่าตกอยู่ในเขตของจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึก แต่จริงๆแล้วอย่าลืมว่า ขอบเขตของมันอยู่ที่การรับรู้ ถ้าเรารู้โดยชัดเจน มันคือจิตสำนึก เช่นการระลึกชาติปกติเราไม่รู้ ดังนั้นมันคือจิตใต้สำนึก แต่ในขณะที่คุณระลึกชาติอยู่..และทำได้สำเร็จ มันกลายเป็นเรื่องของจิตสำนึก ดังนั้นที่สุดแล้วไม่มีอะไรที่เป็นจิตสำนึกหรือจิตให้สำนึกเสมอไปหรอก มันขึ้นอยู่กับระดับการรับรู้!

พลังพิเศษของจิตใต้สำนึก

ถ้าสมมุติเราปิดหน้าจอคอม เราก็จะเล่นคอมไม่ได้ เช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่สำนึกหรือรับรู้ถึงสิ่งใด เราก็ย่อมไม่สามารถใช้สิ่งนั้นได้ฉันนั้น (แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าจอเปิดเราก็ยังอาจใช้ได้หรือไม่ได้อยู่ดี แต่ที่แน่ๆ เราใช้ไม่ได้เลยถ้าจอไม่เปิด) ดังนั้น เราจะทำอะไร เราต้องทำให้สิ่งนั้นมาอยู่ในขอบเขตของจิตสำนึกของเรา รวมถึงพลังจิต

การเข้าถึงอาณาเขตของบางอย่างที่เคยเป็นจิตใต้สำนึกนี่แหละ ที่มักจะเรียกกันว่า การเปิดจิตใต้สำนึก แต่จริงๆเราแค่ขยายเขตของจิตสำนึกออกไปจนครอบคลุมเรื่องที่เราจะทำนั่นเอง จิตใต้สำนึกไม่ได้เปิดหรือปิดจริงๆหรอกครับ แต่มันเหมือนกับว่าเราแหย่เข้าไปในเขตที่เคยเป็นของจิตใต้สำนึกเท่านั้น
เอาละ พอเราขยายจิตสำนึกหน้าจอเปิด เราก็เล่นคอมได้ ถ้าเรารู้สึกถึงพลังปราณ เราก็หัดใช้ปราณได้ ถ้าเรารู้สึกถึงอารมณ์อย่างทันเวลา เราก็อาจจัดการอารมณ์ได้ และจริงๆแล้ว ยังมีสิ่งต่างๆรอบตัวเราที่รอให้เรารับรู้และใช้งานอีกมากมายมหาศาล นั่นเป็นเหตุผลที่หลายคนจะบอกคุณว่าพลังที่แท้จริงของมนุษย์ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกไงล่ะ! ตัวอย่าง

1.เวลาไฟใหม้ คนส่วนใหญ่ยกของหนักกว่าตัวมากๆแล้ววิ่งได้สบายๆ แต่ปกติทำไม่ได้ เพราะกลไกการออกแรงนั้นอยู่ในจิตใต้สำนึก พวกเขาจึงบังคับมันไม่ได้
2.บางทีเรารับรู้อนาคตอย่างเลือนรางสุดๆจนใช้อะไรไม่ได้ นั่นเป็นเพราะความสามารถในการหยั่งรู้และอำนาจจิตอื่นๆส่วนใหญ่อยู่ในจิตใต้สำนึก
3.ไอเดียหรือความรู้บางอย่างที่ไม่มีใครคิดได้มาก่อนพวกนั้นมีเกลื่อนในจิตใต้สำนึก แต่เรามองไม่เห็น
สรุปแล้ว ถ้าเราขยายจิตใต้สำนึกออกไปมากพอ เราจะรับรู้และมีโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆมากกว่าเดิมอย่างเทียบกันไม่ได้

สัญชาติญาน

ในบางสถานการณ์ เรามักทำอะไรที่เราไม่เคยทำได้โดยไม่รู้ตัว เช่นวิ่งหนีอะไรบางอย่างด้วยความเร็วและความอดทนราวกับนักกีฬาตัวจริง .เพราะตกใจ! หรือบางครั้ง เวลาที่เราต้องเลือกอะไรสักอย่าง เราอาจรู้สึกเหมือนต้องเลือกสิ่งของชิ้นหนึ่งอย่างไม่ทราบสาเหตุ และพบภายหลังว่า นั่นเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุดแล้ว

จริงๆแล้วตลอดเวลาทีเราใช้ชีวิต(หรือก่อนที่เราจะใช้ชีวิต..ถ้าคุณเชื่อเรื่องวิญญาน )จิตของเราได้เก็บข้อมูลและเรียนรู้สิ่งต่างๆตลอดเวลา เพื่อให้เราเอาตัวรอดจากอันตรายได้ทันโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการคิด โดยที่การตอบสนองต่ออันตรายนี้จะทำงานโดยอัตโนมัตินั่นคือ ต่อให้เราไม่รู้และไม่ได้สั่ง มันก็ยังทำงาน

ใช่แล้วไม่รู้และไม่ได้สั่ง มันก็ถือเป็นจิตใต้สำนึก ,และแท้ที่จริงข้อมูลและทักษะมหาศาลตั้งแต่การกะพริบตาไปจนถึงการรักษาด้วยพลังจิตและพลังอื่นๆอีกมาก ได้ถูกบันทึกไว้ในส่วนของสัญชาติญาน แต่ชัดเจนมันอยู่ในจิตใต้สำนึก เพราะอะไรน่ะหรือ? มันก็เหมือนโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับมือใหม่นั่นแหละ อะไรที่เราไม่จำเป็นต้องสนใจเขาก็ทำมาให้เป็นค่าอัตโนมัติก่อน ไว้ถ้าเราชำนาญเมื่อไหร่ค่อยeditเอา ไม่งั้นปรับมั่วมันจะพังเอาน่ะสิ

การปรับเปลี่ยนระดับจิตสำนึก

และแน่นอน ผมจะจบลงด้วยวิธีฝึก เอาล่ะ บอกตามตรงว่าจริงๆแล้ว วิธีการฝึกเพื่อเปลี่ยนระดับจิตสำนึกนั้นมีเป็นพันครับ! และแต่ละวิธีก็เหมาะกับแต่ละคนในแต่ละช่วงเวลา ไม่มีวิธีไหนเป็นวิธีที่ดีที่สุด คุณต้องลองเอง

หลักการก็ง่ายๆ การจะฝึกวิ่ง ก็คือวิ่ง การจะฝึกการรับรู้ ก็คือรับรู้ นี่เป็นตัวอย่างบางวิธี

1.เวลาที่เราเข้าไปในสถานที่ใหม่ๆหรือพบคนใหม่ๆ พยายามสัมผัสความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจเรา ความรู้สึกบางอย่างออกมาจากสถานที่หรือบุคคลที่เราติดต่อด้วย
2.ถ้าว่าง จัดท่าทางให้สบาย ทำใจให้สบาย ผ่อนคลาย ไม่จำเป้นต้องหลับตา
หายใจเข้าออกช้าๆ ลึกๆ ยาวๆ นับจังหวะหายใจเข้าและออกให้เท่ากัน ความยาวไม่สำคัญเท่าจังหวะ ต้องให้สม่ำเสมอเท่ากันทั้งเข้าออก ถ้าจะเปลี่ยนความยาวก็ต้องเปลี่ยนให้เท่ากันด้วย ทำแบบนี้ไปสักพัก จะรู้สึกสบาย จิต จะละเอียดขึ้น

กำหนดจุดสนใจไปที่ลมหายใจ ตัดความสนใจเรื่องอื่นๆออกไป(จริงๆเราควรจะจดจ่อที่ลมหายใจอยู่แล้ว แต่ถ้าเผลอกลับมาก่อน) จากนั้นขยายออกไปทั่วตัว สัมผัสการเคลื่อนไหวภายใน ลมหายใจ ปอด แรงสะเทือน ฯลฯ

ขยายออกไปอีก สัมผัสอากาศรอบๆตัว รอบๆห้องและขยายออกไปอีกถ้าทำได้ แน่นอน เราต้องรู้สึกถึงสิ่งที่อยู่ในขอบเขตนั้นด้วย ไม่ว่าอะไรที่มีอยู่ในนั้นแม้เล็กน้อย เราต้องรู้สึกมันทุกรายละเอียด เพียงแค่รับรู้เฉยๆ อย่าไปวุ่นวายตัดสินหรือคิดอะไรต่อเนื่อง ระหว่างที่ทำแบบนี้ จะมีความคิดหลุดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แรกๆเราจะควบคุมมันไม่ได้ อย่าซีเรียสครับ มันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ที่จะต้องทำให้ได้คือ ดูมัน ว่ามันเป็นความคิดหรือความรู้สึกอะไร และที่สำคัญ อย่าไปตัดสินว่ามันดีหรือไม่ดี สำรวจมันอย่างธรรมชาติ การสำรวจความจิตและความคิดในขณะที่มันทำงานโดยอิสระเป็นจุดสำคัญของแบบฝึกนี้ ขอให้ฝึกจนชำนาญ แบบฝึกนี้จะเป็นพื้นฐานให้กับแบบฝึกหลังๆครับ

สรุป
1.จิตสำนึก คือขอบเขตที่เรารับรู้ได้ ซึ่งไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับระดับของจิต
2.ในจิตใต้สำนึกมีสิ่งต่างๆซ่อนอยู่มากมายรอให้เราค้นพบและเล่นกับมัน
3.แต่โดยธรรมชาติ เราจะไม่ได้สัมผัสและควบคุมสิ่งเหล่านั้นตั้งแต่ต้น เพื่อป้องกันความผิดพลาดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
4.การฝึกเปลี่ยนระดับจิตใต้สำนึก มีหลักการง่ายๆแค่ตั้งใจรับรู้และสังเกตรายละเอียดของสิ่งที่เป็นเป้าหมายในการฝึก ซึ่งในขั้นต้น ผมแนะนำอย่างสูงให้ฝึกสังเกตความรู้สึกนึกคิดของเราเอง

 

ของมันโดยที่เราไม่เคยรู้เลยว่ามันทำอะไร เพื่ออะไร ในจิตใต้สำนึกนั้น และเราเริ่มหัดที่จะเข้าสู่จิตใต้สำนึกแบบง่ายๆแล้ว(หวังว่าทำได้แล้วใช่ใหม?....เยี่ยมมากครับ) งั้น คราวนี้ เราจะไปกันต่อในส่วนของจิตใต้สำนึก ที่สำคัญและยากขึ้นอีกหน่อย.. ความฝัน

น่าสงสัยมาก ว่า ทำไมมนุษย์ถึงเกิดมาพร้อมกับความสามารถที่จะเพลิดเพลินกับความฝันที่ไม่มีอยู่จริง จริงหรือ!ที่ฟังก์ชันนี้เป็นไปเพื่อสร้างความสำราญเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีสาระอะไรเลย?
ข่าวดี! มันไม่ไร้สาระ เรื่องนี้เป็นอย่างที่คุณหวังไว้.. ความฝันเป็นกระบวนการทำงานที่สำคัญมากของวิญญานมนุษย์

ก่อนอื่นที่จะเข้าใจความฝัน เราต้องเข้าใจลักษณะที่สำคัญประการหนึ่งของมนุษย์ คือ ความสามารถในการปรุงแต่งความต้องการใหม่ๆได้ ซึ่งสัตว์ทุกชนิดทำได้เพียงต้องการและแสวงหาตามสัญชาติญาน ไม่มีการเป็นอย่างอื่นอีก วัวเกิดมาก็กินนม..แล้วก็หญ้า ไม่มีวัวตัวไหนสนใจอยากกินซึชิ หรือไก่งวงอบ แค่หญ้า.. แต่มนุษย์เท่านั้นนับวันจะคิดค้นของกินเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ และต้องการในสิ่งต่างๆใหม่ๆเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีสิ้นสุด

แต่แย่จัง! ความต้องการของมนุษย์สุดจะประมาณได้ แต่ความสามารถในการทำความต้องการให้เกิดขึ้นจริงกลับไม่ได้ใกล้เคียงเลย! สิ่งที่หวังไว้เอาแต่ละคนเข้าจริงทำได้แค่จิ๊ดเดียวนอกนั้น เวลาผ่านๆไปความต้องการมันก็หายไปเอง

มันหายไปยังไง....นั่นแหละประเด็น! หายด้วยฝันนั่นแหละ!

เวลาที่ความต้องการเกิดขึ้น ความต้องการก็คือพลังงานในมิติทิพย์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเวลาที่พลังงานเกิดขึ้นแล้ว มันไม่มีทางหายไปเฉยๆครับ(ดูเหมือนนักวิทยาศาสตร์พูดถูกบางอย่างนะ) แต่มันจะต้องถูกใช้แปรสภาพไปเป็นพลังงานอย่างอื่น เป็นการกระทำ เป็นความคิด เป็นการพูด พอใช้หมด พลังงานความต้องการก็จะหมดไป(เพราะกลายเป็นพลังงานอย่างอื่นต่อ..ไม่หายไปนะ)
แต่โอ้อนิจจา บางทีคนเราเลือกที่จะไม่ทำตามความต้องการของตนเพราะเหตุผลมากมาย บาป กลัวล้มเหลว ขี้เกียจฯลฯ ทีนี้แหละครับ พลังงานความต้องการที่เราไม่ยอมเอาไปใช้เปลี่ยนเป็นพลังงานอย่างอื่น ก็ไม่สามารถไปไหนได้ แต่จะเก็บกดอยู่ข้างใน(ส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว)

แต่อะฮ้า ทีวีไดเร็คขอเสนอ! โปรแกรมใหม่ล่าสุดที่ให้มาพร้อมวิญญานมนุษย์เวอร์ชั่นปัจจุบันทุกคน....ฝันครับ!

โดยพอเราล้มตัวลงนอน จิตใต้สำนึกเป็นอิสระจากส่งรบกวนในชีวิตประจำวัน มันจะทำการเผาผลาญพลังงานความต้องการที่มากเกินไป โดยการเอาพลังงานนั้นมาสร้างทำเป็นหนังครับ แล้วเรื่องที่ออกมา ก็เกี่ยวกับความต้องการที่ค้างอยู่นั่นแหละ ยิ่งหนังความฝันซับซ้อน ยาวและเหมือนจริงเท่าไหร่ ต้องใช้พลังงานสูงและหมายถึงกำจัดพลังงานส่วนเกินได้มากด้วย แต่ถ้าพลังงานความต้องการมากเกิน(หรือเราไปเพิ่มเข้าเรื่อยๆในเรื่องเดิมๆ) อาจต้องฉายหลายรอบครับ ถึงจะหมด

นั่นแหละครับ การทำงานของความฝัน ...เพื่อเปลี่ยนแปลงถ่ายเทพลังงานตกค้าง

แต่เดี๋ยวก่อน! นอกจากพลังงานความต้องการแล้ว บางทีโปรแกรมฝันยังเปลี่ยนสัญญานจากเบื้องบน หรือสัญญานจากจิตใต้สำนึกที่จะแนะนำเราในการใช้ชีวิต ให้กลายสัญญานรูปรสกลิ่นเสียง..เป็นฝัน ซึ่งดีมากเพราะเราจะได้ดูรู้เรื่อง(หรือเกือบรู้เรื่อง) เยี่ยมไหมล่ะครับความฝันเนี่ย แต่ขอย้ำนะครับ ว่าไม่ใช่ฝันทุกฝัน ที่เป็นคำแนะนำ ฟังก์ชั่นทั่วไปของฝันคือการเผาผลาญพลังงานตกค้างอยู่ดีครับ

และไม่ว่ากรณีไหน หากเรารู้สึกและจดจำความฝันได้ ยิ่งมีประสิทธิภาพครับ ถ้าสมมุติฝันเผาผลาญพลังงาน มันจะเผาได้สนิทขึ้น ถ้าฝันบอกใบ้ยิ่งจำเป็น(ไม่งั้นบอกอะไรมา ลืมหมดก็จบกัน)

ดังนั้น สรุป จริงๆแล้ววิชาdream recall มีประโยชน์กว่าวิชา dream control อีกครับ เอ้า หาสมุดวางไว้หัวนอนได้!

สรุป
1.ฝันเป็นโปรแกรมที่มหัศจรรย์มากๆ
2.ความต้องการที่ไม่ได้เอาใช้ทำจริง ไม่หายไปเองเลย แต่จะตกค้างอยู่จนกว่าจะใช้ไป
3.การทำงานของฝัน คือการเปลี่ยนแปลงและถ่ายเทพลังงาน
3. บางครั้งฝันคือการถ่ายทอดสัญญานแนะนำการใช้ชีวิต
4.เราสามารถช่วยให้ฝันทำงานดีขึ้นได้มากจากการฝึกจำความฝัน(dream recall)

 

 

 

 

............................................................................................

 

 

คุณยังจำแบบฝึกหัดในบทแรกได้ใหมครับ บอลพลังปราณ (psi ball)ในบทนี้เราจะมาทำอะไรที่ยากกว่านั้นหน่อย "การตรวจสอบพลังงานด้วยมือ" วิธีเป็นดังนี้ครับ

 

1.ทำPSI BALL แรกๆคุณควรทำแบบนี้เพื่ออุ่นเครื่องให้กับมือของคุณ แต่ถ้าคุณชำนาญมากๆแล้ว คุณอาจข้ามขั้นนี้ไป

2.เปลี่ยนจากผ่ามือหันหากัน เป็นนำฝ่ามือข้างใดข้างหนึ่ง ไปจับพลังงานที่เหนือแขนอีกข้างหนึ่ง เริ่มจากไกลๆก่อน แล้วค่อยๆเลื่อนเข้าหากันช้าๆ เลื่อนมือเข้า-ออกจากแขนแล้วสังเกตความรู้สึก

3.เปลี่ยนไปสัมผัสพลังงานจากจุดอื่นๆบนร่างกาย หัว ลำตัว ขา ฯลฯ ตามแต่จะชอบ สลับมือได้ตามที่ต้องการ

ที่สำคัญ ต้องผ่อนคลายตลอดครับ ในการสัมผัสพลังงานและการใช้พลังจิตทุกชนิดต้องผ่อนคลายเสมอ ยิ่งเกร็งมันยิ่งไม่ได้ผลครับ นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่สำคัญ

 

สังเกตว่าในครั้งนี้คุณได้สัมผัสพลังงานมากขึ้น ดังนั้นใหนๆในบทนี้เรามาเรียนรู้ลักษณะทั่วไปของพลังงานกันดีกว่า

 

1.ออร่าของแต่ละคน จะมีลักษณะไม่เหมือนกัน

สนามพลังของแต่ละคน จะไม่มีทางเหมือนกันเป๊ะๆเลยครับ อย่างมากก็แค่คล้ายๆ ไม่ว่าจะเสียง สี แสง สัมผัส สนามแม่แหล็ก หรืออื่นๆ ยังไงก็ไม่เหมือนแน่ ทุกคนมี"ความถี่"ของตัวเอง

เวลาที่ความถี่ของใครใกล้ๆกัน มันจะมีความรู้สึกคุ้นเคย รู้สึกเป็นธรรมชาติ เราจะ"ต่อติด"ง่าย ซึ่งบางทีการที่มันสอดคล้องนี่ก็อาจจะมาจากความเกี่ยวข้องหรือคล้ายคลึง ทางอารมณ์ นิสัย วิธีการใช้ชีวิต สภาพแวดล้อม หรือความหลังเมื่อชาติที่แล้วก็ได้!

 

ในทางกลับกัน มันก็มีที่แบบว่าพลังงานมีตวามถี่ต่างกันสุดๆไปเลย ซึ่งส่วนใหญ่นี่ทำให้เกิดความอึดอัดหรือไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่แรกพบโดยที่ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่จริงๆคนคนนั้นอาจไม่มีปัญหาหรือเลวร้ายอะไรหรอกครับ(เอาล่ะ อาจมีคนที่เลวจริงๆอยู่ดี แต่บางคนเราก็ไม่ชอบเพราะออร่ามันขัดกัน ทั้งที่เขาไม่ได้แย่ตรงไหน)

 

ยังไงก็เถอะ ถ้าออร่ามันขัดกันนะครับ เราอยู่ใกล้ๆกันไปนานๆ มันจะทำปฏิกิริยาบางอย่างทำให้ออร่ามันปรับเข้าหากันเองครับ แล้วจากที่ว่ามานี้ เป็นที่มาของกฏ"การดึงดูดคนแบบเดียวกัน"นั่นเอง หมายความว่า ....เราเป็นยังไง เราก็มีแนวโน้มจะพบเจอคนที่เป็นแบบนั้นแหละครับ

 

2.ออร่าของแต่ละคนถ่ายเทซึ่งกันและกันได้

 

เวลาที่เราไปติดต่อหรือพบปะกับใครพลังงานออร่าของเราจะแลกเปลี่ยนกันไม่มากก็น้อยครับ ขึ้นอยู่กับว่าระดับความถี่มันไกล้กันแค่ไหน แล้วก็ติดต่อกันมากแค่ไหน ซึ่งจะมีทั้งการรับพลังหรือส่งพลังก็ได้

แต่อย่างไรก็ตามถ้าเราไม่รู้จักวิธีจัดการกับพลังงาน บางครั้ง เราอาจสะสมเอา"ขยะ"พลังงานมาไว้โดยไม่รู้ตัว บางทีเราอาจมีอารมณ์หรือไอเดียแปลกๆ(ที่ปกติเราไม่ได้เป็นแบบนั้น)หลังจากที่คลุกคลีกับคนบางคน บางคนเราอยู่ใกล้ๆแล้วเหนื่อย บางคนอยู่ใกล้ๆแล้วคึกคัก บางคนอยู่ใกล้ๆแล้วอยากจะบ้าโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรต่างจากปกติเลย แต่มันเกี่ยวกับพลังงานรอบๆตัวเราต่างหาก

 

ทุกอย่าง ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ ต่างก็มีพลังออร่าทั้งนั้น และนั่นทำให้ไม่เพียงคนที่มีผลกระทบต่อเรา สัตว์(โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงที่"ปรับความถี่"แล้ว) สถานที่ และแน่นอน ต้นไม้ ล้วนส่งผลต่อพลังงานของเราทั้งนั้นครับ โดยทั่วไปแล้วต้นไม้มีความสามารถที่จะเอาพลังงานเสียๆของเราไปจากเราแล้วหมุนเวียนใช้ประโยชน์ต่อได้ (ซึ่งในแง่วัตถุหากคนหรือสัตว์ถ่าย shit ลงที่โคนต้นไม้ ต้นไม้ก็นำมาใช้ได้อยู่แล้ว ดังนั้น อย่ารังเกียจการ"คืนพลังเสีย"ไปให้ต้นไม้) และคงไม่ต้องยืนยันว่าการพักผ่อนใต้ร่มไม้จะช่วยทำให้เราฟื้นตัวได้ดีกว่าการนั่งในที่ทั่วๆไปมาก จริงใหมครับ

 

นอกจากนั้น ยิ่งนานวันผมเองเริ่มค้นพบว่าคริสตัลส่งผลกระทบต่อสนามพลังงานในตัวเราได้อย่างน่าสนใจมาก คริสตัลแต่ละอย่างและแต่ละชิ้นจะส่งผลกระทบต่อเราไม่เหมือนกันเลย(แต่ชนิดเดียวกันก็จะใกล้เคียงกัน) และด้วยความที่มันสามารถขนย้ายได้ง่ายกว่าต้นไม้ คริสตัลจึงเป็นเครื่องมือในการบำบัดฟื้นฟูที่ดีมากครับ

 

 

3.ยิ่งนาน ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งกระทบต่อพลังงาน และจะยิ่งมีร่องรอยเหลือไว้

 

นอกจากเรารับผลจากสิ่งแวดล้อมแล้ว ส่งแวดล้อมก็รับผลจากเราด้วยครับ สมมุติเรานอนบนเตียงเดิมนานๆ พลังงานของเตียงนั้นจะถูกปรับให้สอดคล้องกับเราครับ แล้วทีนี้คุณคงเคยเห็นคนที่เวลาไปนอนที่อื่นแล้วนอนไม่หลับ ทั้งที่เตียงสุดแสนจะสบาย ก็เพราะพลังงานมันไม่ตรงกันนั่นเองหรือแม้แต่เพื่อน แรกๆอาจจะไม่ค่อยคุ้น แต่นานๆไปจะเริ่มมีความรู้สึกนึกคิดใกล้เคียงกัน หรืออาจเริ่มไปไกลเกินเพื่อน(อาฮ่า!)

 

แล้วเด็กๆบางคนที่กอดตุ๊กตาเน่าๆมานานๆ เวลาใครเอาตุ๊กตาหรือผ้าห่มเน่าๆนั่นไปทิ้งแล้วเอาของใหม่ สบายกว่า นุ่มกว่า สวยกว่ามาให้ เด็กๆส่วนใหญ่จะไม่ชอบครับ เขาชอบอันเก่า เพราะพลังงานของผ้าขี้ริ้วนั่นมันตรงกับเขา เขากอดมันแล้วรู้สึกสบายกว่าอันใหม่เป็นไหนๆ

 

หลักการนี้เองที่เป็นพื้นฐานให้กับพลังจิต psychometry เวลาที่นักพลังจิตจับสิ่งของที่เคยถูกใครใช้มานานๆ เขาจะรู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับผู้ใช้ เพราะเขาสัมผัสและตรวจสอบจากร่องรอยของพลังงานที่ตกค้างอยู่บน"หลักฐาน"นั้นๆ ซึ่งแน่นอน ของที่ไม่มีความสำคัญหรือไม่ค่อยได้ใช้ก็จะอ่านยากกว่าอย่างเวลาทำงานร่วมกับคนอื่น สมมุติเพื่อนร่วมงานสองคนฉลาดเท่าๆกันทุกอย่าง เราจะทำงานได้ดีกับคนที่คุ้นเคยกว่าครับ อันนี้ไม่แปลก แต่เบื้องหลังก็คือพลังงานมันสอดคล้องกันและไม่ตีกันเองนั่นแหละครับ

ยิ่งถ้าสมมุติมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากๆ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางเพศ พลังงานจะกระทบ(ทั้งที่ดีและไม่ดี) ต่อกันมากครับ

 

อย่างเวลาตายจากกัน ร่องรอยพลังงานของผู้ตายบนตัวของคนที่ยังอยู่ จะสลายตัวอย่างรวดเร็วจนเกิดความแปรปรวนอย่างมาก การร้องไห้ตีโพยตีพายเป็นกระบวนการปรับพลังงานตามธรรมชาติ ยิ่งพลังงานประทับไว้มาก ยิ่งจำเป็นต้องร้องมากครับ

 

4. สภาพออร่า บ่งบอกสุขภาพ อารมณ์ จิตและวิญญานของเจ้าของ

 

สี ความสว่าง ความชัด ขนาดและรูปทรงของออร่า บ่งบอกสภาพของเจ้าของได้เสมอ(แต่ระวัง ต้องตีความสิ่งที่เราเห็นดีๆนะครับ)

 

ยังไงซะ โดยทั่วไป ออร่าที่ไม่ดีจะดูไม่งาม หมองคล้ำ บิดเบี้ยว ซีด บาง แหว่ง ส่วนออร่าที่ดีก็จะตรงข้ามครับ สดใสสะอาด สวยงามได้รูป ส่องสว่างกว้างไกล(ไม่ใช่แสงสว่างทางฟิสิกส์นะ) ส่วนสีต่างๆก็จะมีความหมายต่างกันออกไป ซึ่งภายหลังหากเราฝึกไปมากๆ เราก็จะรู้ว่าสีแบบไหนหมายถึงอะไรโดยประสบการณ์

แต่ระวัง! สภาพของคนคนหนึ่งไม่คงที่ เดี๋ยวดี เดี๋ยวแย่ได้ ดังนั้นออร่าก็ไม่คงที่เหมือนกัน ดังนั้นสมมุติเรามองเห็นคนหนึ่งเป็นสีแดง แล้วเวลาผ่านไปมองอีกทีเขียว เราอาจไม่ได้กำลังอ่านผิดครับ

 

สรุป

1.ออร่าของแต่ละคน จะมีลักษณะไม่เหมือนกัน

2.ออร่าของแต่ละคนถ่ายเทซึ่งกันและกันได้

3.ยิ่งนาน ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งกระทบต่อพลังงาน และจะยิ่งมีร่องรอยเหลือไว้

4. สภาพออร่า บ่งบอกสุขภาพ อารมณ์ จิตและวิญญานของเจ้าของ

หลายคนอาจเคยดูกีฬาหรืออาจเคยเข้าแข่งกีฬาเองเลย คุณสังเกตเห็นใหมครับว่าถ้าแมตช์ใหนนักกีฬาเครียด เขาจะเล่นได้แย่กว่าฝีมือปกติของเขา โดยไม่เกี่ยวกับสภาพร่างกาย โดยเฉพาะกีฬาที่ใช้ความแม่นยำและจังหวะมากกว่าพละกำลังตรงๆเช่นตีกอล์ฟ ยิงปืน บาสเก็ตบอล เบสบอล ฟุตบอลฯลฯ นี่เห็นชัด ทำไมมันเป็นอย่างนั้น ทำไมโค๊ชทุกคนรู้ดีว่าเขาต้องทำให้นักกีฬามั่นใจและเล่นโดยไม่เครียดถึงจะแสดงฝีมือได้เต็มที่

 

มันคือพลังจิตที่ช่วยให้นักกีฬายิงลูกหรือเคลื่อนไหวออกไปด้วยแรงที่เหมาะสม ในตำแหน่งที่พอดี ในจังหวะที่ถูกต้องครับ หากนักกีฬาอาศัยเพียงสมรรถภาพทางกายกับแค่ทำตามสูตรในหนังสือกีฬาอย่างเดียวโดยไม่อาศัยพลังจิตแล้วเล่นได้ดี เราจะไม่ต้องมีกองเชียร์และไม่มีคำว่าตื่นสนามเลยในวงการกีฬาครับ แต่ที่มันเป็นอย่างนั้นเพราะพลังจิตมีส่วนสำคัญต่อศักยภาพในการทำสิ่งต่างๆของมนุษย์ ไม่เพียงแต่ กีฬาเท่านั้น ทุกกิจกรรมเกี่ยวกับพลังจิต การสอบ การคิด ประดิษฐ์ ทำงานศิลปะ การแสดง หรือสร้างสรรอะไรก็ตามจะไม่ได้ผลดีหากเราไม่ผ่อนคลาย

 

และถ้าใครชอบดูหนัง คงต้องเคยได้ยินชื่อ สตาร์ วอร์ STAR WARS มาบ้าง และหากเราโชคดีได้ดู จะสังเกตว่าเหล่าอาจารย์เจไดจะเตือนลูกศิษย์ตลอดเวลาว่า relax (ซึ่งแปลว่าผ่อนคลาย) โดยส่วนตัวแล้วผมเองไม่อยากให้เราเชื่อตามสิ่งที่ปรากฏในหนังเลยแม้แต่อย่างเดียว จนกว่าจะได้ทดลองแล้ว แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมพบว่าพลังจิตเกือบทั้งหมด(หรืออาจจะทั้งหมด)จะทำงานไม่ได้เลยหากเราผ่อนคลายไม่ดีพอ

ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ได้คุ้นเคยกับการใช้พลังจิต สิ่งนี้อาจฟังดูไม่สมเหตุสมผล เราคุ้นเคยกับคำพูดที่ว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น และ เราคุ้นเคยกับภาพในหนังที่เห็นคนใช้พลังจิตเพ่งอยู่กับการรีดเค้นพลังจิตออกมาจนตัวสั่นเหงื่อท่วม แต่จริงๆแล้ว ในโลกของพลังจิต ถ้าเราเครียดขนาดนั้น นอกจากไม่ทำให้พลังจิตได้ผลแล้ว มันกลับยิ่งทำให้พลังจิตทำงานน้อยลงครับ ขอย้ำ ว่าน้อยลง สำหรับกิจกรรมทางโลกทั่วไปหากไม่ใช้พลังจิตเราอาจรู้สึกว่าผลงานมันออกมาฝืดๆไม่เต็มที่แค่นั้น แต่ในทางพลังจิต การไม่สามารถผ่อนคลายมันทำให้ผลออกมาแย่จริงๆหรือไม่เกิดผลอะไรเลยด้วยซ้ำครับ

 

วิธีการผ่อนคลายนั้นมีมากมาย ซึ่งแต่ละวิธีก็เหมาะกับรสนิยมและระดับฝีมือของแต่ละคน ไม่มีวิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนทุกสถานการณ์หรอกครับ ผมเองก็ใช้อยู่หลายวิธี แล้วแต่ว่าขณะนั้นเหมาะกับวิธีใหน แต่ผมชอบวิธีนี้ที่สุด วิธีของผมแบ่งออกได้เป็นสองส่วน คือส่วนระบาย กับส่วน พัก

การระบาย

 

1.เอาฝ่ามือไปทาบกับวัตถุอะไรก็ได้ เตียง พื้น หินพรมต้นไม้ ที่ดีที่สุดเป็นพื้นดิน แต่ถ้าไม่สะดวก ก็เอาอะไรก็ได้ครับ(แต่ไม่ควรเป็นคนหรือสัตว์)

2.กำหนดภาพพลังความฟุ้งซ่านจากในตัวเรา อาจสมมุติให้มันมีลักษณะอย่างไรก็ได้ตามที่เรารู้สึกว่ามันควรจะเป็นแบบนั้น เช่นอาจเป็นสายน้ำสีเทา หรืออะไรก็แล้วแต่ หากคุณไม่เห็นหรือไม่รู้สึกถึงพลังความฟุ้งซ่าน ก็แค่กำหนดอะไรขึ้นมาสักอย่างแล้วสมมุติว่านั่นเป็นความฟุ้งซ่าน ไม่ว่าเราจะรู้สึกจริงๆหรือแค่สมมุติก็ตาม มันได้ผลอยู่ดีหากเราเปิดใจทดลอง

3.ปล่อยความฟุ้งซ่านนั่นออกไปตามแขนและมือ ผ่านฝ่ามือไปยังวัตถุเป้าหมายที่เราวางฝ่ามือไว้

4.ระบายออกไปเรื่อยๆจนรู้สึกสงบ เป็นอันเสร็จการระบายพลังงานส่วนเกิน

 

การพัก(ต่อจากการระบาย)

 

1.นอน ไม่จำเป็นต้องใช้หมอน หรืออาจใช้ถ้าไม่ชอบนอนราบจริงๆ ท่าที่ดีที่สุดคือท่านอนหงายธรรมดาที่ทางโยคะเรียกว่าท่าศวอาสนะ(corpse posture) แต่หากทำไม่ได้ก็ใช้ท่าตามสะดวก หรือจะนั่งบนเก้าอี้นวมก็ได้ครับ แต่ที่สำคัญต้องแน่ใจว่าไม่ต้องออกแรงพยุงตัวเลยแม้แต่นิดเดียว คือสามารถหลับไปในท่านั้นได้เลย

2.หายใจนุ่มๆช้าๆ ลึกๆ ยาวๆ

3.เริ่มที่ปลายนิ้วเท้า ผ่อนคลายนิ้วเท้า ปล่อยความเครียดออกจากนิ้วเท้าให้หมด เราควรรู้สึกว่านิ้วเท้าเบา สบาย

4.มาที่เท้าทั้งหมด ผ่อนคลายเท้าให้สบาย

5.ไล่ขึ้นมาตามแข้ง เข่า ต้นขา ก้น

6.ขึ้นมาตามสะโพก ลำตัว เอว หลัง ซี่โครง อก ค่อยๆผ่อนคลายให้สนิท

7.คอ ไหล่ บ่า สะบัก(บ่าด้านหลัง) แขน ศอก ข้อมือ ฝ่ามือ นิ้วมือ

8.ผ่อนคลายคอ คาง ขากรรไกร ปาก แก้ม จมูก หู ลูกตา เบ้าตา หว่างคิ้ว(สำคัญมาก) หน้าผาก หนังหัว

9.ควรจะครบ สำรวจว่ายังเหลือที่ใดที่ยังไม่ผ่อนคลาย พักให้หมด เป็นอันจบการผ่อนคลาย

 

นี่คือวิธีการฝึก ระบาย+ผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม สังเกตว่ามันจะใช้เวลาพอสมควร จริงๆแล้วในการใช้พลังจิตเราไม่จำเป็นต้องเตรียมผ่อนคลายเต็มรูปแบบอย่างนี้ทุกครั้งไปครับ เพียงแต่แรกๆคุณควรฝึกทำแบบนี้จนร่างกายเกิดความเคยชินแล้ว มันจะทำงานโดยอัตโนมัติเร็วขึ้นไปเอง หากเราชำนาญ แค่พอคิดจะผ่อนคลายก็ผ่อนคลายเสร็จแล้วครับ

 

สรุป

1.ขณะที่เราไม่ผ่อนคลาย เราไม่สามารถใช้พลังจิตได้

2.วิธีการผ่อนคลายมีมากมาย ไม่มีวิธีใหนที่ดีที่สุด ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม

 

 

.........................................................................................................

 

หลังจากบทนี้เป็นต้นไป คุณจะเริ่มนำพลังจิตมาใช้ประโยชน์ได้จริงๆแล้วครับ ยินดีด้วย! ที่ผ่านมา(ถ้าอ่านและฝึกตาม) คุณจะมีพื้นฐานและความเข้าใจภาพรวมของการใช้พลังจิตบ้างแล้ว ดังนั้นเราจะเริ่มหัดใช้พลังจิตให้เป็นประโยชน์ในทางปฏิบัติกัน ตั้งแต่บทนี้ไป โดยเราจะเริ่มจากความสามารถในการบันดาลเหตุการณ์ที่เราต้องการให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ซึ่งผมว่านี่สำคัญที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม ณ จุดนี้ผมอยากจะบอกกฏ(และมันเป็นเคล็ดลับ)ของการใช้พลังจิตให้ทุกคนครับ กฏนี้ผมพบว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้พลังจิต มันคือ..

 

FOCUS AND RELAX

 

กฏนี้สำคัญมาก และจริงๆผมอยากจะขีดเส้นใต้สามเส้นถ้าเป็นไปได้ คุณจะต้องทั้งจดจ่อและผ่อนคลายถึงจะใช้พลังจิตได้ผล แน่นอนหากเราไม่จดจ่อ มันจะไม่เกิดอะไรขึ้นเลย แต่จุดที่น่าสนใจคือ หากในขณะที่เราจดจ่อเราไม่ผ่อนคลาย เชื่อใหมครับว่าพลังจิตจะแทบไม่ทำงาน(หรืออาจไม่ทำงาน)เลยแม้แต่นิดเดียว นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมเขียนเรื่องการRELAX(ผ่อนคลาย)ให้ในบทที่แล้ว หวังว่าคุณฝึกได้แล้ว? และครั้งนี้เราจะมาฝึกครึ่งที่เหลือเพื่อให้เคล็ดลับนี้สมบูรณ์ นั่นคือ FOCUS หรือการจดจ่อครับ

 

 

การFOCUSนั้น เราจะต้องจดจ่อกับสิ่งที่ตั้งใจ ทั้งในระดับจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก จำได้ใหมครับ จิตสำนึกคือส่วนที่เรารู้ตัว จิตใต้สำนึกคือส่วนลึกในตัวเราที่ปกติเราไม่รู้ การทำให้จิตสำนึกจดจ่อนั้นง่ายมาก แค่ตั้งสติ(ไม่เมา)แล้วตัดสินใจจดจ่อมันก็จดจ่อแล้วครับ แต่จิตใต้สำนึกนี่สิ ปกติเราไม่รู้และไม่สามารถควบคุมมันได้ เราจึงต้องมีเทคนิคที่จะทำให้จิตใต้สำนึกทำงานสอดคล้องกับจิตสำนึก ให้มันจดจ่อในสิ่งที่เราต้องการ

เทคนิคสั่งจิตใต้สำนึกนั้นก็มีมากมาย เช่นการสะกดจิตตัวเองซึ่งแตกเทคนิคออกไปอีกเยอะ,การสวด,เพลง,ไปจนถึงเวทย์มนตร์คาถา,รวมถึงการใช้ยา(ซึ่งผมไม่แนะนำให้ใช้เลย) ส่วนเทคนิคที่ผมชอบที่สุด เป็นเทคนิคการสะกดจิตตัวเอง ซึ่งผมจะบอกวิธีที่ผมชอบที่สุดให้คุณสัก2-3วิธี

 

MIND SCREEN/POSITIVE IMAGINATION

 

1. ผ่อนคลายร่างกายให้หมดทุกเซลด้วยเทคนิคการผ่อนคลายที่ถนัด(สามารถอ่านได้ในบทที่แล้ว)

2. ห้ามเกร็ง โดยเฉพาะที่หว่างคิ้วจะเกร็งง่ายมากต้องระวัง หลับตาแล้วกำหนดเห็นภาพในใจ เป็นภาพพื้นที่สีขาวๆ นี่จะทำหน้าที่เป็นจอหนัง

3. บนพื้นที่สีขาว เริ่มกำหนดภาพสิ่งที่เราต้องการให้เกิด เช่นสมมุติเราอยากไปเชียงใหม่ ก็สร้างหนัง "เราอยู่ในเชียงใหม่" โดยควรจะเป็นหนังที่มีรายละเอียดสูงที่สุด(อย่าลืม ห้ามเกร็ง ห้ามขมวดคิ้ว) ตั้งแต่สถานที่ เสียง แสง ผู้คน สิ่งแวดล้อม ตัวประกอบ เห็นคุณกำลังทำสิ่งที่อยากทำให้สมจริงและสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้

4. เมื่อฉายหนังจบ เลิกสนใจจอหนัง สนใจร่างกายของคุณแทน

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...